อานาปานสติสูตร ที่ 8

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ชั่งเถอะ, 11 มีนาคม 2018.

  1. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    เนี่ยแหละ ปัญหามันถึงเยอะไง พระพุทธองค์ถึงได้ทรงตรัสว่า ศาสนาของพระองค์จะเสื่อมไม่ใช่เพราะจากคนนอก มันแบบนี้แหละ รู้ไม่จริง แบบนี้แหละ คือมันเป็นไปทั่วเลยนะ ต้องค่อยๆว่ากันไปตามจังหวะและโอกาสละกัน
     
  2. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ได้เลย ลวกเพ่
    จะรอดูฟัง นิพพานเข้าๆ ออกๆ
    ถึงแล้วต้องกลับมาเก็บรายละเอียด นะขอรับ
    โอกาสมามะรายก็ จัดเลยนะขอรับ
     
  3. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ถามนิดเดียว ตอบตามตรงนะ คุณถึงกระแสนิพพานหรือยังครับ ทำไมถึงรู้ว่ามีเข้ามีออกหรือไม่มีเข้ามีออกด้วยล่ะครับ
     
  4. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    กระแสนิพพานไม่ถึงครับ ถึงเมื่อไรจะมาบอก



    ที่นำมาบอก ก็นำมาจาก
    ป้ายบอกทาง ในพระไตรปิฎก
    อ่านของลวกเพ่ แล้วมันขัด ก็จัดไปตามโอกาส
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    อรรถกถา ที่ ยกมา

    ยกกันมาก ในการ ปรักปรำ พระสารีบุตร ว่าให้กรรมฐานไม่ถูก

    สู้คนมี อิทธิฤทธิ์ในการ " กำหนดรู้ " ยกตนเทียบ พระพุทธองค์ ไม่ได้

    แต่....นะ

    เนื้อความ อรรถกถา มีคำว่า " อุปจาร " ปรากฏ .....ตรงนี้ กล่าวกันแบบ
    นักตำรา ย่อมเห็นทันทีว่า เป็น ส่วนตำราแต่งใหม่ ที่ ศรีลังกา นั่นแน่นอน
    ไม่ใช่ " อรรถกถาจารย์ " ที่ ประชุมใน สังคยนาครั้งแรก แน่ๆ

    แล้ว คน!!อะไร ตัวอยู่ศรีลังกา ไปรู้เรื่อง สัทธาวิหาริก ของพระสารีบุตร

    เรื่องอะไรแบบนี้ หากจะมี ต้องมีในชั้น พระไตรปิฏก โดยผู้เล่าจะต้อง
    เป็น พระอานนท์ ขึ้นต้นธรรมบทว่า " ข้าพเจ้าจำได้ดังนี้ ...." เพราะ
    ธรรมใดที่ไม่ได้แสดงต่อหน้าพระอานนท์ พระพุทธองค์จะต้องเล่า
    ให้ทราบตาม "พร" ที่ขอสัจจเอาไว้ตอนรับเป็น อุปถาก

    ทีนี้

    อรรถกถานี้ ระบุว่า ขยายเรื่องราวให้ สมจริง จาก คาถาสั้นๆ ลำดับที่ 20

    ซึ่งมีเนื้อความ ตรัสแต่ มรรค ที่พระองค์แสดง และ ปรากฏ กถา เด็ดดอก
    บัวไม่เหลือเยื่อใย เน้น --> สันโดษ <-- ในตอนท้ายๆ กถา

    ลองอ่านเอาเนาะ

    [๓๐] ทางมีองค์แปด ประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย ธรรมอัน
    พระอริยะเจ้าพึงถึง ๔ ประการประเสริฐกว่าสัจจะทั้งหลาย
    วิราคธรรมประเสริฐกว่าธรรมทั้งหลาย พระตถาคตผู้มีจักษุ
    ประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้าและอรูปธรรมทั้งหลาย ทางนี้เท่า
    นั้นเพื่อความหมดจดแห่งทัศนะ ทางอื่นไม่มี เพราะเหตุนั้น
    ท่านทั้งหลายจงดำเนินไปตามทางนี้แหละ เพราะทางนี้เป็น
    ที่ยังมารและเสนามารให้หลง ด้วยว่าท่านทั้งหลายดำเนิน
    ไปตามทางนี้แล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เราทราบชัดธรรม
    เป็นที่สลัดกิเลสเพียงดังลูกศรออก บอกทางแก่ท่านทั้งหลาย
    แล้ว ท่านทั้งหลายพึงทำความเพียรเครื่องยังกิเลสให้เร่าร้อน
    พระตถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้บอกชนทั้งหลาย ดำเนินไปแล้ว
    ผู้เพ่งพินิจ จะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมารได้ เมื่อใด บุคคล
    พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อนั้น
    เขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นี้เป็นทางแห่งความหมดจด เมื่อ
    ใดบุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
    เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นี้เป็นทางแห่งความ
    หมดจด เมื่อใด บุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรม
    ทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้นเขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นี้เป็น
    ทางแห่งความหมดจด บุคคลหนุ่มมีกำลัง ไม่ลุกขึ้นในกาล
    เป็นที่ลุกขึ้น เข้าถึงความเป็นคนเกียจคร้าน มีความดำริอัน
    จมเสียแล้ว ชื่อว่าเป็นคนเกียจคร้าน คนเกียจคร้านย่อม
    ไม่ประสพทางแห่งปัญญา บุคคลพึงตามรักษาวาจา พึง
    สำรวมดีแล้วด้วยใจ และไม่พึงทำอกุศลด้วยกาย พึงชำระ
    กรรมบถ ๓ ประการนี้ให้หมดจด พึงยินดีมรรคที่ฤาษีประ-
    กาศแล้ว ปัญญาเพียงดังแผ่นดินย่อมเกิด เพราะความ
    ประกอบโดยแท้ ความสิ้นไปแห่งปัญญาเพียงดังแผ่นดิน
    เพราะความไม่ประกอบ บัณฑิตรู้ทางสองแพร่งแห่งความ
    เจริญและความเสื่อมนี้แล้ว พึงตั้งตนไว้โดยอาการที่ปัญญา
    เพียงดังแผ่นดิน จะเจริญขึ้นได้ ท่านทั้งหลายจงตัดป่า
    อย่าตัดต้นไม้ ภัยย่อมเกิดแต่ป่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอ
    ทั้งหลายตัดป่าและหมู่ไม้ในป่าแล้ว จงเป็นผู้ไม่มีป่า เพราะ
    กิเลสดุจหมู่ไม้ในป่าแม้ประมาณน้อยในนารีของนระ ยังไม่
    ขาดเพียงใด นระนั้นยังมีใจเกาะเกี่ยว ดุจลูกโคผู้ดื่มกิน
    น้ำนม มีใจเกาะเกี่ยวในมารดาเพียงนั้น ท่านจงตัดความรัก
    ของตนเสีย ดุจบุคคลเด็ดดอกโกมุทอันเกิดในสรทกาลด้วย
    ฝ่ามือ ท่านจงเพิ่มพูนทางสงบอย่างเดียว นิพพานอันพระ
    สุคตทรงแสดงแล้ว คนพาลย่อมคิดผิดว่า เราจักอยู่ในที่
    นี้ตลอดฤดูฝน จักอยู่ในที่นี้ตลอดฤดูหนาว และฤดูร้อน
    ดังนี้ ย่อมไม่รู้อันตราย มัจจุย่อมพาเอาคนผู้มัวเมาในบุตรและ
    ปสุสัตว์มีมนัสข้องติดในอารมณ์ต่างๆ เหมือนห้วงน้ำใหญ่
    พาเอาชาวบ้านผู้หลับไปฉะนั้น
    เมื่อบุคคลถูกมัจจุผู้ทำซึ่ง
    ที่สุดครอบงำแล้ว บุตรทั้งหลายย่อมไม่มีเพื่อความต้านทาน
    บิดาย่อมไม่มีเพื่อความต้านทาน ถึงพวกพ้องทั้งหลายก็ย่อม
    ไม่มีเพื่อความต้านทาน ความเป็นผู้ต้านทานไม่มีในญาติ
    ทั้งหลาย บัณฑิตทราบอำนาจประโยชน์นี้แล้ว พึงเป็นผู้
    สำรวมแล้วด้วยศีล พึงรีบชำระทางเป็นที่ไปสู่นิพพานพลัน
    ทีเดียว ฯ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ต่อให้เป็น เนื้อความ ตาม อรรถกถา ศรีลังกา
    สังคยานา เพิ่มเติมตามใจชอบ ก็เถอะ

    สังเกตดีๆ

    พระพุทธองค์ ต้องให้ อุบาย ในการฝึก กี่หน

    หนที่ให้ดู ดอกบัว จนเกิด ฌาณ( ซึ่ง เป็นเรื่อง ชูโรง ของการ
    แต่งใหม่ว่า ได้ อุปจารฌาณ เว้ยเฮ้ย ) แล้ว สำเร็จอะไรมาก
    กว่านั้นไหม ก็ยัง

    เห็นดอกบัว เหี่ยว ...พระองค์ทำให้ นายช่างทอง สำเร็จธรรม หรือยัง !!
    ก็เห็นอยู่ว่า แต่งใหม่ให้ พระองค์ ล้มเหลวอีก

    โน้นนน สุดท้าย เดินตุปัดตุเป๋ ไปเห็น เด็กเล่นขายของ เด็ดดอกบัว

    ถึงได้ เสด็จไปอีกรอบ .....แต่ คราวนี้ พระองค์ใช้ฤทธิอะไรให้
    กรรมฐานที่ถูกจริต

    หรือว่า ติดฝุ้งซ่าน ตรึกธรรมอยู่นั่น จึงทรงแนะให้ " โน้มจิตไป....... "

    พูดง่ายๆ ขยาย กถา ไปไกล เดี๋ยว จบไม่ลง ตอนท้าย อรรถกถา
    เลย วกกลับมา

    อุจฺฉินฺท สิเนหมตฺตโน
    กุมุทํ สารทิกํว ปาณินา
    สนฺติมคฺคเมว พฺรูหย
    นิพฺพานํ สุคเตน เทสิตํ.

    ซึ่งใน กถาดังเดิมแปลว่า

    ท่านจงตัดความรักของตนเสีย
    ดุจบุคคลเด็ดดอกโกมุทอันเกิดในสรทกาลด้วยฝ่ามือ
    ท่านจงเพิ่มพูนทางสงบอย่างเดียว
    นิพพานอันพระสุคตทรงแสดงแล้ว

    แต่ อรรถกถาใหม่ แปลว่า


    เธอจงตัดความเยื่อใยของตนเสีย เหมือนบุคคลถอน
    ดอกโกมุทที่เกิดในสรทกาลด้วยมือ, จงเจริญทางแห่ง
    สันติทีเดียว (เพราะ) พระนิพพาน อันพระสุคตแสดง
    แล้ว.

    แล้วยังแก้ อรรถ สำทับอีกว่า ( ทั้งๆที่ ต้น กถา อ่านแล้ว เป็นภาษาคนดีอยู่แล้ว )

    แก้อรรถ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุจฺฉินฺท คือ จงตัดด้วยอรหัตมรรค.
    บทว่า สารทิกํ ได้แก่ ที่เกิดแล้วในสรทกาล.
    บทว่า สนฺติมคฺคํ คือ ซึ่งทางอันมีองค์ ๘ ที่ยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพาน.
    บทว่า พฺรูหย คือ จงเจริญ.
    บทว่า นิพฺพานํ ความว่า เพราะพระนิพพานอันพระสุคตทรงแสดงแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจงเจริญทางแห่งพระนิพพานนั้น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2018
  7. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    อ้อครับ รับทราบครับ

    ไม่มีเข้ามีออกอะไรหรอกครับ มีแต่เรื่องที่พ้นเจตนาทั้งนั้นครับ
     
  8. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    พุทธัง สรณังคัจฉามิ
    ธัมมัง สรณังคัจฉามิ
    สังฆัง สรณังคัจฉามิ
    ข้าพเจ้า ขอเอา พระพุท พระธัม พระอริยเป็นที่พึง
    จุดเดียวถ้าข้าพเจ้าเจออะไรที่หนักหนา

    อย่างที่ท่านยกตัวอย่างในชีวิตท่าน
    มาเป็นธรรมทาน

    ยกตัวอย่างที่ข้าพเจ้าพิจาาณาในชีวิตตัวเอง
    จะเป็นเป็นแบบนี้

    ข้าพเจ้าให้ความเคารพบุคคล ที่ สูงขึ้น ความรู้ กำลัง ปัญญา

    เครพผู้มีบุญคุณ ทั้งที่ไม่มีศิลและมีศิลเสมอกัน ตอบแทนทันทีที่มีโอกาส

    ที่นี้ข้าพเจ้า พิจารณาขึ้นอีกว่า อันว่าบุคคลทั้งมาก สูงค่าที่ ศิลมั่น ศิลสูง จิตสูงขึ้น
    ข้าพเจ้ามองสิ่งที่สูงกว่านั่น

    ทำไมคิดเช่นนั้น เพราะบุคคลที่สูงขึ้นนั้น ศิลไม่เต็ม มีการเปลี่ยนแปลง ยึดถือไม่ได้

    พระพุทธเจ้ายึดถือได้ มีคติไปที่แน่นอน ที่เห็นจริงดั่งที่ท่าน ให้พิจารณา

    ส่วนยึดถือ ของเราจึงมีเพียงส่วนเดียว
    ที่จะนำชีวิตไปทางหลุดพ้น

    ทีนี้ข้าพเจ้าจึงจับส่วนเดียว
    คือไปปฎิบัติ ก้าวเท้าเข้าวัดปับจับศิลทันทีจับคำสอนพระ มาพิจารณาให้มาก เว้นขาดการพูดคุยเพื่อกระทบ

    ทุกที่ ทุกส่วน มีการกระทบทั้งสิ้น นอกวัดหรือในวัด

    สิ่งที่พึ่งเกิดเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา
    สิ่งที่ได้รับ
    คือการกระทบ ให้ขาดการพิจารณา
    เมื่อ เจ้าถิ่น เห็นว่า ข้าพเจ้าปลีกตัว ฟังคำสวนหลวงพอและพิจารณา ในมุมหนึ่งของสถานที่การกัมฐาน มาชวนคุยเยอะหรือดึงจิตเราให้ปล่อย แบบ มาเฮฮา ประสาคนมีกรรมกันเฮอะ
    ข้าพเจ้า เว้นการพูดคุย เพราะข้าพเจ้ามาเอาดี
    เพราะข้าพจ้าขับรถมาใกลมาก ไปกลับ
    เพื่อให้พระท่านแนะนำสั่งสอบ อารมณ์ การพิจารณาอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นยังใง
    อย่างผู้มีปัญญาควรได้ๆ

    อยากบอกว่าข้าพเจ้าไม่สนใจพูดคุยกับใครเพื่ออะไร ข้าพเจ้ามีเสาร์อาทิตย์ ที่มีค่ามากเหลือเกิน
    เพราะคิดว่า เราเหลือเวลาอีกแค่ใหนกัน
    การได้เจอพระที่สามารถสอนเราได้นั้นยิ่งหายาก

    ข้าพเจ้าไม่อยากได่เพื่อนที่มีคติไปอันไม่แน่นอน
    ข้าพเจ้าไม่อยากรู้จักใครในสถานที่นี้เลย
    ข้าพเจ้าไม่อยากสนใจใครเพื่อไปรู้สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเดินช้าลง

    สิ่งที่สนใจมีโดยส่วนเดียว
    วันนี้หลวงพ่อจะให้พิจารณาส่วนใหนต่อไป
    เป็นต้นทุนให้ ข้าพเจ้า พิจารณาต่อไป
    แชรธรรมทานคะ
     
  9. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    การศึกษา ปฎิบัติธรรม
    ก็คือการลงทุน
    หากมองแบบพ่อค้า
    ควรเป็นพ่อค้า แบบเจ้าสัวซีพี
    ถ้าเป็นนักปฎิบัติ
    เพราะ มี ครบ เหมือนใน 7-11จะมองให้ลึกคือมองที่หลักการ ลองดูนะ
    แง่คิดคะ
    โมทนา
     
  10. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    เจ้าสัวซีพีนี้ ต้องมองแบบพ่อค้าอย่างเดียวนะครับ คือกำไรเป็นใหญ่ บริหารต้นทุนน้อยที่สุด กำไรสูงสุด ฆ่าคู่ค้าแล้วได้กำไรเยอะก็ ฆ่าซะ

    แต่หากมองมุมทางธรรม ไม่มี ธรรมภิบาลใดๆ เลย คู่ค้าคือแค่ที่ทำนาบนหลังคนทนได้ก็ทนไป ทนไม่ได้กูฆ่า เอาเนื้อเอากระดูก ทุกกิจการที่ทำเป็นปกติของเค้าเลยทีเดียว

    เมื่อก่อน ไม่ชอบ ซีพีมากๆ แต่เดียวนี้ ปล่อยแล้วไม่ถือพยาบาท ไม่สนันสนุนซื้ออะไรที่เป็นของ ซีพี พยายามวางเฉยอยู่นาน จนเฉยกับซีพีได้ เค้าอยากทำอะไรก็ตามเรื่องเค้า บาปเค้าสร้างเองเค้าต้องรับเองอยู่แล้ว

    ตอนนี้ไม่รับไม่รู้แค่รู้ว่าของใน 7 เยอะดีวันนึงเข้า2-3 รอบ 5555

    โดยส่วนตัวถือว่าลดอกุศลในใจไปได้ส่วนหนึ่ง โล่งเลย.....
     
  11. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    555+
    ให้ดูหลักการ และการต่อยอด
    การปฎิบัตินะ
     
  12. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    เปรียบเปรยนะ
    บางที
    อคติก็ปิดบังสิ่วที่ควรมองเห็นเหมือนกันนะ
    ทางใครก็ทางใครนะ
    ว่าไม่ได้เหมือนกัน
    บุญเขามายังงั้น
    บุญเรามายังงี้
    เหมือนสัตว์มีหลายจำพวก
    งูไม่มีขามันวิ่งไม่ได้
    ก็ตามกรรมเน้อะ
     
  13. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    จากอดีตเด็ก7-11ที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย
    ซีพีคือโอกาสในอนาคตของเด็กอีกหลายคน
    เข้าไปอยู่ในองกรแล้ว เขาพัฒนาทั้งคนทั้งคุณภาพสินค้า
    อยู่ที่สูงแล้ว เขาก็ ให้โอกาส คนอื่น เพื่อความมั่นคงทางธุรกิจ
    เหมือนนะกับองค์กร ศาสนา
     
  14. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    หลายคนจริงครับ ในเรื่อง โอกาศ แต่ยังน้อยกว่า ที่ ทั้งร้านอื่นๆ ในพื้นที่เจ๊ง อันนี้ก็ว่าไม่ได้เพราะ ร้านพื้นที่เองก็ไม่ได้มีการพัฒนา และขาดในเรื่องทุนทรัพย์

    แต่ต้องมองจริง ๆ คือคนที่มีโอกาศคือ คนที่ทำงานเป็นพนักงานให้ ซีพี มีทั่วประเทศ เป็นหมื่นคน แต่ ผู้ที่เจ๊งเพราะ เป็นคู่ค้า กับซีพี ไม่ว่าจะเป็น โรงไก่ บ่อกุ้ง โรงหมู โรงเป็ด หรือเกษตร ต่างๆ ที่ทำตามระบบให้ซีพี มาแนะให้ลงทุน ต้องเพิ่ม โน้น นี้นั้น พัฒนาตลอด โรงเลี้ยง ต้องปรับปรุงตลอด ต้องซื้อยาทุกอย่างกับ ซีพี เอาของมาก่อนแล้วจ่ายทีหลัง เมื่อ ผลผลิตออก มีกำไรเหลือ กับเกษตรกร สัก แสนนึง ซีพีจะบอกให้ปรับปรุ่ง นู้นนี้นั้นอีก 2 แสน เงินไม่พอไปกู้มาอีก ถ้าไม่ทำ ไม่ต่อสัญญา ทำแล้วถ้ามีกำไรเหลือ หรือขาดทุน ยังไง ซีพีก็จะให้ที่กู้อีก กับใครก็แล้วแต่ คู่ค้าที่สุด ไม่เคยเห็นเงินเหลือเลยใน บัญชีธนาคาร และถ้ายกเลิกสัญญา เมื่อไหร่ จะเป็นหนี้บานถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย

    หรือถ้ามีเงินเหลือนิดหน่อย ไม่เป็นหนี้ แต่คุณจะขายสินค้าตัวนี้ ให้ใครก็ไม่มีใครซื้อ เพราะซีพี บีบคนซื้อไว้หมดแล้ว

    คู้ค้ากับซีพี ที่ล้มหายตายไป ฆ่าตัวตายก็เยอะ ที่เหลือก็ล้มละลาย รวมๆ ตั้งแต่ต้นจะเดียวนี้มีเกิน 1 แสนราย ที่อยู่รอดได้ มีน้อยมากๆ ไม่คุ้มเลย ฆ่าคน 1 แสน เพื่อเลี้ยงคน 1หมื่น

    คุณคิดว่ายังไง กับซีพี

    ขอโทษครับนอกเรื่อง มาเยอะ เริ่มต้นผมก็จะเปิด เป็นคู่ค้ากับซีพี สักอย่างหนึ่ง แต่เมื่อศึกษา รายละเอียดต่างๆ สอบถามคู่ค้า ที่เค้าทำอยู่ รายละเอียดมากมาย สุดท้ายจึงถอนตัวเองออกมา เพราะไม่ชอบที่เค้าทำกับคู่ค้าเลย

    แม้แต่ใน 7 อะไรขายดี ก็ก็ทำมาวางแข่งขาย ร่น สินค้าอีดตัวไปว่ามุม ของตัวเองวางเด่นสง่า

    จริงๆ มันก็คือ ธุรกิจอะนะ แต่ไม่มี ธรรมาภิบาล เลย ทางการค้า สะกดเป็นรึเปล่า ไม่รู้ จริงๆ น่าจะไม่รู้จัก คำนี้ด้วยซ้ำ ธรรมาภิบาล

    เฮอ........ ระบายอัดอั้นกับซีพี โล่งละ

    หิวน้ำ ขอตัวไปซื้อ โออิชิ ชาเขียว ที่ 7 แก้กระหายก่อนนะครับ อยากกิน นมอัดเม็ด จิตรดา แต่ 7 ไม่เอามาขายเลย อะดิ ก็ตัวเองทำนมอัดเม็ดขายเหมือนกัน แต่ขายไม่ได้ โอ้ยๆๆๆ......อยากกินนม อัดเม็ด จิตรดา เหลือหลาย กิเลส ๆๆ............
     
  15. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    เขามีกรรมต่อกันนิ
    จะไปเครียดดดด
    ทำมาย
    รึอยากมีกรรมกับเขาล๊าาา
    ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรเกิดจากเหตุบังเอิญหรอกน๊าาท่านน๊าาา
     
  16. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    เราต่างมาตามกรรม
    และก็ไปตามกรรมมมมมม
    เน้อ
     
  17. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    พระสูตรนี้ดีครับ
    มันบอกได้หลาย
    จริตอุปนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    นี้ขนาดพระสารีบุตรสอนเอง เป็นผู้มีปัญญามาก
    แต่จริตของคนมันไม่เหมือนกันสั่งสมบารมีมาต่างกัน

    มายุคนี้ก็เหมือนกันต่างคนต่างมีจริตเป็นของตนเอง
    ต่อให้ได้ฟังธรรมจากอาจารย์ที่ดี

    แต่เจ้าของก็ต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก
    พระศาสดาถึงบอกไว้
    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
     

แชร์หน้านี้

Loading...