อิสลามบิดเบือนเรื่องเวียนว่ายตายเกิดในศาสนาพุทธ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย กล่องไม้ขีดไฟ, 14 กันยายน 2018.

  1. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    เมื่อก่อนมี เทวดา มากมายอาศัยอยู่ในโลกนี้
    แต่พอเทวดาบางพวกไปเจอ ง้วนดิน หรือ ของมึนเมา เข้า
    เทวดาเหล่านั้นก็ไม่เป็นอันทำอะไร จ้องแต่จะเสพ ของมึนเมา อยู่ท่าเดียว ร่างกายอันเป็น ทิพย์ จึงค่อยๆเปลี่ยนไปเป็น กายหยาบ จนกระทั่ง กายเป็น มนุษย์ ไปในที่สุด

    ถ้าจะเรียกให้ถูกสมัย ก็คือ เหล้า กับ ยาเสพติด นั่นเอง ที่เทวดาหลงเสพ
     
  2. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    บทความหลวงปู่มั่น
    ที่ท่านปรียบเทียบ การทำงานของจิตเหมือนเลข0

    15. สัตตาวาส ๙

    เทวาพิภพ มนุสสโลก อบายโลก จัดเป็นกามโลก
    ที่อยู่อาศัยของสัตว์เสพกามรวมเป็น ๑

    รูปโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้สำเร็จรูปฌานมี ๔

    อรูปโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้สำเร็จอรูปฌานมี ๔
    รวมทั้งสิ้น ๙ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์

    ผู้มารู้เท่าสัตตาวาส ๙ กล่าวคือ พระขีณาสวเจ้าทั้งหลาย ย่อมจากที่อยู่ของสัตว์ ไม่ต้องอยู่ในที่ ๙ แห่งนี้

    และปรากฏในสามเณรปัญหาข้อสุดท้ายว่า ทส นาม กึ อะไรชื่อว่า ๑๐ แก้ว่า ทสหงฺ เคหิ สมนฺนาคโต

    พระขีณาสวเจ้าผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ ย่อมพ้นจากสัตตาวาส ๙ ความข้อนี้คงเปรียบได้กับการเขียนเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ นั่นเอง

    ๑ ถึง ๙ เป็นจำนวนที่นับได้ อ่านได้ บวกลบคูณหารกันได้ ส่วน ๑๐ ก็คือ เลข ๑ กับ ๐ (ศูนย์) เราจะเอา ๐ (ศูนย์) ไปบวกลบคูณหารกับเลขจำนวนใดๆ ก็ไม่ทำให้เลขจำนวนนั้นมีค่าสูงขึ้น และ ๐ (ศูนย์) นี้เมื่ออยู่โดยลำพังก็ไม่มีค่าอะไร

    แต่จะว่าไม่มีก็ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งปรากฏอยู่ ความเปรียบนี้ฉันใด จิตใจก็ฉันนั้นเป็นธรรมชาติ มีลักษณะเหมือน ๐ (ศูนย์) เมื่อนำไปต่อเข้ากับเลขตัวใด ย่อมทำให้เลขตัวนั้นเพิ่มค่าขึ้นอีกมาก เช่น เลข ๑ เมื่อเอาศูนย์ต่อเข้า ก็กลายเป็น ๑๐ (สิบ)

    จิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อต่อเข้ากับสิ่งทั้งหลายก็เป็นของวิจิตรพิสดารมากมายขึ้นทันที แต่เมื่อได้รับการฝึกฝนอบรมจนฉลาดรอบรู้สรรพเญยฺยธรรมแล้วย่อมกลับคืนสู่สภาพ ๐ (ศูนย์) คือ ว่างโปร่งพ้นจากการนับการอ่านแล้ว มิได้อยู่ในที่ ๙ แห่งอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ แต่อยู่ในที่หมดสมมติบัญญัติคือ สภาพ ๐ (ศูนย์)
     
  3. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    (อันนี้เขียนเองอยากให้วิจารณ์)
    บทความการทำงานของจิตกับการเวียนว่ายตายเกิด

    สัตว์ไม่ว่าประเภทไหนต้องมีจิตอยู่ในกายสังขารทั้งนั้น
    จิตหรือธาตุรู้ มีมาแต่เดิมเหมือนธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ นั้นมีมาแต่เดิม

    เมื่อจิตมีอาสวะกิเลส ทำให้เกิดขบวนการทำงานของกรรมและก่อตัวเป็นสังขารกรรม
    ด้วยอำนาจแห่งกรรมเป็นตัวพาจิตไปจุติในภพภูมิได้กายสังขารขึ้นมา

    ต่อมาเรียกว่าสัตว์ มีอายตนะต่างๆมีตา หู จมูก ลิ้น กายผัสสะ ใจนึกคิด
    เกิดการรับรู้ เกิดการกระทำทางกาย วาจา ใจ ทำให้เกิดวิบากกรรมสั่งสมในสังขารกรรม

    เมื่อตายลงตามอายุขัย วิบากกรรมในสังขารกรรมสั่งสมอยู่ในดวงจิต ก็ทำงานอีก
    พาให้ไปจุติในภพใหม่ต่อไปอีก เกิดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2018
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ถ้างั้นเรามาลองดูตัวเลข ๐ ถึง ๙ ที่หลวงปู่มั่นเปรียบเทียบในเชิงสัตตาวาส ๙ ของหลวงปู่ ตามหลักธรรมกันค่ะ

    เลข ๐ บ่งบอกนัยยะ สภาวะจิตสุญญตา สภาวะอสังขตะธรรม

    เลข ๑ บ่งบอกนัยยะ การเคลื่อนเข้าสู่สภาวะสังขตธรรม (ที่มีการเคลื่อนไหวไหลไปไม่หยุดนิ่ง) คือ การเริ่มหมุนจาก ๐ เคลื่อนเป็น ๑ เพื่อเกิดการสั่นสะเทือนเกิดภิภพที่อยู่ของสัตว์ที่มีการเกิดแก่เจ็บตาย ความแปรปรวนไปตามไตรลักษณะและอิทัปปัจจยตา

    เลข ๒ บ่งบอกนัยยะ โลก กับ ธรรม หรือ ธรรมคู่

    เลข ๓ บ่งบอกนัยยะ ไตรสิกขา ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา กับ ไตรสรณคมณ์ ๓ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    เลข ๔ จุดกำเนิดภิภพ สัตว์ผู้เสพกาม ทั้งอรูปภพ รูปภพ มีมหาธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ

    เลข ๕ คือ ขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    เลข ๖ คือ อายตนะภายนอกและอายตนะภายในทั้งหก (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)

    เลข ๗ โพชฌงค์เจ็ด

    เลข ๘ วิถีของมรรคแปด

    เลข ๙ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน๑ รวมลงโลกุตระธรรม ๙


    ลองมาดู เลข ๐ (ศูนย์) ตามความหมายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันบ้างนะคะ

    เลข ๐ (ศูนย์) หมายถึง ความสมดุล ที่มีคุณสมบัติสุญญตา หมายความว่า มีคลื่นความถี่ที่เล็กละเอียดที่สุดในระดับที่แม้จะมีก็เหมือนไม่มี มีคลื่นความถี่การสั่นสะเทือนสูงสุด คือ สั่นสะเทือนจนเหมือนไม่สั่นสะเทือน และมีอัตราการเหวี่ยงหมุนรอบตนเองสูงเป็นที่สุด คือ หมุนก็เหมือนไม่หมุนแล้ว

    คำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เปรียบเทียบไว้ค่ะ.....

    การที่มนุษย์จะให้อภัยต่อใครสักคนหนึ่งนั้น ย่อมแสดงว่าสภาวะจิตในขณะนั้นของตนเองต้องเกิดการเสียสมดุลทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดต่อใครคนนั้นไปมากโขแล้ว เป็นต้นว่า

    โมโหมากแล้ว
    โกรธมากแล้ว
    ทนไม่ไหวแล้ว


    อาการทางอารมณ์รู้สึกเหล่านี้ ล้วนเป็นคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนของจิตมนุษย์ในย่านคลื่นความถี่ต่ำ ๆ หรือคลื่นหยาบ ๆ ทั้งสิ้น

    คำว่า คลื่นความถี่ต่ำ หรือ คลื่นความถี่หยาบ ๆ สามารถอธิบายให้เห็นภาพพจน์หรือเห็นเป็นรูปธรรมได้โดย....

    ทดลองนำเอาลวดหรือเชือกยาว ๆ มาเส้นหนึ่ง ผูกปลายเชือกทั้งสองด้านไว้กับเสาสองต้น กะเชือกให้ตึงพอสมควร จากนั้นใช้มือเกี่ยวรั้งบริเวณตรงกลางเชือกเส้นนั้นซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างเสาสองต้น โดยดึงเชือกรั้งลงต่ำจากระดับปกติเล็กน้อยแล้วปล่อยทันที ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นให้สังเกตุได้คือ

    เชือกเส้นดังกล่าว จะแสดงอาการสั่นสะเทือนขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นคลื่นอย่างเห็นได้ชัด

    เมื่อเชือกเส้นที่ขึงระหว่างเสาสองเส้นหยุดนิ่งแล้ว คราวนี้ให้ทดลองใหม่ ด้วยการเกี่ยวรั้งเชือกเส้นนั้นให้ต่ำลงจากระดับปกติตำแหน่งเดิมอีก ให้มนุษย์ลองทำแบบนี้นี้อีกหลาย ๆ ครั้ง ด้วยการเหนี่ยวรั้งเชือกในแต่ละครั้งที่ทดลองให้ต่ำลงกว่าระดับปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ ไป ปรากฎการณ์ที่มนุษย์จะพิสูจน์รู้ได้เมื่อสิ้นสุดการทดลองก็คือ

    เชือกเส้นดังกล่าว จะแสดงอาการสั่นสะเทือนขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นคลื่นให้ได้เห็นอย่างชัดเจน และ.. ยิ่งเกี่ยวรั้งลงต่ำมากเท่าใด เส้นเชือกก็จะสั่นสะเทือนขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นคลื่นอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นเสมอ

    ในยามที่สภาวะจิตของมนุษย์ เกิดอารมณ์รู้สึกหยาบ ๆ รายวัน เช่น โกรธ โลภ หรือลุ่มหลงงมงายในสิ่งใดเรื่องใดหรือผู้ใดก็ตาม จะสังเกตุตนเองได้ว่าหัวใจของตนนั้นจะเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเสมือนจะกระดอนกระเด็นเต้นออกมาจากอกเลยทีเดียว ปอดทำงานช้าลง ทำให้ต้องหายใจแรง ๆ และถอนหายใจบ่อย ๆ เป็นต้น

    (เรื่องนี้ยืนยันรับรอง ๑๐๐ % เลยค่ะ)

    มายาทางร่างกายที่เป็นอาการเหล่านี้ ล้วนถูกถ่ายทอดมาจากแรงสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกของแก่นแท้ คือ สภาวะจิตที่เร้นอยู่ภายใน ในย่านความถี่หยาบ ๆ หรือ ย่านความถี่ต่ำที่เป็นอารมณ์รู้สึกหยาบ ๆ รายวันดังได้กล่าวมาแล้ว

    อารมณ์รู้สึกหยาบ ๆ รายวันทั้งหลาย ก็คือ กิเลสตัณหา ของมนุษย์นี่เอง

    มนุษย์จะต้องรู้ว่า สภาวะจิตในยามปกติของตนเองก็คื อารมณ์ความรู้สึกที่สุขสงบ หรืออาจกล่วว่า เป็นสภาวะจิตที่ อิ่มเอิบเบิกบาน ก็ได้ สภาวะทางอารมณ์รู้สึกด้านบวกในยามปกตินี้ ไม่ต่างไปจากลวดเส้นหนึ่งที่ถูกขึงตรึงปลายทั้งสองด้านเอาไว้จนตึ่งเต็มที่ จะสังเกตุด้วยตาเปล่าได้ว่า ในขณะที่ยึดรั้งเส้นลวดเอาไว้จนตึงนั้น เส้นลวดก็จะหยุดอยู่นิ่ง ๆ ไม่สั่นสะเทือน หรือเต้นขึ้น ๆ ลง ๆ ให้เห็นแม้แต่เพียงเล็กน้อย

    มายาของเส้นลวดที่แลเห็นอยู่ก็คือ.....

    ลวดหยุดนิ่ง ไม่มีการสั่นสะเทือนใด ๆ เกิดขึ้นเลย....


    การคิดเข้าใจของมนุษย์ดังกล่าวนั้น เป็นความคิดที่ผิดถนัด

    เพราะเหตุว่า.... ลวดเส้นที่ขึงไว้จนตึงที่แลเห็นเสมือนหนึ่งกำลังนิ่งสงบอยู่โดยไม่สั่นสะเทือนเคลื่อนไหวใด ๆ นั้น แท้แล้วมันกำลังสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูงสุดทางด้านบวกอย่างต่อเนื่องต่างหาก

    เพราะเหตุว่า มันสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูงมาก ๆ ในขณะที่นัยน์ตาของมนุษย์ก็มองไม่ทัน เนื่องจากความไวในการรับภาพของนัยน์ตามนุษย์ได้ถูกจำกัดมิติเอาไว้นั่นเอง

    เพราะมันสั่นสะเทือนหรือเต้นยกตัวขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นคลื่นความถี่สูงมากนี่เอง มนุษย์จึงแลเห็นว่ามันไม่สั่นสะเทือน

    สามารถพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ได้ด้วยการสังเกตุล้อเกวียนหรือบ้อรถยนต์ จากการชมภาพยนต์ จะพบว่ายิ่งรถยนต์หรือเกวียนเคลือ่นที่ด้วยความเร็วมากเท่าใด มายาที่แลเห็นก็จะเป็นเสมือนหนึ่งว่าล้อรถยนต์หรือล่อเกวียนนั้นหยุดหมุนไม่มีผิดเลย

    ดังนั้น มนุษย์โดยทั่วไปจะถือว่าในยามสภาวะจิตที่สุขสงบเป็นปกติของตนนั้น จิตจะไม่มีการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นทางอารมณ์รู้สึกใด ๆ เลยมิได้ เพราะ..แท้ที่จริงมันกำลังสั่นสะเทือนเป็นคลื่นนความถี่สูงสุดทางด้านบวกอยู่อย่างต่อเนื่องต่างหาก

    ด้วยเหตุนี้ ถ้ามนุษย์จะหมุนธรรมจักรภายในตนเอง ด้วยคลื่นความถี่ของการสั่นสะเทือนทางอารมณ์ ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างอารมณ์รู้สึกด้านบวกใด ๆ ขึ้นมาใหม่เลยก็ได้ เพียงแค่รักษาความสงบสุขภายในจิตใจตนเองเอาไว้ให้มั่นคงยั่งยืนก็พอแล้ว

    ความสามารถที่จะรักษาความสุขสงบในจิตใจของตนเองเอาไว้ให้ได้โดยไม่หวั่นไหวในทุกเงื่อนไขสถานการณ์ดังกล่าวนี้ มนุษย์เรียกกันว่า

    จิตเป็น "อุเบกขา" นั่นเอง

    จากกรณีทั้งหมด เพื่อบ่งชี้ให้กระจ่างว่า ขณะที่ตนกำลัง จิตตก คือ มีระดับคลื่นความถี่ของการสั่นสะเทือนอารมณ์ความรู้สึกด้านลบ ด้วยการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ที่ต่ำไปจากสภาวะจิตปกติมาก ๆ เช่น โกรธจัด โมโหจัด เป็นต้น ถ้ามนุษย์ต้องการระงับยับยั้งแรงสั่นสะเทือนด้านลบที่เป็นอารมณ์ลบเหล่านี้ให้ได้ มีทางเลือกเพียงทางเดียวก็คือ

    มนุษย์จะต้องหาทางยกระดับแรงสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึดคิดของตนให้สูงขึ้นทางด้านบวก อย่างน้อยจะต้องเท่ากับแรงสั่นสะเทือนด้านลบที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้นให้จงได้ เพื่อหักล้างกัน หรือ เพื่อทำให้การสั่นสะเทือนด้านลบนั้นเป็นโมฆะไปนั่นเอง

    การให้อภัยแก่บุคคลที่ทำให้เราโกรธ หรือคิดว่าไม่สมควรให้อภัย จึงมีความหมายเป็นเช่นเดียวกับที่ว่านี้....

    พอมองภาพของคำกล่าวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ออกไหมค่ะ ที่ตนเองยกมานี้ เป็นการสั่นสะเทือนของจิตระดับสูง ๆ ซึ่งเป็นคลื่นสภาวะจิตที่สั่นสะเทือนสูงมากจนเสมือนหยุดนิ่งไม่ได้สั่นสะเทือนอะไรเลย..แต่แท้ที่จริงแล้วคลื่นความถี่ของจิตนั้นมิได้หยุดนิ่งเลย แต่ว่ามันกำลังสั่นสะทือนอยู่ แต่มันสั่นสะเทือนสูงมากจนมิติของนัยน์ตามนุษย์มองไม่เห็นนั่นเอง นั่นคือ สภาวะจิตที่เป็นปกติสุขปกติของมนุษย์เรา คือ สภาวะจิตอุเบกขา

    ที่จิตยิ้มนำประเด็นนี้ยกมาเพื่อจะได้เข้าใจว่าจิตระดับสุญญตา ที่เป็นดั่งเลข ๐ (ศูนย์) หรือ จิตสมดุลไร้การเคลื่อนไหลเป็นสภาวะอสังขตธรรมแล้ว มีลักษณะสภาวะอย่างไรที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวเอาไว้นะค่ะ

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ว่า....

    คลื่นลบ ที่เป็นกิเลส-ตัณหา เป็นคลื่นหยาบที่สั่นสะเทือนระดับต่ำ ๆ ประเภท ความโกรธ ความโลภ ความลุ่มหลงงมงาย

    คลื่นบวก เป็นคลื่นการสั่นสะเทือนของจิตที่ยกระดับอยู่ในสภาวะปกติ เป็นคลื่นความรักพรหมวิหารสี่ โดยมีคลื่นระดับอุเบกขา ก็คือ คลื่นคอสมิค หรือ คลื่นจักรวาล เป็นคลื่นความที่สูงลึกละเอียดที่สุดในจักรวาล

    หากคลื่นสุญญตา๐ (ศูนย์) ที่เป็นสภาวะอสังขตธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งสูงเหนือจากคลื่นคอสมิคคลื่นจักรวาลขึ้นไปอีก ที่มีลักษณะหมุนก็เหมือนไม่หมุน คือเป็นความว่าง แต่ไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็น.... ความว่างที่มีเหมือนไม่มี.....

    เลข ๐ (ศูนย์) หมายถึง ความสมดุล ที่มีคุณสมบัติสุญญตา หมายความว่า มีคลื่นความถี่ที่เล็กละเอียดที่สุดในระดับที่แม้จะมีก็เหมือนไม่มี มีคลื่นความถี่การสั่นสะเทือนสูงสุด คือ สั่นสะเทือนจนเหมือนไม่สั่นสะเทือน และมีอัตราการเหวี่ยงหมุนรอบตนเองสูงเป็นที่สุด คือ หมุนก็เหมือนไม่หมุนแล้ว


    จะมีความสูงกว่าคลื่นคอสมิค 3 เท่า (3×คอสมิค = สุญญตา) นี้เป็นนัยยะระดับขั้นคลื่นความถี่ทางอารมณ์ของมนุษย์ ที่จิตต้องคืนกลับสภาวะเดิม ที่หลวงปู่มั่น หมายถึงคือ ๐ (ศูนย์) ก็ด้วยนัยยะดังนี้ นะค่ะ

    นำข้อมูลมาให้เพื่องลองพิจารณาดูกันนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2018
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    อ่านแล้วมีความเห็นเป็นประการใด อย่าเงียบกันไปเลยนะค่ะ รู้สึกวังเวง ทำไม! ลงคราวนี้เงียบกันไปหมดเลย เรากำลังถกธรรมให้ได้ความจริง จากการรวมศาสนาให้เป็นหนึ่งเดียวตามคำพุทธทำนาย น่าจะใช่นะคะ
     
  6. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    อยากแสดงความเห็นอยู่ แต่ความรู้ของคุณจิตยิ้มที่เอามาลงสูงเกิน ความรู้ผมยังไม่ถึงครับ

    แสดงตัวว่าอ่านแล้วแทนละกัน
     
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    อยากคุยต่อค่ะ ต่อเลยแล้วกัน...

    จะว่าเป็นการเล่าเรื่องนิทานดีไหม!! ไม่ซินะ เพราะถ้าสิ่งนี้ทำให้เราได้รู้ว่า ตัวตนที่แท้จริงเราเป็นใคร? เราเกิดมาได้อย่างไร? ก็น่าศึกษาเหมือนกันนะคะ


    ถ้าตัวตนที่แท้จริงของเราทุกคุณ มีคุณสมบัติทางพลังงาน เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่เป็นแก่นแท้อนัตตา ที่มีสภาวะสุญญตาเป็นคุณสมบัติเดิมกันอยู่

    แต่แล้ว...ที่จุดเริ่มต้นได้อุบัติขึ้นจากพลังงานสากลที่มันมีอยู่แต่เดิม ก่อนที่สิ่งหนึ่งจะอุบัติขึ้นและได้ดำรงอยู่นี้ จะมีพลังงานสากลดำรงอยู่ก่อนแล้ว แล้วมีสิ่งหนึ่งอุบัติขึ้นมาจากสนามพลังงานสากลนั้น สิ่งหนึ่งจึงคิดสร้างสนามพลังงานขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อเลียนแบบสนามพลังงานสากลที่มีอยู่แต่เดิม โดยสร้างซ้อนทับพลังงานสากลที่มีอยู่แต่เดิมนี่เอง

    เหตุที่ต้องสร้างสนามพลังงานขึ้นมาก่อนที่จะสร้างสรรพสิ่งอื่นใด สิ่งหนึ่งที่อุบัติขึ้นเริ่มแรกในสนามพลังงานสากลนั้น ได้ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้มาแล้วว่า ทุกสรรพสิ่งจะดำรงอยู่ได้ก็ในสนามพลังงานเท่านั้น และที่ต้องสร้างสนามพลังงานใหม่มิใช่สนามพลังงานเดิม ก็เพราะมันมิใช่รูปธรรมทางพลังงานดังเช่นดวงจิตจักรวาลในมิติแห่งสุญญตาทั้งหลายเพียงประเภทเดียวอีกแล้ว แต่จะมีสรรพสิ่งอื่น ๆ ในทางมิติกายภาพที่มีมวลหยาบ ๆ มีน้ำหนัก และมีความเป็นคนสองมิติอยู่ในตัวเองอีกต่างหากด้วย

    หากจะแบ่งสรรพสิ่งที่กำหนดสร้างขึ้นมาใหม่นั้น สามารถแบ่งได้ 3 ระดับ คือ

    ระบบใหญ่ เรียกว่า "เอกภพ"
    ระบบกลาง เรียกว่า "กาแล๊กซี่"
    ระบบเล็ก เายกว่า "สุริยะจักรวาล"

    ควาสัมพันธ์ในการดำรงอยู่ของทั้งสามระบบ คือ เอกภพ กาแล๊กซี่ แบะสุริยะจักรวาล ทั้งหมดนั้นก็คือ การหมุนรอบระบบของตนเองที่สัมพันธ์กันกับการหมุนรอบระบบของผู้อื่นอย่างสมดุลหรือลงตัวกันตลอด กล่าวคือ ดาวทุกดวง แม้แต่ดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะจักรวาลต่างก็ต้องหมุนรอบตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น

    ดินแดนสุญญตา คือ อณาบริเวณที่เป็นฉากดำนอกระบบเอกภพทั้งหมด ป็นสนามพลังงานสากลที่มีอยู่ก่อนเดิม และเป็นสนามพลังงานคนละระบบกับสนามพลังงานในระบบเอกภพ มีการกำหนดติตตั้งประตูมิติผ่านเข้าออกระหว่างแดนสุญญตากับเอกภพไว้ ตรงปลายทั้งสองด้านของกาแล๊กซี่ทางช้างเผือก เรียกมิติบานนี้ว่าด่านนภาลัยเมื่อดวงจิตธรรมญาณ สามารถผ่านด่านประตูมิตินี้คืนกลับไปนอกระบบเอกภพ สู่แดนสุญญตา ซึ่งเรียกว่า สภาวะนิพพาน หมายถึง ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในเอกภพอันไพศาลนี้อีกต่อไปแล้วนั่นเอง

    ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกขัดใจกับตนเอง หรือ ลังเลไม่เชื่อสงสัย ไม่มีในคำสอน ก็ถือว่าอ่านนิทานก็ได้ค่ะ ได้ความรู้กว้างขึ้น เพื่อลองนำไปพิจารณาไปเชื่อมโยงกับไตรลักษณะในพระพุทธศาสนา โดยพิจารณาเป็นเหตุเป็นผลอีกรอบก็ได้ค่ะ ถ้าไม่ตรงใจก็ทิ้งไปก็ได้ ถ้าใครไม่เจอสภาวะโลกุตระธรรม น้อยคนนักที่จะเชื่อในสิ่งนี้ แต่ถ้าเราได้ความรู้ใหม่ เป็นผลึกการคิดรู้ที่เสมือนแสงสว่างทางปัญญา การเข้าใจธรรมชาติแท้จริงของตนเอง น่าจะเป็นความรู้ใหม่ที่เหมาะสมกับมนุษย์ปัจจุบันที่มีแนวคิดเป็นวิทยาศาสาตร์เป็นอย่างยิ่งค่ะ
     
  8. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ใช่เรากำลังถกธรรมเพื่อให้ได้หลักแห่งสัจจธรรมกัน
    เพราะข้างบนเขาสรุปอย่างนั้นมาครับ
     
  9. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    หลักธรรมของสำนักจิตจักรวาลก็น่าสนใจครับ
    ผมตามชาแนลนั้นอยู่ครับ
    ใบไม้นอกกำมือ

    ความจริงก็ตามหลายชาแนลหลายสำนักอยู่
    เพื่อตามงานของพวกที่ลงมาเกิด
     
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    เขาสรุปมาอย่างนั้นหมายถึง ศาสนาอิสลามเหรอค่ะ ที่มีความคิดเห็นอย่างนี้ และผู้ที่สรุปนั้นเป็นผู้นำสูงสุดของศาสนาอิสลามหรือเปล่า
     
  11. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    หมายถึงที่ประชุมใหญ่
    อิสลามแค่ทีมฟุตบอลทีมหนึ่งเท่านั้นที่ลงเตะแข่งขัน
     
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ตรงนี้ถ้าใครเคยอ่านพระสูตร อัคคิวัจฉโคตตสูตร ในพระไตรปิฎก ลองพิจารณาในพระสูตรทำให้เราพอมองเห็นอะไรบางสิ่งบางอย่างค่ะ

    https://www.winnews.tv/news/15201
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    แล้วเขาเหล่านั้นได้ความรู้จากใดมา คิดว่าเป็นวาระแห่งชาติ แสดงว่าศาสนาของเขาก็พ้นทุกข์เช่นกัน แต่การสื่อตีความหมายอาจแตกต่างกับศาสนาพุทธเรา หมายถึง การทำคุณงามความดี เพื่อเป็นบารมีมีเป้าหมายสูงสุดกลับคืนสู่สภาวะเดิม แต่เพียงว่า การทำความดีที่แท้จริงยังไม่พ้นทุกข์ไปจากโลก แล้วคำสอนของทุกศาสนาจะเหมือนกัน ทำความดี ละเว้นความชั่ว ไม่เบียดเบียนกัน ส่วนการทำใจให้ใสบริสุทธิ์นั้น แต่ละศาสนานั้นไม่รู้เป็นอย่างไร ไม่ได้ศึกษาลึกลงรายละเอียดเลยค่ะ
     
  14. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    สัตว์ทุกตัวต้องการพ้นทุกข์กันทั้งนั้นแหละครับ
    มันขึ้นอยู่ว่าพ้นทุกข์ระดับไหน?
     
  15. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    พระเจ้าของเขา ก็คือ สุญญตาของเรา
     
  16. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    พระศาสดาเคยบอกไว้
    อย่าเอาคำสอนท่านไปยำกับคำสอนลัทธิอื่นๆ

    จะทำให้เพี้ยน
     
  17. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,868
    ยังอ่านไม่หมดอ่านไปหน่อยหนึ่ง เป็นคนแพ้ทางตัวหนังสืออ่านเยอะแล้วจะง่วงเหงาหาวนอน
    แต่โดยส่วนตัวมองว่า คลื่นด้านบวกไม่ได้มีไว้ไปหักล้างกับคลื่นด้านลบ

    เพราะมันจะทำให้เกิด วิหิงสาวิตก และจะเกิดการไปสำคัญตัวเองว่าดีกว่าใครๆเขา

    การหักล้างกันเองก็เสมือนกับการ ใช้พิษเพื่อหักล้างพิษอีกชนิด
    แต่พิษที่ตกค้างที่เข้าไปหักล้างนั้นก็ยังมีอยู่

    การจะมาปลุกจิตสำนึกด้วยการส่งคลื่นการสั่นสะเทือนไปที่ผู้อื่น
    ด้วยการหักล้างกับคลื่นที่ไม่ดี
    หากเราอยู่ในจุดที่ดีกว่าจริงก็ไม่เป็นไร
    หากเราไม่ได้อยู่ในจุดที่ดีกว่ายังไงก็ไม่พ้นการเบียดเบียน

    เพราะเป็นการเริ่มต้นแบบปริยัติงูพิษ คือ ผู้อื่นนั้นกำลังมาแบบไม่ดีหรือมาแบบต่ำตมกว่าตัวเรา
    แต่เรานั้นส่งแต่พลังงานที่ดีๆไปให้ ใครไม่เห็นคุณค่าจากสิ่งที่ส่งไปให้ก็จะไปสำคัญเอาว่า
    เขาโง่เข้าไม่ถึงอีกเลยไม่เห็นคุณค่าจากสิ่งที่ส่งไปให้ ต้องเก็บงำซึ่งความน้อยใจ
    แต่ก็แสดงออกมาว่า ดีด้วย เพื่อเป็นสะพานให้ผู้อื่นได้เห็นบ้างว่าเรานั้นมาดีนะ


    เป็นเรื่องราวสุดน้ำเน่าของ วิหิงสาวิตก ว่าด้วยการ เอาชนะความไม่ดีด้วยความดี

    จบ (แต่ไม่เคยบริบูรณ์เพราะต้องฟาดฟันกันด้วยความดีอยู่เนืองๆ)

    หากเห็นว่าผู้อื่นนั้นดีกว่าตัวเองได้ มาดีได้แม้คำกล่าวจะไม่ได้ไพเราะเสนาะหูอะไรๆมาก
    คงไม่ต้องไปฟาดฟันอะไรๆมาก เพื่อทำการโน้มน้าวต่างๆนาๆ
    เพื่อให้ภายนอกที่ไม่ดีนั้นกลับมาดีให้ได้เหมือนกับที่ตัวเองนั้นดี เพราะภายนอกนั้นที่มีดีกว่า
    และก็มีดีอยู่แล้ว ที่ดียิ่งๆขึ้นไปอีกนั้นก็ยังมี จะไม่เป็นลักษณะ
    การดึงอะไรๆแบบเอาดีวกกลับมาเข้าตัว

    เมื่อไม่มีการเอาดีวกกลับมาเข้าตัว ย่อมไม่ติดอยู่กับการยกย่องตัวเอง
    ติดอยู่แต่กับการนำเสนอตัวเองต่างๆนาๆ แบบ หลงอยู่ในวิหิงสาวิตก

    เป็นมิติโลกแห่งความคิด ที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
    โดยการจะคิดดีเพื่อเอาไปฟาดฟันในสิ่งที่คิดไม่ดี จนเกิดการขัดแย้งกับตัวเอง
    แต่ก็เห็นว่าความขัดแย้งนั้นหละ คือ จุดมุ่งหมายในอันเดียว ในที่เดียวกันหมด
    ที่จะวกกลับมาเข้าในทางตัวเองยึดอยู่

    มันเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนนิดหน่อย

    วิหิงสาวิตก > ปริยัติงูพิษ > เส้นทางที่ไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด หรือ เส้นทางตัวนั้นเอง

    เลยทำให้เกิดปัญหา เวลาไปคุยกับใครภายนอกนั้นได้ขัดแย้งตลอด แต่ไม่ขัดแย้งกับตัวเอง

    เวลาเกิดปัญหา ตัวเรานั้นเข้าใจ ส่วนผู้อื่นนั้นไม่เข้าใจ ตนเองนั้นดูออก ผู้อื่นนั้นดูไม่ออกหรอก
    เป็นการโน้มน้าว บลาๆๆ มาเข้าข้างตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    เรื่องราวนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับหัวข้อกระทู้ซักเท่าไหร่

    แต่พิมพ์เสริมในแง่ คนในแบบนี้ก็ยังมี อุอิ อุอิ

     
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ใช่ค่ะ เห็นด้วยเลยศาสนาทุกศาสนาเป็นคำสอนที่จริงแท้ แต่การบิดเบือนมิได้เป็นคำสอนของศาสนา ใจของคนเราต่างหากที่บิดเบือนไปจากความจริงค่ะ จริง ๆ แล้ว บิดเบือนตามทิฐิความคิดเห็นของแต่ละคน

    ที่จริงแล้วตนเองนะอยากรู้ว่าเขากล่าวว่าศาสนาเราอย่างไรกันบ้าง ไม่รู้ว่าศาสนาอื่นเขาคิดอย่างไรกับศาสนาพุทธ ส่วนใหญ่แล้วเห็นมีแต่ชาวพุทธ (บางคนนะ) ที่กล่าวว่าเขาสอนผิด เราต้องเข้าใจความจริงของสัจธรรมจริง ๆ เราจึงจะรู้ว่าทุกศาสนา ทุกลัทธิไม่มีการแปลกแยก ที่แปลกแยกไปคือ ความเห็นต่างของจิตใจมนุษย์ แม้แต่ศาสนาพุทธเรายังมีความเห็นที่ต่างกันในเรื่องอนัตตาเลยค่ะ

    พระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งใดที่ตกไปจากทิฐิ ๖๒ เป็นคำสอนที่ผิด บางคนคิดว่า พระเจ้าสร้างโลก คือ พระพรหม ตามทิฐิของพราหมณ์ในอดีต แต่คำว่าว่า "สร้าง" นี้ หมายถึง การสร้าง หรือ ประกอบกันขึ้นมาค่ะ การผสมกันของธาตุ และเกิดขึ้นมา จึงใช้คำว่า "สร้าง" เหมือนกับ ความเป็นอนัตตา อยู่ในธาตุทั้งสี่ ที่เป็นเหตุปัจจัยสร้างความมีตัวตนขึ้นมารองรับ

    ที่จริงแล้วนะค่ะ จิตยิ้มไม่ได้เป็นคนฉลาดหรือรู้ดีหรืออวดดีเลยค่ะ แต่เป็นหน้าที่บางอย่าง พอถึงเวลาจริง ๆ แล้ว พูดไม่ออกค่ะ ไม่รู้ความรู้หายไปไหนหมด จะพูดได้ไหลลื่นเป็นช่วง ๆ จังหวะเท่านั้นค่ะ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร มันไหลมาเอง พิจารณาเหตุผลเองก็แล้วกันนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2018
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    คลื่นบวกไม่ได้หักล้างคลื่นลบ แต่คลื่นบวกสามารถเปลี่ยนจากลบให้เป็นบวกได้ค่ะ แต่ไม่ใช่จะเปลี่ยนได้เสมอไป หากเรายังมีธรรมารมณ์ครอบงำเอาไว้ หรือ ตีกรอบความคิดไว้ หรือ กำลังอยู่ในวิบากกรรม ธรรมรมณ์ย่อมครอบงำเราเอาไว้ ไม่ให้หลุดพ้นออกไปจากใจได้เลย
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ตนเองคิดว่านะ ที่พระพุทธองค์ทรงชนะทุกลัทธิที่สอนผิดตามทิฐิ ๖๒ คือ ยึดทิฐิว่าเที่ยง ว่าสูญ หรือ ลัทธิที่ผิดไปจากความจริงในสัมัยพุทธกาล เพราะทรงรู้รอบ แต่ลัทธิเต๋า และ ลัทธิขงจื้อ ในยุคปัจจุบัน ที่ประชาชนชาวจีนนับถือกันมากมายอยู่ในขณะนี้ น่าจะเป็นสัจธรรมหนึ่ง แต่ยังไม่ทำถึงที่สุดให้พ้นทุกข์เหมือนพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ให้กับศาสนิกชนดำเนินตามอย่างบริบูรณ์ค่ะ

    จิตจักรวาลไม่ใช่ลัทธิค่ะ เป็นสัจธรรมธรรมชาติที่จริงแท้จริง และขณะนี้ภัยพิบัติย่อยได้เกิดขึ้นไปทั่วโลก พายุเข้ามาสู่โลกของเราพร้อมกัน ๑๐ ลูกในเวลาเดียวกัน เป็นการเปลี่ยนแปลงโลกไปตามที่สื่อเตือนไว้ล่วงหน้า มนุษย์จะเผชิญกับความรุนแรงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับจิตใจมนุษย์ในโลกในระดับมวลรวม แม้กระทั่งการรู้คำสอนตามเป็นจริงก็เป็นการช่วยเหลือโลกได้อีกทาง ถามว่า...สิ่งใดเป็นการคัดแยกว่าใครต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ไม่มีสิ่งใดที่จะมานั่งครัดกรอง หรือ นั่งคัดแยก มหาธาตุทั้งสี่เป็นผู้บันทึกทุกเหตุการกระทำของเราเอาไว้ คือธรรมชาติด้วยกันคัดกรองและเลือกสรรเอง เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ธรรมชาติย่อมเป็นผู้คัดเลือกและจัดสรรเองโดยอัตโนมัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2018

แชร์หน้านี้

Loading...