อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์. พระบรมศาสดา และเหล่าผู้พระสาวก

“ไม่รัก ในฐานะที่ควรจะรัก
ไม่เกลียด ในฐานะที่ควรจะเกลียด
ไม่โกรธ ในฐานะที่ควรจะโกรธ
ไม่ขัดเคือง ในฐานะที่ควรจะขัดเคือง
รำคาญไหมผมว่าไว้อย่างนี้
เพื่อให้ท่านทั้งหลายรับฟังไว้
ถ้าทำใจได้อย่างนี้เป็นพระอรหันต์”

พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)
ที่มา ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ตอน ๒๖
https://www.youtube.com/watch?v=eST87xtKxIA&index=26

 

"พระอนาคามี ไม่มีสุกกะ(น้ำอสุจิ) เพราะตัดราคะได้สิ้น สุกกะจึงไม่จำเป็น ร่างกายก็ทำลายให้แห้งไป เพราะอนาคามีไม่ต้องการอาหารปากเพื่อไปหล่อเลี้ยงราคะ กระนั้นก็ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติ และเสียงก็ไม่แหบแห้ง เหมือนคนที่เป็นโรคทางกายและใจที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ"

ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ





**********************************

 

การเจริญพระกรรมฐานในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนไว้ให้ใช้อารมณ์ 2 อย่าง คืออารมณ์ทรงตัวกับอารมณ์คิด มีกรรมฐานที่ทรงตัวอยู่แค่ 11 กอง ได้แก่ 1. อานาปานุสสติกรรมฐาน 2. กสิณ 10 นอกนั้นเป็นอารมณ์คิด

โอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จาก...หนังสือคำสอนที่บ้านสายลม

**ช่วยกดไลค์/กดแชร์ คณะเรือดำน้ำ เผยแผ่เป็นธรรมทาน
**เข้ากลุ่ม "คณะเรือดำน้ำทางสายเข้าสู่พระนิพพาน" กดที่ลิงก์ข้างล่างได้เลยhttp://bit.ly/2oihpVK
YouTube Channel (คณะเรือดำน้ำ) :http://bit.ly/2pT8f6u
Line ID: uboat2nirvana

#เพจคณะเรือดำน้ำ #Uboat2Nirvana
#เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
#การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง

 

"ทุกคนถ้าหากว่าป่วยไข้ไม่สบายก็อย่าประมาทในชีวิต อันดับแรกมองดูพระพุทธรูปก่อน จำภาพพระพุทธรูปให้แม่น จะภาวนาว่าอย่างไรก็ได้นะ จะถือว่า 'พุทโธ' สำคัญเสมอไปก็ไม่แน่นอนนัก อะไรก็ได้ถ้าเรานึกถึงพระพุทธเจ้า ถ้าคล่องแบบไหนภาวนาแบบนั้น"

โอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จาก...หนังสือคำสอนที่บ้านสายลม หน้า 292
จาก...เทปคำสอนสายลม (11 พ.ย. 2533)

**กดไลค์/กดแชร์ คณะเรือดำน้ำ เผยแผ่เป็นธรรมทาน
Facebook Group (คณะเรือดำน้ำ) :http://bit.ly/2oihpVK
YouTube Channel (คณะเรือดำน้ำ) :http://bit.ly/2pT8f6u
Line ID: uboat2nirvana (http://line.me/ti/p/bBsysaNI-L)

#เพจคณะเรือดำน้ำ #Uboat2Nirvana
#เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
#การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง

 

"ปฏิจจสมุปบาทท่านว่าอวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ท่านว่าใ้หดับความโง่อันเดียวเท่านั้นผลดับหมด เพราะธรรมทั้งหลาย ไหลมาแต่เหตุ ธรรมทั้งหลาย คือ ดีก็ดี ชั่วก็ชั่ว ไหลมาแต่เหตุคือความโง่ ความไม่เข้าใจ คิดว่าเป็นตัวตนก็ได้รับผลเป็นสุขเป็นทุกข์สืบไป ท่านเรียกว่าวัฏฏะ การวน วนไม่มีที่สิ้นสุด"

....หลวงปู่ขาว อนาลโย


***************************************

 

ตั้งแต่วันนี้ไป ให้พากันตัดบ่วงห่วงอาลัย อารมณ์สัญญาที่คิดถึงบ้านถึงเรือน ถึงลูกถึงหลาน ถึงอะไรต่อมิอะไรให้ตัดขาด

ว่าสถานที่เรานั่งสมาธิภาวนาอยู่นี้ เท่ากันกับว่าเป็นสถานที่วิเศษ เป็นทางที่จะให้เราทุกคนละกิเลสให้หมดไปสิ้นไปได้
ถ้าตั้งใจภาวนา แต่ไม่ใช่ว่าสถานที่จะมาละกิเลสให้เรา

ใจเรานี้แหละภาวนาละกิเลสเอาเอง

กิเลสนั้น เมื่อผู้ใดเลิกได้ละได้แล้ว ไม่เลือกว่าเณร ไม่เลือกว่าพระ ไม่เลือกว่าจะสมมุติว่า เป็นธรรมยุต เป็นมหานิกาย อะไรก็ได้ทั้งนั้น

ไม่ใช่สมมุตินั้นละกิเลส การละกิเลสมันเป็นเรื่องภายในจิตใจของแต่ละดวงจิตดวงใจ

ผ้าขาวผ้าเหลืองไม่ได้มาละกิเลสให้
สถานที่ก็ไม่ได้มาละกิเลสให้แก่เรา

จิตใจเรานั้นเองเป็นผู้ละกิเลส

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

Credit : Supani Sundarasardula

 

******************************************************************************************

 

“ปาโปปิ ปสฺสตี ภทฺรํ ยาว ปาปํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ อถ ปาโป ปาปานิ ปสฺสติ.
ภโทฺรปิ ปสฺสตี ปาปํ ยาว ภทฺรํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ภทฺรํ อถ ภโทฺร ภทฺรานิ ปสฺสตี”ติ.
ขุ.ธ.อ.(บาลี) ๒/๑๑๙-๑๒๐/๑๑ มจร.
อนาถปิณฺฑิกเสฏฺฐิวตฺถุ ปาปวคฺควณฺณนา ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปทฏฺฐกถา

“ตราบใดที่บาปยังไม่ให้ผล ตราบนั้นคนชั่วจะเห็นบาปว่าดี
แต่เมื่อใดบาปให้ผล เมื่อนั้นคนชั่วจะเห็นบาปว่าชั่วแท้
ตราบใดที่กรรมดียังไม่ให้ผล ตราบนั้นคนดีจะเห็นกรรมดีว่าชั่ว
แต่เมื่อใดกรรมดีให้ผล เมื่อนั้นคนดีจะเห็นกรรมดีว่าดีแท้”
ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๒/๑๑๙-๑๒๐/๑๔ มจร.
เรื่องอนาถบิณฑิกเศรษฐี ปาปวรรควรรณนา อรรถกถาขุททกนิกาย ธรรมบท
*****************
‘‘Pāpopi passatī bhadraṃ, yāva pāpaṃ na paccati;
Yadā ca paccatī pāpaṃ, atha pāpo pāpāni passati.
‘‘Bhadropi passatī pāpaṃ, yāva bhadraṃ na paccati;
Yadā ca paccatī bhadraṃ, atha bhadro bhadrāni passatī’’ti.
จากเวป http://tipitaka.org/romn/cscd/s0502a.att9.xml

‘‘ปาโปปิ ปสฺสตี ภทฺรํ, ยาว ปาปํ น ปจฺจติ;
ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ, อถ ปาโป ปาปานิ ปสฺสติฯ
‘‘ภโทฺรปิ ปสฺสตี ปาปํ, ยาว ภทฺรํ น ปจฺจติ;
ยทา จ ปจฺจตี ภทฺรํ, อถ ภโทฺร ภทฺรานิ ปสฺสตี’’ติฯ
จากเวป http://tipitaka.org/thai/cscd/s0502a.att9.xml

“ปาโปปิ ปสฺสตี ภทฺรํ, ยาว ปาปํ น ปจฺจติ;
ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ, อถ (ปาโป) ปาปานิ ปสฺสติ;
ภทฺโรปิ ปสฺสตี ปาปํ, ยาว ภทฺรํ น ปจฺจติ;
ยทา จ ปจฺจตี ภทฺรํ, อถ (ภทฺโร) ภทฺรานิ ปสฺสตีติ.
อนาถปิณฺฑิก วตฺถุ ปาปวคฺค วณฺณนา ธมฺมปทฏฺฐกถา
(ปญฺจโม ภาโค)(ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ) หน้า ๑๓
ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.thammasatu.net/balee/view.php?StoryID=182

Verse 119: Even an evil person may still find happiness so long as his evil deed does not bear fruit; but when his evil deed does bear fruit he will meet with evil consequences.

Verse 120: Even a good person may still meet with suffering so long as his good deed does not bear fruit: but when it does bear fruit he will enjoy the benefits of his good deed.
ดูเรื่องราวภาคภาษาอังกฤษได้ที่เวป https://www.sariputta.com/…/cerita-the-story-of-anathapindi…

**************
พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่อนาถบิณฑิกเศรษฐีและเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของเศรษฐี ดูเนื้อเรื่องประกอบในเวป http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=4

 

#คำสอนสมเด็จองค์ปฐม#[อารมณ์ว่างที่แท้จริง]

อย่าทิ้งอารมณ์ พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง (กรรมฐาน 5 ซึ่งเวลาบวชพระ ท่านอุปัชฌาย์จะแนะนำผู้บวช ให้พิจารณา เป็นสมถะ และวิปัสสนาภาวนาเป็นปกติ) อาการ 32 ธาตุ 4 ให้ไล่ไปไล่มา

สลับกัน ตั้งแต่ วันเกิดปฏิสนธิ ในครรภ์มารดา จนกระทั่งถึงวันตาย ธาตุ 4 ก่อตัวมาอย่างไร สลายตัวไปอย่างไร ให้พิจารณาให้เห็นชัด จุดนี้จะเป็นการเกิดรูป ในพระพุทธศาสนาได้

เป็นตัวปัญญา ที่จักนำไปสู่อารมณ์จิต ที่ยอมรับนับถือว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีในเรา อย่างแท้จริง แล้วจักเห็นร่างกาย เป็นเหยื่อล่อของตัณหา รวมไปถึง การพิจารณา อายตนะหก ด้วย

ยิ่งจักเห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น ไม่ใช่เรา แยกจิตผู้รู้นี้ให้ออกมาเป็นเอกเทศ ปล่อยวางกองสังขารลงให้หมด ไม่ว่าจักเป็นจิตสังขาร หรือกายสังขาร

นั่นแหละ จักเป็นอารมณ์จิต ที่ว่างจากกิเลสอย่างแท้จริง แม้จักเป็นการว่างชั่วคราว ก็พึงที่จักซักซ้อมเข้าไว้ ให้จิตมันชิน ทำให้บ่อยๆ เมื่อสภาพการตายที่แท้จริงเข้ามาถึง จิตก็จักละจากขันธ์ 5 มุ่งสู่พระนิพพาน ตามปรารถนาทันที

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
พระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

 

"กิเลสเกิดเพราะมีอวิชชาเป็นนาย มุ่งใจตัด “ฉันทะกับราคะ” สองตัวพอแล้ว"

“...จงจำไว้ว่า ถ้าปรารถนานิพพาน จงพยายามตัด ฉันทะกับราคะ ไอ้ฉันทะกับราคะที่เรียกกันว่าเป็น “อุปาทาน” นี่มันเป็นอะไร ท่านเข้าใจไหม แต่ความจริงผมเคยบอกไว้เสมอ ๆ นะ เคยเจอะใน ขันธวรรค (ในพระไตรปิฏก) ท่านเคยพูดถึงอารมณ์ของอวิชชา

อวิชชา นี่เราแปลกันว่า ไม่รู้ ๆ ไปตะบัน ครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนั้น แต่ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านบอกว่า คำว่า “อวิชชา” นี่ต้องแปลว่า "รู้ไม่ครบ" เพราะว่า คนและสัตว์ที่เกิดมาไม่รู้ ไม่มี

ในขันธวรรค ท่านบอกว่า การตัดอวิชชา แยกศัพท์ออกมาได้เป็นจริยา คือ เป็นอาการของอวิชชา คือฉันทะ-ความพอใจ ราคะ-ความกำหนัดยินดี ถ้าอารมณ์ทั้ง ๒ ประการนี้ยังมีในจิต ก็เชื่อว่าบุคคลนั้น ยังมีอวิชชาอยู่ในใจ ไปนิพพานไม่ได้

"ฉันทะ" พอใจอะไร พอใจความร่ำรวย พอใจความสดสวยงดงาม พอใจในความโกรธ พอใจในความพยาบาท พอใจในชาติในภพ ชาติภพคือชาติมนุษย์ ชาติเทวดา ชาติพรหม

“ราคะ” มีความกำหนัดยินดี ชื่นอกชื่นใจเหลือเกิน มีความร่ำรวย มีของสวยโกรธใครเขาได้ หรือติดชาติติดภพ เกิดเป็นคนได้ เกิดเป็นเทวดาได้ เกิดเป็นพรหมได้ ดีอกดีใจ ชื่นใจ รักมาก

นี่อาการอย่างนี้เป็นอาการของ อวิชชา ความโง่ที่ดึงตัวให้ติดอยู่ เรียกว่า “อุปาทาน” ถ้าตัดเหตุทั้งสองประการนี้ได้แล้ว ก็ไม่ต้องไปตัดอะไร ถ้ามุ่งใจตัด “ฉันทะกับราคะ” สองตัวพอแล้ว อารมณ์ของท่านก็ไปถึงนิพพาน เพราะทำลายอวิชชาได้ อย่างอื่นมันก็ไม่เหลือ กิเลสทั้งหมดที่มันจะเกิดได้ ก็เพราะอาศัยอวิชชาเป็นนาย”

-------------------------------------------
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จาก : ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ตอนที่ ๑๙
ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๒๔๙ ธ.ค. ๒๕๔๔ หน้า ๓๕
ที่มา : buddha-dhamma.com/index.php…

 

บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

"...คนที่เคยใส่บาตรเป็นปกติ ถ้าถึงเวลาไม่ได้ใส่บาตร ไม่สบายใจ จะต้องใส่บาตรให้ได้ อย่างนี้เขาถือว่าฌานในจาคานุสสติกรรมฐานและทานบารมีด้วย..."

จาก โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๔ หน้า ๘๐
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

 

บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

"....นักอวดสมาธิน่ะมันไปไม่ถึงไหน ดีไม่ดีลงอบายภูมิ วันนี้ฉันนั่งได้หนึ่งชั่วโมง ฉันนั่งได้สองชั่วโมง นั่งได้สามชั่วโมง นั่งอวดสมาธิ แต่ว่าสมาธิเลิกแล้วก็ทำบาปได้ทุกอย่าง โกหกมดเท็จก็ได้ ฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ประพฤติผิดในกามก็ได้ มันก็เป็นเหยื่อของอบายภูมิ..."

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

 

สังขารุเปกขาญาณ
โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

กำลังใจของเราจะทรงได้ดีจริงๆ
ต้องน้อมใจของเรานี้ฝึกไปด้วยปัญญา
พิจารณาหาความจริง จิตใจตั้งอยู่ใน
สังขารุเปกขาญาณ นั่นก็คือ
มีอาการวางเฉยตามสภาวะของสังขาร
คือร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
มีความรู้ตามความเป็นจริงว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นอนิจจัง
คนเป็นอนิจจัง วัตถุในโลกก็เป็นอนิจจัง

คำว่า “อนิจจัง” แปลว่า มันไม่เที่ยง
เรารู้ตามความเป็นจริงของมันว่ามันไม่เที่ยง
ในเมื่อมันไม่เที่ยง เรายอมรับนับถือ
ความไม่เที่ยงของมัน มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหาอะไรเที่ยงไม่ได้
แต่ว่าเมื่อมันไม่เที่ยง เราก็ทำใจของเราให้เที่ยง
มันเที่ยงตรงไหน เที่ยงตรงที่มันมีความรู้สึก
ตามกฎของธรรมดาอยู่เสมอว่า
ร่างกายก็ วัตถุธาตุก็ดี ที่เกิดมาในโลกนี้
มันไม่เที่ยง มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น
และมีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง
มีความแตกสลายตัวไปในที่สุด

 

คิดอยู่ในขอบเขตพิจารณา วิปัสสนาญาณนี้
ตามที่บูรพาจารย์สอนไว้ว่า ในระยะต้น
ให้ควบคุมอารมณ์ใจอยู่ในอำนาจของ
สมถภาวนา ให้นานที่สุดที่จะทรงได้
เมื่อทรงอยู่ได้ด้วยดีแล้ว

ต่อไปก็ใช้อารมณ์สมาธินี้พิจารณาขันธ์ ๕
เห็นว่าขันธ์ ๕ นี้เต็มไปด้วยความทุกข์
หาความสุขอะไรไม่ได้ แล้วก็มีการสลายตัว
ไปในที่สุด..

เป็นอันว่าขันธ์ ๕ นี้ แม้ว่าเราจะปรนเปรอ
ขนาดไหนก็ตาม มันก็ไม่ตามใจเรา
เราไม่ต้องการให้มันแก่ มันก็จะแก่
เราไม่ต้องการให้มันป่วย มันก็จะป่วย
เราไม่ต้องการให้มันพลัดพรากจากเรา
หรือเราพลัดพรากจากมัน เราก็ทำไม่ได้
ในที่สุดเราไม่ต้องการอยากให้ตาย
มันก็จะตาย ห้ามไม่ได้..

ขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
นี่ว่าโดยย่อ...


************************************