อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์. พระบรมศาสดา และเหล่าผู้พระสาวก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 11 ตุลาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ในคัมภีร์บุคคลบัญญัติ แสดงวิมุตติของพระอรหันต์ ๒ อย่าง คือ อุภโตภาควิมุตติ และปัญญาวิมุตติ ไม่มีเจโตวิมุตติ
    อุภโตภาควิมุตติ ได้แก่ บุคคลที่ได้สมาบัติ ๘ คือได้ทั้งรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ ออกจากสมาบัติแล้วเจริญวิปัสสนา เห็นความเสื่อมไปสิ้นไปของสังขารทั้งหลายด้วยวิปัสสนาปัญญา เห็นอริยสัจ ๔ ด้วยมรรคปัญญา กล่าวคือบุคคลประเภทอุภโตภาควิมุตตินี้พ้นจากรูปกายคือรูปฌานด้วยอรูปฌานหรืออรูปสมาบัติ และเพราะเจริญฌานที่มีอรูปเป็นอารมณ์ จึงชื่อว่าพ้นจากรูปกายด้วยอรูปสมาบัติก่อนเป็นครั้งแรก จากนั้นจึงพ้นจากนามกาย คือกิเลสด้วยอริยมรรคเป็นครั้งที่สอง เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าอุภโตภาควิมุตตบุคคล เพราะหลุดพ้นจากส่วนสองคือ ๒ ครั้ง ครั้งแรกพ้นจากรูปกายด้วยอรูปสมาบัติ ครั้งที่ ๒ พ้นจากกิเลสด้วยอริยมรรค
    ท่านจัดบุคคลที่ชื่อว่าอุภโตภาควิมุตติไว้ ๕ พวกคือบุคคลที่ได้อรูปสมาบัติ ๔ ออกจากอรูปสมาบัติแต่ละสมาบัติแล้ว พิจารณาสังขารทั้งหลายแล้วจึงบรรลุพระอรหัตต์จัดเป็น ๔ พวก กับพระอนาคามีผู้ออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว บรรลุพระอรหัตต์อีกพวกหนึ่ง จึงเป็น ๕ พวก
    สรุปว่า บุคคลที่ได้ชื่อว่าอุภโตภาควิมุตตินั้น ได้แก่พระอรหันต์ผู้ได้สมาบัติ ๘ เท่านั้น

    ปัญญาวิมุตติ ได้แก่บุคคลผู้มิได้ถูกต้องสมาบัติ ๘ ด้วยกาย แต่หลุดพ้นจากกิเลสเพราะเห็นด้วยปัญญา ท่านจัดปัญญาวิมุตติบุคคลไว้ ๕ พวก คือพระอรหันต์ผู้สุกขวิปัสสก คือเจริญวิปัสสนาล้วนๆ พวกหนึ่ง และบุคคลผู้ออกจากรูปฌาน ๔ แต่ละฌานแล้วเจริญวิปัสสนา แล้วบรรลุพระอรหันต์อีก ๔ พวกคือ
    ออกจากปฐมฌานแล้วบรรลุพระอรหัตต์ ๑ ออกจากทุติยฌานแล้วบรรลุพระอรหัตต์ ๑
    ออกจากตติยฌานแล้วบรรลุพระอรหัตต์ ๑ ออกจากจตุตถฌานแล้วบรรลุพระอรหัตต์อีก ๑ จึงรวมเป็น ๕ พวก ซึ่งพระอรหันต์ทั้ง ๕ พวกนี้ไม่มีท่านใดเลยที่ได้สมาบัติ ๘ อย่างมากก็ได้เพียงรูปฌาน ๔ เท่านั้น
    ถึงกระนั้น บุคคลทั้งสองพวกนี้ คือทั้งอุภโตภาควิมุตติและปัญญาวิมุตติต่าง ก็ได้ชื่อว่าพระอรหันต์ผู้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงเป็นสมุจเฉทวิมุตติด้วยกันทั้งสิ้น
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ?temp_hash=271b191bda160ced644d4e210883de02.jpg





    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    ทาน ถึงแม้ว่าจะจัดเป็นกองเสบียงก็ตาม
    แต่มันก็จะต้องทำการต่อสู้กับข้าศึก
    ที่จะมาตัดการลำเลียงมิใช่ย่อยเหมือนกัน

    ฉะนั้น การสร้างความดีในทางพุทธศาสนา
    ไม่ว่าจะโดยวิธีใดๆ ก็ตาม
    ที่แท้แล้วก็คือเป็นการต่อสู้กับศัตรู
    (คือกิเลสของตนทั้งนั้นนั่นเอง)

    จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ปัญญา (คืออาวุธ)
    ถ้าปัญญาคือทัพหลัง
    ไม่เป็นกำลังเข้าช่วยแล้วก็จะหมดท่า…

    การทำทานจาคะบริจาควัตถุสิ่งของใดๆ ก็ตาม
    มันเป็นการยากยิ่งของผู้ไม่มีปัญญา
    ร้ายกว่าเข้าสู้สงคราม

    การต่อสู้ใดๆ ทั้งหมดก็ต้องอาศัยอาวุธ
    ถ้าหาไม่แล้วจะเอาชัยชนะมาแต่ไหน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    39775446_2028412063870940_369764922902446080_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    39821232_2059756051001460_282997057285783552_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    เลิกโง่กันเสียที

    ฌานโลกีย์หรือฌานโลกุตตระก็ตาม ถ้ามันจะมีความเข้มแข็งผ่องใส ในเมื่อร่างกายดี ถ้าแรงกายตกมันก็คงจะมัว ๆ ไปนั้นเอง ยิ่งฌานโลกีย์ยิ่งซวยใหญ่เลย ถ้าร่างกายทรุดนี่ มันทรุดตามเลย เราเพลียอยู่ ปวดหัวปวดท้องนิดหน่อยมันก็ทรุดตาม ทีนี้ถ้าเรามีวิปัสสนาญาณคุมตน อย่าง พระโคธิกะ เข้ามาทีแรกท่านได้ฌานโลกีย์ พอป่วย ๆ กำลังจิตมันอ่อนลง ฌานก็ทรุด พออาการป่วยคลายลง กำลังจิตก็ดีขึ้น มันก็วิ่งขึ้นวิ่งลง ท่านเลยโมโห ไอ้บ้านี่ ! คนเขาเป็นอรหันต์กันหมด เพราะมึงคนเดียว เพราะมึงคือขันธ์ ๕ ร่างกาย ร่างกายไม่ดีทำให้เราไม่ได้เป็นพระอริยะ ถ้าร่างกายข้าดีกว่านี้ อยากจะเชือดคอมึง ถ้ามีแรงนะ ถ้าร่างกายแกไม่ดีขึ้น มันไม่มีแรงเชือด ถ้าร่างกายแกค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อยพอจะหาย แกก็รวบรวมกำลังใจ ว่าไอ้ภาวะอย่างนี้ไม่มีสำหรับเราอีก เชือดคอทิ้งไปเลย วิ่งไปนิพพานฉิบใช่ไหม แต่แกไม่ต้องเชือดคอนะ ไม่ต้อง ๆๆ ถ้าจะเชือดก็เชือดใกล้ ๆ เตาเผาศพ ไม่งั้นวัดอื่นเอาไปกินหมด คือว่าเราเทียบอารมณ์นั้นใช่ไหม เทียบอารมณ์ของพระโคธิกะ ก็พระโคธิกะแม้แต่ฌานโลกีย์ก็ทรงไม่ได้ดี แต่ไปนิพพานได้เพราะอะไร ไปนิพพานได้เพราะเห็นว่า ร่างกายเป็นศัตรู นี่จุดนี้ต้องคิดไว้เสมอ ในร่างกายนี่มันเป็นศัตรู เพราะร่างกายนี่มันเป็นของใคร ใครสร้างร่างกายนี่ ถามใครเป็นคนสร้าง บอก พ่อกับแม่สร้าง งั้นซวยเลย ร่างกายนี่กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม ๔ อย่างนี่มันสร้าง

    กิเลส คือ ความชั่วที่ไม่ยอมรับนับถือความเป็นจริง ใช่ไหม มันเชื่อเลว ไม่เชื่อดี ไอ้กิเลสน่ะ กิเลสแปลว่าความเศร้าหมองจิต เลยไม่รู้เรื่องเลย ท่านถึงบอกกิเลสก็คืออารมณ์ชั่วของจิต จิตในเมื่อมันสัมผัสกับอารมณ์ชั่ว มันก็เชื่อชั่ว

    ตัณหา ดิ้นรนเข้าไปหาความชั่ว อยากได้สิ่งที่ชั่ว ๆ ออกมาจากจิต

    อุปาทาน ยึดถือความชั่วนั้นว่าเป็นของดี ในเมื่ออารมณ์มันชั่ว การกระทำก็ทำด้วยความโง่

    อกุศลกรรม ก็ทำด้วยความชั่ว ให้มันเกิดขึ้น มันก็เลยเกิดมนุษย์นี่ สมบัติของคนชั่ว สมบัติของจิตชั่ว ต้องถามแบบ หลวงปู่บุดดา ไอ้พวกที่เกิดมานี่โง่ทั้งนั้น แน่ะ ! เสียงเอะอะโวยวาย มันโง่มันถึงเกิด ถามหลวงปู่โง่หรือเปล่า โง่น่ะสิ (หัวเราะ) มันโง่น่ะสิ ข้าถึงเกิด แต่ความจริงเราก็โง่ด้วยกันทั้งนั้น คือว่าถ้าเราไม่โง่เราก็ไม่เกิด ใช่ไหม แต่ว่าเมื่อเกิดมาแล้วมันพบความไม่โง่ เราก็เลิกโง่กันเสียที แต่ก็ต้องเข้าใจไว้ด้วย กว่าเราจะพบความไม่โง่นี่ เราต้องใช้เวลาเกิดกันไม่รู้ว่ากี่อสงไขยกัป ถ้านับเป็นกัปก็นับเป็นอสงไขยกัป

    จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๓๗ หน้าที่ ๒๙ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    40321040_1049914778501935_3854397681149411328_n.jpg





    ผู้ถาม:- “ขอนมัสการครับ กระผมขอทราบว่า สภาวะจิตสงบ จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นภวังค์ จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ มีสภาวะแตกต่างกันอย่างไรครับ…?”

    หลวงพ่อ:- “ถามมา ๔ ข้อ แต่ตอบได้ ๒ ข้อ มันแตกต่างกันแค่ จิตเป็นภวังค์ อย่างเดียว นอกนั้นอย่างเดียวกัน จิตสงบ จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ ก็คือ จิตเป็นสมาธิ ก็หมายความว่าจิตตั้งอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง

    อย่างโยมอยากจะไปขโมยควายเขา ตั้งใจว่าควายบ้านนี้กูขโมยแน่ นี่เป็นสมาธิ คือตัวตั้งใจอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเขาเรียกว่าสมาธิ แต่ว่าสมาธิแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาสมาธิ กับ มิจฉาสมาธิ ตั้งใจขโมยควายเขา เป็นมิจฉาสมาธิ ถ้าตั้งใจสร้างความดี เป็นสัมมาสมาธิ”

    ผู้ถาม:- “ตามที่กระผมอ่านในตำรา เขาบอกว่าจิตขึ้นมารับอารมณ์ชั่วขณะจิต พอหมดไปแล้วบอกว่าจิตเป็นภวังค์ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จึงขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จิตเป็นภวังค์ หมายความว่าอย่างไรครับ…?”

    หลวงพ่อ:- “คำว่า ภวังค์ นี่ก็คืออารมณ์ปกติ ส่วนมากคนมักเข้าใจกันผิด พอจิตตกมีสภาพวูบดิ่ง จิตทรงตัว บอกว่าเป็นภวังค์ อย่างนี้ไม่ใช่นะ พูดง่ายๆ อารมณ์ธรรมดานี่แหละ อารมณ์ไม่ได้ความนี่เอง

    เอาเรื่องง่ายๆ ไม่ดีกว่าหรือ…พระพุทธเจ้าท่านสอนง่ายกว่านี้มีเยอะ ทำไมถึงชอบยากๆ กินหมูมีกระดูกมาก กินปลามีก้างมาก มันจะดีรึ

    เอาอย่างนี้ดีกว่า ทำยังไงที่จะไม่ให้จิตคบกับนิวรณ์ ๕ ได้ มีประโยชน์มากกว่าตั้งเยอะ อย่างที่โยมว่าอีกหลายชาติก็ยังไม่ถึงนิพพาน ระวังมันจะมีมานะ ไปนั่งเถียงกัน แกไม่รู้จักขณะจิต พังเลย เราแย่ คนที่คิดน่ะแย่ มานะนี่หยาบมาก ยกยอดทิ้งไปเลย ไปงั้นไม่มีทางไป

    ที่ว่ามานะ ฉันอ่านมาแล้ว ฉันหมุนมาแล้ว จึงเลิก โยมยังไม่เลิก เพราะว่าศัพท์ประเภทนี้มันเหมาะสำหรับคนสมัยนั้น คนสมัยนี้ไม่ควรจะใช้ศัพท์สมัยนั้นมาก เพราะว่าอุปนิสัยของคนไม่เท่าคนสมัยนั้น คำสอนแต่ละคำสอนแต่ละช่วงจะเหมาะสำหรับคนแต่ละสมัย คนที่สั่งสมอบรมมาดีแล้ว ถ้าเราไปพูดยาวแทนที่จะดี กลับทำให้รำคาญ เพราะคนพวกนี้ใกล้เต็มที่ ไอ้คนจะถึงประตู ไปอธิบายต้นทางมันก็รำคาญ ใช่ไหม…ว่าไง โยม มีอะไรอีกไหม…?”

    ผู้ถาม:- “ขออาราธนาหลวงพ่อเทศน์เรื่อย ๆ ไปครับ”
    หลวงพ่อ:- “ฉันก็เหนื่อยน่ะซิ เครื่องกัณฑ์มีรึยังล่ะ นิมนต์เทศน์ก็ต้องติดเครื่องกัณฑ์ ถ้าอธิบายไม่ต้องติด”

    ผู้ถาม:- “นิมนต์หลวงพ่ออธิบายต่อไปเรื่อย ๆ ครับ”

    หลวงพ่อ:- “เอายังงี้ดีกว่า คิดแต่เพียงว่า เราจะทำอย่างไร จึงจะวางภาระในขันธ์ ๕ เสียได้ เอาตรงนี้แหละ นั่งดูว่าร่างกาย เกิด แก่ เจ็บ ตาย ควรจะมีอีกไหม ถ้าเราต้องการมันอีก เกิดมากี่ชาติ เราก็มีสภาพแบบนี้ มีทุกข์แบบนี้ ทำยังไงจึงจะไม่มีทุกข์ ที่จะไม่มีทุกข์ได้ ก็คือ

    ๑.ตัดโลภะ ความโลภ โดยการให้ทาน เจริญจาคานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์

    ๒.ตัดโทสะ ความโกรธ ให้ทรงพรหมวิหาร ๔ หรือ กสิณ ๔ หรือ ตัดมานะ ความถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา

    ๓.ตัดโมหะ ความหลง โดยการใช้ปัญญาพิจารณา และยอมรับนับถือตามความเป็นจริง คือว่าเกิดมาแล้วก็ต้องมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มันเป็นธรรมดา ก็เท่านี้แหละ ยากไหม…?”
    ผู้ถาม:- “ฟังดูก็ไม่ยากหรอกครับ แต่ทำไม่ค่อยจะได้ แต่ก็จะพยายามครับ”

    อ้างอิง – หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๔๗-๔๙ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    40597908_330168807550309_3309544752818421760_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    พระพาหิยทารุจีริยเถระ ผู้เลิศด้านการตรัสรู้เร็ว
    *******
    พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “พาหิยะ เพราะเหตุนั้น เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้อารมณ์ที่ได้รับรู้ ก็สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง พาหิยะ เธอพึงรักษาอย่างนี้แล

    เมื่อใด เธอเมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้อารมณ์ที่ได้รับรู้ก็สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง เมื่อนั้น เธอก็จะไม่มี เมื่อใด เธอไม่มี เมื่อนั้น เธอก็จะไม่ยึดติดในสิ่งนั้น เมื่อใด เธอไม่ยึดติดในสิ่งนั้น เมื่อนั้น เธอจักไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้เป็นที่สุดแห่งทุกข์”

    ลำดับนั้น ด้วยพระธรรมเทศนาย่อนี้ของพระผู้มีพระภาค จิตของพาหิยะทารุจีริยะจึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยะ ทารุจีริยะด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้วก็เสด็จจากไป เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จจากไปไม่นาน โคแม่ลูกอ่อนได้ขวิดพาหิยะ ทารุจีริยะจนล้มลงเสียชีวิต

    ข้อความบางตอนใน พาหิยสูตร ขุททกนิกาย อุทาน
    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕
    http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=45

    ข้อความบางตอนในอรรถกถาพาหิยสูตร ว่า
    ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ในที่สุดแสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ กุลบุตรคนหนึ่งกำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระทศพลที่หังสวดีนคร เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะแห่งภิกษุผู้เป็นขิปปาภิญญา

    คิดว่า ไฉนหนอ ในอนาคต เราจักบวชในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นปานนี้ แล้วพึงเป็นผู้อันพระศาสดาสถาปนาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเช่นนี้ เหมือนภิกษุรูปนี้ ได้ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงบำเพ็ญบุญญาธิการอันสมควรแก่ตำแหน่งนั้น บำเพ็ญบุญอยู่ตลอดชีวิต มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ บวชในพระศาสนาของพระกัสสปทศพล มีศีลบริบูรณ์บำเพ็ญสมณธรรม ถึงความสิ้นชีวิตแล้วบังเกิดในเทวโลก.
    ........
    ฯลฯ
    ..........
    ถามว่า ก็ความสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์นี้ เกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะอาศัยอะไร?
    ตอบว่า อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ความสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์เกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะท่านกำจัดกิเลสได้ด้วยตทังคปหาน เหตุได้สร้างบุญญาธิการไว้ตลอดกาลนาน โดยความที่ท่านเป็นผู้มักน้อย สันโดษและเป็นผู้ขัดเกลา.

    แต่อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ท่านพาหิยะได้ฌาน ๔ มีปฐมฌานเป็นต้น เพราะฉะนั้น ความสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ จึงเกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะกิเลสไม่ฟุ้งขึ้นด้วยวิกขัมภนปหาน.
    ฯลฯ
    ศึกษาเพิ่มเติมในอรรถกถาพาหิยสูตร
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=47





    41222153_1720860614703753_15010193439981568_n-jpg.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    [​IMG]






    หลวงพ่อฯ เล่ม 3 หน้า 9
    จิต

    จิตในที่นี่จะไปหมายความว่า มันเป็นดวง ๆ ก็ไม่ถูก ความจริงแล้วมันเป็นกายอีกกายหนึ่งที่เราเรียกว่า อทิสสมานกาย
    มีหัว มีเท้า มีมือ มีขา มีร่างกายเหมือนกัน
    แต่ว่ากายนี้จะสวยหรือไม่สวยปานใด ต้องวัดกันถึงด้านกุศลผลบุญที่เราทำไว้ ถ้าเราทำบาปกายนี้ก็เสื่อมโทรมดูไม่สวย ถ้าเรามีบุญร่างกายก็สวย
    ถ้าบุญมากเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งสวยมากเท่านั้น
    ถ้าร่างกายของพระที่ประกอบไปด้วยพระนิพพาน จะเห็นเป็นแก้วประกายพรึกทั้งดวง มีแสงสว่างมาก กายประเภทนี้
    จะทราบกันได้เมื่อเราได้ เจโตปริยญาณ เพราะอาศัยที่เรามีความเคารพในศาสนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดา
    สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ ความรู้อันนี้
    องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ได้มาแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้สอนพวกเราเหล่าพุทธบริษัท
    ถ้าเราปฏิบัติตาม เราก็ได้เช่นเดียวกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    พระมหาจุนทะสอนให้มองแต่แง่ดี ไม่ควรทะเลาะกันเพราะมีความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน
    ****************
    ในมหาจุนทสูตร มีเนื้อความโดยย่อว่า ท่านพระมหาจุนทะได้เล่าภิกษุ ๒ พวก มีความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน คือ (๑) ภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก (๒) ภิกษุผู้บำเพ็ญฌาน
    ๑. ภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก รุกราน และไม่สรรเสริญไม่เลื่อมใสภิกษุผู้บำเพ็ญฌาน แต่สรรเสริญเลื่อมใสพวกเดียวกัน ทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่เทวดาและมนุษย์
    ๒. ภิกษุผู้บำเพ็ญฌาน รุกราน ไม่สรรเสริญไม่เลื่อมใสภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก แต่สรรเสริญเลื่อมใสพวกเดียวกัน ทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่เทวดาและมนุษย์
    ท่านพระมหาจุนทะได้ให้ภิกษุทั้งหลายพึงสำเหนียกว่า
    ๑. ภิกษุผู้เป็นธรรมกถึกพึงสำเหนียกว่า ‘พวกเราทั้งหลายเมื่อเป็นผู้ประกอบธรรม จักสรรเสริญพวกภิกษุผู้เพ่งฌาน’ เพราะบุคคลผู้ถูกต้องอมตธาตุ
    ด้วยกาย เป็นอัจฉริยบุคคล หาได้ยากในโลก
    ๒. ภิกษุผู้บำเพ็ญฌานพึงสำเหนียกว่า ‘เราทั้งหลายเมื่อเป็นผู้เพ่งฌาน จักสรรเสริญพวกภิกษุผู้ประกอบธรรม’ เพราะบุคคลผู้รู้แจ้ง เห็นอัตถบทอันลึกซึ้งด้วยปัญญานั้น เป็นอัจฉริยบุคคล หาได้ยากในโลก
    …….
    ดูรายละเอียดใน มหาจุนทสูตร อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒
    http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=22&siri=297
    อรรถกถามหาจุนทสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=317



    41399500_1724390694350745_1910947760215949312_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    41501568_1892433034157987_6929873167376711680_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ?temp_hash=3c0c00ff68b9478a964fb9ad5de1102f.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ?temp_hash=66695171e3e370d8fc62d779996c4e50.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    42589103_340917843142072_5118952021503770624_n.jpg
     
  15. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    42810703_1066656003494479_5910437231989882880_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    42974426_2395069513853420_3144902026249371648_n.jpg
     
  17. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    สติสัมปชัญญะมีผลอย่างไร
    **************************************
    [๘๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อสติสัมปชัญญะไม่มี หิริและโอตตัปปะของบุคคลผู้มีสติสัมปชัญญะวิบัติ ชื่อว่ามีเหตุถูกขจัดแล้ว

    เมื่อหิริและโอตตัปปะไม่มี อินทรียสังวรของบุคคลผู้มีหิริและโอตตัปปะวิบัติ ชื่อว่ามีเหตุถูกขจัดแล้ว

    เมื่ออินทรียสังวรไม่มี ศีลของบุคคลผู้มีอินทรียสังวรวิบัติ ชื่อว่ามีเหตุถูกขจัดแล้ว

    เมื่อศีลไม่มี สัมมาสมาธิของบุคคลผู้มีศีลวิบัติ ชื่อว่ามีเหตุถูกขจัดแล้ว

    เมื่อสัมมาสมาธิไม่มี ยถาภูตญาณทัสสนะของบุคคลผู้มีสัมมาสมาธิวิบัติ ชื่อว่ามีเหตุถูกขจัดแล้ว

    เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะไม่มี นิพพิทาและวิราคะของบุคคลผู้มียถาภูตญาณทัสสนะวิบัติ ชื่อว่ามีเหตุถูกขจัดแล้ว

    เมื่อนิพพิทาและวิราคะไม่มี วิมุตติญาณทัสสนะของบุคคลผู้มีนิพพิทาและวิราคะวิบัติ ชื่อว่ามีเหตุถูกขจัดแล้ว

    ภิกษุทั้งหลาย เมื่อสติสัมปชัญญะมี หิริและโอตตัปปะของบุคคลผู้สมบูรณ์
    ด้วยสติสัมปชัญญะ ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์

    เมื่อหิริและโอตตัปปะมี อินทรียสังวร
    ของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยหิริและโอตตัปปะ ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์

    เมื่ออินทรียสังวรมีศีลของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยอินทรียสังวร ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์

    เมื่อศีลมี สัมมาสมาธิ ของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์

    เมื่อสัมมาสมาธิมี ยถาภูตญาณทัสสนะของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์

    เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะมี นิพพิทาและวิราคะของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์

    เมื่อนิพพิทาและวิราคะมี วิมุตติญาณทัสสนะของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาและวิราคะ ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์

    ภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ที่มีกิ่งและใบสมบูรณ์ สะเก็ด เปลือก กระพี้ แม้แก่นของต้นไม้นั้น ย่อมถึงความบริบูรณ์ แม้ฉันใด

    ภิกษุทั้งหลาย เมื่อสติสัมปชัญญะมี หิริและโอตตัปปะของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์

    เมื่อหิริและโอตตัปปะมี อินทรียสังวรของ
    บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยหิริและโอตตัปปะ ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ฯลฯ วิมุตติญาณทัสสนะของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาและวิราคะ ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ฉันนั้นเหมือนกัน”
    ***************
    สติสัมปชัญญสูตร อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓
    http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=23&siri=154






    43223289_1751401304983017_2705175427579641856_n.jpg
     
  18. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    43149307_335445077205211_4743240548876288000_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    43346179_488653754951936_343887285382545408_n.jpg
     
  20. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    43551091_1071437606349652_8694665900634144768_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...