อาการ รัศมี เปล่ง ไปทั่วทิศ เหมือนรังสี ดันข้างในหัว

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย sirwilliams, 22 มิถุนายน 2012.

  1. sirwilliams

    sirwilliams Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +61
    สวัสดีครับ
    ผม เพิ่งเรียนจบ อายุจะ 26 ตุลาฯ นี้
    ผมเป็น คนหนึ่ง ที่เคยเข้าเว็บพลังจิต มาไม่น่าเกิน 10 ครั้ง
    และ มีความหวาดระแวง มีแต่ความสงสัย จนไม่กล้า คุยกับคนในนี้ ได้มาอ่าน แนวทาง หลักธรรมบ้าง ตามความสงสัย บางประการ

    เคยเตือนเพื่อนให้ระวัง คนในเว็บพลังจิต มีทั้ง ดีและไม่ดี ยากจะคาดเดา จนมาเจอ ประสบการณ์ แปลกๆ กับตัวเอง

    ผมบวช ปี 2007 วัดบวรนิเวศ 15 วัน ไม่ถึงแก่น ก่อนอำลาวัดบวร มองพระพุทธรูปในโบสถ์ บอกกับพระพุทธเจ้าว่า ชาตินี้ ขอเวลาศึกษาก่อน เรื่อง " นิพพาน" เป็นเรื่องยาก และ ชาตินี้ มีห่วง อีกมาก จึงขอลา แต่ยังบอกกับ พระว่าจะ พยายาม ฟังธรรม ทำบุญ ปล่อยวาง
    2008 - 2010 เป็นช่วง อวิชชารุมเร้า ห่างพุทธะ จากที่เคยศึกษา เรื่อง ZEN ก็ห่างเหิน จนมองไม่เห็น ไม่มีสภาวะพุทธะ แต่ ยังยึดคำว่า "ช่างมัน" ไม่มีสุข ไม่มีเศร้า ไม่ร่าเริง

    ต้นปี 2011 - มีเวลา กับแฟน ที่เรารัก คนนี้เป็น คนพิเศษ เข้าไม่ได้มาเอา เหมือนเขามาให้ เราไม่มีอะไร เรียนก็ยังไม่จบ รถก็ไม่มี บ้านก็ไม่มี เงินก็ไม่มี
    แต่เขา มาจากครอบครัวที่ดี ผมจึงมองตัวเอง ว่าเรา ทำเรื่องแย่ๆ ไว้เยอะ ผมจึงพยายามเป็นคนดี และ พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

    (แต่ยังมี อวิชชา - ความระแวง ความเกลียดชัง การแข่งขัน มีความอยาก เป็นที่ตั้ง มีความอยากเอาตัวรอด)

    365 วันผ่านพ้น

    ตอนนี้ปี 2012 -
    มกราคม : ไปกางเต้นท์ กับแฟน ฉลองปีใหม่ กับเพื่อนแฟนอีกสองคน
    ไปน้ำตกเอราวัณ วันที่ 1 มกราคม 2555
    กุมพาพันธ์ : นั่งกรรมฐาน บ่อยขึ้น ดูคลิป YOUTUBE เข้าเว็บพลังจิต ฟุ้งซ่าน
    มีนาคม : กลางเดือน เกิด วิตกจริต อยู่ดีๆ หายใจไม่ค่อยสะดวก
    กลัวมาก เลยเลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่ม สุรา ของมึนเมา (เที่ยวกลางคืนครั้งสุดท้าย)
    เมษายน : เป็นช่วงที่สบายใจมาก เพราะใช้เวลาอยู่กับแฟน บ่อย ช่วงสงกรานต์ ไม่ได้เล่นสงกรานต์ ทั้งผมและแฟน ไม่ชอบเล่นน้ำเท่าไหร่
    พฤษภาคม : พักผ่อนยาว ทำเรื่องที่อยากทำ ยังไม่ได้หางาน เตรียมความพร้อม เจอเพื่อน ที่เรียนมวยจีน เรียนชี่กง วันหนึ่ง ได้ ไปพบ พระธาตุเสด็จ จาก บ้านบุญ (ผมยังไม่เข้าใจกับเรื่องราวพวกนี้)
    คืนแปลกๆ ในช่วงกลางเดือน พฤษภาคม คนขับแท๊กซี่ ดูเหมือนจะไม่ปกติ เข้ามาคุยมาบอก พูดจาวกไปวนมา เหมือนไม่ปรกติ พูดถึงเรื่อง หลวงตาเสด็จนิมิตในฝัน ชวนเขาไปบวช และบอกทิ้งท้าย ในรถ "ว่าผมจะเจอเขาในอนาคตแน่นอน" ผมกลัว สับสน วิตกจริต
    มิถุนายน : ฟัง ธรรมะ นั่งสมาธิ กรรมฐาน
    คราวนี้ พิเศษจากคราวเดิม เพราะ ไปลองใช้ การหายใจ เข้า แล้วหยุด แล้ว หายใจออก เอามืดอุดจมูก เหมือนการฝึกโยคะ ทำควบคู่กับฝึกมวยจีน
    ผมไม่ได้สนใจ วิชานี้แต่แรก เพราะ มองว่า ไท่เก๊กเป้นการเต้นของคนแก่ แต่พอไปฝึกจริงๆ ทำให้ความคิดเดิมๆ หายไปเลย
    คืนหนึ่ง เกิดอาการ รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ได้ บางที มันเหลว แบบ หัวใจจะไม่เต้น ครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนจะตายแล้ว นอนสมาธิ รู้สึก ตัวเอง หงิกกลางอากาศ เหมือน ลอยแล้วโดนแรงจากหลายทิศทางฉีกร่าง กลางดึกต้อง ลุกขึ้นมานั่น นั่งให้หายใจได้ พอนอน มันดูดอีก เร็วมาก เหมือน อะไรในตัวมันไหลไปมา มีของเหลวร้อนๆ ไหลตามท้อง ปอด ออกตามลมหายใจ จะกลัวก็ไม่กลัว รู้สึกปลงเหมือนจะตาย แต่ไม่ตาย ไม่ทรมาณ

    นอนหลับๆตื่นๆ นอนไม่หลับบ้าง อาการแปลกๆ
    เอาตัวรอด คิดว่าที่จะไม่ตาย ต้องกินน้ำผัก(คิดทึกทักมาเอง) ในสมองที่พอคิดได้ในหัว คือผัก เซอลารี่ กับ หัวไชเท้า ต้องเอามาปั่นรวมกัน และนั่งสมาธิ
    ลองกินดู กินได้ 2-3 วันอาการ ดีขึ้น หายใจได้มากขึ้น ไปหาหมอ ตา หู คอ จมูก ได้ยาแก้แพ้มาชุดหนึ่ง ทำให้ ไม่มีเสลด ไม่ไอ



    เสาร์ที่ 10 :คืนก่อนวันเสาร์ นอนไม่หลับจน ตี 5 สมองแยกเป็นเสี่ยงๆ อธิบายสภาวะไม่ถูก เป็น จนต้อง โทรหาเพื่อน เจอเพื่อน ที่นัดไปเรียน มวยจีน


    หลังจาก 12 จนถึง 22 นี้เป็นเวลา 10 วันที่ผมอยู่แต่ในบ้าน ทั้งๆที่มีใจวางแผนจะเขียน RESUME ส่งสมัครหางาน แต่เกิดสภาวะ เปล่งรัศมีที่บอกไม่ถูกอันนี้เข้าไป

    คำถาม "อาการ รัศมี เปล่ง ไปทั่วทิศ เหมือนรังสี ดันข้างในหัว"
    เป็น อาการ ที่เกิด จากการปฏิบัติ หรือเป็นอาการที่เกิดจาก สารเคมีในสมอง หรือ เป็นอาการ ความดันเลือด หรือความดันในหัว [อย่างใดอย่างหนึ่ง]
    รบกวนผู้มีประสบการณ์ทางนี้ โปรดให้คำชี้แนะ

    อาการนี้ เหมือนมีรัศมีรอบทิศทาง แล่นออกจากหัว เป้นพลังที่ไม่สุดไม่สิ้น ตอนเกิดสภาวะนั้น คิดอะไรออกมา เข้าใจไปหมด เหมือนแก้เงื่อน แก้ปม เร็วมา หลั่งไหลมาเร็วมา อะไรที่ค้างในใจ ที่ลิสไว้ในใจมันคลายออกมาหมด

    แล้วอาการแบบนี้ ออกมาเหมือน ไม่มีที่สิ้นสุด

    ผลหลังจาก เกิดอาการนี้
    มีอะไรมากมายแล่นในหัว เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดในชีวิต
    มองภาพ ใน Internet สวยงามขึ้น , เห็นสีแยกแยะสีได้ชัด เห็นอารมณ์ในสี เห็น ความเป็นมา ของสรรพสิ่งต่างๆ เห็น จริตคน ในตัวอักษร เห็นการหลอกลวง นัยยะแอบแฝง เห็น การพูดเท็จ เห็น ความไม่หวังดี เห็นเสนียดจัญไร เป็นสิ่งอัปมงคล เห็นภาพชัดขึ้น เห็นสีสันสวยงามขึ้น
    มีความสุข ปิติ กลับคืนมา สนใจ เรื่องงานศิลปะ มีพลัง รู้สึก มีความหวัง รู้สึกสำเร็จ โดยทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไร รู้สึกชนะ รู้สึกไม่กลัว รู้สึกเป็นผู้นำ รู้สึกไม่เกรงบารมีใคร รู้สึก เชื่อมั่น รู้สึกเข้าใจ และมองเห็นความอ่อนแอของคนอื่น รู้สึก ถึงความอร่อย ของน้ำผัก
    ทำให้ผม หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ขีดเขียน ดูเนื้อหาต่างๆ จนร่าง เชื่อมโยงอะไรต่างๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น

    รังศีรัสมีเจิดจ้าหายไป ตอนไปดูภาพเนื้อคน มากไป ไปดูท่วงทำนอง จังหวะของสีมากไป ไปยึดติดในสีสัน ภาพถ่ายเกินไป

    เลยเข้าใจทุกอย่าง ทำไม ให้ตัดสิ่งยั่วยุ ให้ตัดกิเลส
    เขาไม่ได้ห้าม มั่วๆ ให้เรากลัว แต่ต้องไม่มีพวกนี้ก่อนนี่เอง จึงจะเกิดรัศมี
    ตอนนี้ผมอยากกลับมามีรัศมีเจิดจ้าอีก จึงคิดอ่าน หาโอกาสฝึกใหม่ตั้งแต่ต้น ด้วยความเพียร

    เมื่อคืน เดินออกไป ปากซอย ไป Family Mart เพื่อไปซื้อบัตรเติมเงิน ซอยมืด แต่ไม่ดึกมาก ยังมีคน แต่เห็น อะไรที่ตามองไม่เห็น แสงไฟ มันเบาๆ ลอยๆ อย่างบอกไม่ถูก อาการเหมือนเป็นแมงเม่าเลย จิตเร็วมาก วับๆแวบๆ เงาแทรก เห็นหมด ศาลพระภูมิ เห็นหมด มีความรู้สึก ลึกๆ ว่าเหมือนมีเส้นด้ายรั้งตึง เหมือนตัวเองมีพิกัดตำแหน่ง แล้วรู้พิกัดของ อะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น



    ตอนนี้ ผมก็ยังไม่รู้ตัว ว่า ทางศาสนาพุทธ เรียกผมว่าเป็นอะไร หรือ ถ้าระดับ ฌาณ จะเรียกว่าอะไร


    (หลังจากเหตุการณ์ Family Mart ที่ผ่านมาจนบัดนี้ ผมยังไม่ได้นอนเลยครับ
    ตาค้างมาจน 7:34 [22 June 2012] อีก 26 ชั่วโมง ผมต้องไปรับแผนที่ สนามบิน)




    ผมน้อมรับขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ ที่มีอุปการะ ทุกท่าน โปรดแนะนำทางสว่าง
    ผมน้อมรับ คำแนะนำ จากทุกท่านแล้วครับ

    ผมไม่กลัว เว้บพลังจิตแล้วครับ :)









    เป็น 2 วัน อาการนี้หาย (ผ่านมา 12 วันแล้ว) เป็น ช่วง 11 - 12 มิถุนายน 2555 จนบัดนี้ 22 มิถุนายน 2555


    ก่อนจาก ขอขอบพระคุณทุกความเห็นครับ ผมขอตัวไปนอนก่อนครับ อยากพักผ่อน รู้สึก ล้ามากๆ
     
  2. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    แม้รู้ทุกอย่างในโลก แต่ไม่รู้ตัวเอง ก็จะไม่หลุดพ้น
    ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง แต่รอบรู้ในกองขันธ์ของตัวเองให้ดีที่สุด นั่นคือทางหลุดพ้น

    กำหนดสติไว้ครับ การรู้เห็นทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น เป็นไปในทางอภิญญา หากไม่มีสติกำหนดไว้ให้มั่น อาจจะเป็นผลเสียอย่างร้ายแรงได้

    1. อะไรจะเกิดขึ้น ให้ระลึกรู้ ตามที่มันเป็นจริง อย่าปรุงแต่ง เห็นก็ คือ เห็น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหว ตึง กลิ่น เสียง ก็รับรู้ตามนั้น
    2. มโนทวาร มันจะโผล่อะไรขึ้นมาที่ใจ ก็ให้รับรู้ตามนั้น รู้เฉพาะแค่ความคิดแรกสุดที่แว้บเข้ามา อย่าเอาความคิดแรกไปปรุงต่อ
     
  3. sirwilliams

    sirwilliams Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +61
    ขอบพระคุณมากครับ ผมจะเร่งสร้างความเพียร
    ยึดมั่นอุดมการณ์ ทำให้ปรากฏ ครับ
     
  4. toteaa

    toteaa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +11
    คิดมากปวดหัว อย่าไปหลงเดี๋ยวอารมณ์ตก เอาแค่รู้ก็พอ
    มันไม่ใช่ทางไปนิพพาน
     
  5. TNWD

    TNWD Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +39
    สมองล้า ไม่ได้พักผ่อน คิดมากๆซ้ำๆ วนไปวนมน ภายในสมอง อาจจะเกิด อาการที่เรียกว่าฟุ้งซ่าน ได้นะครับ คิดไปเองมโนภาพได้นานา ไม่สิ้นสุด หมั่นทะนงในสังขารและตั้งใจบำเพ็ญและศึกษา เมื่อยังมีเวลา
     
  6. รอยตะวัน

    รอยตะวัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +116
    เป็นคล้ายๆกันค่ะช่วงก่อนหัวมันโล่งๆสว่างไปหมดอยู่ดีๆก็ร้องไห้ได้โดยไม่มีสาเหตุเดี๋ยวก็ขำขึ้นมาเฉยๆรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนบ้ายังไงยังงั้นเลยตอนนี้ค้อยยังชั่วละ
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ผมจะพยายามตอบไปตามจังหวะการเขียนของคุณ และพยายามใช้ภาษาที่ง่ายและตรงตามอาการที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะบางช่วงเป็นการยากที่ภาษาจะเข้าถึงได้ ผมจะใช้ +++ เป็นเครื่องหมายในวรรคคำตอบของผม

    อาการ รัศมี เปล่ง ไปทั่วทิศ เหมือนรังสี ดันข้างในหัว

    +++ อาการนี้เกิดจาก จิต (ความเป็นตนในขณะนึกคิด) เข้าหล่อหลอมกับความรู้สึก (พลังงานที่เป็นพี่เลี้ยงจิต) จนสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน ในระดับความลึกละเอียดสูงสุด (ค่อย ๆ อ่านลงไปเรื่อย ๆ ข้างล่างนะครับ อย่ารวบรัดตัดตอน)

    สวัสดีครับ
    ผม เพิ่งเรียนจบ อายุจะ 26 ตุลาฯ นี้
    ผมเป็น คนหนึ่ง ที่เคยเข้าเว็บพลังจิต มาไม่น่าเกิน 10 ครั้ง
    และ มีความหวาดระแวง มีแต่ความสงสัย จนไม่กล้า คุยกับคนในนี้ ได้มาอ่าน แนวทาง หลักธรรมบ้าง ตามความสงสัย บางประการ

    เคยเตือนเพื่อนให้ระวัง คนในเว็บพลังจิต มีทั้ง ดีและไม่ดี ยากจะคาดเดา จนมาเจอ ประสบการณ์ แปลกๆ กับตัวเอง

    +++ ส่วนมาก มีจิตอันเป็นกุศล แต่ติดขัดตรงที่การใช้ภาษาไม่ค่อยจะตรงตามอาการ เพราะในหลาย ๆ อาการ เป็นการยากที่ภาษาปัจจุบันจะเข้าถึงได้ บางท่านเลยหันไปใช้ภาษาที่เมื่อ 2500 กว่าปีก่อนที่คุยกันรู้เรื่องในกาลเวลานั้น มาช่วยในการสื่อสารผสมเข้ากับการใช้ภาษาของยุคปัจจุบัน ในขณะที่ผู้อ่านบางท่านเป็นเวอร์ชั่นของภาษาปัจจุบันประยุกต์กับภาษาฟิสิกซ์

    +++ สรุป อุปสรรคในที่นี้คือ ประสพการณ์ที่ต่างกัน ระดับความเข้าใจที่ต่างกัน การใช้ภาษาคนละเวอร์ชั่นของผู้อธิบาย ความเข้าใจต่างเวอร์ชั่นในภาษาของผู้ฟัง ต่าง ๆ เป็นต้น จุดสังเกตุคือ ให้มองลงที่ความพยายามของผู้อธิบาย ว่าความพยายามนั้นประกอบไปด้วย จิตอันเป็นกุศล หรือไม่

    ผมบวช ปี 2007 วัดบวรนิเวศ 15 วัน ไม่ถึงแก่น ก่อนอำลาวัดบวร มองพระพุทธรูปในโบสถ์ บอกกับพระพุทธเจ้าว่า ชาตินี้ ขอเวลาศึกษาก่อน เรื่อง "นิพพาน" เป็นเรื่องยาก และ ชาตินี้ มีห่วง อีกมาก จึงขอลา แต่ยังบอกกับ พระว่าจะ พยายาม ฟังธรรม ทำบุญ ปล่อยวาง

    +++ เป็นอาการของการอธิษฐานทางจิต ต่อพระพุทธรูปในโบสถ์ และต่อตนเอง

    2008 - 2010 เป็นช่วง อวิชชารุมเร้า ห่างพุทธะ จากที่เคยศึกษา เรื่อง ZEN ก็ห่างเหิน จนมองไม่เห็น ไม่มีสภาวะพุทธะ แต่ ยังยึดคำว่า "ช่างมัน" ไม่มีสุข ไม่มีเศร้า ไม่ร่าเริง

    +++ อวิชชาเป็นสภาวะธรรมชาติที่ต้องมี มิฉะนั้นจิต (สภาวะนึกคิด) จะเกิดขึ้นไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการวิวัฒนาการของสภาวะรู้ (สภาวะของสติบริสุทธิ์ อันเกิดจาก การระลึก ที่มีผลลัพธ์เป็นรู้) (การกำหนดจิตในภาคปฏิบัติคือ กำหนดสติ แล้วตั้งมั่นอยู่ใน รู้ แล้วละการกำหนดนั้นทิ้งไป พยายามรักษาสภาวะรู้นั้นให้เป็น นิสัย)

    +++ คุณเคยบวชในศาสนาพุทธมาแล้ว คงเข้าใจสมการของผมดังต่อไปนี้โดยไม่ยาก
    +++ บวช+ศาสนา+พุทธ = ขอนิสัย+คำสอน (ที่เข้าสู่) + สภาวะรู้

    +++ เรื่องของ ZEN เป็นเรื่องของการรายงานที่ตรงตามนั้น (อ่านรายงาน + เหตุ/เนื้อเรื่อง + ผลลัพธ์ + จบ/หยุด + เป็นไปตามนั้น) ไม่ใช่เรื่องของการอธิบาย (อ่านคำอธิบาย + คิด + มึน + นึกว่ารู้เรื่อง + จบไม่ลง/หยุดไม่สนิท + เอ๊ะใจใหม่)

    +++ ทดสอบง่าย ๆ โดยการอ่าน "หลวงปู่ฝากไว้" ของ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล แบบแยกเป็นสองประเภท แล้วเปรียบเทียบข้อแตกต่างดูคือ อ่านแบบการอ่านรายงาน กับ อ่านแบบการอ่านคำอธิบาย ลองดูนะครับ ไม่ยากหรอก

    ต้นปี 2011 - มีเวลา กับแฟน ที่เรารัก คนนี้เป็น คนพิเศษ เข้าไม่ได้มาเอา เหมือนเขามาให้ เราไม่มีอะไร เรียนก็ยังไม่จบ รถก็ไม่มี บ้านก็ไม่มี เงินก็ไม่มี แต่เขา มาจากครอบครัวที่ดี ผมจึงมองตัวเอง ว่าเรา ทำเรื่องแย่ๆ ไว้เยอะ ผมจึงพยายามเป็นคนดี และ พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

    (แต่ยังมี อวิชชา - ความระแวง ความเกลียดชัง การแข่งขัน มีความอยาก เป็นที่ตั้ง มีความอยากเอาตัวรอด)

    +++ เหตุเกิดจากความไม่รู้ นอกนั้นเป็นอนุกรมของผลลัพธ์ทั้งสิ้น

    365 วันผ่านพ้น

    ตอนนี้ปี 2012 -
    มกราคม : ไปกางเต้นท์ กับแฟน ฉลองปีใหม่ กับเพื่อนแฟนอีกสองคน
    ไปน้ำตกเอราวัณ วันที่ 1 มกราคม 2555
    กุมพาพันธ์ : นั่งกรรมฐาน บ่อยขึ้น ดูคลิป YOUTUBE เข้าเว็บพลังจิต ฟุ้งซ่าน

    +++ อิอิ ถ้าดูหนังแล้วไม่ฟุ้ง ถือว่าเก่งมาก

    มีนาคม : กลางเดือน เกิด วิตกจริต อยู่ดีๆ หายใจไม่ค่อยสะดวก
    กลัวมาก เลยเลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่ม สุรา ของมึนเมา (เที่ยวกลางคืนครั้งสุดท้าย)

    +++ เกิดจากได้อุปนิสัยในการกำหนดลมหายใจ แต่สติตามไม่ทันในเวลาที่จิตทำการกำหนดโดยอัตโนมัติ ในระดับจิตใต้สำนึก จึงเกิดการชักคะเย่อกันในระหว่าง สามัญสำนึก VS จิตใต้สำนึก

    +++ ผู้ที่ยังฝึกใหม่ จะใช้การกำหนดลมหายใจ เป็นตัวนำจิตเข้าสู่ความละเอียด ส่วนผู้ชำนาญแล้ว จะกำหนดจิตให้เข้าสู่ความละเอียดได้โดยตรง ส่วนลมหายใจจะละเอียดตามไปเองโดยธรรมชาติของการกำหนดจิต สรุป ระดับความละเอียดทางจิตและลมหายใจมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน หากเข้าใจ ก็สะดวกทั้งจิตและลมหายใจ หากไม่เข้าใจ ทั้งจิตและลมหายใจก็ไม่สะดวก

    เมษายน : เป็นช่วงที่สบายใจมาก เพราะใช้เวลาอยู่กับแฟน บ่อย ช่วงสงกรานต์ ไม่ได้เล่นสงกรานต์ ทั้งผมและแฟน ไม่ชอบเล่นน้ำเท่าไหร่
    พฤษภาคม : พักผ่อนยาว ทำเรื่องที่อยากทำ ยังไม่ได้หางาน เตรียมความพร้อม เจอเพื่อน ที่เรียนมวยจีน เรียนชี่กง วันหนึ่ง ได้ ไปพบ พระธาตุเสด็จ จาก บ้านบุญ (ผมยังไม่เข้าใจกับเรื่องราวพวกนี้)
    คืนแปลกๆ ในช่วงกลางเดือน พฤษภาคม คนขับแท๊กซี่ ดูเหมือนจะไม่ปกติ เข้ามาคุยมาบอก พูดจาวกไปวนมา เหมือนไม่ปรกติ พูดถึงเรื่อง หลวงตาเสด็จนิมิตในฝัน ชวนเขาไปบวช และบอกทิ้งท้าย ในรถ "ว่าผมจะเจอเขาในอนาคตแน่นอน" ผมกลัว สับสน วิตกจริต

    มิถุนายน : ฟัง ธรรมะ นั่งสมาธิ กรรมฐาน
    คราวนี้ พิเศษจากคราวเดิม เพราะ ไปลองใช้ การหายใจ เข้า แล้วหยุด แล้ว หายใจออก เอามืดอุดจมูก เหมือนการฝึกโยคะ ทำควบคู่กับฝึกมวยจีน

    +++ หากสังเกตุดูดี ๆ การฝึกโดยใช้ลมหายใจนั้น จิตมักจะหลุดในบริเวณรอยต่อระหว่าง ลมหายใจขาเข้ากับลมหายใจขาออก (ขณะที่ลมกำลังจะเปลี่ยนทิศ) การใช้การหายใจ เข้า (ออก) แล้วหยุด เป็นเทคนิคที่ดีในการป้องกันการหลุดของจิต เมื่อควบคุมได้แล้วก็ควรก้าวข้ามพ้นไป

    ผมไม่ได้สนใจ วิชานี้แต่แรก เพราะ มองว่า ไท่เก๊กเป้นการเต้นของคนแก่ แต่พอไปฝึกจริงๆ ทำให้ความคิดเดิมๆ หายไปเลย

    คืนหนึ่ง เกิดอาการ รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ได้ บางที มันเหลว แบบ หัวใจจะไม่เต้น ครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนจะตายแล้ว นอนสมาธิ รู้สึก ตัวเอง หงิกกลางอากาศ เหมือน ลอยแล้วโดนแรงจากหลายทิศทางฉีกร่าง กลางดึกต้อง ลุกขึ้นมานั่น นั่งให้หายใจได้ พอนอน มันดูดอีก เร็วมาก เหมือน อะไรในตัวมันไหลไปมา มีของเหลวร้อนๆ ไหลตามท้อง ปอด ออกตามลมหายใจ จะกลัวก็ไม่กลัว รู้สึกปลงเหมือนจะตาย แต่ไม่ตาย ไม่ทรมาณ

    +++ เป็นอาการเริ่มต้น ก่อนการถอดกายแห่งความรู้สึก (กายพลังงานของกายมนุษย์ ละเอียดกว่ากายมนุษย์ แต่หยาบกว่ากายจิต) ออกมาจากกายมนุษย์ อันเนื่องมาจากการนอนสมาธิ สังเกตุดูจะรู้ได้ว่า มีความตื่นเต้น (ปิติ) ผสมอยู่กับความไม่รู้ เหตุเกิดจาก จิตมันยังไม่คุัน ยังไม่รู้จัก นั่นเอง พอคุ้นเคยหรือเกิดขึ้นหลาย ๆ ทีแล้ว ก็จะหาต้นสายปลายเหตุได้เอง ไม่กลัว ไม่ตาย ไม่ทรมาณ เพียงแต่ยังไม่รู้ เท่านั้น

    นอนหลับๆตื่นๆ นอนไม่หลับบ้าง อาการแปลกๆ
    เอาตัวรอด คิดว่าที่จะไม่ตาย ต้องกินน้ำผัก(คิดทึกทักมาเอง) ในสมองที่พอคิดได้ในหัว คือผัก เซอลารี่ กับ หัวไชเท้า ต้องเอามาปั่นรวมกัน และนั่งสมาธิ
    ลองกินดู กินได้ 2-3 วันอาการ ดีขึ้น หายใจได้มากขึ้น ไปหาหมอ ตา หู คอ จมูก ได้ยาแก้แพ้มาชุดหนึ่ง ทำให้ ไม่มีเสลด ไม่ไอ

    +++ ใช่เลย ตรงนี้ คิดทึกทักมาเอง 2-3 วันอาการ ดีขึ้น ไม่ได้เกิดจากยา แต่เกิดจากจิต

    เสาร์ที่ 10 :คืนก่อนวันเสาร์ นอนไม่หลับจน ตี 5 สมองแยกเป็นเสี่ยงๆ อธิบายสภาวะไม่ถูก เป็น จนต้อง โทรหาเพื่อน เจอเพื่อน ที่นัดไปเรียน มวยจีน

    หลังจาก 12 จนถึง 22 นี้เป็นเวลา 10 วันที่ผมอยู่แต่ในบ้าน ทั้งๆที่มีใจวางแผนจะเขียน RESUME ส่งสมัครหางาน แต่เกิดสภาวะ เปล่งรัศมีที่บอกไม่ถูกอันนี้เข้าไป

    คำถาม "อาการ รัศมี เปล่ง ไปทั่วทิศ เหมือนรังสี ดันข้างในหัว"
    เป็น อาการ ที่เกิด จากการปฏิบัติ หรือเป็นอาการที่เกิดจาก สารเคมีในสมอง หรือ เป็นอาการ ความดันเลือด หรือความดันในหัว [อย่างใดอย่างหนึ่ง]
    รบกวนผู้มีประสบการณ์ทางนี้ โปรดให้คำชี้แนะ

    +++ คำตอบอย่างตรง ๆ แบบดับเครื่องชนเลยก็คือ จิตรวมตัวเข้าถึงฐาน จิตเดิมแท้ (ในวัฏฏสงสาร) เปล่งประกายเป็นประภัสสร หรือกล่าวได้ว่า จิตในขณะนั้น ๆ เป็น อาภัสสระพรหม ลองกูเกิลดูเอานะครับ

    อาการนี้ เหมือนมีรัศมีรอบทิศทาง แล่นออกจากหัว เป้นพลังที่ไม่สุดไม่สิ้น ตอนเกิดสภาวะนั้น คิดอะไรออกมา เข้าใจไปหมด เหมือนแก้เงื่อน แก้ปม เร็วมา หลั่งไหลมาเร็วมา อะไรที่ค้างในใจ ที่ลิสไว้ในใจมันคลายออกมาหมด

    แล้วอาการแบบนี้ ออกมาเหมือน ไม่มีที่สิ้นสุด

    +++ อาการที่เกิดแบบเต็มใบ จะเป็นดังนี้
    1. ไม่มีร่าง (อรูป)
    2. ไม่มีขอบเขต
    3. ไม่มีแสงอย่างที่ทุกคนเข้าใจ
    4. พลังงานทั้งหมดทั้งสิ้น เปล่งออกโดย ความเป็นเรา
    5. ความเป็นเราในขณะนั้น ภาษาพูดที่ใกล้เคียงที่สุดคือ สุริยันที่เปล่งรังสี ไม่ใช่แสง
    6. แต่ละแนวพลังงานที่เปล่งออก คล้ายประดุจสายใหมแห่งรุ้ง (ประภัสสร)
    7. เป็นอยู่เช่นนั้น ไร้ขอบเขต ทุกทิศทาง รู้ในสภาวะแห่งตนกระจ่างชัด
    +++ ลองเทียบอาการของผมกับของคุณดูนะครับ ว่าตรงกันไหม

    ผลหลังจาก เกิดอาการนี้
    มีอะไรมากมายแล่นในหัว เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดในชีวิต
    มองภาพ ใน Internet สวยงามขึ้น , เห็นสีแยกแยะสีได้ชัด เห็นอารมณ์ในสี เห็น ความเป็นมา ของสรรพสิ่งต่างๆ เห็น จริตคน ในตัวอักษร เห็นการหลอกลวง นัยยะแอบแฝง เห็น การพูดเท็จ เห็น ความไม่หวังดี เห็นเสนียดจัญไร เป็นสิ่งอัปมงคล เห็นภาพชัดขึ้น เห็นสีสันสวยงามขึ้น
    มีความสุข ปิติ กลับคืนมา สนใจ เรื่องงานศิลปะ มีพลัง รู้สึก มีความหวัง รู้สึกสำเร็จ โดยทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไร รู้สึกชนะ รู้สึกไม่กลัว รู้สึกเป็นผู้นำ รู้สึกไม่เกรงบารมีใคร รู้สึก เชื่อมั่น รู้สึกเข้าใจ และมองเห็นความอ่อนแอของคนอื่น รู้สึก ถึงความอร่อย ของน้ำผัก
    ทำให้ผม หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ขีดเขียน ดูเนื้อหาต่างๆ จนร่าง เชื่อมโยงอะไรต่างๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น

    +++ เป็นผลลัพธ์ที่เกิดมาจากจิตรวมตัว

    รังศีรัสมีเจิดจ้าหายไป ตอนไปดูภาพเนื้อคน มากไป ไปดูท่วงทำนอง จังหวะของสีมากไป ไปยึดติดในสีสัน ภาพถ่ายเกินไป

    เลยเข้าใจทุกอย่าง ทำไม ให้ตัดสิ่งยั่วยุ ให้ตัดกิเลส
    เขาไม่ได้ห้าม มั่วๆ ให้เรากลัว แต่ต้องไม่มีพวกนี้ก่อนนี่เอง จึงจะเกิดรัศมี
    ตอนนี้ผมอยากกลับมามีรัศมีเจิดจ้าอีก จึงคิดอ่าน หาโอกาสฝึกใหม่ตั้งแต่ต้น ด้วยความเพียร

    +++ วิธีฝึก เดินตามขั้นตอนเหล่านี้ให้ดีนะครับ
    1. เข้าสมาธิ จนเกิดความรู้สึกตัว (ไม่ใช่แค่รู้ตัว) ทั่วทั้งตัว
    2. แช่ความรู้สึกตัวนั้นเอาไว้ (เหมือนแช่ตัวในน้ำ)
    3. รู้อยู่ว่า เรามีความเป็นอยู่แบบนี้ก็อยู่ได้ ไม่มีทุกข์อะไร
    4. เมื่อความรู้สึกว่า "อิ่ม ๆ อยู่" "พอ ๆ อยู่" เกิดขึ้น ให้ย้ายมาแช่อยู่ในอาการนี้แทน
    5. เมื่อความรู้สึกว่า "โล่ง ๆ โปร่ง ๆ สบาย ๆ อยู่" เกิดขึ้น ให้ย้ายมาแช่อยู่ในอาการนี้ (หากสติไม่แกร่งพอ อาจจะหลับในขั้นนี้ได้)
    6. เมื่อความรู้สึกว่า "รู้ ๆ อยู่ ตื่น ๆ อยู่" เกิดขึ้น ให้ย้ายมาแช่อยู่ในอาการ "รู้ ๆ อยู่"
    7. จากนั้นจึงย้ายมาอยู่ในอาการ "ตื่น ๆ อยู่" (ห้ามลัดขั้นตอนโดยเด็ดขาด ของแบบนี้ หากหลุดแล้ว ก็หลุดเลยไปเลย)
    8. ขณะที่แช่อยู่ในอาการ "ตื่น ๆ อยู่" นี้ อาการ "ตื่น ๆ อยู่" จะค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นขึ้น
    9. ความเข้มข้นของอาการ "ตื่น ๆ อยู่" จะกลายเป็นความเข้มแข็งของความ "ตื่นอย่างยิ่ง"
    10. ให้แช่อยู่ในอาการ "ตื่นอย่างยิ่ง"
    11. สังเกตุดูก็จะรู้ได้ว่า อาการ "ตื่นอย่างยิ่ง" นี้เป็นอาการของ "พลังงาน"
    12. สังเกตุอาการของ "พลังงาน" ก็จะรู้ชัดเจนว่า "เรากำลังเปล่งรังสีอยู่"
    +++ หวังว่า คงสมปรารถณาแล้วนะครับ
    +++ แต่อย่าลืมว่า นี่เป็นการฝึกของ สมถะสมาธิเท่านั้น ยังไม่มีส่วนของ วิปัสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง

    เมื่อคืน เดินออกไป ปากซอย ไป Family Mart เพื่อไปซื้อบัตรเติมเงิน ซอยมืด แต่ไม่ดึกมาก ยังมีคน แต่เห็น อะไรที่ตามองไม่เห็น แสงไฟ มันเบาๆ ลอยๆ อย่างบอกไม่ถูก อาการเหมือนเป็นแมงเม่าเลย จิตเร็วมาก วับๆแวบๆ เงาแทรก เห็นหมด ศาลพระภูมิ เห็นหมด มีความรู้สึก ลึกๆ ว่าเหมือนมีเส้นด้ายรั้งตึง เหมือนตัวเองมีพิกัดตำแหน่ง แล้วรู้พิกัดของ อะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น

    +++ ในขณะที่จิตละเอียด สัมประยุตาธรรมา (compatible) (ปรากฏการณ์ที่เข้ากันได้) ก็เกิดขึ้น เป็นเรื่อง ธรรม-ชาติ ของจิตในระดับนั้น ๆ

    ตอนนี้ ผมก็ยังไม่รู้ตัว ว่า ทางศาสนาพุทธ เรียกผมว่าเป็นอะไร หรือ ถ้าระดับ ฌาณ จะเรียกว่าอะไร

    +++ น่าจะเรียกว่าเป็น "นักศึกษาจิตศาสตร์ แบบไทย ชั้นปีที่ 1"
    +++ ฌาณ คือ มาตรวัดความลึก หรือ ความสูงชนิดหนึ่งเท่านั้น อยู่ในระดับ 4 แห่ง อาภัสสระ

    (หลังจากเหตุการณ์ Family Mart ที่ผ่านมาจนบัดนี้ ผมยังไม่ได้นอนเลยครับ
    ตาค้างมาจน 7:34 [22 June 2012] อีก 26 ชั่วโมง ผมต้องไปรับแผนที่ สนามบิน)

    +++ ถ้าเข้าใจแล้ว ก็เลิกคิดมาก เมื่อเลิกคิดมากแล้ว ก็นอนได้สบาย ๆ ครับ

    ผมน้อมรับขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ ที่มีอุปการะ ทุกท่าน โปรดแนะนำทางสว่าง
    ผมน้อมรับ คำแนะนำ จากทุกท่านแล้วครับ

    ผมไม่กลัว เว้บพลังจิตแล้วครับ

    +++ เว้บพลังจิตไม่ได้ทำให้คุณกลัว ความคิดของคุณนั้นแหละทำ

    เป็น 2 วัน อาการนี้หาย (ผ่านมา 12 วันแล้ว) เป็น ช่วง 11 - 12 มิถุนายน 2555 จนบัดนี้ 22 มิถุนายน 2555

    ก่อนจาก ขอขอบพระคุณทุกความเห็นครับ ผมขอตัวไปนอนก่อนครับ อยากพักผ่อน รู้สึก ล้ามากๆ

    +++ นอนทิ้งทวนไปเลยครับ สบายเต็มที่แล้วก็ค่อย ๆ หันกลับมาฝึกใหม่
     
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    กำหนดจิตรู้ตามที่มันเป็น เป็นยังไง รู้สึกยังไง กำหนดรู้ยังงั้น ตามนั้น
     
  9. sirwilliams

    sirwilliams Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +61
    ขอบพระคุณ คุณ [ธรรม-ชาติ] มากๆครับสำหรับ คำแนะนำ ความคิดเห็น ที่ละเอียด ถี่ยิบมาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...