อัพเดตข่าวสาร วัดท่าขนุนและหลวงพ่อเล็ก

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์วัดท่าขนุน, 2 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    เวลาเราทำไปเรื่อย ๆ ปัญญาจะรู้ว่าตอนนี้นิวรณ์ กิเลส หรือสังโยชน์ ตัวไหนที่เป็นอยู่เฉพาะหน้า เราก็แก้ไขตัวนั้น พูดง่าย ๆ ว่าสิ่งไหนโผล่มาตอนนั้นก็จัดการตัวนั้นก่อน เอาเรื่องเฉพาะหน้าเป็นหลัก
    ……………..
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    หนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์
    ฉบับที่ ๑๖๓ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ หน้าที่ ๔๙
    http://www.grathonbook.net/book/163.3.html

    -ๆ-ปัญญ.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  2. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945

    .jpg

    ทรงฌานสี่ตลอดเวลา


    ถาม : ฌานสี่ได้ตลอดเวลา กับทรงฌานสี่ได้ตามที่เรานึกอยากจะทำ อย่างไหนดีกว่ากัน
    ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ทรงตลอดเวลา อารมณ์ก็ยังขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ แต่ว่าถ้าทรงได้ในเวลาที่เราต้องการนี่ ถือว่าสุดยอดแล้ว อยากได้เมื่อไรก็ทำได้ แสดงว่าเก่ง..ใช้ได้ ถ้ากิเลสกินอยู่ ทรงฌานไม่ได้หรอก

    ถาม : หลวงพ่อคะ เขาทรงฌานสี่ตลอดเวลาได้อย่างไร คงต้องมีบ้างที่แบบว่าอารมณ์ถอยลงมา
    ตอบ : ต้องบอกว่า ด้วยกำลังของสมาธิ….ถ้าหากว่าเราทำถึงที่สุดแล้ว ซักซ้อมจนคล่องตัว จะสามารถทรงกำลังอัตโนมัติเอง แล้วลักษณะของอัตโนมัตินี้ สามารถที่จะแบ่งกำลังใจไปทำอย่างอื่นได้ด้วย ขณะนั้นความนิ่งความสงบภายในเท่ากับฌานสี่ แต่การเคลื่อนไหว การพูด การทำต่าง ๆ เท่ากับอุปจารสมาธิหรือปฐมฌาน เขาถึงได้เรียกว่า ฌานใช้งาน

    คราวนี้เรื่องของสมาธิก็ขึ้นอยู่กับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สามารถเสื่อมไปได้ตามสภาพ แต่ถ้าทำไปถึงระดับหนึ่งแล้วกำลังใจจะทรงตัวอยู่ บางทีกำลังสมาธิลดลงแต่กำลังใจไม่ได้ลดตามไปด้วย โดยเฉพาะถ้าเป็นพระอริยเจ้าแล้ว กำลังใจในการตัดกิเลสไม่ได้ลดตาม

    แบบเดียวกับที่พระอัสสชิท่านป่วย แล้วอาการเวทนาเกิดมาก ขนาดร้องครวญครางเลย ท่านจึงขอพระที่อุปัฏฐากอยู่ไปทูลถามพระพุทธเจ้า สงสัยว่าความดีที่ทำได้จะสูญเสียแล้ว เพราะว่าเจ็บเหลือเกิน พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "อัสสชิ เธอเห็นร่างกายนี้เป็นของเธอหรือ ?" พระอัสสชิก็ทูลว่า "ไม่เคยเห็นเป็นของตัวเองเลยพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นความดีของเธอไม่ได้ลดลง ที่ลดลงคือกำลังสมาธิที่เป็นฌาน ร่างกายที่ป่วยมาก ๆ ฌานก็เสื่อมเป็นธรรมดา

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒ ณ บ้านอนุสาวรีย์

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  3. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    คนที่เห็นความตายเป็นเรื่องปกติ เขาไม่ได้รู้สึกว่าความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะก็แค่เปลี่ยนรูป เปลี่ยนขันธ์ เปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิไปตามกรรมที่เราทำมา ทำสิ่งที่ดีไว้ก็ขึ้นสูง ทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มากก็ลงต่ำเท่านั้นเอง
    ………………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2109&page=2

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  4. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    รู้จักสังเกตและเอามาใช้


    ถาม : ทำไมเวลาที่เรานั่งปฏิบัติของเราเอง กับเวลานั่งฟังอาจารย์ท่านสอน จึงมีความต่างกัน เวลาฟังอาจารย์แล้วเหมือนตัวเองจะก้าวหน้า แต่เวลาทำเองกลับไม่ใช่ ?

    ตอบ : ต้องสังเกตดี ๆ เวลาที่เรานั่งฝึกปฏิบัติกับตอนที่เราฟังนั้น สมาธิเราปักมั่นต่างกันอย่างไร ตอนที่เราฟังนี่เราเงี่ยหูฟัง ถ้าหากว่าบางท่านพูดเสียงเบาเราก็กลัวไม่ได้ยิน อันนั้นก็คือสมาธิ เราจะจดจ่อปักมั่นอยู่ตรงหน้า ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาเราก็เอามาใช้ในลักษณะเดียวกัน ก็คือว่าทำอย่างไรตอนนั่งภาวนา ให้สมาธิเราปักมั่นอยู่ตรงหน้า เหมือนกับตอนที่เราตั้งใจฟัง ตรงนี้คือสิ่งที่เราต้องรู้จักสังเกตและเอามาแยกแยะ

    อย่างเวลาออกบิณฑบาต ระยะนี้ฝนตก มีบ้านโยมบางหลังบันไดชันมาก ๆ แล้วก็แคบด้วย จะขึ้นจะลงต้องระวังจนตัวลีบ ไม่เช่นนั้นมีหวังหัวทิ่มลงมา จึงบอกกับพระให้สังเกตอารมณ์ใจตนเองว่า ตอนที่เดินตามถนนธรรมดากับตอนที่เดินขึ้นบันได ช่วงที่คุณขึ้นลง สติ สมาธิและปัญญาของคุณอยู่ตรงไหน สติคุณต้องรู้ระมัดระวัง..ใช่ไหม ? ไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวจะลื่น เดี๋ยวจะล้ม ขณะเดียวกันสมาธิต้องปักมั่นอยู่ตรงหน้า มีการระมัดระวัง ปัญญาก็ต้องเกิด เราจะเหยียบตรงไหน เราจะเหยียบแง่ไหนถึงจะไม่ลื่นไม่ล้ม ถ้าหากว่าสามารถรักษากำลังใจแบบเดียวกับตอนขึ้นบันได คุณจะทำท่าไหนก็รักษาสมาธิอยู่กับตัวเองได้

    เพราะฉะนั้น..เรื่องอย่างนี้ต้องบอกให้เขารู้จักสังเกต ถ้าเราไม่ได้ผ่านมาเอง จะบอกเขาไม่ถูก ถ้าเรารู้จักสังเกตและหยิบเอาส่วนที่มีประโยชน์ไปใช้ เราก็จะก้าวหน้าได้เร็ว ถ้าไม่รู้จักสังเกตก็ไปได้ยาก เรื่องของการปฏิบัติ ยิ่งทำก็ยิ่งละเอียดขึ้นไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ปล่อยผ่านไม่ได้ เพราะว่าอาจจะทำให้เราก้าวหน้าและก็อาจจะทำให้เราถอยหลังได้

    ในส่วนของรายละเอียดที่ผิดพลาด ถ้าหากเราเผลอไปทำเข้า ก็ถอยหลัง แต่ถ้าในรายละเอียดที่ถูกต้อง ถ้าเราปฏิบัติเข้าก็จะก้าวหน้า เพราะฉะนั้น..ยิ่งทำไปยิ่งต้องช่างสังเกต หาเหตุให้เจอ ถ้าเป็นเหตุที่ดีก็ให้ทำเหตุนั้นขึ้นมา ผลดีก็จะเกิด ถ้าเป็นเหตุที่ไม่ดีก็เลิกทำ ผลร้ายก็จะไม่เกิด

    ช่วงเดินไปกับช่วงที่เดินลงบันได เราเคยสังเกตไหมว่าต่างกันอย่างไร ? ถ้าสังเกตจะเห็นว่าต่างกัน บนพื้นตรงนี้เราเดินสบาย เรารู้ว่าไม่มีอะไรสะดุด ไม่มีอะไรให้ล้ม แต่ตอนเดินลงบันไดต้องระวัง สติก็จะไปจดจ่ออยู่ตรงหน้า ถ้ายิ่งตอนมืด ๆ นี่ สายตาจะต้องตามไปด้วยว่าจะตกบันไดหรือเปล่า ? ถ้าเรารู้จักสังเกตตรงนั้น แล้วหยิบออกมาใช้ในสภาพปกติ เราก็จะเห็นว่า สติ สมาธิ ปัญญา นั้น สามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้ในทุกสถานการณ์

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒ ณ บ้านอนุสาวรีย์

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  5. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    “อบายมุข” คือ ปากทางแห่ง “ความเสื่อม”
    พระพุทธเจ้าบอกว่า ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ย่อมทำให้ทรัพย์สินฉิบหาย ไม่มีผู้ใดเชื่อถือ
    ………………………..
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2109&page=2

    -คือ-ปากทางแห่ง-ค.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  6. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945

    .jpg
    ลูกไก่และปลา


    มีใครเลี้ยงไก่แบบปล่อยธรรมชาติบ้าง ? เลี้ยงแบบไม่ขัง ถ้าคนที่เลี้ยงไก่แบบปล่อย จะต้องเคยมีประสบการณ์ว่า เวลาที่อันตรายเกิดขึ้น แม่ไก่จะร้องบอก แล้วลูก ๆ ก็จะหายวับไปกับตา เคยเห็นไหม ? ถ้าฉุกเฉินกระทันหัน แม่ไก่ร้องกระต๊ากทีเดียว ลูกไก่จะหายวับไปเลย

    ถาม : หลบไปอยู่ใต้ปีกหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : อยู่ตรงข้างหน้านั่นแหละ แต่เราจะมองไม่เห็น อันนี้จะว่าเป็นธรรมชาติก็ได้ จะว่าเป็นฤทธิ์ที่เป็นวิบากกรรมก็ได้

    ตราบใดที่แม่ไก่ไม่ร้องเรียกครั้งต่อไป ลูกไก่จะเหมือนกับตาย แข็งทื่อไปเลย แล้วสีของเขาคล้ายกับสภาพแวดล้อมบริเวณนั้นมาก ถ้าตาไม่ดี..มองไม่เจอหรอก เขาจะนอนนิ่งไปเลย

    ถ้าเราไปเดินหา บางทีเหยียบเขาตายไม่รู้ตัว ต่อให้เราเหยียบตาย ถ้าแม่ไก่ไม่ร้อง ลูกไก่ก็เฉย ที่พูดถึงเรื่องลูกไก่นี้เพราะว่า

    ประการที่หนึ่ง ในเรื่องไสยศาสตร์ เขาเชื่อว่าลูกไก่มีคาถาวิรุณจำบัง กำบังสายตาของคนและสัตว์ได้ แต่ถ้าคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ก็อย่างที่บอกมา เวลาเขานอนนิ่งไม่เคลื่อนไหว และสภาพร่างกายที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ก็เลยทำให้มองไม่เห็น

    ประการที่สอง ลูกไก่เชื่อแม่ แม่ที่ถือว่าเป็นครู ถ้าครูสั่ง ก็ทำสุดชีวิตของตัวเลย โดนเหยียบตายก็เฉย เพราะถือว่าครูยังไม่สั่งให้เลิก

    ประการสุดท้าย ถ้าหากกิเลสแรงก็หัดตายเสียบ้าง ลูกไก่สามารถปิดทวาร ไม่รับรู้อาการภายนอกเลย จนกระทั่งเสียงแม่เรียก ถึงจะกลับฟื้นคืนชีวิตมาอีกที เราจะทำอย่างไรที่จะปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้กิเลสกินใจเราได้

    ถ้าที่ไหนเขามีเลี้ยงไก่ลักษณะอย่างนี้ ก็ให้ไปสังเกตดู เวลาอันตรายเกิดขึ้น แม่ไก่กระต๊ากทีเดียว ลูกไก่ก็หายวับไปเลย ตัวไหนที่แม่กระต๊ากแล้วยังยืนอยู่ รับประกัน..ตายทุกราย..!

    จะว่าไปแล้ว สัตว์มีสามัญสำนึกและสติรู้น้อยกว่าคน เขายังสามารถที่จะเอาตัวรอดได้

    สมัยยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ตอนนั้นไก่จะมีเยอะมาก พออาตมาไม่อยู่ ปัจจุบันนี้แทบจะไม่มีเหลือ เพราะว่าพอไม่อยู่แล้ว เขาไปตัดกิ่งไม้ ตัดให้เหลือแค่ที่ตัวเองคิดว่าดี..

    แต่ไก่ขึ้นต้นไม้ไม่ได้ ไก่ต้องอาศัยกิ่งไม้ต่ำ ๆ ก่อน พอบินขึ้นไปเกาะสักกิ่งหนึ่งได้แล้ว ก็จะค่อย ๆ บินขึ้นไปตามกิ่งทีละช่วง แล้วจะไปอาศัยนอนปลายกิ่ง เพราะถ้าหากมีศัตรูมา กิ่งไม้ไหวจะได้รู้ตัวก่อน แต่ปลายกิ่งนั้นจะต้องอยู่ใต้กิ่งอื่น.. ป้องกันไม่ให้ศัตรูที่มาจากข้างบนทำอันตรายได้

    ทีนี้คนตัดก็ไม่ค่อยสังเกต ไปตัดกิ่งไม้เสียเหี้ยนเตียน ไก่ก็เลยไม่มีที่นอน พอไปนอนข้างล่างศัตรูเข้าถึงได้ง่าย..ก็เรียบร้อย

    และที่เห็นชัดที่สุดก็คือ เวลาแม่ไก่เลี้ยงลูก พอได้สัก ๑๐ วัน หรือครึ่งเดือน แม่ไก่จะบินขึ้นต้นไม้ ไม่ยอมนอนข้างล่าง เพราะรู้ว่าข้างล่างอันตรายมาก ลูกไก่แหกปากร้อง แม่ไก่ก็เรียกอยู่ข้างบน..ให้ขึ้นมา ลูกไก่ก็ต้องพยายามขึ้นไป ปีกลูกไก่เล็กนิดเดียว บินขึ้นไปได้สัก ๒ ศอก ก็หล่นลงมา ก็ต้องหาทาง.. กิ่งไหนที่พอจะขึ้นถึง ก็บินขึ้นไปเกาะ…

    ค่อย ๆ ขึ้นไปทีละช่วง.. แม่ไก่จะเรียกจนกว่าลูกจะขึ้นมาครบ ถ้าเรียกจนค่ำแล้ว ลูกยังขึ้นมาไม่ครบ แม่ไก่จะหุบปากเลย “ถ้าไม่ตายเสียก่อน พรุ่งนี้เจอกัน” เอาอย่างนั้นบ้างไหม ?

    สมัยก่อนคุณมงคล ลูกชายเจ้าของบ้านอนุสาวรีย์ฯ เขาเบื่อที่พวกเรามากันเยอะแยะ เขาบอกว่าสำหรับเขานะ พวกที่ยืนด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ปล่อยให้ตายไปเสียเลย ใช้วิธีคัดเลือกแบบธรรมชาติ ผู้ที่แข็งแรงจึงจะรอดจากวงจรกิเลสได้

    ฉะนั้น..พวกเราควรที่จะระมัดระวังอยู่จุดหนึ่งคือ ความหวังพึ่งพิงคนอื่นมากเกินไป ถ้าตราบใดที่ยังรู้สึกว่าตัวเองมีที่พึ่งอยู่ ก็จะไม่ใช้ความพยายามจริง ๆ ต้องตัดหาง ไม่ใช่ตัดหางแล้วปล่อยวัดนะ ตัดหางแล้วปล่อยเข้าป่า…ป่ากิเลส ถ้ารอดออกมาแล้วค่อยว่ากันใหม่

    เรามาดูอีกทีว่า เมื่อแม่ไก่ไม่หันหลังกลับมารับจริง ๆ ลูกไก่ก็ต้องใช้ปัญญา ทำอย่างไรจะขึ้นไปหาแม่ได้ ตัวเองมีกำลังสติและสมาธิแค่นี้.. ก็ต้องหางานที่เหมาะกับกำลังสติและสมาธิแค่นี้..โดยใช้ปัญญาของตัวเอง

    ก็ต้องพยายามบินขึ้นในระยะหนึ่งก่อน เสร็จแล้วค่อยดูว่า จะไปทางไหนต่อ จนกระทั่งในที่สุดก็ขึ้นไปอยู่กับแม่ได้…

    คราวนี้เราเป็นคน ฝึกมาปีแล้วปีเล่า ต้องบอกว่านานเกินไปแล้ว แม่ไก่ให้โอกาสลูกแค่ ๑๐ วันหรือครึ่งเดือนเท่านั้น ตามไม่ได้ก็ทิ้ง..!

    บางท่านประมาทเกินไป ทำเหมือนกับว่า ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะต้องตาย ก็เลยไม่ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างจริง ๆ จัง ๆ พอเหนื่อยหน่อยลำบากหน่อยก็พอแล้ว ที่พอแล้วนั้นพอกินหรือ ? สมัยอยู่ที่เกาะพระฤๅษี อาตมาเห็นอะไรเยอะเลย จากการที่เลี้ยงไก่

    อย่าดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความประมาท ต้องระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราต้องตายลงไปไม่วันใดวันหนึ่ง ฉะนั้น..ถ้ามีอะไรที่ตัวเองทำ เพื่อให้ตัวเองไปในที่ซึ่งดีที่สุด ไปให้ได้ไกลที่สุด ก็ต้องทำเอาไว้ก่อน มัวแต่ไปใจเย็นอยู่เหมือนกับไม่รู้จักตาย เดี๋ยวก็ได้ตายจริง ๆ ตายฟรีด้วย..!

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง กลางคืนเข้านอนแล้วได้ยินเสียงแปลก ๆ ที่เกาะพระฤๅษีมีน้ำล้อมรอบ ถ้าเราแยกเสียงที่ผิดธรรมชาติออกจากเสียงน้ำที่ไหลตามธรรมชาติไม่ได้ เราจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย

    คืนนั้นที่ตื่นขึ้นมาเพราะว่ามีเสียงแปลก ๆ ก็สงสัยว่าเป็นเสียงอะไร ? เอาไฟฉายไปส่องดู ปรากฏว่าปลากระสูบในลำธารขึ้นมาหลายร้อยตัวเลย ทวนน้ำขึ้นมา..ทวนน้ำขึ้นมา พอถึงตรงที่น้ำตื้น ก็จะแฉลบตัวเองเพื่อที่จะขึ้นต่อไป เสียงตอนที่แฉลบน้ำนั่นแหละที่ดังผิดปกติ และไม่ใช่แค่เพียงตัวเดียวนะ แต่เป็นร้อย ๆ จึงได้รู้ว่าเขาขึ้นมาผสมพันธุ์กัน

    พวกนี้จะขึ้นมาวางไข่ที่ต้นน้ำ พอเกิดเป็นตัว หากินได้ แข็งแรงพอแล้ว ก็จะตามน้ำลงไป ไปหาที่เหมาะสมกับตนเอง พอถึงฤดูผสมพันธุ์ ก็จะแห่กันมาเพื่อที่จะผสมพันธุ์กันใหม่ ก็ต้องว่ายทวนน้ำขึ้นมาอีก ตรงไหนก็ตามที่น้ำน้อย ก็ต้องกระเสือกกระสนให้ผ่านไปให้ได้

    การที่ปลาทวนกระแสน้ำ เหมือนกับพวกเราที่ทวนกระแสกิเลสอยู่ พอทวนมาก ๆ บางทีเราก็ล้า เวลาปลาเขาล้าก็จะหาทางหลบ ถ้าไม่มีก้อนหิน ไม่มีรากไม้ให้บัง เขาก็ว่ายไปทางด้านข้าง เพราะว่าด้านข้างน้ำจะไหลเบาที่สุด ฉลาดมากเลย ถ้าเป็นเราก็มักจะดาหน้าไปแล้วก็ตายคาที่..! เพราะชอบไปตรงที่กิเลสแรงที่สุด

    ปลาเขาจะต้องตะเกียกตะกายขึ้นไป จนถึงจุดหมายปลายทางของเขาด้านบน เขาจึงจะสามารถที่จะแพร่พันธุ์ของเขาต่อไปได้ สามารถที่จะสืบทอดเผ่าพันธุ์ของเขาต่อไปได้ ลองมานึกว่า ถ้าหากตัวเราแพ้กิเลส ก็เท่ากับว่าเราไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ แล้วจะไปสั่งสอนคนอื่นต่อ ก็ขาดความขลัง เพราะว่าตัวเองยังทำไม่ได้ สิ่งที่พูดไปก็ไม่น่าเชื่อถือ

    ในเมื่อเรามาดูตัวอย่าง ทั้งลูกไก่ก็ดีทั้งปลาก็ดี ลูกไก่รู้จักเอาตัวรอดจากอันตรายด้วยการเชื่อฟังพ่อแม่ และพยายามตะเกียกตะกายตามพ่อแม่สุดชีวิต เพื่อที่จะได้อยู่รอดต่อไปได้ ขณะเดียวกันปลาก็ต้องทวนน้ำขึ้นมาด้วยความยากลำบากเหมือนกัน ไม่รู้ว่าไกลขนาดไหน ถ้าหากตัวไหนหากินไปถึงปากอ่าว ก็ต้องตะกายกลับมาหลายร้อยกิโลเมตร แต่ท้ายสุดเขาก็กลับมายังที่เดิมที่เดียวกัน เพื่อที่จะดำรงเผ่าพันธุ์ของตัวเองต่อไป

    ใครที่ผิดพลาด ก็แปลว่าจะต้องกลายเป็นเหยื่อของสัตว์อื่นตั้งแต่กลางทาง หรืออาจจะมาไม่ถึง ไม่สามารถที่จะจับคู่เพื่อที่จะกระจายพันธุ์ของตัวเอง ก็เหมือนกับคนที่แพ้กระแสกิเลส ไม่สามารถที่จะสืบทอดความดีของครูบาอาจารย์ได้ ขณะเดียวกันนอกจากตัวเองไม่สามารถที่จะได้ความดีอันนั้นแล้ว เราจะกระจายความดีต่อไปก็ไม่ได้อีก

    ถ้าเราเปรียบกระแสน้ำเป็นกระแสกิเลส ทุกวันนี้เราต้องทวนน้ำอยู่ตลอดเวลา จะเป็นปลาตายไม่ได้ เพราะปลาตายจะลอยตามน้ำ ต้องเป็นปลาเป็น ว่ายทวนน้ำไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่ารอดจากเบ็ด รอดจากฉมวก รอดจากตาข่ายไป เป็นอันว่าคุณแข็งแรงพอที่จะทำหน้าที่ตนเองให้สมกับที่เกิดมาชาตินี้ แต่ถ้าหากว่าไม่รอด ชาติหน้าค่อยเจอกันใหม่..!

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
    วันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  7. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ถาม : ระหว่างคนที่มีกำลังใจเมตตาผู้อื่น กับคนที่ไม่เมตตา ?
    .
    ตอบ : คนที่เมตตาผู้อื่น มุมมองของชีวิตจะกว้างกว่า สามารถที่จะเห็นชัดเจนเลยว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อตัวเอง รัก โลภ โกรธ หลง จึงน้อยลง โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มีมากขึ้น แต่ถ้ากอบโกยเพื่อตัวเอง จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง ก็หลุดพ้นยากขึ้น
    …………………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=73056

    -ระหว่างคนที่มีกำลั.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  8. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ๆ-น้อย-ๆ-หลายอย.jpg

    จริยาเล็กน้อย

    จริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายอย่างหลายประการ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความไม่เคารพ เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย เป็นต้น อย่างเช่นว่าการนั่ง แม้ว่าเราจะถนัดนั่งขัดสมาธิก็ตาม แต่ถ้าในระหว่างที่ฟังธรรม หรือว่าสอบถามธรรมะ สนทนาปัญหาธรรมะ ควรที่จะนั่งพับเพียบ เพื่อแสดงออกถึงความเคารพในธรรม

    ถ้าหากว่าเราเห็นว่าไม่จำเป็น ก็แปลว่าสภาพจิตของเรายังหยาบเกินไป จนกระทั่งไม่เห็นว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นโทษ ถ้าเป็นเช่นนั้นโอกาสที่เราจะเข้าถึงธรรมก็ยาก

    ในเรื่องของการประนมมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไหว้พระ กราบพระ รับศีลก็ตาม ให้ประนมมืออย่างเป็นทางการสักนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าตามที่อาตมาเรียนมา ท่านบอกว่าให้ประนมมือยกชิดหน้าอก ปลายมือหันขึ้นประมาณ ๘๐ องศา ถ้าหากว่าต้องการที่จะให้มือที่ประนมอยู่ดูเหมือนดอกบัวตูม ก็ให้เอาหัวแม่มือทั้งสองยัดใส่เข้าไปในฝ่ามือของตน ถ่างกว้างออกไปประมาณเท่าไร ก็ให้กะระยะนั้นเอาไว้แล้วยกหัวแม่มือออกมาแนบชิดกับนิ้วชี้ ก็จะได้การประนมมือที่สวยงามน่าดู

    แต่ว่าส่วนหนึ่งการประนมมือของเราเหมือนกับขาดความเคารพ สักแต่ว่าทำไปเท่านั้น บางท่านก็เอามือที่ประนมค้ำคาง บางท่านก็ประนมมือในลักษณะสักแต่ว่าประนมมือ แทบจะออกไปในลักษณะเจ๊กไหว้เจ้าก็มี บางท่านเอานิ้วมือประสานกันในลักษณะเหมือนกับหางปลาก็มี บางท่านประนมมือแต่ปลายมือตกห้อยลงเหมือนกับดอกบัวเหี่ยวก็มี

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดว่า สติ สมาธิของเรายังไม่ทรงตัวพอ จึงทำให้มีอาการแปลกประหลาดต่าง ๆ นานาออกไป และขณะเดียวกันความละเอียดของจิตก็มีน้อย จึงทำให้การแสดงออกซึ่งความเคารพในพระรัตนตรัยนั้น ออกมาในลักษณะครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทำเหมือนกับไม่เต็มใจที่จะทำ เป็นต้น

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้นเป็นแค่ส่วนเล็กน้อยของการปฏิบัติเท่านั้น แต่ว่าส่วนเล็ก ๆ นี้แหละ ที่จะชี้ให้เห็นว่ากำลังใจที่แท้จริงของเราเป็นอย่างไร ทำให้นึกถึงการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก พระอานนท์บอกต่อสงฆ์ทั้งหลายว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ก่อนที่จะปรินิพพานว่า ในกาลต่อไปข้างหน้า สิกขาบทใดที่เป็นสิกขาบทเล็กน้อย ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย หากสงฆ์ทั้งหลายพึงหวัง สามารถที่จะสวดถอนสิกขาบทนั้นได้

    ปรากฏว่าพระมหากัสสปะผู้เป็นประธานสงฆ์ในการสังคายนามีมติว่า ให้คงสิกขาบททั้งหลายเหล่านั้นเอาไว้ พระอรหันต์ทั้งหลายอีก ๔๙๙ องค์ที่เข้าร่วมพิธีสังคายนาพระไตรปิฎกก็เห็นด้วย แต่ว่าครูบาอาจารย์รุ่นหลัง ๆ มาถกเถียงกันว่า สิกขาบทเล็กน้อยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้านั้นคืออะไร ?

    บางท่านก็ว่า นอกจากอาบัติปาราชิก ๔ ข้อแล้ว ที่เหลือเป็นสิกขาบทเล็กน้อยทั้งหมด บ้างว่านอกจากอาบัติปาราชิก ๔ ข้อและอาบัติสังฆาทิเสส ๑๓ ข้อแล้ว ที่เหลือจัดว่าเป็นอาบัติเล็กน้อยทั้งหมด บางท่านก็บอกว่าเสขิยวัตร ๗๕ ข้อและอาบัติทุกกฎจัดเป็นอาบัติเล็กน้อย เป็นต้น

    ถกเถียงกันมาจนไม่สามารถตกลงปลงใจกันได้ว่า อาบัติเล็กน้อยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออะไร ? และพลอยสงสัยไปว่า ทำไมพระมหาเถระที่เริ่มการสังคายนาพระไตรปิฎก จึงไม่กำหนดลงไปให้ชัดเจนว่าอาบัติเล็กน้อยคืออะไร ?

    ตรงจุดนี้แหละที่อยากจะชี้ให้ญาติโยมทั้งหลายได้เห็นว่า ในความรู้สึกของพระอรหันต์นั้น ด้วยความที่เคารพในพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างสุดจิตสุดใจ และความละเอียดในสภาพจิตของทุก ๆ องค์ ทำให้เห็นชัดเจนว่า อาบัติทุกอย่างไม่มีอะไรเล็กน้อย อาบัติแม้จะเล็กน้อยเพียงไหนก็ตาม อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ล่วงละเมิดอาบัติที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นได้

    ดังนั้น..ในความรู้สึกของพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูปที่มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน จึงไม่มีอาบัติสิ่งใดเล็กน้อย ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นพุทธบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ที่ได้กล่าวตรงนี้ก็เพื่อที่จะเชื่อมโยงไปว่า จริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเราที่แสดงออกด้วยการขาดความเคารพในพระรัตนตรัยนั้น จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าเราไปยังสถานที่อื่นที่เขาถือสาในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เขาก็จะว่ากล่าวติเตียนมาถึงครูบาอาจารย์ได้ ตลอดจนกระทั่งติเตียนตัวผู้ปฏิบัติได้ว่า ขาดการอบรม ขาดการศึกษามา ก็จะกลายเป็นทุกข์เป็นโทษแก่บุคคลอื่นเขาขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง

    และโดยเฉพาะว่า ถ้าเรายังเห็นว่าการกระทำทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ก็แปลว่าความหยาบของจิตของเรามีอยู่มาก เมื่อความหยาบของจิตเรามีอยู่มาก โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมก็น้อย พูดง่าย ๆ ว่าเป็นปฏิภาคผกผันกัน ถ้าจิตหยาบมากโอกาสเข้าถึงธรรมก็น้อย ถ้าจิตละเอียดมากโอกาสเข้าถึงธรรมก็มาก เป็นต้น

    ดังนั้นจึงอยากให้พวกเราทุกคน ระมัดระวังการแสดงออกด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ต่อหน้าพระรัตนตรัย ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ให้แสดงออกด้วยความเคารพอย่างจริงใจ ระมัดระวังจริยาของตนเองเอาไว้ ว่าเราเองทำอะไรเป็นที่ตำหนิติเตียนจากคนอื่นได้หรือไม่ ? หรือว่าแม้เราระมัดระวังแล้ว บุคคลที่ท่านรู้ สามารถว่ากล่าวติเตียนเราได้หรือไม่ ?

    ถ้าเรารู้จักพัฒนาแก้ไขตนเองอย่างนี้ได้ ถึงจะสมกับการเป็นนักปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง เพราะเรามีความละเอียดของกาย ของวาจา ของใจมากขึ้น สามารถนำเอาหลักธรรมทั้งหลายเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านทั้งหลายก็ถือว่าได้ผล ไม่เป็นหมัน สามารถที่จะก้าวขึ้นไปสู่ภูมิธรรมที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปตามลำดับได้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันเสาร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  9. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    “คนที่ทำเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก จะไม่ให้ความรักความชังหรืออารมณ์ส่วนตัวมาอยู่เหนือกว่าประโยชน์ของส่วนรวม
    .
    อย่างนิยายจีนเรื่อง แส้สะบัดเลือด พระเอกกับตัวละครตัวหนึ่งที่มีนิสัยกึ่ง ๆ ตัวโกง จะสู้กันทุก ๓ ปี โดยตัวละครที่มีนิสัยกึ่งตัวโกงนี้ เขามีฉายาว่าขงเบ้งพิษ เป็นระดับสุดยอดฝีมือเลย ๓ ปีดวลกันครั้งหนึ่ง แต่ไม่เคยชนะพระเอก ไม่ว่าจะวางแผนมาอย่างไรพระเอกก็แก้ได้หมด จนเขาเองเขาก็แปลกใจว่าเขามีฉายาว่าขงเบ้งนะ พระเอกฉลาดกว่าหรืออย่างไร ?
    .
    ความจริง ก็คือ พระเอกเป็นหัวหน้าพรรค มีลูกน้อง ๓๐๐ กว่าคน ส่วนขงเบ้งพิษเป็นคนโดดเดี่ยว กึ่งธรรมะกึ่งอธรรม
    .
    พระเอกเขาเฉลยว่าบุคคลที่ต้องคิดแทนผู้อื่น ๓๐๐ กว่าคน กับบุคคลที่คิดแค่คนเดียว บุคคลที่คิดแทนคนอื่นอย่างไรก็รอบคอบกว่า กำลังใจเหนือกว่ากันเยอะ”
    ………………………..
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน

    http://watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=73011

    -คนที่ท.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  10. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945

    .jpg
    กำหนดการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๑/๒๕๖๑
    วันเสาร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๐ ถึง วันอังคารที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๑


    วันเสาร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๐ (วันหยุดราชการ)
    เวลา ๐๘.๐๐ น. ตรวจสอบรายชื่อผู้สมัครบวชเนกขัมมะ
    เวลา ๐๘.๓๐ น. พิธีบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๑/๒๕๖๑
    เวลา ๐๙.๐๐ น. ปฏิบัติธรรมช่วงเช้า (เดินจงกรม – ภาวนา)
    เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแก่พระภิกษุ – สามเณรทั้งวัด
    เวลา ๑๓.๐๐ น. ปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย (เดินจงกรม – ภาวนา)
    เวลา ๑๕.๐๐ น. พักผ่อน เที่ยวงานถนนคนนั่งยองทองผาภูมิ
    เวลา ๑๖.๓๐ น. ร่วมกันทำความสะอาดวัด
    เวลา ๑๘.๐๐ น. ทำวัตรค่ำรอบแรก
    เวลา ๑๙.๐๐ น. ทำวัตรค่ำรอบสอง
    เวลา ๒๐.๐๐ น. พักผ่อนตามอัธยาศัย

    วันอาทิตย์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ (วันหยุดราชการ เจริญพระพุทธมนต์ข้ามปี)
    เวลา ๐๔.๐๐ น. พระอาจารย์นำเจริญกรรมฐาน
    เวลา ๐๔.๓๐ น. ทำวัตรเช้า
    เวลา ๐๖.๐๐ น. พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาต อนุญาตให้ผู้ปฏิบัติธรรมไปใส่บาตรในตลาดได้
    เวลา ๐๘.๓๐ น. ปฏิบัติธรรมช่วงเช้า (เดินจงกรม – ภาวนา)
    เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแก่พระภิกษุ – สามเณรทั้งวัด
    เวลา ๑๓.๐๐ น. ปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย (เดินจงกรม – ภาวนา)
    เวลา ๑๕.๐๐ น. พักผ่อน เที่ยวงานถนนคนนั่งยองทองผาภูมิ
    เวลา ๑๖.๓๐ น. ร่วมกันทำความสะอาดวัด
    เวลา ๑๘.๐๐ น. ทำวัตรค่ำรอบแรก
    เวลา ๑๙.๐๐ น. ทำวัตรค่ำรอบสอง
    เวลา ๒๐.๐๐ น. พักผ่อนตามอัธยาศัย
    เวลา ๒๓.๓๐ น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์ข้ามปีรับปีใหม่

    วันจันทร์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ (วันหยุดราชการ ใส่บาตรรับปีใหม่)
    เวลา ๐๖.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าแก่พระภิกษุสามเณรทั้งวัด
    เวลา ๐๗.๐๐ น. บิณฑบาตปีใหม่ (ข้าวสารอาหารแห้ง) ที่ถนนคนนั่งยองทองผาภูมิ
    อนุญาตให้ผู้ปฏิบัติธรรมไปใส่บาตรและเที่ยวชมงานได้

    เวลา ๐๘.๓๐ น. ปฏิบัติธรรมช่วงเช้า (เดินจงกรม – ภาวนา)
    เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแก่พระภิกษุสามเณรทั้งวัด
    เวลา ๑๓.๐๐ น. ปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย (เดินจงกรม – ภาวนา)
    เวลา ๑๕.๐๐ น. พักผ่อน เที่ยวงานถนนคนนั่งยองทองผาภูมิ
    เวลา ๑๖.๓๐ น. ร่วมกันทำความสะอาดวัด
    เวลา ๑๘.๐๐ น. ทำวัตรค่ำรอบแรก
    เวลา ๑๙.๐๐ น. ทำวัตรค่ำรอบสอง
    เวลา ๒๐.๐๐ น. พักผ่อนตามอัธยาศัย

    วันอังคารที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๐ (รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดราชการ)
    เวลา ๐๔.๐๐ น. พระอาจารย์นำเจริญกรรมฐาน
    เวลา ๐๔.๓๐ น. ทำวัตรเช้า
    เวลา ๐๖.๐๐ น. พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาต อนุญาตให้ผู้ปฏิบัติธรรมไปใส่บาตรในตลาดได้
    เวลา ๐๗.๓๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าแก่พระภิกษุสามเณรทั้งวัด
    เวลา ๐๘.๓๐ น. ปฏิบัติธรรมช่วงเช้า (เดินจงกรม – ภาวนา)
    เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแก่พระภิกษุสามเณรทั้งวัด
    เวลา ๑๓.๐๐ น. พิธีลาศีล ๘ รับศีล ๕ และรับวุฒิบัตรผู้ปฏิบัติธรรม
    เวลา ๑๔.๐๐ น. เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

    ————————-
    สามารถแจ้งร่วมบวชเนกขัมมะได้ที่อีเมล์ watthakhanun.com@gmail.com ค่ะ

    ที่มา /www.facebook.com/hashtag/post202103">#post202103” target=”_blank”>http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=202103 #post202103

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  11. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945

    -เกี่ยวกับเรื่องทาน.jpg
    ถาม :
    เกี่ยวกับเรื่องทาน ?
    ตอบ :
    ในส่วนของสาธารณประโยชน์ จะว่าเกิดประโยชน์แก่คนอื่นมากก็ใช่ แต่ขณะเดียวกันเราต้องไม่ลืมว่าเนื้อนาบุญก็สำคัญ ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนกับอังกุรเทพบุตร ตั้งโรงทานเพื่อสาธารณะ ๘๐ โรง ตลอดสองหมื่นปี ไปเกิดเป็นเทวดาที่อานุภาพน้อยที่สุด เพราะว่าไปทำบุญในช่วงที่โลกว่างจากศาสนา คนไม่มีศีลไม่มีธรรม

    แต่ว่าให้ทำไปเถอะ จะมากจะน้อยทำไป มีโอกาสแล้วเราทำ ไม่ละไม่เว้น บุญใหญ่ก็เอา บุญเล็กก็เอา กวาดให้หมด ใครจะว่างกก็ช่าง

    ถาม : การเลือกเนื้อนาบุญ ?
    ตอบ :
    นั่นต้องมีปัญญาบารมีคุม ก็คือ ในเมื่อทำแล้วก็ควรจะให้ได้ผลมากที่สุด แต่ว่าขณะเดียวกัน ถ้ามีโอกาสทำ แม้ว่าทำแล้วผลน้อยกว่าปกติ ก็ยังทำอยู่ ทำเพราะรู้ว่าสิ่งนั้นดีเราจึงทำ ไม่ใช่ว่าตั้งหน้าตั้งตาจะเอาบุญอย่างเดียว ถ้าตั้งหน้าตั้งตาจะเอาบุญอย่างเดียวในอภิธรรมเขาบอกว่า เป็นโลภะเจตนา ไปลดส่วนบุญลง

    ถาม : ทำบุญให้ได้อานิสงส์เต็ม ?
    ตอบ : ให้ดูว่าบริสุทธิ์โดยสี่ส่วนหรือเปล่า ถ้าบริสุทธิ์โดยสี่ส่วน เจตนาบริสุทธิ์ ทำเพื่อหวังตัดสละออกในความโลภ
    วัตถุทานบริสุทธิ์ ได้มาโดยถูกต้องตามศีลธรรมและกฎหมาย ไม่ได้ลักขโมยหรือช่วงชิงหลอกลวงใครมา
    ผู้ให้บริสุทธิ์ มีศีลตามเพศภาวะของตน ตั้งใจให้เพื่อเป็นการตัดความโลภจริง ๆ ไม่ได้ให้เพราะอยากอวดคนอื่นเขา ไม่ได้ให้เพราะอยากให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราเป็นคนดี
    และท้ายสุดผู้รับบริสุทธิ์ ถ้าบริสุทธิ์โดยสี่ส่วนก็แปลว่าอานิสงส์เต็มสมบูรณ์ จะประกอบด้วยโลภะเจตนาหรือไม่ ไปว่ากันในส่วนละเอียดเอาทีหลัง

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒ ณ บ้านอนุสาวรีย์


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  12. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    สิ่งที่จะทำให้เรายืนหยัดได้ในสังคมปัจจุบันก็คือ แน่วแน่มั่นคงและเข้มแข็งในกำลังใจของเราเอง ที่จะไม่ไหลตามกระแสบริโภคนิยม ไม่ไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง ของคนส่วนใหญ่เขา
    .
    ถ้าทำอย่างนั้นได้ เราก็จะเหมือนก้อนหินกลางน้ำ อย่างน้อย ๆ ถ้าก้อนเล็ก..ไม่สามารถให้คนอื่นเกาะพักพิงได้ ก็ยังยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ไม่เป็นภาระแก่คนอื่นเขา
    .
    แต่ถ้าเราเป็นหินใหญ่กลางน้ำได้ ก็เป็นที่เกาะ ที่อาศัยพักพิงของคนอื่นด้วย ยืนหยัดด้วยตัวเองได้ด้วย ก็จะช่วยประเทศชาติได้มากกว่านี้
    ………………………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1327

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  13. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg
    การภาวนา


    “ใจหรือจิตของคนเรา จะเสวยกุศลหรืออกุศลได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าจิตเป็นกุศล…อกุศลก็จะแทรกไม่ได้ หรือถ้าจิตเป็นอกุศลอยู่…ความเป็นกุศลก็เข้าไม่ถึงเช่นกัน นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมจึงต้องตื่นแต่เช้า…เพราะว่าสำหรับนักปฏิบัติแล้ว…ตื่นยิ่งเช้ายิ่งดี จะได้รีบเอากุศลใส่ตัว ผมเองตอนฝึกกรรมฐาน ตื่นตี ๒.๕๕ ใช้เวลาทำธุระส่วนตัว ๕ นาที แล้วตั้งแต่ตี ๓ ถึง ตี ๕ จะภาวนา ใช้หนังสือ ๔ เล่ม คือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน กรรมฐาน๔๐ ปฏิปทาของท่านผู้เฒ่า และมหาสติปัฏฐานสูตร

    ผมเอาคำสอนในหนังสือเป็นคำภาวนา จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมจำเนื้อหาในหนังสือได้หมดทุุกคำ ว่าอยู่ตรงไหน..หน้าไหน เมื่อครบเวลาแล้ว ก็จะพยายามทรงอารมณ์นั้นไว้ให้ได้ตลอดวัน ถ้าทำดังนี้ได้…ดวงจิตจะชินกับอารมณ์ที่เป็นกุศล ต่อให้เคยมีความชั่วเจริญงอกงามอยู่แล้ว…ก็จะเจริญต่อไปไม่ได้ การปฏิบัติก็จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

    ในบุญกิริยา ๑๐ ประการนั้น ทาน ศีล ภาวนา จัดว่ามีอานิสงส์สูงสุด โดยเฉพาะอานิสงส์ของการภาวนานั้นจะแรงที่สุด ผีบางตัวบาปหนัก รับบุญอื่นไม่ได้ นอกจากบุญที่เกิดจากการภาวนาเท่านั้น ทั้งนี้เพราะว่าทานกับศีลนั้น เราบังคับเพียงการกระทำและคำพูด…ซึ่งเป็นการบังคับของหยาบ…จึงทำได้ง่าย แต่การภาวนาเป็นการบังคับจิตใจซึ่งเป็นของละเอียด…ทำได้ยาก…แต่เมื่อทำได้…บุญที่ได้ย่อมมีมหาศาล”

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนตุลาคม ๒๕๔๙


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  14. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    บางทีเราไม่ได้สังเกตหรอก ลักษณะคนมีราศีนี่ของคนจีนเขาจะมองในลักษณะที่ว่า หน้าตาสะสวยสะอาดสะอ้าน แต่ความจริงแล้วเป็นราศีหรือรัศมีที่ปรากฏออกมาต่างหาก
    .
    ฉะนั้น..คนเราถ้าหากว่าสั่งสมความดีมาก ๆ ท้ายสุดแล้วก็จะมีอะไรบางอย่าง ที่สามารถดึงดูดคนประเภทเดียวกันเข้าใกล้ได้
    .
    เหมือนกับแม่เหล็กกับเศษเหล็ก แม่เหล็กแรงมากเท่าไร ก็ดูดเศษเหล็กเข้าใกล้ได้มากเท่านั้น
    ………………..
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=120

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  15. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ถ่ายทอดสดจากบ้านเติมบุญ วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐
    พระอาจารย์รับสังฆทานและตอบปัญหาธรรม เวลา ๑๘.๐๐ น.
    เริ่มเจริญกรรมฐาน เวลา ๑๘.๓๐ น.
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  16. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    1512215465_129_ถ่ายทอดสดจากบ้านเติมบุ.jpg

    ถ่ายทอดสดจากบ้านเติมบุญ วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๐
    เริ่มเจริญกรรมฐาน เวลา ๑๘.๓๐ น.
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  17. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    เราพยายามทำหน้าที่ของความเป็นลูกอย่างดีที่สุด…
    .
    เราเองทำความดีให้เต็มที่ไป ให้ตั้งใจว่า ถ้าหากวาระที่สมควรมาถึง ก็ขอให้พ่อแม่หันเข้ามาทางด้านธรรมะด้วยเถิด ให้ตั้งใจไว้อย่างนั้น…
    .
    แล้วอีกอย่างหนึ่งอานิสงส์ของการบวชสำหรับผู้ชาย คนเป็นพ่อเป็นแม่จะได้รับทันทีเลย ต่อให้ไม่โมทนาก็ได้ เป็นบุญพิเศษ
    .
    ถ้าหากว่าเราเป็นลูกหญิง เราก็พยายามทำดีให้ถึงความเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เพื่อกุศลจะได้ส่งให้พ่อแม่ได้ด้วย
    —————–
    พระครูวิลาศกาญจธรรม, ดร.
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2196

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  18. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    มีญาติโยมหลายรายที่มาสอบถามเกี่ยวกับลักษณะของการทรงฌาน อยากจะบอกกับท่านทั้งหลายว่า การทรงฌานนั้น บางท่านก็มีสภาวะที่แตกต่างไปจากคนอื่นบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ท้ายสุดแล้วอาการส่วนใหญ่ก็จะเหมือนกัน จึงได้ตักเตือนท่านทั้งหลายเหล่านั้นไปว่า การปฏิบัติของเรานั้น ไม่ได้สำคัญตรงที่ว่าทรงสมาธิระดับไหนได้ ไม่สำคัญตรงที่ว่าจะรู้เห็นอะไรได้ แต่สำคัญตรงที่ว่าสามารถละกิเลสได้หรือไม่

    ถ้าสามารถละกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ได้ จะเป็นสมาธิระดับไหนก็ใช้ได้ และจะรู้เห็นหรือไม่..ไม่สำคัญ ขอให้สามารถทำใจให้ผ่องใสปราศจากกิเลสได้ แม้จะชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดีกว่าทำไม่ได้เสียเลย

    ในเรื่องของการทรงฌานนั้น ถ้าหากว่ากันตามแบบในวิสุทธิมรรคแล้ว ปฐมฌานคือฌานที่ ๑ (ความเคยชินระดับที่ ๑) นั้น ท่านบอกว่าประกอบไปด้วยองค์ ๕ คือ วิตก คิดนึกตรึกอยู่ว่าจะภาวนา วิจาร เรากำลังภาวนาอยู่ ลมหายใจจะแรงจะเบา จะยาวจะสั้น กำหนดรู้ตามไปด้วย ปีติ มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้นกับร่างกาย ๕ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คือ ขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลงหรือดิ้นตึงตัง ลอยขึ้นไปทั้งตัว หรือว่ารู้สึกตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวรั่วเป็นรู ตัวแตก ตัวระเบิดไปก็มี

    สุข คือความเยือกเย็นทั้งกายและใจ ที่ไม่สามารถจะอธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ถูก เนื่องจากว่าปกติแล้วเราจะโดนไฟใหญ่ ๔ กอง คือไฟจากความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เผาผลาญอยู่ตลอดเวลา การที่สมาธิเริ่มทรงตัวไปถึงระดับหนึ่ง ไฟใหญ่ ๔ กองนี้จะโดนอำนาจของสมาธิกดดับลงไปชั่วคราว บุคคลที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับไป ถามเขาว่าสุขสบายอย่างไร เขาไม่สามารถจะอธิบายเป็นคำพูดได้ และท้ายสุดคือ เอกัคตารมณ์ อารมณ์ที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว

    อาตมาเองเคยเจอขั้นตอนทั้งหลายเหล่านี้มาแล้ว และคิดว่าขั้นตอนทั้ง ๕ อย่างนี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่ความจริงแล้วมีก่อนมีหลัง ถ้าจิตของเราละเอียดไม่พอ เราก็จะไปคิดว่าเกิดขึ้นพร้อมกัน เพราะว่าในชั่วขณะนั้น วิตก คิดอยู่ว่าจะภาวนา วิจาร กำลังภาวนาอยู่ ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น ใช้คำภาวนาอย่างไรก็รู้ ปีติ มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๕ อย่างดังกล่าวมา สุข มีความสุขมีความเยือกเย็นทั้งกายและใจอย่างบอกไม่ถูก และเอกัคคตารมณ์ อารมณ์ที่ตั้งมั่นอยู่กับการภาวนา จดจ่อแน่วนิ่งอยู่ในอารมณ์เดียว

    ถ้าหากว่าเกิดขึ้นเร็วมาก เราจะแยกไม่ออก คิดว่าเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่ถ้าหากสภาพจิตเราละเอียดพอ จะเห็นว่าเกิดขึ้นเป็นขั้น ๆ ไป จนกระทั่งอารมณ์ทรงตัวเต็มที่ก็เป็นเอกัคคตารมณ์ นี่คือความเคยชินระดับที่หนึ่ง หรือสมาธิระดับที่หนึ่ง ที่เรียกเป็นภาษาบาลีว่าปฐมฌาน

    ในฌานที่ ๒ นั้น พอจิตแน่วนิ่งอยู่กับเอกัคคตารมณ์ไปสักระยะหนึ่ง สภาพจิตที่ทรงตัวมากขึ้น ลมหายใจก็รู้สึกว่าเบาลงหรือไม่มีไปเลย คำภาวนาบางทีก็หายไปเฉย ๆ หูได้ยินเสียงเบามาก หรือไม่ได้ยินเลยก็มี ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นให้รู้ว่า เริ่มเข้าสู่ความเคยชินขั้นที่ ๒ หรือสมาธิขั้นที่ ๒ ตามภาษาบาลีที่เรียกว่าทุติยฌาน

    ลำดับถัดไป บางท่านก็จะรู้สึกว่าปลายมือปลายเท้าชาแข็ง เย็นเข้ามา ๆ จนกระทั่งบางทีเนื้อตัวแข็งทื่อไปหมด เหมือนถูกสาปให้เป็นหินก็มี เหมือนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งไปแล้วก็มี กลายเป็นรูปสลักไปแล้วก็มี บางท่านก็รู้สึกเหมือนโดนมัดตัวแน่นจนตึงเป๋ง เหมือนติดแน่นอยู่กับเสาก็มี ตอนนั้นลมหายใจก็ไม่มี คำภาวนาก็ไม่มี ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นให้รู้ว่าเป็นกำลังของสมาธิระดับที่ ๓ เป็นความเคยชินระดับที่ ๓ หรือเรียกตามบาลีว่า ตติยฌาน

    ถ้าหากว่าเราไม่กลัว เอาสติกำหนดตามดูตามรู้อยู่ว่าขณะนี้อาการเป็นอย่างนั้น สภาพจิตก็จะดำเนินต่อไป คล้าย ๆ กับว่ารวบเข้ามา ๆ จนสว่างโพลงอยู่จุดใดจุดหนึ่งเฉพาะหน้า อาจจะเป็นตรงหน้าของเราก็ได้ ในอกก็ได้ หรือบางทีเหนือศีรษะก็ได้

    ความสว่างไสวนั้นสว่างจนบอกไม่ถูก ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยง แต่เป็นความสว่างที่เยือกเย็น ไม่ใช่ความสว่างที่ร้อนแบบแสงอาทิตย์ ความสว่างไสวสดใสเจิดจ้านั้นจะอยู่เฉพาะหน้าของเรา ตอนช่วงนั้นประสาทความรู้สึกของร่างกายจะโดนตัดขาดไปแล้ว ก็คือสภาพจิตส่วนจิต ร่างกายส่วนร่างกาย เมื่อประสาทเชื่อมโยงไม่ถึงกัน สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นกับร่างกายเราก็ไม่รับรู้ เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว

    เสียงปืน เสียงประทัด เสียงระเบิดดังอยู่ข้างหู เสียงฟ้าผ่าลงมาข้างหู ก็ไม่ได้ยิน สภาพของร่างกายเหมือนกับไม่หายใจแล้ว แต่ความจริงยังมีลมละเอียดที่เรียกว่าปราณ วิ่งอยู่ระหว่างจมูกกับสะดือ สำหรับบุคคลที่ทำถึงระดับนี้จะเห็นว่าปราณเส้นนี้นั้น ใหญ่โตแข็งแรงมั่นคงมาก แต่ความจริงแล้วลักษณะเหมือนเส้นด้ายละเอียด ใส ๆ เหมือนกับสายเอ็นเบ็ดตกปลา ถ้าหากว่าสายนี้ขาดก็คือหมดลมตายไปเลย

    แต่ถ้าตราบใดสายเชื่อมโยงปราณเส้นนี้ยังอยู่ ก็จะไม่ตาย ดังนั้น..ท่านทั้งหลายถ้าทำมาถึงจุดนี้ไม่ต้องไปหวาดกลัว เพราะตอนนั้นสติสมาธิของเราจะละเอียดมาก ลมปราณละเอียดเล็ก ๆ นี้ เราจะรู้สึกว่าใหญ่โตเกาะติดได้มั่นคงมาก ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นให้รู้ว่า นี่เป็นอาการของความเคยชินขั้นที่ ๔ สมาธิขั้นที่ ๔ หรือเรียกตามบาลีว่าจตุตถฌาน

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับเรา จะมีรายละเอียดปลีกย่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ ขอให้พวกเราตีราคาข้างต่ำไว้เสมอ อย่างเช่น ปฐมฌานละเอียดนั้น บางทีความรู้สึกของเราปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง สภาพจิตมีการรู้ลมเอง ภาวนาเองโดยอัตโนมัติ เป็นต้น แต่บางท่านก็ไปเข้าใจว่านี่เป็นอาการของฌาน ๒ ฌาน ๓ หรือฌาน ๔ ก็มี ท่านทั้งหลายจะถามคนอื่น ถ้าใช้คำถามผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ผู้ที่รับฟังคำถามก็จะเข้าใจคลาดเคลื่อนและตอบผิดไปก็มี

    ดังนั้น..สำคัญก็คือศึกษาขั้นตอนเหล่านั้น แล้วเปรียบเทียบดูว่าสมาธิของเราตอนนี้อยู่ในขั้นไหนก็จะเข้าใจได้ แต่ก็อยากจะสรุปลงตรงที่ว่า สมาธิขั้นไหนก็ตามไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่าขณะนั้นจิตของเราปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง หรือเปล่า ถ้าหากว่ารัก โลภ โกรธ หลง กินใจไม่ได้ ถือว่าสภาพจิตของเราตอนนั้นมีคุณภาพ

    แต่ถ้าหากมีความมั่นคงสูงถึงระดับอัปปนาสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป ก็เป็นการประกันความเสี่ยงได้ค่อนข้างแน่ว่า ถ้าตราบใดที่เราไม่ทิ้งให้สมาธิของเราหลุดออกไปจากกำลังของฌานสมาบัติตรงหน้า กิเลสก็ยังกินใจเราไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีบุคคลอีกจำพวกหนึ่ง เมื่อเกิดความสุขสงบเยือกเย็นทั้งกายและใจขึ้น รัก โลภ โกรธ หลง โดนกำลังสมาธิกดนิ่งสนิทไป คิดว่าตนเองบรรลุมรรคผลแล้วก็มี..!

    ดังนั้น..จึงต้องระมัดระวังตรงนี้ให้มาก ๆ อย่าไปทึกทักเอาว่าเราได้ฌานนั้นฌานนี้ สมาธิขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว ให้ประมาณการณ์ขั้นต่ำไว้เสมอว่าเรายังไม่ได้ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติของเราต่อไป เมื่อกำลังใจทรงตัวเต็มที่แล้ว จะเป็นธรรมชาติของสมาธินั้น ๆ ว่า ถึงเวลาก็จะคลายตัวออกมาเองโดยอัตโนมัติ เมื่อสมาธิคลายตัวออกมาเราต้องระมัดระวังให้มาก ต้องรีบหาวิปัสสนาญาณให้คิดพิจารณาโดยด่วน ไม่อย่างนั้นแล้วสภาพจิตจะไปคว้าเอา รัก โลภ โกรธ หลง มาฟุ้งซ่าน เอามาคิดเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะฟุ้งซ่านอย่างเป็นงานเป็นการ เพราะมีกำลังของสมาธิหนุนเสริมอยู่

    สำหรับตอนนี้ก็ให้ท่านทั้งหลายกำหนดดูกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมกับคำภาวนาของตนเองไปตามอัธยาศัย ถ้าหากว่ากำลังใจทรงตัวแล้ว จะถอยออกมาพิจารณาอย่างไรก็ได้ ตามที่ถนัดและเคยชิน จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันศุกร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  19. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ท่านใดลืมของไว้ที่บ้านเติมบุญ กรุณามารับคืนด้วยค่ะ

    .jpg
    1512289987_583_ท่านใดลืมของไว้ที่บ้าน.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  20. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    1512301150_166_ถ่ายทอดสดจากบ้านเติมบุ.jpg

    ถ่ายทอดสดจากบ้านเติมบุญ วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๐
    พระอาจารย์รับสังฆทานและตอบปัญหาจากเว็บวัดท่าขนุน เวลาประมาณ ๑๗.๔๕ น.
    เริ่มเจริญกรรมฐาน เวลา ๑๘.๓๐ น.
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...