อินทรีย์ ๕ ถ้าไม่ปรับก็ยากแล้วค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย JitJailove, 7 สิงหาคม 2013.

  1. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    การไปสู่จุดหมายที่ถูกต้องนั้นยากจริงๆ สำหรับผู้ไม่ปฏิบัติ

    คนที่คิดว่าตนเองนั้นมีปัญญามาก แล้วเกิดความเข้าใจผิดขึ้นมานี่ยากจะบอกให้เชื่อว่า ขณะนั้นเข้าใจผิดแล้ว

    คนที่คิดว่าตนนั้นมีปัญญามาก เอาแต่ฟังๆ เข้าไป แล้วคิดว่าตนเองปัญญามาก แต่ก็ไม่เคยมีวิริยะในการปฏิบัติ ก็เป็นบุคคลที่น่าสงสาร

    การฟังแล้วบรรลุธรรมได้นั้น
    การบรรลุธรรมในขณะนั้น ได้ผ่านโสฬสญาณแล้ว จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยะ
    ไม่ใช่ฟังธรรมทำให้บรรลุธรรมในขณะที่กำลังฟัง แต่ในขณะต่อไปจากการฟังนั้น
    ท่านได้ไปเดินงานตั้งแต่ ญาณแรกจนกระทั่งผ่านไปขั้นวิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ ข้ามโคตรไปมรรคจิตมีนิพพานเป็นอารมณ์แล้ว ผลจิต ปัจจเวก จบโสฬสญาณ

    จะเอาแต่ฟังๆ แล้วรอบรรลุอย่างเดียว ไม่ปฏิบัตินั้นคงต้องเป็นผู้ที่สั่งสมอบรมอินทรีย์มาหลายชาติแล้ว
    เรียกว่า บารมีเต็มเปี่ยมแล้ว แค่ได้ยินหัวข้อธรรม ก็ต่อด้วยโสฬสญาณ
    เป็นพระอริยะได้ทันทีนั้น ถ้าคิดว่าตนเองเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต้องสวดมนต์ ไม่ต้องนั่งสมาธิ เพราะสวดมนต์ก็บอกว่าแปลไม่ออกสวดไปก็เท่านั้น ทำสมาธิก็บอกว่าไม่จำเป็น ไปนั่งท่องบ่นหลับตาไม่จำเป็น

    ก็แล้วแต่นะคะ ทางใครทางมัน
    แต่ดิฉันว่า การปรับอินทรีย์ ๕ นั้นสำคัญค่ะ
    ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องปรับให้สมดุลย์ค่ะ สำคัญนะคะ สำหรับคนที่ยังธรรมดาๆ ไม่ได้สั่งสมมามากจนเต็มเปี่ยมแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2013
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ก็มั่วไง หรือ ไม่ก็ อวดรู้

    พวกฟังมาก แล้ว ปฏิบัตินิดๆหน่อยๆ ยังไม่ทันเห็นธรรม ก็มักจะ อวดรู้

    มีกูเก่งแทรกเข้ามา

    พอมีกูเก่งแทรกเข้ามา ก็ ลืม ธรรมคุณเรื่อง อกาลิโก เอหิปัสสิโก ฯ
    แล้ว เหยียบย่ำทำลายหลักธรรมนี้ ด้วยการ ห้าม !!

    ห้ามว่า อย่าฟังธรรมนะ ฟังแล้ว บรรลุ ไม่มีหรอก

    แล้ว ขอโทษ คุณ เริ่มต้นด้วยอะไร !!! ฟังธรรมหรือเปล่า หละ

    แล้ว สมมติว่า ข้ามฝั่งไปได้ ข้ามไปได้ด้วยอะไร !! ฟังธรรมหรือเปล่า หละ

    กล่าวโดยไม่เอา บัญญัติมาอวดรู้ อวดกูเก่ง เพิกบัญญัติ ความแตกต่าง
    อันมีเหตุจากอุปทานขันธ์ออกไป แล้วมันเหลืออะไร ใช่ ฟังธรรมหรือเปล่า หละ

    คนโง่เท่านั้น ที่ ละอุปทานขันธ์ไม่ได้ เอาความแตกต่างมากล่าว ทับ ธรรม

    เอาขี้มาละเลงใส่ ธรรม แล้วไปเที่ยวกล่าวอะไรที่เป็นการ ตัดประโยชน์ของเขา

    จะห้าม " ฟังธรรม " จะเอาอย่างนั้นจริงๆหรือ ใครใช้คุณมากล่าว ดูออก
    หรือเปล่า

    ยังเป็น ทาสของสิ่งนั้นอยู่เลย แล้วจะมากล่าวธรรมะ หัดก้มดูเท้าตัวเอง
    บ้างว่าเดินมาอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2013
  3. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741

    ดิฉันพูดถึงคนที่ฟังอย่างเดียว แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ

    ในใจของคุณนิหน่า อาฆาตดิฉันอยู่รึป่าวคะ พอดิฉันโผล่มาก็ด่าๆๆ
    โดยไม่อ่านให้ดีๆ ตามสบายค่ะ
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    การฟังธรรมนั้น แทนที่จะไปละเมอ ปรับอินทรีย์

    นั่งๆ รอๆ คนปรับอินทรีย์มาก่อน โดยไม่ต้อง ฟังธรรมมาเลย
    ให้ code-papa code-mama ตรัสรู้เองมาก่อนฟังธรรมว่า

    " เห้ย ต้องปรับอินทรีย์มาก่อน ฟังธรรม นะเว้ยเห้ย "

    แล้วค่อยเข้ามาฟังธรรม พอดี โลกนี้ไม่มีหรอก คนฟังธรรม

    คนฉลาด เขาไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น แต่ เขาจะทราบเลยว่า
    อะไรคือ อาชีพที่สุดแสนสุึดจริต ไม่มี อาชีพใดประเสริฐเท่า
    อาชีพนั้นคือ " ผู้ขอ "

    ดังนั้น คนฉลาดจริงๆ เขาไม่มาทวงถามหลอกว่า ให้ปรับอินทรีย์
    มาก่อนฟังธรรมนะ แต่ เขาจะ อุทิศตัวลงไปเลย ลงไปทำอาชีพ
    ที่ประเสริฐนั้นด้วยตัวเองไปเลย ไป บวชซะ !!! แล้วมาเป็นผู้ขอ

    เพราะ คนที่ " ฟังธรรม " แล้วเกิดจิตน้อมมา " ฟังธรรม " ได้ ไม่ใช่
    การฟังธรรมผ่านหูซ้ายทะลุหูขวา ก็มีแต่ บุคคลที่คุ้นเคยกับการ สละ
    หรือ " สลัดอัตตาออกมาก่อน " ...... แค่นี้แหละ ไม่ใช่เรื่อง อินทรีย์
    ต้องมีมาก่อน

    คนขอทานหลังค่อมเป็นขี้เรื้อน ในสมัยพุทธกาล จึง ทำทานแค่ ข้าว
    เมล็ดเดียวในมือ พอมาเห็นเขานั่งฟังธรรมกัน ก็ เดินเข้ามาบ้าง เพราะ
    เข้าใจสภาพ " สละอัตตา " เลยทำให้ กล้าเดินเข้ามา ฟังธรรม

    เดินเข้ามาแล้ว คนจะไล่ ภิกษุจะไล่ สาวกเอง ยังดำริจะไล่ พระพุทธองค์
    รีบตรัสห้ามไว้ แล้วถาม คนขี้เรื้อนว่า เธอเคยทำทานกับใครไหม

    พอคนขี้เรื้อนบอกว่า ข้าเคยสละ ข้าวเมล็ดเดียวให้กับ ภิกษุท่านหนึ่ง
    เท่านั้นแหละ สาวกทุกคนเป็นอันทราบว่า เขาพร้อมฟังธรรม

    พระพุทธองค์ก็แสดงธรรมได้ แต่ ต้องการไม่ให้ ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา
    ทำตัว เป็นพวก " วัวลืมตีน " เกิดความ " ลำพอง " อีก จึงแกล้งถาม
    ว่า ใครกันหนอที่รับข้าวเมล็ดนั้นมา

    พระสารีบุตร จึงออกตัวว่า จำได้ว่า ขี้เรื้อนคนนี้ มีคุณอันมหาศาลกับเรา
    โดยการ สละข้าว เมล็ดเดียวนั้นให้แก่เขา เลี้ยงดู พระสารีบุตร อีกทั้ง
    ศรัทธาวิหาริกจำนวนมากด้วยการบำรุง พระสารีบุตรมา

    พระพุทธองค์ จึงอาศัยเหตุ ยกคุณธรรม ให้รู้จัก กตัญญู เสียบ้าง อย่า
    กล่าวอะไรแบบ ลำพอง ลืมก้าวย่างของตนว่า เจริญมาอย่างไร จะไป
    ตัดประโยชน์เขาได้ยังไง จะห้าม ฟังธรรม กันได้อย่างไร

    พอพระสารีบุตรเทศนาสอน ขี้เรื้อนคนนั้น ตามพุทธานุญาติ คนขี้เรื้อน
    ก็สำเร็จธรรม ประกาศธรรมที่ตนสำเร็จ ด้วยการฟังธรรมเพียงหนเดียว !!!
     
  5. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +1,124
    เอ้...ค้นหาดู จากที่เคยได้ฟัง หาคนสละ ข้าวเมล็ดเดียว ให้กับพระสารีบุตร
    ที่เป็นคนขอทานหลังค่อมเป็นขี้เรื้อน ไม่เจอ

    รึจะเป็นคนละท่านกันกับ "พระราธเถระ" ผู้มีคุณถวาย ข้าวทัพพีเดียว แก่พระสารีบุตร
    และมีอุปนิสัยบรรลุอรหัตผล และได้อุปสมบท ได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ตรัสสอนว่า...
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้

    บัญญัติแวดล้อม อันนั้น ต้องยกให้ ตำรวจตะเวนชายแลนด์
    ทำการยกให้ถูกไปเอง ตามวิสัยผู้มี วินัย

    แต่โดย "อรรถ" ร่องรอยทาง ธรรม อันนั้น ก็ว่าไปตาม
    พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านเล่ามาแบบเอายัดพระไตรปิฏกเข้าตู้
    เราก็สดับมาแบบนั้น ก็เล่าไปตามแบบนั้น และ แน่นอนว่า
    ย่อมปฏิรูปไปตามกฏ

    ก็ไฉนเลย ท่าน เห็นแล้วว่า สัทธรรม โดนปฏิรูป ก็ไป
    หา พระสูตร มาสำแดงสาลีลี น๊อ !!
     
  7. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +697
    ที่จริง การฟังธรรม ก็ต้องอาศัยอินทรีย์ เพื่อปรับอินทรีย์

    คำว่า เข้าใกล้ นั่งใกล้ เงี่ยงหู ใส่ใจ พิจารณา

    เป็น ลักษณะของ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

    หากศรัทธามาก ก็ฟังไม่รู้เรื่อง ไปสนใจใส่ใจของที่ไม่เป็นสาระ

    ปัญญามาก ก็ไม่ฟังกัน สอนไม่ได้แล้ว คอยแต่จะจับผิด
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ...ถ้าเอาตรรกกะแบบโลกโลกนะครับ...ถ้าฟังธรรมมาจริง ฟังมากจริง....จะเป้นไปได้เหรอครับที่จะไม่เข้าใจว่า สวดมนต์ทำไม? นั่งสมาธิทำไม?ให้ทานทำไม?ให้อาหารปลาทำไม? ให้อาหารหมาทำไม?......ฟังธรรมจากสัปบุรุษ ย่อมมีศรัทธา ทำให้เกิดโยนิโสมนสิการ มีความเข้าใจ ทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะ นี่ จะระลึกได้ถึง ธรรมที่ฟังมาแม้นานแต่เก่าก่อน(เมื่อขณะนั้น เรากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่)....ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญมาก สำหรับทางภาวนาข้างหน้าครับ...
     
  9. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +697
    ต้องมีปัญญารู้ด้วยนะ ว่าธรรมนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิรึเปล่า

    แม้ฟังมาก สั่งสมไว้มากแต่ธรรมนั้นผิด ผลก็ผิด เพียรผิด พิจรณาผิด ระลึกผิด ตั้งตนไว้ผิดได้เหมือนกัน
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ถึง จขกท ( ลับเฉพาะ ที่สุด )

    คนไม่เข้าใจ ยังมี อัตตา รู้ปรมัตถ์ไม่จริง ไม่เคยประกอบฌาณ ตัดวิตก

    ย่อมสำคัญไปว่า อินทรีย์ จะต้อง สะสม

    จริงๆแล้ว ความฉลาดในอินทรีย์ ไม่ใช่เรื่อง การสะสม แต่เป็นเรื่อง
    การเห็น เหตุ ปัจจัย

    การปรับแต่ง จึงเป็นเรื่องของผู้ที่ ฉลาดในธรรม ฉลาดในอินทรีย์
    ไม่ว่า สัตว์ !! ที่อยู่ตรงหน้า จะมีอินทรีย์อย่างไร หากสามารถเตรียม
    ปัจจัยการ ให้เป็นเหตุใกล้ ให้อินทรีย์เกิดความพอดี

    ความพอดี พอเพียง ต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่เรื่อง สะสม

    ถ้าเข้าใจว่า เป็นเรื่อง สะสม ให้มากๆ เวลาถามว่า ทำไมถึง
    มีเคสอินทรีย์เกินพอดี หละ แล้ว จะต้อง ตัดทอน บั่นทอน
    อินทรีย์ทิ้งหรือไง ต้องเททิ้งหรือไง ต้องขุดที่สะสมไว้ เอา
    ไปทิ้งหรือไง

    ดังนั้น การกล่าวว่าเป็นเรื่อง สะสม จึงจัดเป็นเรื่อง ของคนโง่
    ปัญญาทราม ภาวนาไม่เป็นเท่านั้น ที่จะกล่าวแบบนั้น

    กระนั้นก็ตาม " การฉลาดในอินทรีย์ " ไม่ใช่เรื่อง ที่ สาวกทั่วไป
    จะไป ริอ่าน เอิดตัวว่าทำได้ ......สิ่งนี้เป็น พุทธวิสัย ไม่ใช่เรื่อง
    ของ สาวก จะริอ่าน ตรึกตรอง ใคร่ครวญ เรื่อง " การปรับอินทรีย์ "

    การปรับอินทรีย์ จึงเป็นเรื่อง ของ คนๆนั้น ที่จะตรัสรู้โดยชอบ
    เป็น พุทธองค์หนึ่ง ภาวนาเอง รู้เอง เห็นเอง ไม่มีใครช่วยได้

    ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ เพื่ออนุเคราะห์ ครบหมดแล้ว
    ไม่ต้องไป สร้างเงื่อนไขโง่ๆ ขึ้นมา กลบสัทธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2013
  11. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    กราบอนุโมทนา สาธุค่ะท่าน
     
  12. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    น้องนิหน่า น้องนิหน่าต้องพัฒนาตัวเองขึ้นบ้างนะคะ
    น้องนิหน่ายังต้องรู้อีกเยอะค่ะ ที่ยกตนเป็นผู้ปฏิบัตินั้น ก็ยังไม่จริงแน่ๆ
    หลอกใครนั้นหลอกได้ แต่หลอกตนเองและคนที่เค้ารู้ทันนั้นหลอกไม่ได้นะคะ

    (ลับเฉพาะนะคะ หวังว่าสักวันในไม่ช้าอันใกล้นี้ น้องนิหน่าจะโพสท์ธรรมะ
    แบบผู้มีสติ ไม่คิดจะเอาแต่ความมันส์ สนุกเฮฮา ไม่กลัวบาปเหรอคะน้องนิหน่า)
     
  13. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    อย่าลืม! อินทรีย์ ๕ เป็นองค์ธรรมหมวดหนึ่งที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้
    อยู่ในหมวด โพธิปักขิยธรรม ๓๗ โพธิปักขิยธรรม คือ
    ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ ประกอบด้วยธรรมะ ๗ หมวด คือ
    สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗
    มรรคมีองค์ ๘ รวมเป็น ๓๗ จึงเรียกว่า โพธิปักขิยธรรม ๓๗

    หนทางมี ๕ สาย บางคนเขาจองสายใดสายหนึ่งไว้แล้ว ก็คงย่อมเป็นไปตามนั้น
    http://palungjit.org/threads/หนทางมี-๕-สาย.505864/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 สิงหาคม 2013
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย4ประการเหล่านี้ เป็นไปพร้อมเพื่อ ความเจริญแห่งปัญญา (ปัญญาวุทฒิ) ธรรม4ประการ อย่างไรเล่า สี่ประการคือ ....การคบหาสัปบุรุษ (สปปุริสสํเสว)..........การฟังพระสัทธรรม (สัทธมมสสวน)....การทำในใจโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ).....การปฎิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (ธมมานุธมมปฎิปตติ)...ภิกษุทั้งหลาย ธรรม4ประการ เหล่านี้แล เป็นไปพร้อมเพื่อความเจริญแห่งปัญญา---จตุกก.อํ.21/332/248....
     
  15. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    วัดท่ามะโอ ( wattamaoh )
    วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๖
    คนทำงานเก่ง

    คนทั่วไปแม้จะทำงานเหมือนกัน แต่ประสบความสำเร็จต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลงานที่แตกต่างกัน การเป็นเช่นนี้มาจากการทำงานด้วยการใสใจหรือทำงานแบบขอไปที

    คนที่ทำงานด้วยการใส่ใจต่องาน จะทำ พูด หรือคิด ก็มีความถี่ถ้วนละเอียดรอบคอบ ส่วนคนที่ทำงานแบบขอไปที จะทำ พูด หรือคิด ก็ไม่ละเอียดรอบคอบ เพียงขอให้ทำงานเสร็จๆ ไปเท่านั้น เมื่อเจ้านายมาตรวจงาน ก็จะพบว่าการทำงานของเขาไม่น่าพอใจ

    คนที่ทำงานด้วยความกระตือรือร้นและละเอียดถี่ถ้วน เปรียบไดักับคนที่วิ่งไปเร็วกว่าคนที่เดินตามปกติ เขาประกอบด้วยศักยภาพ คือ ความสามารถในการทำสิ่งนั้นๆ ได้ หรือมีการแสดงออกที่เป็นรูปธรรมที่เรียกว่า พยัตติ คือ การแสดงออกเป็นรูปธรรม ย่อมจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นอย่างดี

    ศักยภาพเป็นความสามารถภายใน ส่วนพยัตติเป็นการแสดงความสามารถออกมาเป็นรูปธรรมด้วยความอุตสาหะ เมื่้อบุคคลมีทั้งปัญญาและวิริยะเช่นนี้ ก็จะเพียบพร้อมด้วยองค์คุณ ๓ ประการ คือ กรรม ญาณ และวิริยะ ส่งผลให้เป็นคนทำงานเก่ง และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
     
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นเครื่องให้ถึงวิมุติ ห้าประการเหล่านี้มีอยู่ ซึ่งในธรรมนั้นเมื่อ ภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วอยู่ จิตที่ยังไม่หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบ ย่อมถึงซึ่งความสิ้นรอบ หรือว่า เธอย่อมบรรลุตามลำดับ ซึ่งความเกษมจากโยคะอันไม่มีอื่นยิ่งกว่าที่ตนยังไม่บรรลุตามลำดับ ธรรมเป้นเครื่องให้ถึงวิมุติห้าประการนั้น เป็นอย่างไรเล่า ห้าประการ คือ 1 ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ พระศาสดา หรือเพื่อนสหพรมจารี ผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่ง ย่อมแสดงธรรมแก่ภิกษุ เธอย่อมเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะวึ่งธรรม ในธรรมนั้นตามที่พระศาสดาหรือเพื่อนสหพรมจารีแสดงแล้วอย่างไร เมื่อเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึี่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ปราโมทย์ ย่อมเกิดขึ้นแก่เธอนั้น เมื่อปราโมทย์ แล้ว ปิติย่อมเกิด เมื่อใจมีปิติ กายย่อมรำงับ ผู้มีกายรำงับแล้ว ย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ ธรรมเป็นเครื่องให้ถึงวิมุติข้อที่หนึ่ง ซึ่งในธรรมนั้น เมื่อภิกษุเป้นผู้ไม่ประมาทมีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วอยู่ จิตที่ยังไม่หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบย่อมถึงซึ่งความสิ้นรอบ หรือว่าเธอย่อมบรรลุ ตามลำดับ ซึ่งความเกษมจากโยคะอันไม่มีอื่นยิ่งกว่า ที่ตนยังไม่บรรลุตามลำดับ
     
  17. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    2 ภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก พระศาสดา หรือเพื่อนสหพรมจารี ผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป้นครูรูปใดรูปใดรูปหนึ่ง ก็มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ แต่เธอแสดงธรรมตามที่ได้ฟังมา ได้เล่าเรียนมา แก่ชนทั้งหลายเหล่าอื่น โดยพิสดารอยู่ เธอนั้นย่อมเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ในธรรมตามที่เธอแสดงแก่ชนเหล่าอื่นโดยพิสดารตามที่ฟังมาเล่าเรียนมาแล้วอย่างไร เมื่อเป้นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้นแก่เธอนั้น เมื่อปราโมทย์แล้ว ปิติย่อมเกิด เมื่อใจมีปิติ กายย่อมรำงับ ผู้มีกายรำงับแล้ว ย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น ภิกษุทั้งหลาย นี้คือธรรมเป็นเครื่องให้ถึงวิมุติ ข้อที่สอง ซึง่ในธรรมนั้น เมื่อภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วอยู่ จิตที่ยังไม่หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบย่อมถึงซึ่งความสิ้นรอบ หรือว่า เธอย่อมบรรลุตามลำดับ ซึ่งความเกษมจากโยคะอันไม่มีอื่นยิ่งกว่าที่ตนยังไม่บรรลุตามลำดับ
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    3 ภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก พระศาสดา หรือเพื่อนสหพรมจารี ผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่ง ก็มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ และเธอนั้น ก็มิได้แสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่นโดยพิสดารตามที่เธอได้ฟังได้เล่าเรียนมา แต่เธอกระทำการท่องบ่นซึ่งธรรมโดยพิสดารตามที่ตนได้ฟังได้เล่าเรียนมา อยู่ เธอย่อมเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะวึ่งธรรม ในธรรมนั้นตามที่เธอทำการท่่องบ่นซึ่งธรรมโดยพิสดารตามที่ได้ฟังได้เล่าเรียนมาอย่างไร เมื่อเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึีงอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ปราโมทย์ย่อมเกิด ขึ้นแก่เธอนั้น เมื่อปราโมทยืแล้ว ปิติย่อมเกิด เมื่อใจปิติ กายย่อมรำงับ ผู้มีกายรำงับแล้ว ย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น ภิกษุทั้งหลาย นี้คือธรรมเป้นเครื่องให้ถึงวิมุติ ข้อที่สาม วึ่งในธรรมนั้นเมื่อภิกษุเป้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วอยู่ จิตที่ยังไม่หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบย่อมถึงความสิ้นรอบ หรือว่าเธอย่อมบรรลุตามลำดับ ซึ่งความเกษมจากโยคะ อันไม่มีอื่นยิ่งกว่าที่ตนยังไม่บรรลุตามลำดับ..
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    4 ภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก พระศาสดาหรือเพื่อนสหพรมจารีผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นครูรุปใดรูปหนึ่ง ก็มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ และเธอนั้นก็มิได้แสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่นดดยพิสดารตามที่ได้ฟังมาได้เล่าเรียนมา และเธอก็มิได้ท่องบ่นซึ่งธรรมดดยพิสดารตามที่ตนได้ฟังได้เล่าเรียนมา แต่เธอตรึกตรองตามด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่เธอฟังมาเล่าเรียนมาอยู่ เธอนั้นย่อมเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะวึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ในธรรมนั้นตามที่เธอตรึกตรองตามด้วยใจ ตามเพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังได้เล่าเรียนมา อย่างไร เมื่อเป้นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ปราโมทยืย่อมเกิดขึ้นแก่เธอนั้น เมื่อปราโมทย์แล้ว ปิติย่อมเกิด เมื่อใจมีปิติ กายย่อมรำงับ ผู้มีกายรำงับแล้ว ย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น ภิกษุทั้งหลาย นี้คือธรรมเป็นเครื่องให้ถึงวิมุติข้อที่สี่ ซึ่งในธรรมนั้น เมื่อภิกษุเป้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วอยู่ จิตที่ยังไม่หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบย่อมถึงวึ่งความสิ้นรอบ หรือว่าเธอย่อมบรรลุตามลำดับ ซึ่งความเกษมจากโยคะอันไม่มีอื่นยิ่งกว่าที่ตนยังไม่บรรลุตามลำดับ
     
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    5 ภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก พระศาสดา หรือเพื่อนสหพรมจารี ผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป้นครูรูปใดรูปหนึ่ง ก็มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ และเธอนั้นก็มิได้แสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่นดดยพิสดารตามที่เธอได้ฟังมาได้เล่าเรียนมา และเะอก็มิได้ทำการท่องบ่น ซึ่งธรรมโดยพิสดารตามที่ตนได้ฟังมาเล่าเรียนมา ทั้งเธอก็มิได้ตรึกตรองตามด้วยใจ ตามเพ่งด้วยใจ วึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาเล่าเรียนมา แต่ว่า สมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่เธอนั้นถือเอาดีแล้ว กระทำไว้ในใจดีแล้ว เข้าไปทรงไว้ดีแล้ว แทงตลอดด้วยดีด้วยปัญญา อยู่ เธอย่อม เป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะวึ่งธรรม ในธรรมนั้น ตามที่สมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่เธอถือเอาด้วยดี กระทำใว้ในใจดี เข้าไปทรงไว้ดี แทงตลอดด้วยดีด้วยปัญญาอย่างไร เมื่อเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ปราโมทยืย่อมเกิดแก่เธอนั้น เมื่แปราโมทยืแล้วปิติย่อมเกิด เมื่อใจมีปิติ กายย่อมรำงับ ผู้มีกายรำงับแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น ภิกษุทั้งหลายนี้คือธรรมเป้นเครื่องให้ถึงวิมุติ ข้อที่ห้า ซึ่งในธรรมนั้น เมื่อภิกาุเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วอยู่ จิตที่ยังไม่หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบย่อมสิ้นรอบ หรือว่าเธอย่อมบรรลุโดยลำดับ วึ่งความเกษมจากโยคะอันไม่มีอื่นยิ่งกว่าที่ตนยังไม่บรรลุตามลำดับ ......................ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป้นเครื่องเข้าถึงวิมุติห้าประการเหล่านี้ ซึ่งในธรรมนั้น เมื่อภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วอยู่ จิตที่ยังไม่หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบย่อมถึงวึ่งความสิ้นรอบ หรือว่าเธอย่อมบรรลุตามลำดับ ซึ่งความเกษมจากโยคะอันไม่มีอื่นยิ่งกว่าที่ตนยังไม่บรรลุตามลำดับ ดังนี้แล---ปญจก.อํ.22/22-25/26..
     

แชร์หน้านี้

Loading...