อีกนานเท่าไหร่พระศรีอาริยเมตไตรถึงมาจุติ?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย DR-NOTH, 30 กันยายน 2012.

  1. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    อีก 1 อสงไขย เศษเท่านั้นเองครับพระองค์จะมาจุติแล้ว โมทนาธรรมครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 531011p4.jpg
      531011p4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      405.4 KB
      เปิดดู:
      1,860
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2013
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({)อีกนานเท่าไหร่พระศรีอาริยเมตไตรถึงมาจุติ?:cool:
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->DR-NOTH<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6773234", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    <!-- google_ad_section_end -->
    :cool:หลังจากสิ้นพระศาสนา พระพุทธโคดม สิ้นไปแล้ว ๑ พุทธทันดร ก่อนที่สมเด็จพระศรีอริยะเมตตรัย มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า กรึ่งหนึ่ง หรือในหนึ่งเรียกว่าครึ่ง หนึ่ง ต้องมีพระปัจเจกระพุทธเจ้า มาตรัสรู้ นับหมื่นแสนพระองค์เลยทีเดียว เขาเรียกพระพุทธจ้าชนิดหนึ่ง ตรัสรู้เอง แต่ไม่สอนให้ผู้อื่นตรัสรู้ตาม อย่างดีถ้าบุคคลใดมีศรัทธา ประสาทะก็สอนผู้นั้น ให้อยู่ในศิลธรรมเท่านั้น เพราะท่านไม่ใช่วิสัยของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีวิสัยที่จะสอนให้ผู้อื่นตรัสรู้ตาม จึงเรียกพระนามของพระองค์ว่า พระปัจเจกะพุทธเจ้า

    หนึ่งในจำนวนนั้น ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระปัจเจกะพุทธเจ้า ก็พระเทวทัต ที่ทำร้ายพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบัน ท่านมีคติแน่นอนแล้วครับท่าน หลังจากนั้นไปอีก ครึ่งหนึ่ง อายุมนุษย์ ขัยของมนุษย์ น่าจะมีอายุเป็นหลายหมื่นปีแล้ว ณ บัดนั้น สมเด็จพระศรีอริยะเมตตรัย ก็จะจุติ จากสวรรค์ชั้น ดุสิต จากเทวโลกลงสู่ พระครรของพระมารดา แล้วออกบวช ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นศาสดาเอกของโลก ถ้านับเวลาในเมืองมนุษย์ก็ กินเวลาอายุ ๑ ล้านกว่าปีในเมืองมนุษย์ และอีก ๕ แสนกว่าปีในเมืองมนุษย์ พระปัจเจกะพุทธเจ้าจึงมาตรัสรู้ก่อน ถ้า ๑ อสงไขย ดังท่านว่า พระพุทธเจ้าคงมาตรัสรู้ ไม่รู้ กี่หมื่นกี่แสนพระองค์แล้ว เป็นกัปยังนับไม่ได้เลย เพราะว่า กับนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ถึง ๑๐ พระองค์เทียว

    อายุ ๑ กัป ท่านเปรียบเทียบดังนี้ ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับ ๑ วันบนสวรรค์ ชั้นดาวดึง สเทวโลก วันเดือนปี มีเท่ากัน แต่ต้องคูณเอา ดังที่ผมกล่าวมา ว่า กี่ล้านปีในเมืองมนุษย์ เท่ากับ ๑ วันบนสวรรค์ชั้นดาวดึง สวรรค์แต่ละชั้นมีอายุไม่เท่ากัน อธิบายไป ต้องใช้เวลาเยอะ จึงอนุมานได้ดังนี้ ภูเขาสูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ๑๐๐ปีของเรามีเทวดา เอาผ้านุ่มมาปัด ๑ ครั้ง จนกว่า ภูเขานั้นจะเหี้ยนเต้ ราบเท่าแผ่นดิน เรียกว่า ๑ กัป หรืออีกในหนึ่ง ท่านเปรียบ มีเมล็ด พันธ์ผักกาดอยู่ในถัง สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ๑๐๐ปีของเราเอาเม็ดผักกาด ออกมา ๑ เม็ด จนกว่าเม็ดผักกาดจะหมดถัง เรียกว่าอายุ ๑ กัป ถ้ากินเวลาในเมืองมนุษย์ ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันล้านปีในเมืองมนุษย์ เท่ากับอายุ ๑ กัป คำว่าอสงไขยกัป มันนับไม่ได้จนคำนวนไม่ได้ เรียกว่าอายุ ๑ อสงไขยกับ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2012
  3. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    เรื่องที่ ๔๑
    พระศรีอาริยเมตไตรยปรารถนาพระโพธิญาณจึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต


    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน


    "..พระศรีอาริยเมตไตรย ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีท่านเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมี ต่อมาเมื่อ พระนางกีสา โคตมี ได้ทอจีวรด้วยมือของตนเองปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งให้พระโมคคัลลาน์ ท่านพระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆ กันไปหมดจนถึงองค์สุดท้ายคือท่านอชิตะภิกขุ ท่านไม่รู้จะส่งให้ใครเพราะนั่งอยู่ท้ายสุด เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสา โคตมีก็เสียใจว่าอุตสาห์ทำเองเลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเองเพื่อถวายพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ไม่รับกลับไปให้กับพระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรดว่า พระองค์สุดท้ายไม่ใช่พระธรรมดา ท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีพระนามว่า "สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย"

    ปัจจุบันนี้ท่านมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต วิมานท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมีรัศมีกายสว่างมาก หน้าตาผ่องใสยิ้มระรื่นน่าชื่นใจ ท่านได้บอกกับอาตมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อีก ๑ ล้านกับ ๒ ปี ท่านจะลงมาเกิดในเมืองมนุษย์แล้วเป็นปุโรหิต หลังจากนั้นเกิดความเบื่อหน่ายก็ออกแสวงหาพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าจะเทียบพื้นที่ในสมัยนี้ พระองค์จะตรัสทางทิศเหนือของพม่า แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้



    .
     
  4. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129

    พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๒๙ = ๒๖ ปี


    1,000,002 - 26 = 999,976 ปี ... นิพพานชาตินี้เลยดีกว่านะครับ นานจัดครับ
     
  5. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    หลวงพ่อว่าคนยุคนี้เป็นแสนๆ ที่ยังเข้านิพพานไม่ได้ เพราะบารมียังอ่อนอยู่ กำลังใจเค้ายังไม่ถึงนิพพาน พวกนี้ติดตามพระศรีมานานแล้ว จะไปเข้านิพพานในศาสนาของพระศรี
     
  6. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    สมเด็จโตบอกไว้ที่สำนักปู่สวรรค์ว่า พระศรีอริยเมตไตรย จะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ปีไหนไม่รู้เพราะโลกวิญญาณไม่เปิดเผย แต่ต้องหลังยุคศาสนาขององค์พระสมณโคดมครบ 5000 ปีแล้ว........ อันนี้เข้าท่ากว่านะ
     
  7. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    กัณฑ์ที่ ๑

    ( เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิสาขาย สตฺตวีสติโกฏิธนปริจฺจาเคน การิเต
    ปุพฺพาราเม วสฺสาวาสํ วสนฺโต อชิตตฺเถรํ อารพฺภ ทส โพธิสตฺตาติ อิมํ ธมฺมเทสนํ กเถสีติฯ )

    ( บัดนี้ จะได้วิสัชนาในเรื่อง พระอนาคตวงศ์ โดยพุทธภาษิตปริยาย มีเนื้อความตามพระบาลีว่า เอกํ สมยํ )

    ***บาลีและข้อความในวงเล็บทุกแห่งได้เพิ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๔ เพื่อให้เทศน์ได้สะดวก***


    [FONT=AngsanaUPC, MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]พระศรีอาริยเมตไตร (พระอชิตเถระ) [/FONT]​

    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้าเสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานคร วสนฺโต เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพรรษาอยู่ในบุพพาราม อันพระวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิฯ ​

    ครั้งนั้น พระองค์ทรงปรารภซึ่งพระอชิตเถระ ผู้หน่อบรมพุทธางกูรอริยเมตไตรยเจ้าให้เป็นเหตุ พระโลกเชษฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนา สำแดงซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ องค์ อันจะมาตรัสเป็น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลฯ ครั้งนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ พระองค์ ที่จะลงมาตรัสในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไป ​

    เป็นใจความว่า เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว ฝูงสัตว์ก็มีอายุถอยลง คงอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มีสัตถันตะระกัปป์ มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้าก็กลับกลายเป็นหอก ดาบ แหลน หลาว อาวุธน้อยใหญ่ ไล่ทิ่มแทงกัน ถึงซึ่งความฉิบหายเป็นอันมาก ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกห้วย หุบเขา เมื่อพ้น ๗ วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่เร้นซ่อนอยู่นั้น เห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่ซ่อนเร้น ครั้นเห็นซึ่งกันและกัน ก็มีความสงสารรักใคร่เป็นอันมาก เข้าสวมสอดกอดรัดร้องไห้กันไปมา บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้นตั้งอยู่ในเมตตาพรหมวิหาร แล้วก็อุตสาหะรักษาศีล ๕ จำเริญกรรมฐานภาวนาว่า อยํ อตฺตภาโว อันว่าร่างกายของอาตมานี้ อนิจฺจํ หาจริงมิได้ ทุกฺขํ เป็นกองแห่งทุกข์ฝ่ายเดียว อนตฺตา หาสัญญา สำคัญมั่นหมายมิได้ ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสารฯ
    …..เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย ปลงสัญญาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนืองๆ อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป ที่มีอายุ ๑๐ ปีเป็นอายุขัยนั้น ค่อยทวีขึ้นไปถึง ๒๐ ปีเป็นอายุขัย ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้นทุกชั้น จนอายุได้ ร้อย พัน หมื่น แสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้ว ก็มีความประมาท มิได้ปลงใจลงในกอง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา อายุก็ถอยน้อยลงมาทุกทีจนถึง ๘ หมื่นปี ฝนก็ตกเป็นฤดูคือ ๕ วันตก ๑๐ วันตก ในชมพูทวีปทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอเป็นอันดีฯ

    ครั้งนั้น กรุงพาราณสีเปลี่ยนนาม ชื่อว่า เกตุมมะดี โดยยาวได้ ๑๖ โยชน์ โดยกว้างได้ ๑ โยชน์ มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดทั้ง ๔ ประตูเมือง มีแก้ว ๗ ประการ ประกอบเป็นกำแพงแก้ว ๗ ชั้นโดยรอบพระนคร ครั้งนั้น มหานฬกาลเทวบุตร ก็จุติลงมาเกิดเป็นสมเด็จบรมจักรพรรตราธิราช ทรงพระนามว่า พระยาสังขจักร เสวยศิริราชสมบัติในเกตุมมะดีมหานคร ในท่ามกลางเมืองนั้นมีปรางค์ปราสาททองอันแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นมาแต่มหาคงคา ลอยมายังนภาดลอากาศเวหา มาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปรางค์ปราสาทนี้ แต่กาลก่อนเป็นปรางค์ปราสาทแห่งสมเด็จพระเจ้ามหาปะนาท ครั้นสิ้นบุญพระเจ้ามหาปะนาทแล้ว ปรางค์ปราสาทนั้นก็จมลงไปในคงคา เมื่อสมเด็จบรมจักรจอมทวีปผู้ทรงพระนามว่า พระยาสังขจักร ได้เสวยราชสมบัติในเกตุมมะดีนั้น ปรางค์ปราสาทก็ผุดขึ้นมาแต่มหาคงคาด้วยอานุภาพแห่งบรมจักร ประดับไปด้วยหมู่พระสนมแสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น ๔ พัน พระองค์มีพระราชโอรสประมาณพันพระองค์ พระราชโอรสผู้ใหญ่นั้น ทรงพระนามว่า อชิตราชกุมาร เจ้าอชิตราชกุมารนั้น เป็นปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดาผู้เป็นพระยาบรมสังขจักร อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ
    จักรแก้ว ๑
    นางแก้ว ๑
    แก้วมณีโชติ ๑
    ช้างแก้ว ๑
    ม้าแก้ว ๑
    คฤหบดีแก้ว ๑
    ปรินายกแก้ว ๑
    อันว่าสมบัติบรมจักรนั้นย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ยิ่งนัก เหลือที่จะพรรณนาในกาลนั้นฯ ​

    ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้ มีนามปรากฏว่า สุตพราหมณ์ นางพราหมณีผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพราหมณวดีฯ ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า รับอาราธนานิมนต์แห่งฝูงเทพยดาทั้งหลาย ก็จุติลงมาจากสวรรค์เทวโลก ลงมาถือเอาปฏิสนธิในครรภ์แห่งนางพราหมณวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิตพราหมณ์ผู้ใหญ่ ในวันบัณณสี อุโบสถ เพ็ญเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาปัจจุสสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย ๑๒ ประการ เทพยดาพากันกระทำสักการบูชาดังห่าฝนตกลงในกลางอากาศ แล้วก็มีปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ผุดขึ้นมา เพื่อจะให้เป็นที่สำราญ แห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้า
    ปราสาท ๑ ชื่อว่า ศิริวัฒนะ
    ปราสาท ๑ ชื่อว่า สิทธัตถะ
    ปราสาท ๑ ชื่อว่า จันทกะ ​

    ปรางค์ปราสาททั้ง ๓ นี้เป็นที่จำเริญพระศิริสวัสดิมงคล ควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวงพระจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด เดียรดาษไปด้วยนางนาฏพระสนมประมาณ ๗ แสน ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย บรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า พระจันทมุขี เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้ง ๗ แสน มีพระราชโอรสองค์ ๑ ทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร เมื่อพระมหาบุรุษผู้ประเสริฐ ทรงพระสำราญแรมอยู่ในปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้ฯ จนพระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปี แล้วจึงเสด็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีศิริหาเสมอมิได้ เสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตรเห็นจตุรนิมิตทั้ง ๔ ประการนี้ เป็นเทวทูตยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น ก็มีพระทัยน้อมไปในบรรพชา พิจารณาเห็นเพศสมณะนั้นเป็นอารมณ์ ในขณะนั้นอันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญยับยั้งอยู่นั้น ก็ลอยไปในอากาศเวหา พร้อมทั้งพระราชโอรส และหมู่นิกรอนงค์นางกัลยาทั้งหลายก็ไปกับปรางค์ปราสาทนั้น ​

    ครั้งนั้นเปรียบประดุจดังว่า พระยาสุวรรณราชหงส์ทองอันบินไปในอากาศเวหา ฝ่ายฝูงเทพยดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชา เหาะตามกันมากระทำสักการบูชาในอากาศเวหา แน่นเนื่องกันมาเป็นอเนกอสงไขย ทั้งท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย ๘ หมื่น ๔ พัน พระนครก็ดี และชาวนิคมประจันตประเทศชนบททั้งหลายก็ดี ก็ชวนกันมากระทำสักการบูชาด้วยดอกไม้และของหอม มีประการต่างๆเต็มเดียรดาษกลาดเกลื่อนไปทั้งชมพูทวีป เหล่าพวกอสูรทั้งหลาย ก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษาปรางค์ปราสาทฯ ฝ่ายพระยานาคราชนั้น กระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี พระยาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้ว อันเป็นเครื่องประดับตน พระยาคนธรรพ์ทั้งหลายนั้น กระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ ฟ้อนรำ มีประการต่างๆฯ ​

    ปางเมื่อองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้าเสด็จออกบรรพชานั้น ฝูงเทพยดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ และ มนุษย์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ทั้งหลาย กระทำสักการบูชา ทั้งพระยาบรมจักรพรรตราธิราชเจ้าผู้ประเสริฐ ก็พร้อมด้วยแสนสาวสนมในทั้งปวง และโยธาหาญ หมู่จตุรงค์องค์พยุหะเสนาอเนกนับมิได้ เสด็จไปที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ​

    ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายทั้งปวง มีความปรารถนาจะทรงบรรพชาแล้วก็ลอยไปในอากาศ กับด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักร และอานุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ์ คือไม้กากะทิงแล้ว ปรางค์ปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑลไม้มหาโพธินั้น ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัสตร์ กับเครื่องบริขารทั้ง ๘ น้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ แล้วพระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศเกล้าให้ขาด แล้วก็โยนขึ้นไปในอากาศเวหา ถือเครื่องบริขารทั้ง ๘ ประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว ส่วนว่าบริวารทั้งหลายทั้งปวงนั้น ก็ชวนกันบรรพชา บวชตามสมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก ฝ่ายพระมหาบุรุษราช องค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้น กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระศรีมหาโพธิสิ้นประมาณ ๗ วัน ในเมื่อเวลาเย็นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิ ขึ้นทรงนั่งเหนือรัตนอปราชิตบัลลังค์พระที่นั่งแก้ว แล้วทรงพระคำนึงระลึกถึงบุพพชาติของพระองค์ด้วย บุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงเห็นโดยลำดับกัน ประจักษ์แจ้งในปฐมยามฯ ครั้นล่วงเข้ามัชฌิมยามทรงเห็นซึ่ง จุติ-ปฏิสนธิ แห่งสัตว์ทั้งหลาย ด้วยทิพย์จักษุญาณฯ ครั้นล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้น พระองค์พิจารณาซึ่งปัจจัยการ อันประกอบไปด้วยองค์ ๒ ประการ ตามกระแสพระปฏิจจสมุปบาทธรรม ด้วยสามารถอนุโลม ตรัสรู้ตลอดกัน ในลำดับนั้นก็ได้สำเร็จแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า อรหังสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอาทิ ปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ แล้วพระองค์ก็ยังมนุษย์ทั้งหลายประมาณแสนโกฏิ ให้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรสคือพระสัทธรรม
    เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่ รู้ตาย เป็นธรรมาภิสมัย ให้บังเกิดแก่ฝูงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ตรัสรู้มรรคและผลหาประมาณมิได้ฯ - และองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้าผู้ทรงพระภาคมีประเภทเป็นอันงามนั้น
    - พระองค์มีพระวรกายสูงได้ ๘๘ ศอก
    - พระองค์ใหญ่กว้างได้ ๒๕ ศอก
    - ตั้งแต่พระบาทถึงพระชานุมณฑลมีประมาณ ๒๒ ศอก
    - ตั้งแต่พระชานุมณฑลขึ้นไปถึงพระนาภีประมาณ ๒๒ ศอก
    - ตั้งแต่พระนาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญทั้ง ๒ ประมาณ ๒๒ ศอก
    - ตั้งแต่พระรากขวัญขึ้นไปถึงพระเศียรเกล้า ที่สุดยอดพระอุณหิส เปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ ๒๒ ศอก เสมอกันทั้ง ๔ส่วน
    - พระรากขวัญทั้ง ๒ แต่ละอันนั้นยาวได้ ๕ ศอก
    - อันว่าพระหัตถ์ทั้ง ๒ ซ้าย-ขวานั้น ยาวได้ ๔๐ ศอก ( เข้าใจว่าความยาวจากหัวไหล่ถึงปลายนิ้วมือแต่ละข้าง ยาวได้ ๔๐ ศอก…..พีรจักร )
    - ในระหว่างภายในแห่งพระพาหาทั้ง ๒ ซ้าย-ขวา นั้นมีประมาณ ๒๕ ศอก
    - พระอังคุลีแต่ละอันยาวได้ ๕ ศอก
    - ฝ่าพระหัตถ์แต่ละข้างกว้างได้ ๕ ศอก
    - พระศอโดยกลมรอบมีประมาณ ๕ ศอก โดยยาวก็ ๕ ศอก
    - พระโอษฐ์เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง ๑๐ ศอกเสมอกัน เป็นอันดี
    - พระชิวหาอยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว ๑๐ ศอก
    - พระนาสิกสูงยาวลงมาได้ ๗ ศอก
    - ดวงพระเนตรทั้ง ๒ โดยกว้างได้ ๗ ศอก
    - แววพระเนตรทั้ง ๒ ที่ดำ กลม เป็นปริมณฑลอยู่นั้น มีประมาณ ๕ ศอก
    - พระขนงแต่ละข้าง ยาวได้ ๕ ศอก
    - ในระหว่างพระขนงทั้ง ๒ กว้างได้ ๔ ศอก
    - พระกรรณทั้ง ๒ แต่ละข้าง ยาวได้ ๗ ศอก
    - ดวงพระพักตร์นั้นเป็นปริมณฑล กลมดังดวงพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญ มีประมาณกลมได้ ๒๕ ศอก
    - พระอุณหิสที่เวียนเป็นทักขิณาวัฏรอบพระเศียร เป็นเปลวพระพุทธรัศมีขึ้นไปนั้น โดยกลมรอบได้ ๒๕ ศอกฯ
    …..ลำดับนี้ จะพรรณนาไม้พระศรีรัตนมหาโพธิต่อไป อันว่า ต้นไม้กากะทิง ที่เป็นไม้ศรีมหาโพธินั้น
    - มีปริมณฑลไปได้ ๑๒๐ ศอก
    - มีกิ่งทั้ง ๕ โดยรอบครอบนั้นก็ได้ ๑๒๐ ศอก
    - แต่ต้นขึ้นไปปลายสุดกิ่งนั้นได้ ๒๔๐ ศอก โดยสูง โดยสะกัดเป็นปริมณฑลเหมือนกัน
    - มีใบสดเขียวอยู่เป็นนิจจกาล
    - ทรงดอกและเกสรหอมฟุ้งขจรมิรู้ขาด เปรียบประดุจดอกปาริชาติ ในดาวดึงสาสวรรค์ก็เหมือนกันฯ ​

    สมเด็จพระสัพพัญญูองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า ทรงทวัตติงสามหาปุริสลักษณะประกอบไปด้วยพระฉัพพรรณรังสี พระพุทธรัศมี ๖ ประการ สว่างออกจากพระสรีรกายเป็นอันงาม ประดุจดังท่อธารสุวรรณ ธาราน้ำทองอันไหลหลั่งออกมา เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยสุขทุกเมื่อ มีสติระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นอารมณ์เนืองๆ ด้วยเดชานุภาพพระพุทธคุณนั้น มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคซึ่งโภชนาหารแต่เนื้อแห่งข้าวสาลี อันบังเกิดมีมาเอง ได้ประดับประดาสรีรกายและผ้านุ่งผ้าห่ม เครื่องอาภรณ์ต่างๆ แต่ต้นไม้กัลปพฤกษ์ ประพฤติเลี้ยงชีวิตเป็นบรมสุขฯ ปางเมื่อพระองค์ผู้ทรงสวัสดิภาคเป็นอันงาม ทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า ตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนา
    พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั้น มนุษย์และเทพยดาทั้งหลายได้ซึ่งธรรมาภิสมัย มรรคและผลธรรมวิเศษ ประมาณ ๓ แสนโกฏิฯ ​

    อันว่าองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า ทรงสร้างพระบารมีมาสิ้นกาลช้านานถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนมหากัปป์ มีศีลบารมี ทานบารมี เป็นต้น เต็มบริบูรณ์ กองพระบารมีทั้งหลายที่สำเร็จเป็นองค์พระสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้า นั้นคือ พระบารมีจองพระองค์ครั้ง ๑ ปรากฏชัดเจนเป็นปรมัตถบารมี อันยิ่งยอดกว่าพระบารมีทั้งปวงฯ สมเด็จพระพุทธเจ้าของเราจึงนำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งกองพระบารมีของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยมาตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรเถรเจ้าว่า อตีเต กาเล ในกาลล่วงลับมาแล้วช้านาน มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระสิริมิตร ได้ตรัสในโลก​

    ครั้งนั้น องค์พระศรีอาริยเมตไตรย ได้เสวยศิริราชสมบัติ ในเมืองอินทปัตต์มหานคร ทรงพระนามว่าบรมสังขจักร มีแก้ว ๗ ประการ อยู่มาในกาลวันหนึ่ง พระเจ้าสังขจักรเสด็จทรงนั่งอยู่ภายใต้เศวตฉัตร มีพระทัยปรารถนาว่า ผู้ใดมาบอกข่าวว่า พระพุทธรัตนะพระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ บังเกิดมีแล้ว พระองค์จะสละศิริราชสมบัติบรมจักร พระราชทานให้แก่บุคคลผู้นั้นแล้ว พระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ในกาลนั้น ยังมีกุลบุตรเข็ญใจผู้หนึ่ง ไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในพระพุทธศาสนา ด้วยมารดาของสามเณรเป็นทาสทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่ง สามเณรนั้นคิดแสวงหาทรัพย์จะไปให้แก่มารดา ให้พ้นจากทาสทาสี จึงเที่ยวไปโดยลำดับจนถึงกรุงอินทปัตต์มหานคร ฝูงมหาชนชาวพระนคร ไม่รู้จักว่าสามเณรเป็นอย่างไร ครั้นเห็นเข้าก็สงสัยว่าเป็นมหายักษ์ ก็พากันจับไม้ไล่ทุบตีสามเณรฯ สามเณรนั้นก็กลัว วิ่งหนีมหาชนเข้าไปจนถึงพระราชวัง ไปยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามว่ามาณพนี้มีนามชื่อใด เจ้าสามเณรกราบทูลว่า อาตมภาพมีนามว่าสามเณร จึงตรัสถามว่าสามเณรนั้นด้วยเหตุดังฤา สามเณรจึงทูลว่าข้าพเจ้ามีนามว่าสามเณรนั้น ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำบาปในภายนอก แล้วตั้งอยู่ภายในแห่งกุศล เหตุดังนั้นจึงมีนามว่าสามเณร พระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า นามกรของท่านนั้นบุคคลผู้ใดให้แก่ท่าน สามเณรจึงทูลว่า พระอาจารย์ของข้าพเจ้าให้แก่ข้าพเจ้า พระองค์จึงตรัสถามว่า อาจารย์ของท่านนั้นชื่อดังฤา สามเณรจึงทูลว่าอาจารย์ของอาตมามีนามว่าภิกษุ จึงทรงตรัสถามต่อไปว่าพระอาจารย์ของท่านนั้นมีนามว่าภิกษุนั้นด้วยเหตุดังฤา สามเณรจึงทูลว่าอาจารย์ของข้าพเจ้านั้น ชื่อรัตนะเป็นแก้วอันหาค่ามิได้ ​

    ครั้นทรงสดับว่าพระสังฆรัตนะในพระพุทธศาสนาหาได้เป็นอันยากยิ่งนัก พระองค์ก็มีความชื่นชมยินดีหาที่จะอุปมามิได้ คำนึงอยู่ในพระราชหฤทัยว่า จะเสด็จลงจากอาสน์ไปนมัสการเจ้าสามเณรที่ใกล้ ด้วยความปิติกายของพระองค์ก็ลอยไปตกลงตรงหน้าเจ้าสามเณร เดชะที่พระองค์มีพระราชหฤทัยเลื่อมใสในพระสังฆรัตนะ ดอกประทุมชาติก็บังเกิดผุดขึ้นรองรับพระองค์ไว้มิได้เป็นอันตราย จึงถวายนมัสการเจ้าสามเณรโดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงตรัสถามเจ้าสามเณรต่อไปว่า พระสังฆรัตนะอาจารย์ของท่านนั้นบุคคลผู้ใดให้นามกร เจ้าสามเณรก็ทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงนามว่า พระสิริมิตรสัพพัญญู พระองค์โปรดประทานให้นามว่าพระสังฆรัตนะแก่อาจารย์ของข้าพเจ้า ​

    เมื่อสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ผู้ทรงอุตสาหะในพระศาสนา ได้ทรงฟังสามเณรออกวาจาว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ถึงวิสัญญีภาพลงอยู่กับที่ ครั้นพระองค์ได้พระสติขึ้นมา จึงตรัสถามสามเณรอีกว่า ดูก่อนเจ้าสามเณรผู้เจริญ บัดนี้องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จยับยั้งอยู่ในที่ดังฤา สามเณรจึงทูลว่า สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจ้าเสด็จยับยั้งอยู่ในบุพพารามวิหาร อันมีอยู่ในอุตตรทิศแต่กรุงอินทปัตต์มหานครนี้ไปไกลกันมีประมาณ ๑๖ โยชน์ ได้ทรงฟังสามเณรแจ้งความว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าบังเกิดแล้วในโลก จึงตรัสว่าดูก่อนสามเณร ผิว่าองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเสด็จอยู่ในฐานทิศใด เราก็จะไปในประเทศทิศนั้นฯ ​

    สมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมบพิตรผู้ประเสริฐ หาความเอื้อเฟื้อในศิริราชสมบัติบรมจักรของพระองค์มิได้ ด้วยมีพระทัยนั้นผูกพันอยู่ในการที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นที่ยิ่งอย่างอุกฤษฏ์ ก็กระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรนั้น ให้สึกออกเสวยศิริราชสมบัติแทนพระองค์ เป็นพระยาอันประเสริฐ ครั้นกระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรแล้ว ก็เสด็จออกแต่พระองค์เดียวโดยอุตตราภิมุขมีพระทัยเฉพาะต่ออุตตรทิศ ตั้งพระทัยไปสู่บุพพารามวิหาร อันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ​

    สมเด็จบรมสังขจักรจอมทวีปเป็นสุขมาลชาติ พระสรีรกายนั้นละเอียดอ่อนเป็นอันดี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปตามมรรคาหนทางแต่พระบาทเปล่า เวลาวันเดียวพระบาททั้ง ๒ ข้างก็ภินทนาการแตกออก จนพระโลหิตไหลตามฝ่าพระบาททั้ง ๒ เมื่อพระบาททั้ง ๒ ทำลาย จะเดินไปมิได้แล้ว ในกาลนั้น พระองค์ก็ลงนั่งคุกเข่าคลานไปทีละน้อยค่อยคมนาการไปตามหนทางที่เจ้าสามเณรชี้แจงบอกมานั้น จะได้ละความเพียรเสียหามิได้ ครั้นล่วงไปถึง ๔ วัน พระหัตถ์ซ้าย-ขวา และพระชงฆ์ทั้ง ๒ ข้างนั้นก็แตกช้ำโลหิตไหลออกมา จะคลุกคลานไปก็มิได้ ให้เจ็บปวดแสนสาหัส เห็นขัดสนพระทัยนักแล้ว ถึงกระนั้นพระองค์จะได้คิดท้อถอยย้อนรอยกลับคืนมาหามิได้ อาตมาต้องไปให้ถึงสำนักองค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้าให้จงได้ ครั้นพระองค์คุกคลานไปมิได้แล้วก็ลงพังพาบไถลไปแต่ทีละน้อยด้วยพระอุระของพระองค์ ประกอบไปด้วยทุกขเวทนาเหลือที่จะอดกลั้น พระองค์ยึดหน่วงเอาพระพุทธคุณของสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ด้วยพระเจตนาจะใคร่พบเห็นพระผู้เป็นอธิบดีอันใหญ่ยิ่ง แล้วก็ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนานั้นเสีย หาเอื้อเฟื้ออาลัยในร่างกายของพระองค์ไม่ฯ ​

    ครั้งนั้น สมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงพระมหากรุณาเล็งดูสัตว์โลกทั้งหลายด้วยสัพพัญญุตาญาณ ก็รู้แจ้งเห็นด้วยกำลังความเพียรแห่งบรมสังขจักรนั้นเป็นอุกฤษฏ์ยิ่งโดยวิเศษ แล้วก็มิใช่อื่นมิใช่ไกล เป็นหน่อพุทธางกูร พุทธพงศ์อันเดียวกันกับพระตถาคต สมควรที่พระตถาคตจักเสด็จไปสู่ที่ใกล้แห่งบรมสังขจักร เมื่อพระองค์ทรงพระดำริแล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเนินมาด้วยพระศิริวิลาสเป็นอันงาม แล้วพระองค์กระทำอิทธิฤทธิ์นิรมิต พระบวรกายของพระองค์ให้อันตรธานสูญหายกลับกลายเป็นมาณพหนุ่มน้อย ขึ้นขับรถทวนมรรคามาเฉพาะหน้าแห้งสมเด็จบรมสังขจักรนั้น แล้วพระพุทธสัพพัญญูเจ้าจึงร้องถามไปว่า ผู้ใดมานอนอยู่กลางทางขวางหน้ารถเราจงหลีกไปเสียเราจะขับรถไปฯ ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์จึงตรัสตอบพระพุทธฎีกาว่า ดูก่อนนายสารถีผู้ขับรถ ท่านจะมาขับเราไปให้พ้นจากหนทางนั้นด้วยเหตุดังฤา ตัวเราผู้รู้จักคุณสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ยิ่งนัก ชอบแต่นายสารถีจะยั้งรถของท่านให้หลีกเราเสียจึงจะสมควร ถ้าท่านไม่หลีกก็ให้ท่านขับรถไปเหนือหลังเราเถิด ซึ่งจะให้เราหลีกนั้นเราหาหลีกไม่ แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาว่าถ้าแหละท่านจะไปยังสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว จงมาขึ้นรถไปกับเราเถิด เราจะพาท่านไปให้ถึงสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าให้สมดังความปรารถนา พระจอมขัตติยาจึงตอบว่า ถ้าท่านเอ็นดูกรุณาแก่เรา เราก็มีความยินดีสาธุอนุโมทนาด้วยท่าน
    ว่าแล้วหน่อพระพิชิตมารก็อุตสาหะดำรงทรงพระกายขึ้นสู่รถแห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็หันหน้ารถไปตามมรรคา พาพระยาสังขจักรไป ​

    ครั้นถึงกึ่งกลางมรรคาหนทางแล้ว สมเด็จพระอมรินทราธิราชกับองค์ดวงสุชาดาผู้เป็นอัครมเหสีนั้น นำเอาโภชนาหารอันเป็นทิพย์กับทั้งน้ำทิพย์ลงมา จำแลงเพศเป็นบุรุษยืนอยู่ตรงหน้ารถแล้วร้องว่า ดูก่อนนายสารถีผู้เจริญเอ๋ย ท่านอยากข้าวน้ำโภชนาหารหรือ เราจะให้ เมื่อโกสีย์อมรินทราธิราชกับนางสุชาดากล่าวดังนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าซึ่งแปลงเพศเป็นนายสารถีขับรถจึงว่า มาณพผู้เจริญ บุรษทุพลภาพผู้หนึ่งมาในรถด้วยเรา มีความลำบากเวทนานัก ท่านจะให้ข้าวน้ำโภชนาหารแก่เราก็ให้เถิด เราจะได้ให้แก่บุรุษทุพลภาพนั้นบริโภค ท้าวโกสีย์อมรินทร์กับนางสุชาดาก็ให้ข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์แก่องค์สมเด็จพระมหาบุรุษสัทธรรมสารถีผู้ประเสริฐ พระองค์ก็ประธานให้แก่พระบรมโพธิสัตว์บรมสังขจักรเสวยข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์ ครั้นพระองค์เสวยอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ด้วยเดชะข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์อุปัทวโทมนัสทุกขเวทนาในสรีรกาย ก็อันตรธานหาย พระองค์ก็มีสรีรกายเป็นสุขเสมอเหมือนแต่ก่อน ​


    องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็พาพระยาสังขจักรไปใกล้บุพพารามวิหาร แล้วพระองค์ก็นิสีทนาการนั่งบนพระบวรพุทธอาสน์ในพระวิหาร ส่วนสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ก็เสด็จลงจากรถ เข้าไปสู่บุพพารามวิหาร ทอดพระเนตรแลไปได้ทัศนาการเห็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ผู้ประกอบไปด้วยทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะอสีตยานุพยัญชนะประดับ ทั้งพระพุทะรัศมีอันโอภาสสว่างรุ่งเรืองออกจากพระวรกายอันเสด็จทรงนั่งอยู่ในที่นั้น
    พระองค์ก็ทรงวิสัญญีภาพลงตรงพระพักตร์แห่งสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคด้วยความโสมนัสสาการ เกิดความปิติยินดีหาที่สุดมิได้ ส่วนสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนมหาบุรุษราชผู้เป็นอภิชาตชายอันประเสริฐ พระตถาคตเสด็จอยู่ในที่นี้แล้ว ​

    ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมสังขจักรก็ได้ซึ่งอัสสาสประสาท เกิดความยินดีชื่นชมก้มเศียรเกล้า คลานเข้าไปในสำนักสมเด็จพระพุทธองค์เจ้า เสด็จนั่งยังที่อันสมควรแล้วจึงยกพระกรขึ้นประนมบังคมเหนือศิโรตม์กระทำอภิวาทนมัสการ กราบทูลว่า ภนฺเต ภควา ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์เจ้า บัดนี้ข้าพระบาทถึงสำนักพระองค์เจ้าแล้ว ขอจงทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า โปรดตรัสแสดงพระธรรมเทศนาอันอุดม ให้ข้าพระบาทฟังในกาลบัดนี้ฯ ​

    ปางนั้น สมเด็จพระชินศรีจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดแก่พระยาสังขจักร เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับพระสัทธรรมเทศนาบทหนึ่งสิ้นเนื้อความลงแล้ว ก็ทูลห้ามสมเด็จพระพุทธเจ้าว่า ขอพระองค์จงหยุดพระธรรมเทศนาเสียเถิด อย่าทรงสำแดงต่อไปเลยฯ ​


    ***มีปุจฉาว่า เหตุไฉนพระเจ้าสังขจักรจึงทูลห้ามสมเด็จพระพุทธเจ้าเสียดังนี้ เดิมทีสิมีพระทัยผูกพันในพระพุทธศาสนา ระลึกถึงซึ่งคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้าเป็นอันมาก ทรงสู้สละศิริราชสมบัติบรมจักรเสด็จมาด้วยความลำบากแทบถึงซึ่งชีวิต ครั้นมาประสพพบพระภควันตบพิตร พระองค์ประทานธรรมเทศนาแล้วห้ามเสียด้วยเหตุประการใดฯ
    ***วิสัชนาว่า สมเด็จบรมสังขจักรทรงคิดเห็นว่า ถ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาเป็นอันมาก แล้วพระองค์ก็เสด็จมาแต่พระองค์เดียวเปลี่ยวพระทัยนัก จะหาเครื่องไทยธรรมอันสมควรที่จะสักการบูชา ให้สมควรแก่รสพระสัทธรรมนั้นหามีไม่ บัดนี้เราได้สดับรับรสพระธรรมเทศนาแต่บทเดียว เครื่องสักการบูชาของอาตมานี้มิพอสมควรกันกับพระสัทธรรมแล้ว พระองค์ทรงคิดดังนี้ จึงทรงห้ามสมเด็จพระพุทธเจ้าเสีย


    พระองค์จึงกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าเกล้ากระหม่อมฉันได้สดับฟังพระสัทธรรมของพระองค์ในกาลบัดนี้ พระองค์ทรงพระมหากรุณาตรัสพระสัทธรรมเทศนาสำแดงพระนิพพานอันเดียวเป็นที่สุดพระสัทธรรมอยู่แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจะตัดเศียรเกล้า อันเป็นที่สุดแห่งสรีรกายแห่งข้าพเจ้า ออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระพุทธองค์ก่อน ตรัสดังนั้นแล้ว พระเจ้าสังขจักรผู้มีอัธยาศัยอันยิ่ง จึงทรงอธิษฐานขอให้เล็บของพระองค์คมดังพระแสงดาบ เด็ดซึ่งพระศอให้ขาดแล้ววางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ ตั้งปณิธานความปรารถนา ออกพระโอษฐ์ตรัสด้วยวาจาว่า ภนฺเต ภควา ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงศิริเป็นที่เฉลิมโลก เชิญพระองค์เสด็จเข้าสู่เมืองแก้วอันเกษมสานต์ คือพระอมตมหานิพพานอันสำราญก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไปสู่พระนิพพานอันสำราญต่อภายหลัง ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายเศียรเกล้าบูชาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ในกาลบัดนี้ ในที่สุดขาดพระวาจาปณิธานปรารถนาลง พระบรมโพธิสัตว์ก็จุติจิตต์สิ้นชีวิตไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์เทวโลกฯ ​

    ดูก่อนสำแดงสารีบุตร ครั้นเมื่อพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้าได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงมีพระองค์สูงได้ ๘๘ ศอก ด้วยผลทานที่เด็ดพระเศียรกระทำสักการบูชาพระสัทธรรม พระองค์ทรงพระรัศมีสิ้นทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาดนั้น ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์ทรงอุตสาหไปในมรรคาหนทาง ปรารถนาจะพบเห็นสมเด็จพระพุทธเจ้าจนพระโลหิตไหลออกจากพระบาท และพระชงฆ์ พระหัตถ์ พระอุระของพระองค์เมื่อเป็นบรมสังขจักรนั้นฯ อนึ่ง พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงมหาอเวจีนรก ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์เด็ดพระเศียรออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรมโลหิตไหลออกจากพระเศียร อนึ่ง ในพระศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า บังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์นึกได้สำเร็จความปรารถนานั้น ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์เสด็จไปตามมรรคหนทาง จะใคร่พบองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ถ้วนถึง ๗ วันเป็นกำหนด จึงได้ประสพพบปะฯ ​

    ดูก่อนสำแดงสารีบุตร ผู้เป็นพระยาธรรมของพระตถาคต ฝูงคนทั้งหลายที่มิได้เห็นรูปกายของพระตถาคตนี้ แล้วได้กระทำทานรักษาศีลจำเริญเมตตาภาวนาด้วยเดชะผลานิสงส์ ฝูงคนทั้งหลายเหล่านั้นจักได้บังเกิดทันพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระศรีอาริยะเมตไตรย อันจะมาบังเกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตฯ สำแดงมาด้วยเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ ก็ยุติแต่เท่านี้ฯ
    เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ​





    .​
     
  8. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129

    เมื่อคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง โดนแย้งว่าไม่เข้าท่า


    ครูบาอารย์ท่านกล่าวเอาไว้ว่า เปิดพระไตรปิฎกหาคำตอบน่าจะเป็นการดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 ตุลาคม 2012
  9. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    ครับ ถูกต้องแล้วครับ ลองอ่านดูนะครับ
    1*10(ยกกำลัง 140)ปี = 1 อันตรกัปป์หรือ 1 อสงไขยปี
    64 อันตรกัปป์ = 1 อสงไขยกัปป์
    4 อสงไขยกัปป์ = 1 มหากัปป์(หรือ 256 อันตรกัปป์)

    มหากัปป์(มี 256 อันตรกัปป์)นี้เป็นกัปป์ที่เจริญ มีองค์สมเด็จพระทศพลมาอุบัติขึ้น ๕ พระองค์ จึงมีชื่อกัปป์ว่า ภัทรกัปป์
    องค์สมเด็จพระกกุสันโธพระพุทธเจ้ามาอุบัติในอันตรกัปป์ที่ 9
    องค์สมเด็จพระโกนาคมนาพระพุทธเจ้ามาอุบัติในอันตรกัปป์ที่ 10
    องค์สมเด็จพระกัสสปะพระพุทธเจ้ามาอุบัติในอันตรกัปป์ที่ 11
    องค์สมเด็จพระโคตมะพระพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าของเราๆทั้งหลาย)มาอุบัติในอันตรกัปป์ที่ 12
    องค์สมเด็จพระศรีอาริย์พระพุทธเจ้ามาอุบัติในอันตรกัปป์ที่ 13

    องค์สมเด็จพระศรีอาริย์ฯจะเสด็จลงมา 2 ครั้ง
    ครั้งแรก จะเสด็จลงมาถวายมหาทานหรือสัตตดกมหาทานเหมือนองค์พระเวสสันดรมหาโพธิสัตว์
    ครั้งที่ 2 จะเสด็จลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า ในยุคที่มนุษย์มีอายุขัย 80,000 ปี
     
  10. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    [​IMG][​IMG]อีกนานเท่าไหร่พระศรีอาริยเมตไตรถึงมาจุติ?[​IMG]
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->DR-NOTH<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6773234", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    <!-- google_ad_section_end -->
    [​IMG]หลังจากสิ้นพระศาสนา พระพุทธโคดม สิ้นไปแล้ว ๑ พุทธทันดร ก่อนที่สมเด็จพระศรีอริยะเมตตรัย มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า กรึ่งหนึ่ง หรือในหนึ่งเรียกว่าครึ่ง หนึ่ง ต้องมีพระปัจเจกระพุทธเจ้า มาตรัสรู้ นับหมื่นแสนพระองค์เลยทีเดียว เขาเรียกพระพุทธจ้าชนิดหนึ่ง ตรัสรู้เอง แต่ไม่สอนให้ผู้อื่นตรัสรู้ตาม อย่างดีถ้าบุคคลใดมีศรัทธา ประสาทะก็สอนผู้นั้น ให้อยู่ในศิลธรรมเท่านั้น เพราะท่านไม่ใช่วิสัยของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีวิสัยที่จะสอนให้ผู้อื่นตรัสรู้ตาม จึงเรียกพระนามของพระองค์ว่า พระปัจเจกะพุทธเจ้า

    หนึ่งในจำนวนนั้น ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระปัจเจกะพุทธเจ้า ก็พระเทวทัต ที่ทำร้ายพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบัน ท่านมีคติแน่นอนแล้วครับท่าน หลังจากนั้นไปอีก ครึ่งหนึ่ง อายุมนุษย์ ขัยของมนุษย์ น่าจะมีอายุเป็นหลายหมื่นปีแล้ว ณ บัดนั้น สมเด็จพระศรีอริยะเมตตรัย ก็จะจุติ จากสวรรค์ชั้น ดุสิต จากเทวโลกลงสู่ พระครรของพระมารดา แล้วออกบวช ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นศาสดาเอกของโลก ถ้านับเวลาในเมืองมนุษย์ก็ กินเวลาอายุ ๑ ล้านกว่าปีในเมืองมนุษย์ และอีก ๕ แสนกว่าปีในเมืองมนุษย์ พระปัจเจกะพุทธเจ้าจึงมาตรัสรู้ก่อน ถ้า ๑ อสงไขย ดังท่านว่า พระพุทธเจ้าคงมาตรัสรู้ ไม่รู้ กี่หมื่นกี่แสนพระองค์แล้ว เป็นกัปยังนับไม่ได้เลย เพราะว่า กับนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ถึง ๑๐ พระองค์เทียว

    อายุ ๑ กัป ท่านเปรียบเทียบดังนี้ ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับ ๑ วันบนสวรรค์ ชั้นดาวดึง สเทวโลก วันเดือนปี มีเท่ากัน แต่ต้องคูณเอา ดังที่ผมกล่าวมา ว่า กี่ล้านปีในเมืองมนุษย์ เท่ากับ ๑ วันบนสวรรค์ชั้นดาวดึง สวรรค์แต่ละชั้นมีอายุไม่เท่ากัน อธิบายไป ต้องใช้เวลาเยอะ จึงอนุมานได้ดังนี้ ภูเขาสูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ๑๐๐ปีของเรามีเทวดา เอาผ้านุ่มมาปัด ๑ ครั้ง จนกว่า ภูเขานั้นจะเหี้ยนเต้ ราบเท่าแผ่นดิน เรียกว่า ๑ กัป หรืออีกในหนึ่ง ท่านเปรียบ มีเมล็ด พันธ์ผักกาดอยู่ในถัง สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ๑๐๐ปีของเราเอาเม็ดผักกาด ออกมา ๑ เม็ด จนกว่าเม็ดผักกาดจะหมดถัง เรียกว่าอายุ ๑ กัป ถ้ากินเวลาในเมืองมนุษย์ ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันล้านปีในเมืองมนุษย์ เท่ากับอายุ ๑ กัป คำว่าอสงไขยกัป มันนับไม่ได้จนคำนวนไม่ได้ เรียกว่าอายุ ๑ อสงไขยกับ [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ที่ผมกว่าวมาจะคลาดเคลื่อนวันเดือนปีก็ไม่มาก ที่เฮียปอตำมะลัง เอาตำราของหลวงพ่อฤาษีมา ถ้าทุกถ้วยคำไม่ผิดเลย นำมาเอ่ยทั้งหมด คือนั้นแหละ ถูกต้อง เพราะว่า สมเด็จพระศรีอริยะเมตตรัย ท่านฝาก บอกหลวงพ่อมาว่า คนที่จะไปเกิดในสมัยท่านนั้น ต้องทำอย่างไร หลวงพ่อฤาษี ท่านกว่าวไว้หมดแล้ว และตอนหลวงพ่อยู่นั้น ลูกศิษย์พระศรีอารย์ ถ้าจำไม่ผิด ที่มาเกิดในยุคนี้ แสนกว่า หรือสามแสนกว่านี่แหละ ผิดขออภัยครับ ไปหาอ่านเองครับผม ผมจะไม่อธิบายอีก และในคำตอบของคุณ

    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ DR-NOTH


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ๑ อสงขัยปีนั้น พระพุทธเจ้าคงมาตรัสรู้ ไม่รู้ กี่พันหมื่น พระองค์แล้ว ๑ อสงขัยนั้น มันนับไม่ได้คำนวนไม่ได้ เรียกว่าหนึ่งอสงขัย คำ ว่า ๑ กัป กับ ภัทรกัป มันก็ไม่เหมือนกันแล้วครับ แต่ที่ผมพูดแบบนี้ เหมือน คำว่า ทศวรรต์ มันแค่ ๕๐ แต่ถ้า สัตวรรต์ มัน ๑๐๐ มันแตกต่างกันอย่างนี้ครับ


    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมได้เคยสัมผัส หลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นพระโพธิสัตว์ ใหญ่ ทั้งพระและฆราวาส มาไม่น้อย ทั้งผู้หญิงผู้ชาย แม้แต่สัตว์เดรัชฉาน ที่เป็นพระโพธิสัตว์ ที่กล้ากล่าวเช่นนี้ เพราะไปสัมผัส ของจริงมา และไม่ได้แบกตำรามา ตำรา เป็นแนวทางเดิน ส่วนการปฏิบัติ เป็นหนทางของมรรคผล สิ่งใดที่พวกท่านรู้ แต่ผมไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมรู้ ท่านยังไม่รู้อีกเยอะครับ ตำราเปรียบเหมือนดิน การปฏิบัติ เปรียบเหมือนฟ้า มันสวนทางกัน เหมือนคนเห็นผี บอกผีมี แต่ไอ้คนไม่เห็นผี บอกผีไม่มี มันถูกทั้งคู่ แต่ใครมันจะถูกที่แท้จริง นั่นต่างหาก คนปฏิบัต มันกีน เองชงเอง มันถึงรู้ทั้งสองอย่างไงครับ

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  12. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2012
  13. meephoo

    meephoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +2,133
    ตามที่ได้ถามท่านอาจารย์ท่านบอกว่า พระศรีอารย์ ท่าาจะลงมาจุติบนโลกมนุษย์ประมาณ1ล้าน4แสน9หมื่น9พัน9ร้อย9สิบ9 ปี ครับปมไม่อยู่แล้วครับขอไปนิพพานชาตินี้ดีกว่า มีแต่กองทุกข์ เบื่อเมา ไปเจอกันที่นิพพานนะครับ โมทนาสาธุ ขอให้มีเมตตาและเจริญในธรรม ข้าพเจ้าเกิดมาต้องตาย ชีวิตไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
     
  14. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    วันนั้นไปบ้านแฟนมา ขากลับนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพ-สมุทรสาคร
    ได้นั่งสนทนาธรรมกับคนที่นั่งรถมาด้วยเจอกันระหว่างเดินทางกลับน่าจะเป็นธรรมจัดสรรค คนนี้ขึ้นรถมาก็มานั่งข้างๆผมถามผมเรื่องปกติธรรมดา
    แล้วก็ลงมาข้อมูลฐานเชิงลึกขึ้น จากนั้นถามผมว่ารู้จักหลวงปู่คำคะนิง จุลละมณี ที่ท่านอยู่ถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม อุบลราชธานีไหมน้อง
    รู้จักครับได้ยินกิตติศัพท์ของท่านดังมากๆ ท่านเข้าไปดินแดนลับแลแล้วพบแม่ศรีประจันทร์ที่เป็นยักษ์ กำลังทดจีวรไว้รอถวายพระศรีอริยเมตไตรเมื่อท่านมาตรัสรู้ขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าในโลก แม่ศรีประจันทร์บอกกับหลวงปู่คำคะนิงว่าอยากได้สมบัติอะไรก็เอาๆไปแล้วก็ให้รีบออกไป หลวงปู่คำคะนิงบอกไม่อยากได้อะไรแค่ดูเฉยๆ แล้วน้องรู้ไหมว่า หลวงปู่คำคะนิง จุลละมณี ท่านได้เขียนพ.ศ.เกิดของพระศรีอาริย์ไว้ที่ผนังถ้ำคูหาสวรรค์ พี่ครับแล้วเป็นปีอะไรครับบอกผมได้ไหมครับ นี่ไงพี่กำลังจะบอกเธอ อรหังท่านเล็งญาณไว้บอกว่าพระศรีอาริย์ท่านจะมาเกิดปี 2515 พระช่วยพี่สาวนั่นมันปีเกิดผมเลยนะ แต่ผมไม่เคยไปถ้ำคูหาสวรรค์ แล้วท่านเขียนไว้ในถ้ำ ไปหาดูได้ไหมครับ ไปสิน้องแล้วน้องจะพบเอง
    นี่ก็ถึงที่ ที่พี่จะลงก่อนนะ ครับผมต้องหาโอกาสไปพิสูจน์ดูครับขอบคุณครับ
     
  15. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ท่านศรีอย่าเพิ่งเชื่อ ไปพิสูจน์ก่อน ถ้าเป็นจริงตามนั้นแล้วค่อยเชื่อ
    ท่านศรีใช้ญาณตรวจดูรึยังว่าคนที่มาบอกนั่นใช่มารแปลงมารึเปล่า ผมว่าระดับท่านศรีน่าจะรู้
     
  16. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ในเรื่องผมก็นำเสนอไว้ว่า จะต้องขึ้นไปพิสูจน์ด้วยตนเองก่อน
    อย่างที่ผมไปพิสูจน์เรื่องเขาวงพระจันทร์ จากที่แม่นางกวักท่านบอกเป็นนัยๆให้ผมได้รู้ จนอดใจไม่ได้ต้องไปดู ผมตอบคำถามในใจผมว่า
    ผู้หญิงที่มาบอก เป็นธิดานางฟ้า
    มีมูลนะ อย่างเรื่องของหลวงพ่อโหน่ง เป็นศิษย์รุ่นพี่ของหลวงพ่อปาน
    มีอาจารย์องค์เดียวกัน คือ หลวงพ่อเนียม
    เรื่องของหลวงพ่อโหน่งท่านจะทำอะไรท่านจะต้องถามพระก่อน
    แม้นการสร้างพระประธานประจำวัด ท่านก็ถามว่า สร้างได้ไหม
    พระบอกสร้างได้ ท่านก็สร้างตามนั้น แต่ท่านไม่ทราบว่าจะหาช่างสร้างช่างหล่อได้ที่ไหน พระก็บอกให้เดินไปทางนั้นทางโน้นท่านก๋เดินไปตามนั้น พบช่างปั้นช่างหล่อตามที่พระบอก เมื่อหล่อเสร็จช่างก็หายไปเฉยๆโดยไม่บอกกล่าว หลวงพ่อโหน่งท่านก็ตกใจ อ้าวเงินค่าจ้างยังไม่ได้จ่ายให้กับช่าง
    จะเป็นการเบียดเบียนเขา จึงย้อนเดินทางไปตามที่เดิมถึงจุดที่พบช่างก็บอกลักษณะหน้าตาถามชาวบ้าน ชาวบ้านบอกไม่รู้จัก สงสัยเป็นคนถิ่นอื่น
    เมื่อหลวงพ่อโหน่งกับถึงกุฏิก็ถามพระว่า จะไปตามหาช่างได้ที่ไหนพระบอกไม่ต้องไปตาม เพราะช่างคนนี้ไม่ธรรมดา เป็นช่างเทวดามาช่วยเมื่อหมดหน้าที่ท่านก็ไปตามเรื่องของท่าน ไม่ต้องไปตามหรอกถึงไปตามก็ไม่เจอ
     
  17. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ขอบคุํณและเป็นเกียรติือย่างยิ่งน่ะครับ ที่แวะมาสนทนาธรรมกันในกระทู้นี้...
    (อนุโมทนาครับผม....)​
     
  18. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ต้องเอาพุทธพยากรณ์เป็นหลัก ซึ่งปรากฎในพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 หัวข้อ จักกวัตติสูตร ถ้าผิดจากนี้แสดงว่าไม่ใช่ เนื้อหาในจักกวัตติสูตรค่อนข้างยาวมาก แต่จะสรุปย่อให้ฟังดังนี้
    พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่าหลังจากสมัยพุทธกาล ธรรมจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ เป็นเหตุให้อายุขัยของมนุษย์ลดลงเรื่อยๆ จนเมื่อมนุษย์อายุขัยเหลือ 10 ปีจะเกิดมิคสัญญีฆ่าฟันกันไปทั่ว หลังจา่กนั้นมนุษย์จะหันมาประพฤติธรรม อายุขัยจะเำิ่พิ่มขึ้นเรื่อยๆจากรุ่นสุ่รุ่น จนอายุยืนเป็นอสงไขย จากนั้นก็จะถดถอยลงอีกจนอายุเฉลี่ยเหลือประมาณแค่ 8 หมื่นปี เมื่อนั้นพระเมตไตรยจะลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป
    ถามว่านานแค่ไหน ก็นานเป็นอสงไขย(คือนับไม่ไหว) นั่นแหละถูกแล้ว
     
  19. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    (ความยาวนานบนโลกมนุษย์ อาจแค่ไม่กี่ปีในภพภูมิอื่น)​
     
  20. Stabilo

    Stabilo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +760
    คริคริ ตอบสั้นๆ รู้ไปก็เท่านั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...