อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์. พระบรมศาสดา และเหล่าผู้พระสาวก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 11 ตุลาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    สังโยชน์เบื้องสูง

    พระท่านมีข้อคิดในการพิจารณาเป็นภาษาบาลี แต่แปลเป็นไทยได้ว่า บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำ กาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้ ฆราวาสก็นำเอาไปใช้ได้

    ในแต่ละวัน สำรวจดูว่าศีลข้อไหนของเราบกพร่องบ้าง ? ถ้าสมบูรณ์บริบูรณ์ดีแล้ว ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นเขาทำ ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นเขาทำ เราก็พัฒนาไปเป็นกรรมบถ ๑๐

    กรรมบถ ๑๐ ระมัดระวังรักษายากกว่า นอกจากจะไม่ฆ่าสัตว์แล้ว ยังไม่ทำร้ายสัตว์โดยเจตนาอีก ไม่ลักขโมยของเขาแล้ว แม้กระทั่งหยิบของที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตก็ไม่แตะต้อง ไม่ละเมิดคนรักของใคร ไม่ละเมิดของรักของใคร

    ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดให้คนเขาแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์ ไร้อรรถ ไร้ธรรม

    ในด้านของใจนั้น ท่านไม่โลภ ถ้าอยากได้สิ่งใดจะหามาโดยถูกต้องตามทำนองคลองธรรม พยายามระงับโทสะ โกรธได้แต่ไม่ผูกโกรธ พูดง่าย ๆ ก็คือ โกรธแล้วลืม และท้ายสุดมีความเห็นเป็นสัมมาทิฏฐิ คือ เห็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเป็นของดี เราจะทำตาม

    เมื่อพัฒนาขึ้นมาถึงขั้นนี้ได้ กำลังใจเราจะห่างจาก รัก โลภ โกรธ หลง ไปอย่างมาก สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นกำเริบได้ แต่ทำอันตรายเราไม่ได้ ถ้าเราทบทวนพิจารณาอยู่บ่อย ๆ ท้ายสุดก็จะก้าวล่วงขึ้นไปสู่การเป็นพระอนาคามี

    การทบทวนบ่อย ๆ ทำให้สมาธิทรงตัว ถ้าถึงระดับฌาน ๔ เมื่อไร กำลังเดิมก็จะรวมตัวมาทั้งหมด จะตัดราคะกับโทสะโดยอัตโนมัติ ถ้าหากว่ายังไม่ทรงฌาน ๔ โอกาสเป็นพระอนาคามีเหลือแค่ศูนย์ เนื่องจากว่าเมื่อกำลังไม่ถึงฌาน ๔ ก็ไม่สามารถที่จะกดราคะกับโทสะลงได้

    ดังนั้น..ท่านทั้งหลายถ้าหวังความอยู่สุข อยู่เย็น ไม่ว่าจะอยู่ในผ้าเหลืองของพุทธศาสนา หรือว่าอยู่ในฐานะพุทธศาสนิกชนที่เป็นนักปฏิบัติ ต้องหวังอย่างต่ำคือความเป็นพระอนาคามี เพราะว่าสามารถที่จะตัดรัก ตัดโกรธได้อย่างแท้จริง แล้วถามว่า...หากมีคู่ครองจะทำอย่างไร ? บอกว่า..ไม่ต้องทำ เพราะไร้ความสามารถที่จะทำ พอก้าวถึงตรงจุดนั้น ร่างกายจะหมดความสามารถที่จะมีคู่ครองโดยสิ้นเชิงแล้ว

    ถ้าไม่ทอดทิ้ง พยายามพิจารณาในส่วนละเอียดของสังโยชน์เบื้องสูง ก็คือ พยายามละเว้นในรูปราคะและอรูปราคะ คือ การไม่ติดในรูปหรืออรูป ซึ่งส่วนที่ละเอียดที่สุดก็คือ การยึดติดในรูปฌานและอรูปฌาน ซึ่งจะว่าแล้วก็ละได้ง่าย เพราะว่าเราใช้กำลังส่วนนั้นในการเกาะพระนิพพานแทน...ก็ไม่ถือว่าติด

    พยายามลดการถือตัวถือตนลง ให้เห็นว่าไม่ว่าตัวเราตัวเขา ไม่ว่าคน ไม่ว่าสัตว์ ท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายจากไปหมด ไม่มีใครดีกว่า ไม่มีใครเลวกว่า

    เหลือตัวสุดท้ายคืออวิชชา ไม่ว่าตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิดอะไรก็ตาม พยายามหยุดลงให้ได้ ให้เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสก็สักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส ใจอย่าไปนึกคิดปรุงแต่งต่อ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ จะเกิดไม่ได้ เพราะทันทีที่เราคิด ยินดี....ราคะเกิด ไม่ยินดี...โทสะเกิด แล้วถ้ายินดีเมื่อไร ก็จะอยากมีอยากได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุใหญ่ของตัณหา

    ดังนั้น..ตัวอวิชชาตัวสุดท้าย จะเป็นตัวที่ละได้ยากนิดหนึ่ง แต่ว่าถ้าทำถึงระดับนั้นแล้วก็ ไม่เกินความสามารถของเรา
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี อ.ทองผาภูมิ ต.ท่าขนุน
    ภาพ และที่มา : วัดท่าขนุน

    c_oc=AQkmVOujYqMNRGqvIQhOle191SIJLvezXo6ZwYHjfkrKrckLAqUl4GrCYKpvT2nsIb8&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    "..คนเมาแต่ธาตุของตัวยังพอดี เรียกว่าทุกข์น้อย ถ้าเมาในธาตุของบุคคลอื่นด้วยเรียกว่าทุกข์หนักขึ้นไป ถ้ายิ่งเมาอยากจะมีลูก เมาอยากจะมีหลาน เมาอยากจะมีเหลน ก็ยิ่งหนักเข้าไปทุกที

    ของที่มันอยู่บนบ่าเราชิ้นหนึ่งก็หนักอยู่แล้ว ไปเพิ่มเข้ามาอีกชิ้นหนึ่ง มันก็หนักเข้าไปอีกเท่าตัว เพิ่มเข้ามาอีกชิ้นหนึ่งหนักเข้าไปอีก ของยิ่งหนักอยู่แล้วไปแสวงหามาให้หนักมากขึ้น

    พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนัก.."

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ฉบับ ๔๑๙ หน้า ๕๗
    c_oc=AQmMNNiN3BbqziDJmAA26sol8iEWKh4oSw84FBYsv4wQe4ZPtmWGW_Cba38BI0JIbQg&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    dhamma33.jpg


    อย่าพากันเล่นมากนะ ครูบาอาจารย์เหลือน้อยลงทุกทีแล้วนะฝ่ายปฏิบัติ สักหน่อยมันก็จะเป็นทางโลกไปหมดแล้วนะ อย่างหลวงปู่มั่นท่านได้ทำนายไว้แล้วนะเรื่องศาสนาว่า

    “วัดป่ามันจะกลายเป็นวัดบ้าน วัดบ้านจะกลายเป็นคนตาย คนตายจะกลายเป็นบ้า”

    ท่านทำนายไว้หมดแล้วนะ เดี๋ยวนี้ดูสิโลกมันร้อนมากนะ พอได้เข้าหาพระหาเจ้า พอได้เห็นครูบาอาจารย์ จิตใจมันก็สบาย ดูซิ คนได้เข้าหาครูบาอาจารย์ มันก็สบายเย็นใจ แค่เห็นวัดเท่านั้นแหละ เห็นกริยามารยาทของครูบาอาจารย์ จิตมันก็สงบสบาย ถ้าได้ออกไปทางโลก เดี๋ยวก็วิ่งกลับมาทางธรรมอีก เป็นอยู่อย่างนั้นสังเกตดูซิ
    ถ้าใจมันไม่ร้อน ไม่วิ่งกลับมาหรอก วุ่นวายมากนะสมัยนี้ ความเจริญกับความเสื่อมอยู่ด้วยกันนะ จะไปอะไรมากมาย แต่ขนาดครอบครัวก็แย่งชิงกันเป็นใหญ่ในบ้านแล้ว
    เรื่องเป็นเจ้าเป็นนายก็เหมือนกันนะ แย่งชิงเก้าอี้ เพื่อความเป็นใหญ่กันอยู่นั้นแหละ สักหน่อยก็ปลดออกจากตำแหน่ง สักหน่อยก็แต่งตั้งขึ้นใหม่อยู่อย่างนั้น โลกนี้คิดไปคิดมาแล้วที่ไหนมันมีความสุข ไม่เห็นมีความสุขนะ ถ้าคิดใคร่ครวญดูจริงๆ ให้ไปคิดอ่านใคร่ครวญ เข้าไปดูซิ

    หลวงปู่ลี กุสลธโร
     
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    temp_hash-1c217424a4656260912af2fca5651e6d-jpg.jpg
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
    อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
    [​IMG]
    ๕. อนุสสติฏฐานสูตร
    [๒๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุสสติ ๖ ประการนี้ ๖ ประการเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึกถึงพระตถาคตว่า
    แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ... เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็น
    ผู้จำแนกธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระตถาคต
    สมัยนั้น จิตของพระอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้ม
    รุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว เป็นจิตออกไป พ้นไป
    หลุดไปจากความอยาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าความอยากนี้ เป็นชื่อของ
    เบญจกามคุณ สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำพุทธานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์ ย่อม
    บริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
    อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรมว่า พระธรรมอัน
    พระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชนจะพึงรู้เฉพาะตน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรม สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิต
    ไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ... สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำธรรมานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์
    ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
    อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของ
    พระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่น
    ยิ่งกว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวก ย่อมระลึกถึงพระสงฆ์ สมัยนั้น
    จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ... สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำ
    สังฆานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์ ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
    อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงศีลของตน อันไม่ขาด ฯลฯ
    เป็นไปเพื่อสมาธิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศีล
    สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ... สัตว์บางพวกใน
    โลกนี้ ทำสีลานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์ ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
    อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงจาคะของตนว่า เป็นลาภของ
    เราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ฯลฯ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน ดูกร-
    *ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงจาคะ สมัยนั้น จิตของอริยสาวก
    นั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ... สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำจาคานุสสติแม้นี้
    ให้เป็นอารมณ์ ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
    อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงเทวดาว่า เทวดาเหล่าจาตุมหาราช
    มีอยู่ เทวดาเหล่าดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาเหล่ายามามีอยู่ เทวดาเหล่าดุสิตมีอยู่
    เทวดาเหล่านิมมานรดีมีอยู่ เทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัดดีมีอยู่ เทวดาเหล่าพรหม
    มีอยู่ เทวดาที่สูงกว่านั้นมีอยู่ เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติ
    จากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ศรัทธาเช่นนั้นแม้ของเรามีอยู่ เทวดา
    เหล่านั้น ประกอบด้วยศีลเช่นใด ด้วยสุตะเช่นใด ด้วยจาคะเช่นใด ด้วย
    ปัญญาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ปัญญาเช่นนั้นแม้ของเรา
    ก็มีอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ
    จาคะ และปัญญา ของตนและของเทวดาเหล่านั้น สมัยนั้น จิตของอริยสาวก
    นั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม เป็น
    จิตดำเนินไปตรงทีเดียว เป็นจิตออกไป พ้นไป หลุดไปจากความอยาก ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย คำว่า ความอยาก นี้ เป็นชื่อของเบญจกามคุณ สัตว์บางพวกใน
    โลกนี้ ทำเทวตานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์ ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย อนุสสติ ๖ ประการนี้แล ฯ
    จบสูตรที่ ๕
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    c_oc=AQnkLEoymDehgp7nOr-GOkYVhjQz97XcJCLApCNM-sJOe6f1U5cxJiKngO5O2lg8Tvg&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg



    หลวงปู่มั่นกล่าวว่า “พระอรหันต์ทุกประเภทบรรลุทั้งเจโตวิมุตติ ทั้งปัญญาวิมุตติ” ไว้ในหนังสือ “มุตโตทัย”


    ขอบคุณเจ้าของหนังสือ “มุตโตทัย และปฏิบัติปุจฉาวิสัชนา” >>>http://www.flipbooksoft.com/…/2caed5910593ace6da9e33cc…/.pdf
     
  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ++ กิเลสใหญ่ +++

    ถาม : ความเครียดและความอายเป็นกิเลสชนิดใด ?

    ตอบ : ความเครียดส่วนใหญ่เกิดจากความไม่พอใจ#ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นส่วนของโทสะ ส่วนความอายเกิดจากการกังวลในตัวตนของตัวเอง #จัดเป็นกิเลสใหญ่คือสักกายทิฐิ การยึดมั่นในตัวกูของกู

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ทำแบบเต่า

    "พระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดอัจฉริยะมนุษย์ คำสอนมากมายมหาศาลขนาดนั้นไม่ขัดกันเลย สามารถปรับรวมใช้ด้วยกันได้ทั้งหมด เพราะว่าจุดใหญ่ใจความแตกออกไปจากจุดเดียวคือใจ ในเมื่อกิเลสทั้งหมดออกไปจากใจ ก็กลับมาในใจของเราเพื่อชำระกิเลส คือ ชำระด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา

    ศีลชำระกิเลสอย่างหยาบ ที่ล้นออกไปข้างนอก คือ ออกไปทางกาย ทางวาจา สมาธิชำระกิเลสอย่างกลาง ที่คอยเป็นตัวยุแหย่ให้เราละเมิดศีล ปัญญาชำระกิเลสอย่างละเอียดที่นอนนิ่ง ซุกซ่อนอยู่ในใจของเรา นานนับชาตินับภพไม่ถ้วน

    ไม่ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีมากขนาดไหน ท้ายสุดก็สรุปลงที่เดียว เพียงแต่ว่าเราจับตรงไหนที่เหมาะแก่สภาพปัจจุบันของตัวเอง แล้วค่อย ๆ เร่งทำไป พอเราทำได้แล้วก็ค่อย ๆ ก้าวขึ้นหน้าไปทีละก้าวอย่างมั่นคง อย่าท้อถอย อย่าขี้เกียจ อย่าหยุด

    ค่อย ๆ ไปแบบเต่า มีใครเห็นเต่าเดินถอยหลังบ้าง ? เชื่อเถอะคนทั้งโลกไม่เคยเห็นเต่าเดินถอยหลัง เพราะว่าเต่าเดินขึ้นหน้าอย่างเดียว เต่าไปช้า แต่ไปเรื่อย ๆ ไปไม่หยุด ถึงเวลาเจออันตรายก็เก็บหัวเก็บขา เก็บหางเงียบอยู่ในกระดอง พออันตรายผ่านพ้นไปก็ยื่นออกมาแล้วเดินต่อ"

    "คนเราก็เหมือนกับเต่า ค่อย ๆ ก้าวขึ้นหน้าไป ตามแนวศีล สมาธิ ปัญญา ที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ กิเลสตีมากก็เก็บตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเสีย ดูสักแต่ว่าดู เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส ไม่สนใจ ไม่ปรุงแต่ง

    หยุดคิด...จะประสบความสำเร็จ ถ้าหยุดความคิดไม่ได้ ชีวิตนี้ก็เอาดีไม่ได้ เพราะความคิดของเราถ้าไม่ไปเรื่องอดีต ก็คือคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ไม่ก็ฟุ้งซ่านถึงอนาคต แล้วเราก็เครียด นอนไม่หลับ ทุกข์เพราะความคิดตัวเองแท้ ๆ

    ฉะนั้น...ให้เลียนแบบเต่า ถึงเวลากิเลสมาก็หยุด ระวังรักษาใจไว้ ปลอดภัยแล้วค่อยไปต่อ คนที่ขึ้นหน้าอยู่ตลอดเวลา ถึงจะไปช้าแค่ไหน ท้ายสุดก็ถึงจุดหมายปลายทางได้ เจอบกตะกายขึ้นบก ลงน้ำก็ว่ายน้ำ เต่าเป็นตัวอย่างที่สุดยอดจริง ๆ"

    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๖๐
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    มหากัมมวิภังคสูตร

    "เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสในมหากัมมวิภังคสูตรว่า บุคคลผู้ตั้งใจปฏิบัติภาวนา ทรงฌานสี่ได้ ยังทิพจักขุญาณให้เกิดขึ้น สามารถรู้เห็นนรกสวรรค์ แล้วกล่าวว่าบุคคลทำความดีไปสวรรค์โดยส่วนเดียว บุคคลทำความชั่วไปนรกโดยส่วนเดียว ตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่

    ท่านบอกว่า บุคคลผู้ทำดีในอดีตทำชั่วในปัจจุบัน...ไม่แน่ว่าจะไปชั่ว ตัวอย่างคือมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ในอดีตเคยทำดีมาก่อน เคยสร้างพระพุทธรูป อานิสงส์มาส่งผลในชาติปัจจุบันที่ชั่วแสนชั่ว แต่มาทันในวินาทีสุดท้าย เพราะฉะนั้น

    ในอดีตทำดี...ในปัจจุบันทำชั่ว....ไม่แน่ว่าจะไปชั่ว
    ในอดีตทำชั่ว....ปัจจุบันทำชั่ว....ไปชั่วแน่นอน
    ในอดีตทำดี....ปัจจุบันทำดี......ไปดีแน่นอน
    ในอดีตทำชั่ว....ปัจจุบันทำดี......ไม่แน่นักว่าจะไปดี

    ตัวอย่างก็คือนางมัลลิกาเทวี ทำความดีมาตลอดชีวิต ก่อนตายจิตเศร้าหมองระลึกถึงกรรมเก่าของตนเอง จึงตกนรกเสีย ๗ วัน ท่านถึงได้บอกว่าเห็นนรกสวรรค์แล้วอย่าได้บอกว่าคนที่ทำดีแล้วไปสวรรค์ คนที่ทำชั่วแล้วไปนรก ไม่แน่
    อดีตดี......ปัจจุบันดี..........ถึงจะไปดี
    อดีตชั่ว.....ปัจจุบันชั่ว......ถึงจะไปชั่ว
    อดีตดี......ปัจจุบันชั่ว......ไม่แน่ว่าจะไปชั่ว
    อดีตชั่ว.......ปัจจุบันดี.....ไม่แน่ว่าจะไปดี

    เพราะว่าแล้วแต่วาระกรรมมันจะส่งผลเมื่อไหร่"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒
    ที่มา : www.watthakhanun.com
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    เกราะแก้วแห่งธรรม (ตอนที่ ๑)

    สิ่งที่นักปฏิบัติหน้าใหม่ (หรือเก่าด้วย) กลัวกันเป็นนักหนาคือ การ “จิตตก” มันเป็นอาการที่กำลังใจซึ่งทรงไว้ในด้านดี เกิดพลาดท่าพลาดทาง เลี้ยวกลับไปหาความเลวเก่า ๆ เอาดื้อ ๆ บางคนตั้งหลักไม่ทัน ทำใจให้ยอมรับไม่ได้ เกิดฟุ้งซ่านคิดมาก แทบจะฆ่าตัวตายประชดชีวิตไปเลยก็มี...!

    ความจริงอาการ “จิตตก” หรือ “กำลังใจตก” หรือ “สมาธิตก” เป็นของธรรมดาที่ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องเจออยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องเสียอกเสียใจอะไร ก่อนนี้เราทำความเลวอยู่ มาตอนนี้หันมาทำความเลวใหม่ เพราะหลงกลพญามารที่มาล่อลวง ก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรเลย เพราะเรามาจากที่ต่ำ การย้อนกลับที่ต่ำคือเท่าทุน มิหนำซ้ำยังกำไรประสบการณ์อีกต่างหาก...!

    เมื่อรู้ตัวก็ตั้งหน้าทำดีใหม่ ระวังไว้ว่าคราวก่อนเราพลาดตรงไหน ถึงเวลาอย่าให้พลาดอีก...แต่ก็นั่นแหละ เล่ห์เหลี่ยมของมารนั้นยากที่เราจะระวังป้องกัน ปิดจุดนี้มันตีจุดนั้น ตั้งป้อมรับจุดนั้น มันเข้าตีจุดโน้น...วนเวียนไปไม่รู้จบ จนกว่าเราจะประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะสมบูรณ์พร้อมนั่นแหละ...มารจึงหลอกไม่ได้...

    อาตมาเองนั้นหกล้มหกลุกมานับครั้งไม่ถ้วน บางปีก็หลาย ๆ พันครั้ง อาการจิตตกของอาตมาส่วนใหญ่ เกิดจากกำลังสมาธิขาดตอน ทำให้นิวรณ์เข้าแทรก ชักนำจิตเข้าสู่ความรัก โลภ โกรธ หลง แรก ๆ ก็แย่เหมือนกัน ยิ่งคิดฟุ้งซ่านนิวรณ์ยิ่งซ้ำ กว่าจะทำใจได้ ก็ชอกช้ำทั้งกายและใจ...

    การ “จิตตก” บ่อย ๆ เท่ากับได้ซ้อมความคล่องตัวของกำลังใจ แรก ๆ ก็มืดไปเป็นเดือน ๆ มาตอนหลังชักจะชำนาญกับการยกจิตขึ้นสู่จุดเดิม ระยะเวลาของการพลาดไปคิดเลว พูดเลว ทำเลว ก็สั้นเข้าทุกที จนถึงระดับหนึ่ง กำลังใจเห็นความธรรมดาของอาการจิตตกคือ เริ่ม “ทำใจได้” คราวนี้ก็มีพื้นฐานรองรับ...! เมื่อเป็นเช่นนี้กำลังใจก็จะแน่นเข้า ถึงพลาดตกลงมา ก็จะไม่ตกเกินกว่าจุดพื้นฐานนี้ และจะ “ฟื้นตัว” เร็วมาก สามารถไปสู้กับกิเลสใหม่ ถึงโดนชกร่วงอีกกี่ครั้ง ก็สามารถลุกขึ้นก่อนที่จะถูกนับสิบ คราวนี้แหละคุณเอ๋ย...การประลองยุทธในสนามเพื่อเอาชนะกิเลสก็เริ่มสนุกสนาน เพราะชักจะมีลุ้นขึ้นมาบ้าง...!

    อาตมานั้นล้มลุกคลุกคลานมาตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ถูกโจมตีด้วยกระบวนท่าเดียวบ่อย ๆ พลอยเกิดความชำนาญ สามารถทรงอารมณ์สมาธิ หนีนิวรณ์ได้ติดต่อกันโดยไม่ขาดตอนเป็นเวลาหลายเดือน แต่อารมณ์มันแน่นมาก ไม่อยากจะพูดจากับใครทั้งนั้น ซึ่ง “หลวงพ่อ” บอกว่า “ยังใช้ไม่ได้” ในเมื่อครูบาอาจารย์ท่านว่าอย่างนั้น ก็จำเป็นต้องพยายามกันใหม่ แต่แหม...อารมณ์ “ใช้ได้” ของ “หลวงพ่อ” มันยากอย่าบอกใคร ไอ้เรามันประเภทปรอท เทลงดินเป็นซึมหายวับ ถูกอารมณ์ทางโลกกลืนไปสนิท อารมณ์ที่ “หลวงพ่อ” ต้องการ จะต้องเหมือนกับน้ำบนใบบอน หมุนไปกับโลกทุกอย่าง แต่ไม่ติดในโลก...!

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ วัดท่าขนุน)
    อดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๕๘ : เกราะแก้วแห่งธรรม
    ที่มา : www.watthakhanun.com

    c_oc=AQlE1l9VsxMpw4QTj8QyWfk55lVcSCuRtI_WChxIZnYgUf1gexVU3vBTPG0ohw8vu_g&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    เกราะแก้วแห่งธรรม (ตอนที่ ๒)

    งานเป่ายันต์เกราะเพชรของ “หลวงพ่อ” มักจะมีควบกับการกวนข้าวทิพย์ อาตมาช่วยงานกวนข้าวทิพย์มาตั้งแต่ครั้งแรก หน้าที่ประจำคือขูดมะพร้าวด้วยกระต่ายไฟฟ้า ไอ้กระต่ายมหาภัยนี้ใคร ๆ ก็กลัว เพราะพลาดนิดเดียวเป็นได้แผลเหวอะหวะ อาตมาเลยต้องเหมามาทุกงาน และเจ็บตัวทุกงานซิน่า...!

    โรงเรียนวัดในขณะนั้นยังเป็นโรงเรียนรัฐบาล ไม่ได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนราษฎร์อย่างทุกวันนี้ อาจารย์ที่คุมหอพักนำนักเรียนหญิงมาช่วยขูดมะพร้าวและคั้นกะทิ วงพิณพาทย์ตีเพลงมัน ๆ ให้จังหวะอย่างคึกคัก เป็นการช่วยให้ทำงานอย่างมีชีวิตชีวาและไม่เหน็ดเหนื่อย “อายุสิบห้าก็มาเป็นสาวรำวง มาใส่กระโปรงวับ ๆ แวม ๆ...” พอเขาขึ้นเพลงนี้เท่านั้นก็ได้เรื่อง...! บรรดานักเรียนทั้งหลาย ทั้งโห่ทั้งเฮ ส่งเสียงกรี๊ดกันเป็นที่สะใจ ที่ทนไม่ไหวก็ออกรำเฉิบ ๆ ไปตามจังหวะเพลงด้วยความมันสุดขีด การงานถูกทิ้งชั่วคราว หันมารำวงกันเป็นที่สนุกสนาน กองเชียร์ก็ตะเบ็งเสียงเชียร์กันสุดหัวใจ...!

    เด็กสาวอายุ ๑๕ – ๑๖ นับร้อย ๆ คน ตะเบ็งเสียงพร้อม ๆ กันนั้น มันจะแสบแก้วหูสุดทนขนาดไหนก็สุดที่จะบรรยายถูก จิตของอาตมาที่ชำนาญต่อการ “หนีโลก” ก็วูบเข้าสู่อารมณ์เคยชิน ละวางสิ่งต่าง ๆ ภายนอกทั้งปวง จดจ่ออยู่กับอารมณ์เดียวภายใน สรรพสำเนียงต่าง ๆ ขาดจากใจโดยสิ้นเชิง...! ประหลาดแท้...? ทุกครั้งพออารมณ์ถึงที่สุด จิตจะไม่รับรู้อารมณ์ภายนอกเลย แต่คราวนี้มันรู้ทุกอย่าง และถ้าอะไรจำเป็น จิตจะคลายออกมาเพื่องานนั้นโดยเฉพาะ พอเสร็จก็ดิ่งกลับจุดเดิม บังคับมันขึ้นได้ลงได้ดังใจ เหมือนกับการเปิดปิดประตูอย่างไรก็อย่างนั้น นี่กระมัง... น้ำกลิ้งบนใบบอน...?

    จับจิตตัวเองดู เห็นเป็นวงกลมใสสะอาดหมุนวนโดยรอบ เหมือนมีเกราะแก้วคุ้มจิตจากนิวรณ์ ถ้าจำเป็นก็เปิดเกราะออกมารับรู้โลกภายนอก ไม่จำเป็นก็ปิดเกราะกั้นนิวรณ์ไว้ ปล่อยกายวาจาทำหน้าที่ของโลกไปตามเรื่อง มีสติกำกับอยู่ตลอดเวลา อารมณ์หนักเบาจากภายนอกกระทบไม่ได้เลย...

    หลังจากฝึกซ้อมจนชำนาญอาตมาก็เข้าใจ มันเป็นสมาธิสำหรับใช้งานนั่นเอง สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง โดยไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังทรงอารมณ์สมาธิอยู่...ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็ยังไม่ใช่ที่พึ่งของเรา เพราะอารมณ์โลกีย์ประมาทเมื่อไรพังเมื่อนั้น... จงระวัง...จงระวัง...!

    ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ วัดท่าขนุน)
    อดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๕๘ : เกราะแก้วแห่งธรรม
    ที่มา : www.watthakhanun.com


    ?temp_hash=bc1dce34efbac97c06afb8aa62c1c390.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    อย่าเมาอภิญญา
    โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    นี่ลูกหลานฟังไว้ให้ดีนะ ว่าเรื่องความอยาก
    นี่มันไม่ใช่ของดี มันไม่มีอะไรจะดีหรอก
    ความอยากนอกรีต นอกรอยนี่นะไม่ดี
    เข้าใจว่าการเจริญอภิญญาดี ถ้ามันเป็น
    วิสัยของเรา เราได้งายมันก็ดี

    ถ้ามันรู้สึกว่าได้ยากเราก็คิดว่า อภิญญานี้นะ
    ไม่ใช่ อรหัตผล อภิญญาไม่ใช่ พระโสดา
    สกิทาคา อนาคา อภิญญา ก็คือ โลกีย์ญาน
    ถึงแม้ว่าจะได้สักเท่าไหร่ก็ตามที จิตก็ยังตก
    อยู่ในอำนาจกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม

    ถ้าหากว่าเราทำได้ยาก เราก็หาโอกาส
    แบบนี้ดีกว่า หาโอกาสทำอย่างอื่น คือ
    เจริญวิปัสสนาญานให้สามารถ ตัดสังโยชน์
    ๓ ประการ ได้เป็นพระโสดาบันแทน หรือ
    เป็นพระสกิทาคามีแทน หรือเป็นพระอนาคามี
    หรือ พระอรหันต์ เอายังงั้นเลยดีกว่า

    นี่ทำยากนะ ถ้าทำได้เป็นวิสัยของเราก็ทำเถอะ
    ไม่เป็นไร เพราะการได้อภิญญานี่เป็นการช่วย
    ให้การบรรลุมรรคผลสำเร็จได้โดยง่าย ถ้าเรา
    ไม่เมาอภิญญา แต่ว่าเราได้อภิญญาแล้ว
    เมาอภิญญาอย่างท่านพระเทวทัตไม่ดีเหมือนกัน
    ทำให้ลงอเวจีมหานรก

    c_oc=AQnITA63anYbTPrHE_7MNiyTbc5AxaoVXnrh-d1aKocGlKCUA_Zgr9x9seyHpEnEvQs&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    c_oc=AQmB9OemWMh9AFyNeGjyva3Zt9s2Zm6uq_gL72DZ02aXdoBmNLUvxwc3sFtXXPy4WME&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg


    +++ เรื่องของการปฏิบัติธรรม ต้องเห็นทุกอย่างเป็นธรรมะ +++

    (มีโยมพาลูกอ่อนมาทำบุญ) "#เห็นอนิจจังไหม ? ตอนนี้ยังเดินไม่ได้ ยังพลิกไม่ได้ ต่อมาก็มาพลิกตัวได้ ขยับไปข้างหน้าได้ หัดคลาน หัดยืน หัดเดิน หัดวิ่ง #มีอนิจจังอยู่ตลอดเวลา #เพียงแต่เราได้เห็นหรือเปล่า ? จากเด็กเล็กก็กลายเป็นเด็กโต เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่ #อนิจจังอยู่เรื่อย

    ฉะนั้น...ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ต้องเห็นทุกอย่างเป็นธรรมะ #ไม่ใช่เห็นเฉพาะเวลา #ถ้าเห็นเฉพาะเวลานั่งกรรมฐานนี่เสร็จหมด กลายเป็นเหยื่อของวัฏสงสารหมด ต้องเห็นอยู่ตลอดเวลา แล้วเกิดความเบื่อหน่าย #คลายกำหนัด #จิตถอนออกมาจากการยึดมั่นถือมั่น ถ้าอย่างนั้นโอกาสหลุดพ้นก็จะมี"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗
     
  14. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    c_oc=AQn0FuLb5CzDeD6cP5G_6pd3PZEV2Uz2fE-hY36UNN_dQhY6TcHgTsBTonaC1v229rs&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg







    เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ธรรมทั้งหลายก็ไม่ปรากฏ

    **************
    [๑๐๓๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้น เจ้าศากยะพระนามว่านันทิยะเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระอริยสาวกใด ไม่มีองค์เครื่องบรรลุโสดา ๔ ประการโดยประการทั้งปวง พระอริยสาวกนั้นชื่อว่าอยู่ด้วยความประมาทหนอ”

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “นันทิยะ บุคคลใด ไม่มีองค์เครื่องบรรลุโสดา ๔ ประการ โดยประการทั้งปวง เราเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นผู้เหินห่าง ตั้งอยู่ในฝ่ายปุถุชน
    อนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้อยู่ด้วยความประมาท และอยู่ด้วยความไม่ประมาทโดยวิธีใด ท่านจงฟัง จงใส่ใจวิธีนั้นให้ดี เราจักกล่าว”

    เจ้านันทิยศากยะทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

    “นันทิยะ อริยสาวกผู้อยู่ด้วยความประมาท เป็นอย่างไร คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
    ๑. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า ‘แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค’ อริยสาวกพอใจด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้านั้น ไม่พยายามให้ยิ่งขึ้นไปเพื่อความสงัดในกลางวันเพื่อหลีกเร้นในกลางคืน เมื่ออริยสาวกเป็นผู้ประมาทอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่มีปราโมทย์ เมื่อไม่มีปราโมทย์ ก็ไม่มีปีติ เมื่อไม่มีปีติ ก็ไม่มีปัสสัทธิ เมื่อไม่มีปัสสัทธิ ก็อยู่เป็นทุกข์ จิตของผู้มีทุกข์ ย่อมไม่ตั้งมั่น เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ธรรมทั้งหลายก็ไม่ปรากฏ เพราะธรรมทั้งหลายไม่ปรากฏ จึงนับว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความประมาทโดยแท้

    ๒. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ฯลฯ

    ๓. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ฯลฯ

    ๔. ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะชอบใจ ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ อริยสาวกพอใจด้วยศีลที่พระอริยะชอบใจนั้น ไม่พยายามให้ยิ่งขึ้นไปเพื่อความสงัดในกลางวัน เพื่อหลีกเร้นในกลางคืน เมื่ออริยสาวกเป็นผู้ประมาทอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่มีปราโมทย์ เมื่อไม่มีปราโมทย์ ก็ไม่มีปีติ เมื่อไม่มีปีติ ก็ไม่มีปัสสัทธิ เมื่อไม่มีปัสสัทธิ ก็อยู่เป็นทุกข์ จิตของผู้มีทุกข์ย่อมไม่ตั้งมั่น เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ธรรมทั้งหลายก็ไม่ปรากฏ เพราะธรรมทั้งหลายไม่ปรากฏ จึงนับว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความประมาทโดยแท้

    นันทิยะ อริยสาวกผู้อยู่ด้วยความประมาท เป็นอย่างนี้แล

    อริยสาวกผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นอย่างไร คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
    ๑. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า ‘แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค’ อริยสาวกไม่พอใจด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้านั้น พยายามให้ยิ่งขึ้นไปเพื่อความสงัดในกลางวัน เพื่อหลีกเร้นในกลางคืน เมื่ออริยสาวกเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้ ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อปราโมทย์เกิดแล้ว ปีติย่อมเกิด เมื่อใจมีปีติ กายย่อมระงับ ผู้มีกายระงับย่อมเสวยสุข จิตของผู้มีสุขย่อมตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่น ธรรมทั้งหลายก็ปรากฏ เพราะธรรมทั้งหลายปรากฏ จึงนับว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทโดยแท้

    ๒. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ฯลฯ

    ๓. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ฯลฯ

    ๔. ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะชอบใจ ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ อริยสาวกไม่พอใจด้วยศีลที่พระอริยะชอบใจ พยายามให้ยิ่งขึ้นไป เพื่อความสงัดในกลางวัน เพื่อหลีกเร้นในกลางคืน เมื่ออริยสาวกเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้ ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อปราโมทย์เกิดแล้ว ปีติย่อมเกิด เมื่อใจมีปีติ กายย่อมระงับ ผู้มีกายระงับย่อมเสวยสุข จิตของผู้มีสุขย่อมตั้งมั่น เมื่อจิต ตั้งมั่น ธรรมทั้งหลายก็ปรากฏ เพราะธรรมทั้งหลายปรากฏ จึงนับว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทโดยแท้

    นันทิยะ อริยสาวกผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นอย่างนี้แล”
    ****************
    นันทิยสักกสูตร สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙
    http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=19&siri=358
    ............
    พึงทราบอธิบายในนันทิยสูตรที่ ๑๐.

    คำว่า เพื่อความสงัดในกลางวัน เพื่อหลีกเร้นในกลางคืน ความว่า กลางวันสงัด กลางคืนหลีกเร้น.

    คำว่า ธรรมทั้งหลาย ย่อมไม่ปรากฏ ได้แก่ ธรรมคือสมถะและวิปัสสนา ย่อมไม่เกิดขึ้น.

    คำที่เหลือในบททั้งปวง มีเนื้อความตื้นทั้งนั้นแล.
    ...........
    อรรถกถานันทิยสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=19&i=1599

    หมายเหตุ : นันทิยสักกสูตร มีเนื้อหาสรุปได้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่เจ้าศากยะพระนามว่านันทิยะว่า อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ แต่ไม่พยายามให้ยิ่งขึ้นไปจัดว่าเป็นผู้ประมาท ส่วนผู้ไม่ประมาทมีนัยตรงกันข้าม

    c_oc=AQn0FuLb5CzDeD6cP5G_6pd3PZEV2Uz2fE-hY36UNN_dQhY6TcHgTsBTonaC1v229rs&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ก่อนตายเราทำสิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง
    *********
    ๕. อริยสาวกย่อมตั้งทักษิณาที่มีผลสูงขึ้นไป เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ในสมณพราหมณ์ผู้เว้นขาดจากความมัวเมาและความประมาท ดำรงมั่นอยู่ในขันติ (ความอดทน) และโสรัจจะ (ความเสงี่ยม) ฝึกอบรมตน ทำตนให้สงบ ทำตนให้ดับเย็นสนิท ด้วยโภคทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เก็บรวบรวมด้วยน้ำพักน้ำแรง อาบเหงื่อต่างน้ำ ประกอบด้วยธรรม ได้มาโดยธรรม นี้เป็นประโยชน์ที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย์ประการที่ ๕

    คหบดี ประโยชน์ที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย์ ๕ ประการนี้แล
    ถ้าเมื่ออริยสาวกนั้นถือเอาประโยชน์จากโภคทรัพย์ ๕ ประการนี้ โภคทรัพย์หมดสิ้นไป อริยสาวกนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า ‘เราได้ถือเอาประโยชน์จากโภคทรัพย์นั้นแล้ว และโภคทรัพย์ของเราก็หมดสิ้นไป’ ด้วยเหตุนี้ อริยสาวกนั้นจึงไม่มีวิปปฏิสาร (ความร้อนใจ) ถ้าเมื่ออริยสาวกนั้นถือเอาประโยชน์จากโภคทรัพย์ ๕ ประการนี้ โภคทรัพย์เพิ่มพูนขึ้น อริยสาวกนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า ‘เราถือเอาประโยชน์จากโภคทรัพย์นี้แล้ว และโภคทรัพย์ของเราก็เพิ่มพูนขึ้น’ อริยสาวกนั้นย่อมไม่มีวิปปฏิสารด้วยเหตุทั้ง ๒ ประการนี้เลย

    นรชนผู้จะต้องตายเมื่อคำนึงถึงเหตุนี้ว่า

    ‘โภคทรัพย์ เราได้บริโภคแล้ว
    คนที่ควรเลี้ยง เราได้เลี้ยงแล้ว
    อันตรายทั้งหลาย เราได้ข้ามพ้นแล้ว
    ทักษิณาที่มีผลสูงขึ้นไป เราได้ให้แล้ว
    และพลี ๕ อย่าง เราได้ทำแล้ว
    ท่านผู้มีศีลสำรวมระวัง ประพฤติพรหมจรรย์ เราได้บำรุงแล้ว
    ประโยชน์ที่บัณฑิตผู้อยู่ครองเรือนปรารถนา เราก็ได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
    กรรมที่ไม่ก่อความเดือดร้อนในภายหลัง เราก็ได้ทำแล้ว’

    ชื่อว่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในอริยธรรม
    บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้
    เขาตายไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์
    ……..
    ข้อความบางตอนใน อาทิยสูตร อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒
    http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=22&siri=41
    อรรถกถาอาทิยสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=41

    c_oc=AQk97YfeZjavpY9BOgkI4ZVDShk9n7GaHAdHUTgciZb7s-FRZHiFV3mK0KakhCskc2o&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    คิดใคร่ครวญอย่างไรจึงจะไปนิพพาน

    คนที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจะใคร่ครวญอย่างไรจึงจะง่ายและสั้นที่สุด ท่านตรัสว่า เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้

    จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อน ลูก หลาน เหลนก็ไม่มี แม้ร่างกายก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระ คือ ร่างกายพังแล้ว เราจะไปพระนิพพาน

    เมื่อความป่วยไข้ปรากฏจงดีใจว่า ภาระที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว คิดไว้อย่างนี้ทุกวัน จิตจะชินจะเห็นเหตุเห็นผล เมื่อจะตายอารมณ์จะสบายแล้วก็จะเข้านิพพานได้ทัน

    ทีนี้คนไหนต้องการจะไปพระนิพพานก็เป็นของไม่ยาก สัมพเกษี ให้เขาคิดเห็นว่า

    โลกทั้งโลก ไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร เราไม่ชอบอะไรในโลกนี้ แม้แต่ร่างกายของตัวเราเองเราก็ไม่ชอบไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว ก็ถือว่านี่โลกทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันเข้ามาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเราเองนี่มันยังจะตายยังจะพัง เรายังจะปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการ เราจะไปพระนิพพาน

    เขาคิดเท่านั้นเพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะสัมพเกษีนะ ลูกหลานของเธอทุกคนพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ อย่างน้อยก็ไปกามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน นี่ท่านว่าไว้อย่างนี้นะ ท่านสั่งสอนแบบนี้ เป็นการสั่งสอนแบบง่าย ๆ นี่เป็นความดีของพระ ของเทวดา ของพรหมท่านนะ ลูกหลานจงจำไว้

    ที่มา หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
     
  17. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ช่างไม้ไม่รู้ว่าด้ามมีดสึกทุกวัน ๆ จะรู้ก็ต่อเมื่อด้ามมีดสึกไปแล้ว เปรียบเหมือน ภิกษุผู้บำเพ็ญภาวนาอยู่เนือง ๆ ไม่รู้ว่า อาสวะสิ้นไปทุกวัน ๆ แต่หลังจากอาสวะสิ้นไปแล้วจึงจะรู้ได้
    ***************
    [๒๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย รอยนิ้วมือย่อมปรากฏ หรือรอยนิ้วหัวแม่มือย่อมปรากฏที่ด้ามมีดของนายช่างไม้ หรือลูกมือของนายช่างไม้

    แต่นายช่างไม้หรือลูกมือของนายช่างไม้นั้นหารู้ไม่ว่า วันนี้ด้ามมีดของเราสึกไปประมาณเท่านี้ วานนี้สึกไปประมาณเท่านี้ วันก่อนๆ สึกไปประมาณเท่านี้

    นายช่างไม้หรือลูกมือของนายช่างไม้นั้น มีความรู้แต่ว่า สึกไปแล้ว โดยแท้แล แม้ฉันใด.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุประกอบภาวนานุโยคอยู่ หารู้ไม่ว่า วันนี้อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปแล้วประมาณเท่านี้ วานนี้สิ้นไปแล้วประมาณเท่านี้ หรือวันก่อนๆ สิ้นไปแล้วประมาณเท่านี้ก็จริง ถึงอย่างไรนั้น เมื่ออาสวะสิ้นไปแล้ว เธอก็มีความรู้แต่ว่าสิ้นไปแล้วๆ ฉันนั้นเหมือนกันแล.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรือที่เขาผูกด้วยพรวน แล่นไปในสมุทร จมลงในน้ำสิ้น ๖ เดือน โดยเหมันตสมัย เขาเข็นขึ้นบก พรวนเหล่านั้นถูกลมและแดดกระทบแล้ว ถูกฝนตกรดแล้วย่อมผุ และเปื่อย โดยไม่ยากเลย ฉันนั้นเหมือนกันแล.
    ……………….
    ...............
    ข้อความบางตอนใน นาวาสูตร สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗
    http://www.84000.org/tipitaka/read/r.php?B=17&A=3354
    *************
    ดูเพิ่มใน อรรถกถานาวาสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=260
    ***********
    หมายเหตุ : เมื่อบุคคลรู้เห็นขันธ์ ๕ ความเกิดและความดับแห่งขันธ์ ๕ ก็จะสิ้นอาสวะได้ แต่ต้องเจริญสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และอริยมรรคมีองค์ ๘ ถ้าไม่เจริญธรรมเหล่านี้ จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะไม่ได้

    เหมือนแม่ไก่ไม่ทับ ไม่กก ไม่ฟักไข่ให้ดี แม้ต้องการให้ลูกไก่ทำลายเปลือกไข่ออกมา ลูกไก่ก็ไม่สามารถทำลายเปลือกไข่ออกมาได้ แต่ถ้าฟักไข่ให้ดี ลูกไก่ก็สามารถทำลาย เปลือกไข่ออกมาได้

    การที่ภิกษุประกอบ ภาวนาอยู่เนือง ๆ อาจไม่รู้ว่า อาสวะสิ้นไปทุกวัน ๆ แต่หลังจากอาสวะสิ้นไปแล้วจึงจะรู้ได้ เหมือนช่างไม้ไม่รู้ว่าด้ามมีดสึกทุกวัน ๆ จะรู้ก็ต่อเมื่อด้ามมีดสึกไปแล้ว

    c_oc=AQlcIMbP-bp3BYwWNrMVOw8uAq98FjrgWq9uwLCodZdvEIglAYfFVJI-i7icGGEXZ_k&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  18. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    c_oc=AQnkAZEJxPgMP7GxXOq_RP6TOmOzbgq_zkppWV50LCDOez3CKSVnKueN6LSfjsexclo&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    c_oc=AQlDurkdJoCrHF2D_WkpXKqsaRmLxb8SDZpgivOsQbwLiK_L0DvnnRgji9ex1GJ7EsY&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    c_oc=AQm6XQ9ZLba4oZPPioGRkVDz8xRrFuToHL_pxVHuCQI2209O9BnylJnOwl_CDkxYHqk&_nc_ht=scontent.fbkk5-8.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...