อินเดียแดนพุทธภูมิ : ดินแดนแห่งศรัทธา

พระสูตรบทกรณียเมตตสูตร

​

เสียงสวดพระสูตรบทกรณียเมตตสูตร ​

กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ
ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ
สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ
สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี​

สันตุสสะโก จะสุภะโร จะ
อัปปะกิจโจ จะสัลละหุกะวุตติ
สันตินทริโย จะ นิปะโก จะ
ปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ​

นะจะขุททัง สะมาจะเร กิญจิ
เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง​

สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ
สัพเพ สัตตา ภุวันตุ สุขิตัตตา​

เยเกจิ ปาณะภูตัตถิ
ตะสาวา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา
ทีฆา วา เย มะหันตา วา
มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา​

ทิฏฐา วาเย จะอะทิฏฐา
เยจะ ทูเรวะสันติ อะวิทูเร
ภูตา วา สัมภะเวสี วา​

สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา​

นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ
นาติ มัญเญะกะ กัตถะจิ นังกิญจิ
พยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา
นาญญะ มัญญัสสะ ทุขะมิจเฉยยะ ​

มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง
อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข
เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ
มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง​

เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง
มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
อุทธัง อะโธ จะติริยัญจะ
อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง​

ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา
สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ
เอตัง สะติง อะทิฏเฐยยะ
พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ​

ทิฏฐิญจะ อะนุปคัมมะ สีละวา
ทัสสะเนนะ สัมปันโน
กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง
นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ ​

​

คำแปลบทสวดกรณีเมตตสูตร​

กิจที่คนฉลาดในสิ่งที่มีประโยชน์ และมุ่งหมายจะบรรลุทางสงบ จะพึงทำคือ เป็นคนกล้า เป็นคนซื่อ เป็นคนตรง ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่เย่อหยิ่ง เป็นผู้สันโดษ เลี้ยงง่าย มีภาระกิจน้อย คล่องตัว ระมัดระวังการแสดงออก รู้ตัว ไม่คะนอง ไม่คลุกคลีในตระกูลทั้งหลาย ไม่ประพฤติสิ่งที่วิญญูชนตำหนิติเตียนได้ พึงแผ่เมตตาจิต ว่าขอสัตว์ทั้งปวงจงมีความสุขกายสบายใจ มีความเกษมสำราญเถิด​

ขอสัตว์ทั้งหลายบรรดามี ที่เป็นสัตว์ตัวอ่อน หรือตัวแข็งก็ตาม เป็นสัตว์มีลำตัวยาวหรือลำตัวใหญ่ก็ตาม มีลำตัวปานกลางหรือตัวสั้นก็ตาม ตัวเล็กหรือตัวโตก็ตาม ที่มองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม ที่อยู่ไกลหรืออยู่ใกล้ก็ตาม ที่เกิดแล้วหรือกำลังหาที่เกิดอยู่ก็ตาม ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นจงสุขกายสบายใจเถิด​

บุคคลไม่พึงหลอกลวงผู้อื่น ไม่ควรดูหมิ่นเหยียดหยามใครๆ ใม่ควรมุ่งร้ายต่อกันและกัน เพราะมีความขุ่นเคืองโกรธแค้นกัน​

คนเราพึงแผ่ความรักความเมตตา ไปยังสัตว์ทั้งหลาย หาประมาณมิได้ ดุจดังมารดาถนอมและปกป้องบุตรสุดที่รักคนเดียวด้วยชีวิต ฉะนั้น​

พึงแผ่เมตตาจิตไปไม่มีขอบเขต ไม่คิดผูกเวร ไม่เป็นศัตรู อันหาประมาณไม่ได้ ไปยังสัตว์โลกทั้งปวงทั่วทุกสารทิศ ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ตลอดเวลา ที่ตนยังตื่นอยู่ พึงตั้งสติอันประกอบด้วยเมตตานี้ให้มั่นไว้ บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวว่า การอยู่ด้วยเมตตานี้เป็นพรหมวิหาร ท่านผู้เจริญเมตตาจิตที่ละความเห็นผิดแล้ว มีศีล มีความเห็นชอบ ขจัดความใคร่ในกามได้ ก็จะไม่กลับมาเกิดอีกเป็นแน่แท้ <OHTTP: -- google_ad_section_end IMG]<!-- tongue-smile.gif[ smilies images audio.palungjit.org O[IMG]http: IMG]<><O[IMG]HTTP: font tongue-smile.gif[ smilies images audio.palungjit.org O[IMG]http: IMG]<>[/COLOR][/LEFT]
[/SIZE]​

 

ราชคฤห์ : เบญจคีรีนคร

​

• กว่าจะล้อหมุนจริง ๆ ก็ตกราว ๆ ตี 5 เราเริ่มออกเดินทางไปชมเมืองราชคฤห์อดีตราชธานีของ พระเจ้าพิมพิสาร หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เบญจคีรีนคร ..เมืองที่มีภูเขา 5 ลูก ...อากาศดีมากทั้งที่หนาวเย็นต้องใส่เสื้อกันหนาวกันหลายชั้น...
• เมื่อวันเดินทางจากเมืองไทย..ยังไม่มีการเดินทางไกล เพราะเครื่องบินลงที่พุทธคยา..แต่วันนี้..จะเริ่มมีประสบการณ์ใหม่เกิดขึ้นกับคณะจาริกบุญชาวไทย..เพราะระยะทางเดินทางมากขึ้น...ทุกข์ทั้งหนักและเบาก็เกิดขึ้น....
• รถวิ่งได้สักพักเสียงส่งสัญญาณเบา ๆ เป็นทอด ๆ จากด้านหลังรถมาว่า..อยากเข้าห้องน้ำจัง...ด้านหน้าบอกรอเดี๋ยวนะ....กำลังมองหาอยู่..ราว 2 กม.ต่อมารถบัสจอดสนิทที่ข้างทาง..สองข้างทางเป็นที่โล่งแจ้งมีต้นนาข้าวสาลีที่ปลูกแซมด้วยมัสตาดที่กำลังออกดอกสีเหลือง..สวยมาก..มีพุ่มไม้เล็ก ๆ ....เสียงถามกันลั่นรถ.."ไหนห้องน้ำ"...ทัวร์บอกที่นี่แหละครับ...."ห้องน้ำใหญ่ที่สุดในโลก..เชิญเข้าให้สบายใจเลือกที่เหมาะๆ กันได้เลยครับ..."....ไปอินเดียมา 3 ตัวเองก็ยังไม่เคยใช้บริการนี้เลย.อธิษฐานไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไป...แล้วก็จะโชคดีทุกครั้ง..ได้ใช้ห้องน้ำห้องเล็ก...ไม่เคยใช้ห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ใครได้ใช้ก็เล่ากัน 3 ตลบกับประสบการณ์นี้ค่ะ..เห็นเล่ากันที่ไรก็...รู้สึกดี....ทุกที....​
• เพราะเป็นช่วงที่คนไทยและชาติอื่นไปอินเดียกันมากค่ะ..ใกล้วันมาฆบูชา..สังเวชนียสถาน และสถานที่สำคัญแต่ละแห่งจึงมากไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่มีความเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธองค์...จนทำให้ต้องเปลี่ยนกำหนดเดินทางในวันนี้เล็กน้อย...​
• ระหว่างทางเข้าเมืองราชคฤห์ ก่อนขึ้นเขาคิชกูฏ..เราได้แวะที่คุกพระเจ้าพิมพิสาร..แดดร้อนแต่อากาศเย็น..มีเด็กที่แม่นำมานั่งขอทาน เป็นเด็กเล็กมาก..และยังมีเด็กขอทานอีกหลายคน​
• ที่คุกพระเจ้าพิมพิสาร..สิ่งที่ประทับใจมากที่สุด คือ ความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร..แม้ถูกจับขังทรมานอย่างไรก็ยังหันพระพักตร์ไปยังยอดเขาคิชกูฏ..กราบไหว้บูชาพระพุทธองค์...จนสิ้นพระชนม์...​
• ระหว่างทางเรายังได้แวะดูรอยเกวียนโบราณที่ใช้้เป็นเส้นทางในการค้าขายระหว่างราชคฤห์กับโกสัมพีค่ะ...ตอนนั้นกามนิต-วาสิฏฐีผ่านเข้ามาในความคิด...ทันที......แถมยังมีร้านขายของมาให้พวดเรา shopping กันอีกด้วย​

 

พระคันธกุฎี..ยอดเขาคิชกูฏ

​

• แม่ ๆ .ทั้งหลายกลัวร้อนเร่งให้พวกเรารีบไปเขาคิชกูฏ..มีเสียงสอบถามกันว่าใครคิดว่าขึ้นไม่ไหว..จะมีเสี่ยงหามขึ้นลงราคา 800 รูปี(แอบกระซิบปีที่แล้ว 700 รูปี)...ไม่มีใครใช้บริการค่ะ....ยืนยันกันเป็นเสียงเดียวว่าขึ้นได้..พอลงจากรถ..โอ้โฮ..ทำไมคนมากมายขนาดนี้..ที่นี่คนไทยน่าจะมาถึงพร้อมกันมากที่สุด..พบมีคณะใหญ่ ๆ คนเป็นร้อยสัก 2-3 คณะ คณะสำคัญเป็นพระนวกะที่บวชช่วงมาฆบูชาแล้วได้มาอินเดีย..ราว 90 รูป....พบพระไทยมาก ๆ เป็นผู้หญิงก็ต้องระมัดระวังตัวเอง..วินัยเคร่ง..จะไปถูกท่านไม่ได้...แต่คนมากเหลือเกิน..ระวังเท่าไหร่ก็ไม่ไหว..จนท่านอาจารย์ที่ไปด้วยกันในคณะท่านบอกโยมว่า.."จะมีบ้างนิดหน่อยก็ไม่เนไรหรอกสุดวิสัยแล้ว..พระท่านก็ต้องไปจัดการตัวเอง"...หลายคนรู้สึกสบายขึ้น...
• อย่างที่บอกตอนแรกค่ะ..อากาศเปลี่ยนเร็วมาก...ช่วงที่ขึ้นเขาจึงร้อน..ปี 2551 ขึ้นตอนเช้าที่ยังไม่สว่างมากนัก เดินได้สักครึ่งทางได้ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น..สวยมาก..ปี 2552 ขึ้นตอนเย็น..ได้ถ่ายรูปพระอาทิตย์กำลังจะตก..ได้บรรยากาศตอนลงเขาที่มืดแล้ว..ต้องใช้ไฟฉาย..ซึ่งพอพระอาทิตย์ตกดินก็หนาวจับใจ...ปีนี้..ขึ้นราว 9 โมงเศษ(เวลาอินเดีย)..ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ..ช่วงครึ่งทางไปแล้วไม่ร้อนค่ะ..มีลมพักเย็น ๆ ตลอดเวลา..เจ้าวัวน้อยตัวหนึ่งขึ้นเขามาพร้อมกับเราด้วยค่ะ​
• คนมากทำให้รวมรวมคณะยากตามไปด้วย ต้องจัดให้ผู้ที่อาวุโสน้อย ดูแลผู้ที่อาวุโสมาก..และไปคอยพบกันที่จุดพักต่าง ๆ ระหว่างทาง..มองเห็นผู้คนแล้วน้ำตาคลอ..​
• ทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน...​
• ไปกราบพระพุทธองค์ที่คันธกุฏีบนยอดเขา...​
• สวดมนต์ ...ขอพร...ตั้งอธิษฐาน..​
• แล้วแต่ใครจะปรารถนาอะไร..​
• คณะจาริกบุญของเราที่เป็นผู้ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์มาก่อน..ร่างกายซีกขวาเท่านั้นที่ใช้การได้ดี..ขึ้นไปถึงยอดเขาได้กราบพระพุทธองค์เป็นกลุ่มแรก..ของคณะของเรา....ขออนุโมทนาค่ะ...ไม่กล้าถามว่าขอธิษฐานอะไร...ท่าทางตั้งจิตตั้งใจ...​
• ความทุกข์จากความเจ็บป่วย..​
• ศรัทธาตั้งมั่นต่อพระพุทธองค์​
• ทำให้คุณป้าท่านนั้น..​
• ทำในสิ่งที่หลายคนคิดว่าจะทำไม่ได้​

 

ถ้ำพระโมคคัลลานะ : ถ้ำพระสารีบุตร

​

• ระหว่างทางเดินสู่ยอดเขาคิชกูฏ..ผ่านสถานที่สำคัญที่ทุกคนต้องเข้าไปสวดมนต์... กราบไหว้...ขอพร...
• ถ้ำพระโมคคัลลานะ​
• จากทางขึ้นจะถึงก่อนถ้ำพระสารีบุตร...ต้องรอกันค่ะ..นานแค่ไหนก็รอ..ให้ได้เข้าไปกราบอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์..รู้สึกเย็นทั้งตัว..มีลมพัดผ่านหน้าเบา ๆ ตลอดเวลา..เหงื่อก็ไหล...ได้เห็นทุกคนกราบลงแทบพื้นถ้ำ...อย่างเคารพ..กราบด้วยจิตใจที่ผ่องใส...ตั้งมั่น..​
• ถ้ำพระสารีบุตร​
• อยู่ก่อนถึงทางจะขึ้นบนยอดเขาค่ะ..ปากถ้ำค่อนข้างกว้างจึงเป็นที่ที่กลุ่มผู้จาริกทั้งหลายใช้เป็นที่สวดมนต์กัน...ความรู้สึกเดียวกัน..หลายคนน้ำตาไหลไม่รู้ตัว..ได้กราบพระอรหันตสาวก พระอัครสาวกเบื้องขวา...​
• ทั้งสองถ้ำจึงเต็มไปด้วยทองคำเปลว กลิ่นธูป และแสงเทียน​

 

อนุโมทนากับพี่ตุ่มคะ

นอกจากได้รับการเล่าเรื่องราวการเดินทางแล้ว
มีภาพสวยงามและยังมีบทเพลงประกอบอีกด้วย
ขอบคุณคะ รอฟังต่อนะจ๊ะ

 

​

 

ตโปธาราม : ที่แสดงวรรณะ

​

• ได้กราบพระพุทธองค์...ลงจากยอดเขาคิชกูฏ..คณะจาริกเดินทางต่อไปที่ตโปธาราม..ปีแรกที่มาซื้อส่าหรีได้ถูกมากค่ะ..เป็นไหมราคาเพียง 250 รูปีเท่านั้น...กลับมายังรู้สึก..เอ..เราเอาเปรียบเขาหรือเปล่าต่อราคาจนเค้าขายแบบถูกมาก...​
• ตอนนี้สองข้างทางเดินขึ้นมีของขายมากมายไปหมด..น่าจะมาจากที่คนไทยไปไหนก็ชอบซื้อมาก....เลยเป็นที่กลุ้มใจของผู้ดูแลคณะ..เพราะต้องคอยกระตุ้นให้เดินไปข้างบนก่อน...​
• ที่ตโปธารามนี้...มองเห็นการแบ่งวรรณะอย่างชัดเจนในอินเดีย..วรรณะจัณฑาล..จะได้ใช้น้ำ.อาบน้ำทางล่างสุดค่ะ..น้ำดำคล้ายคลองแสนแสบบ้านเรา..แต่ไม่มีกลิ่นค่ะ..แต่ดูทุกคนก็สนุกสนานมีความสุขที่ได้มาอาบน้ำในที่ศักดิ์สิทธิ์นี้แม้ต้องถูกแบ่งชนชั้นก็ตาม..​
• ชั้นที่เหนือขึ้นไปก็เป็นวรรณะที่สูงขึ้น ตามลำดับค่ะ..เมื่อก่อนเค้าไม่ค่อยพอใจที่มีใครต่อใครไปถ่ายรูปนะคะ..แต่ตอนนี้ดูเหมือนชิน..เอ..เราไปเปลี่ยนวิถีชีวิตของเค้ากันหรือเปล่า....ที่นี่จะมีคนมาขอยาหม่องตาลิง..ชอบมากเพราะมีรูปลิง..ว่าเป็นหนุมาน..ที่นี่บูชาเทพหนุมานค่ะ..​
• การยอมรับในสภาพการแบ่งชนชั้นในอินเดีย..เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากค่ะ..เพราะเชื่อมโยงถึงการดำรงชีวิต..และสภาพของจิตใจ..ตโปธารามจึงศูนย์รวมของอินเดีย..ที่น่าศึกษาแห่งหนึ่งทีเดียว​
• เพราะเป็นเวลาที่แดดจัดมาก..คณะจาริกจึงไม่ได้ขึ้นไปชมถ้ำของพระมหากัสสปะที่อยู่ใกล้บนยอดเขา ..ซึ่งถ้าขึ้นไปก็จะเห็นภาพภูเขา 5 ลูกที่ล้อมรอบเมืองราชคฤห์...อย่างชัดเจน....ทำเลเมืองดีมากค่ะ...มีภาพเก่าของปีก่อน ๆ ครั้งนี้ไม่มีค่ะ..แล้วจะหามาให้ชมตอนท้ายกระทู้นี้นะคะ​

 

ตโปธาราม : ที่แสดงวรรณะ​

 

มหาวิทยาลัยนาลันทา

​

• ความยิ่งใหญ่เมื่อพุทธศาสนาเจริญในอินเดีย..​
• มหาวิทยาลัยนาลันทา​
• มหาวิทยาลัยที่ถูกออกแบบให้ไม่เหมือนมหาวิทยาลัยใด ๆ ในโลก...ที่เป็นได้ทั้งบ้าน..มีครัวมาตรฐานขนาดใหญ่ มีที่เก็บน้ำที่ออกแบบไม่เหมือนที่ใด..มีห้องพัก ห้องเรียน..ที่เป็นทั้งที่ใช้ทำโทษพระนักศึกษา..ห้องเรียนของพระชั้นต่าง ๆ ..ความมหัศจรรย์ที่เมื่อเดินดูความกว้างใหญ่นี้แล้ว..ไม่ต้องเดินกลับมาทางเดิม..ทึ่งมากค่ะ..ไปทีไรก็..รู้สึกถึงพลังของพระศาสนา..พลังของความเพียร..ตลอดเวลา​
• ใครก็ตามที่ได้มาที่มหาวิทยาลัยนี้..รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้สอบเข้ามาในมหาวิทยาลัยนาลันทานี้..กลับออกไปก็ได้รับประกาศนียบัตรที่เป็นความทึ่ง..ความปลาบปลื้ม..ที่คงจำได้ไปจนตลอดชีวิต..ทีเดียวค่ะ​
• ถึงวันนี้..ต้องขอบคุณรัฐบาลอินเดียนะคะ...ที่ได้ดูแลบูรณะเป็นอย่างดีค่ะ...ทำให้พุทธศาสนิกชนที่เดินทางตามรอยบาทพระศาสดา..ได้มีความสุข..ความปลาบปลื้ม..อิ่มเอมในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น..จนถึงมีความเพียรที่จะประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า..อย่างแน่วแน่..ตลอดไป...​

 

บ้านพระสารีบุตร

​

• ใกล้ ๆ ในบริเวณมหาวิทยาลัยนาลันทา...​
• ..บ้านพระสารีบุตร..​
• ตั้งตะหง่าน..ทางด้านทิศตะวันตก​
• เมื่อยืนอยู่ด้านบนสุดของตึกมหาวิทยาลัยนาลันทา..หันหน้าไปทางทิศตะวันตก..จะเห็นบ้านพระสารีบุตร..ชัดเจน..ถึงบ้านพระสารีบุตร..คิดถึงแม่จับใจค่ะ..ด้วยพระสารีบุตรท่านทรงมาโปรดมารดาที่บ้านนี้ก่อนที่จะนิพพาน...อยากเรียกบ้านนี้ว่า..บ้านแห่งความรัก..ที่เป็นทั้งความรักของแม่ที่มีต่อลูก และความรักของลูกที่มีต่อแม่..เมื่อพระสารีบุตรท่านอาพาธก็มีมารดาดูแล..พระสารีบุตรท่านก็เพียรพยายามที่จะแสดงธรรมให้มารดาบรรลุมรรคผล....ท่านต้องอดทนต่ออาการอาพาธทั้งหลาย..​
• คำอธิษฐานจึงเริ่มขึ้น...เพราะเป็นเวลาบ่าย..แดดจัด..ขอให้แดดไม่ร้อนก่อน...มีเมฆมาจริง ๆ แดดร่ม..แดดอ่อนลง..จนทุกคนลงนั่งสวดมนต์ได้..​
• บอกน้องชายกับน้องสาว..อธิษฐานขอให้มีปัญญา..แม้เกิดชาติใด...หลายคนตั้งจิตอธิษฐานตามความปรารถนาของตน..หลังสวดมนต์ได้ทำสมาธิกันเวลาไม่นานนัก..ก็ได้เห็นหลายคนแช่มชื่น..ผ่องใส..ได้มาที่​
• ....บ้านแห่งความรัก.....​

 

อนุโมทนาค่ะ ได้เห็นภาพและทราบว่าคุณวิไปหลายครั้ง
อยากมีโอกาสได้ไปสักครั้งจัง สาธุ

 

พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แห่งนาลันทา

​

• ...หลวงพ่อองค์ดำ...
• เมื่อปีที่แล้ว..ทางไปกราบหลวงพ่อองค์ดำยังเป็นเหมือนทางเกวียนที่ตัดทุ่งนาไปค่ะ..ข้างทางก็จะมีรูปเคารพต่าง ๆ เป็นระยะตามแต่ที่จะมีคนมาบูชา..มีรถม้าให้นั่งเหมือนกันแต่ไม่กล้านั่งสงสารม้าค่ะ..เพราะต้องลากรถไปในที่ขรุขระ..​
• โอ้โอ..ปีนี้..กลายเป็นทางลาดปูนซีเมนต์อย่างดี....ใช้บริการรถม้าเลยค่ะ..ราคาเค้าคิดเป็นคนค่ะ..คนละ 10 รูปีค่ะ...อยากไปถึงก่อน..น้องเจง..เธอฝากผ้ามาห่มองค์หลวงพ่อค่ะ..จะไปห่มก่อน..แล้วใคร ๆ จะได้อนุโมทนาบุญ ได้ถ่ายรูป..ทางทัวร์มีผ้ามาด้วยผืนหนึ่งค่ะ..ก็รอให้เค้าห่มก่อน แล้วเราห่มตาม..พอถ่ายรูปก็เป็นผ้าที่น้องเจงมีศรัทธาฝากไปบูชาหลวงพ่อองค์ดำ..ขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ​
• หลวงพ่อองค์ดำนี้..ประดิษฐานอยู่เพียงในวิหารเล็ก ๆ เท่านั้นค่ะ..พระมหาจูมท่านเคยเล่าว่า..เมื่อก่อนไม่มีวิหาร..องค์หลวงพ่อตั้งอยู่กลางทุ่งนา ใครจะมาย้ายท่านอย่างไรก็ไม่ได้ ให้เกิดอาเพธไปทุกครั้ง..จนต้องให้องค์หลวงพ่ออยู่ที่เดิม..ต่อมาด้วยกำลังบุญของคนไทย..ก็ได้สร้างวิหารเล็ก ๆ กันแดด กันลม กันฝน...​
• ความศักดิ์สิทธิ์...ใครที่ได้มากราบจะขอพรจากหลวงพ่อให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ..พระมหาจูม พระธรรมทูตที่ท่านเคยเป็นพระวิทยากรให้เมื่อปีที่แล้วค่ะ..ท่านบอกวิธีว่าให้ตั้งจิตอธิษฐานลูบลงที่องค์หลวงพ่อตรงที่เราเจ็บป่วย แล้วก็กลับมาลูบที่ตัวเราตรงที่เจ็บป่วย..มีคนหายเจ็บป่วย..ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อจึงเป็นที่เลื่องลือ..สังเกตองค์หลวงพ่อเป็นสีดำมันเลยค่ะ.....​

 

วัดเวฬุวัน : มาฆบูชา

​

สวนไผ่..วัดเวฬุวัน..เป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา..ด้วย... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ​

• พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปนั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย​
• พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ​
• พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6 ​
• และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4​

คณะจาริกบุญ..ทำวัตรเย็นกันที่นี่ค่ะ..กราบบูชาพระอรหันตที่เคยมาประชุมกัน ณ ที่นี้..
น้องเจง j sayamol เธอฝากผ้าห่มพระผืนเล็กมาค่ะ..บอกว่าขอห่มให้หลวงพ่อองค์เล็กที่ประดิษฐานอยู่ที่นี่....ขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ...
วัดเวฬุวันปีนี้ก็สวยกว่าปีก่อน..ได้รับการดูแลสถานที่อย่างดี ห้องน้ำสะอาดขึ้น..ดอกไม้สวยขึ้น..เพราะใกล้ค่ำค่ะ..ยุงก็จะเริ่มมารบกวนเราแล้ว...ประตูก็มีเวลาปิดค่ะ..ที่อินเดียพอพระอาทิตย์ตกก็จะเย็นทันที...
ออกจากวัดเวฬุวันเป็นคนสุดท้าย..มืดแล้วค่ะ..​

 

สวรรค์ของผู้จาริกบุญ : วัดไทยนาลันทา

​

• พวกเราหายเหนื่อยกันเป็นปลิดทิ้ง..ทีจริงได้แวะเข้ามาพักรับประทานอาหารกลางวันที่วัดไทยนาลันทากันแล้ว..ขนกระเป๋าลง..แล้วไม่มีใครอยากออกจากห้องพัก...สวรรค์ของผู้จาริก...อยู่ที่นี่เอง..เสียงบอกต่อกันดังขรมไปหมด..ที่นี่มีน้ำอุ่นด้วย..ที่นี่มีน้ำอุ่นด้วย..ชาวคณะพรรคที่ซักแห้งมาแล้ว 1 วัน 1 คืน..สีหน้าแช่มชื่นเลยค่ะ..

 

แทบทุกคน..เสียดายค่ะ..ได้พักที่วัดไทยนาลันทาเพียงคืนเดียวเท่านั้น..เพราะกว่าคณะจาริกจะเข้านอน..แน่นอน..เกือบทุกคนอีกเหมือนกัน..อาบน้ำ..สระผมด้วย..สวรรค์จริง ๆ เตรียมสำหรับพบกับความไม่แน่นอนต่อไปด้วยไม่รู้ว่า..วัดต่อไปที่จะไปพักเป็นอย่างไรนะคะ....แม้จนวันสุดท้ายที่จะออกจากอินเดีย..ก็เล่าขานกันถึงวัดไทยนาลันทา....อินเดียมีน้ำอุ่นได้ไง..


และที่นี่..ใครที่พาแม่มาอินเดียจะได้รับหนังสือ.."พาแม่เที่ยวอินเดีย"..จากพระอาจารย์ดร.พระมหาพัน สุภาจาโร เจ้าอาวาสวัดไทยนาลันทาค่ะ..ท่านเมตตาด้วยท่านเขียนไว้ในคำนำว่า เมื่อท่านบวชและได้มาศึกษาในประเทศอินเดีย..พุทธพจน์..อานิสงค์ผลบุญเมื่อได้กราบไหว้บูชาสังเวชนียสถานทั้ง 4 ตำบล..จะไม่ไปสู่อบายภูมิ...ท่านจึงตั้งความปรารถนาที่จะพาโยมพ่อและโยมแม่มากราบพุทธองค์ในแดนพุทธภูมิแม้สักครั้ง...ก็มีเหตุ..ให้โยมพ่อกับโยมแม่ท่านสิ้นไปก่อนที่จะได้มาอินเดีย..ตามที่ท่านและโยมพ่อโยมแม่ปรารถนา....
เที่ยวนี้มีแม่ลูกมาในคณะจาริก 4 คู่ค่ะ..ได้รับหนังสือที่มีลายมือชื่อท่านอาจารย์มหาพันกันถ้วนหน้า..
ท่านพระครูพินิจ โยมแม่คง
ท่านพระมหาสมเจตน์ โยมแม่หนูน้อย
จ่าสิบเอกสำเริง แม่สนิท
คุณบรรจบ แม่จรูญ
ที่น่าแปลกอีกอย่างค่ะ..ในคณะจาริกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนในครอบครัวเดียวกันค่ะ ทั้งที่เป็นพ่อแม่ลูก เป็นพี่น้อง เป็นสามีภรรยา ...ใครอยากได้ไปอ่านก็สามารถทำบุญกับท่านได้ค่ะ..หนังสือเล่มละ 300 รูปี (เงินไทยก็ได้)...
เมื่อคณะจาริกไปถึงวัดไทยนาลันทานั้น เจ้าอาวาสท่านไม่อยู่..แต่จะเดินทางกลับในคืนวันที่คณะจาริกพักกัน.
.

ปีที่แล้วเดินทางไปอินเดียพร้อมคุณพัวค่ะ..เป็นน้องชายของท่านอาจารย์ดร.พระมหาพัน สุภาจาโร..เจ้าอาวาสวัดไทยนาลันทา..คุณพัวเป็นคนไม่ค่อยพูดค่ะ..อาจจะเป็นเพราะแต่ละคนยังไม่คุ้นหน้าทั้งนั้น.วันที่รู้ว่าคุณพัวเป็นน้องชายเจ้าอาวาสก็เกือบถึงวันกลับแล้วค่ะ..ได้คุยกันโดยบังเอิญ....คุณพัวพูดภาษาโคราช..บอกว่าไม่กลับด้วยนะจะอยู่ช่วยหลวงพี่สร้างวัด..ปีนี้ไปพบคุณพัวที่วัดไทยนาลันทาค่ะ..คุณพัวบอกว่ากลับไปเมืองไทยครั้งหนึ่งแล้วกลับมาใหม่..ดูคุณพัวสดชื่น..อ้วนขึ้น.พูดเก่งขึ้น..เลยได้ช่วยดูแลคณะของเราเป็นอย่างดี..เพียบ..ทุกอย่าง..
วัดไทยนาลันทานี้เลยเป็นที่ประทับใจของทุกคน เหมือนเดินทางในทะเลทราย.แล้วมาพบ โอเอซีสใหญ่..แม่ ๆ ทั้งหลายชอบมาก..​

กิจกรรมสำคัญที่คณะจาริกทำกันในทุกวัดโดยเฉพาะวัดไทย คือ ทอดผ้าป่าค่ะ..ท่านอาจารย์มหาภีรญาณ เจ้าอาวาสวัดแก่งขนุน หัวหน้าคณะท่านให้จัดเตรียมของที่จะถวายผ้าป่ามาจากเมืองไทยส่วนหนึ่ง ..สำหรับส่วนที่ทุกคนสมทบก็จะเป็นปัจจัย..ทั้งเงินไทย เงินรูปี และดอลลาร์ ค่ะ..

ที่ได้เรียนไว้ในกระทู้ จาริกแสวงบุญ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุไปอินเดีย...ที่น้องบุญญสิกขา และน้องเจง ได้กรุณาเปิดกระทู้บุญนั้นให้..ตู้..พระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ ที่อัญเชิญมาจากประเทศไทย..จะถวายประดิษฐานที่วัดไทยนาลันทานี้ค่ะ...ขออนุโมทนาบุญอย่างยิ่งต่อชาวชมรมวัชรธาตุ..ที่กรุณาให้ได้ร่วมบุญเป็นเจ้าภาพตู้พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุนี้ค่ะ

 

​

 

ถวายพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ

[MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.896210/[/MUSIC]​

 

​

...พระบรมสารีริกธาตุ..ที่อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดไทยนาลันทา..มีหลายสัณฐานค่ะ..ทั้งที่เป็นบูชาอยู่เอง ที่น้องบุญญสิกขาบูชาอยู่..คุณอรชุน..และที่ทางชมรมวัชรธาตุให้มาค่ะ..เจดีย์แก้วน้องบุญญสิกขาเธอขอร่วมบุญค่ะ..ขออนุโมทนาอย่างยิ่งต่อทุกท่านนะคะ..ทั้งที่มอบพระบรมสารีริกธาตุมา..และที่น้อมจิตมาร่วมถวายในครั้งนี้ค่ะ..

...ท่านอาจารย์มหาภีรญาณ..ท่านถามว่ามีคำกล่าวถวายมั๊ย..กราบเรียนท่านว่ามีแต่คำบูชา..ไม่ได้เตรียมไปค่ะ....ท่านก็หาคำถวายกล่าวนำให้จนได้....การจัดเรียง..น้องสาว"คุณอัจฉราเป็นคนช่วย..ภาพที่ได้เห็นกัน..น้องชาย "คุณศุภชัยเป็นคนช่วยถ่ายภาพให้....คณะจาริกทั้งหลายเป็นกำลังใจ..และอนุโมทนาบุญ...

....พระอรหันตธาตุ..มีทั้งหมด 13 องค์ค่ะ...องค์สำคัญคือพระธาตุพระสารีบุตร และพระธาตุพระโมคคัลลานะ..ที่วัดไทยนาลันทานี้มีพระบรมสารีริกธาตุหลายสัณฐาน หลายองค์ เมื่อปีที่แล้ว ท่านอาจารย์ภูวดล ที่อยู่เชียงใหม่ท่านก็ฝากมาประดิษฐานหลายองค์และหลายวัดค่ะ..แต่..พระธาตุพระอรหันต์ยังเห็นมีแต่รูปค่ะ...นับแต่วันนี้ไปจะมีพระธาตุให้พุทธศาสนิกชนทุกชาติทุกภาษาที่มาที่วัดไทยนาลันทานี้..ได้กราบไหว้บูชา...