อุคหนิมิตร กับผู้รู้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แนน จันทบุรี, 22 พฤษภาคม 2018.

  1. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    ...การฝึกบริกรรมภาวนาและหรือตามกำหนดรู้ ..บางคนได้ ญาณ ได้ ฌาณ หรือที่เรียกว่าได้องค์ นั่น ถ้าติดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ความสว่าง สี แสง เสียง ที่เป็นทิพย์ทั้งหลาย นั้น คือ ผู้รู้ รู้เองเห็นเองก็แล้วแต่จะเป็นไปในทางใด แต่นั่น เป็น อุคหนิมิตร ถ้าหลงไปติด มันก็ดี ในทางสมถะกรรมฐานแล้ว...แต่ว่าถ้าขาดผู้รู้คือสติ มันก็จะไม่เป็นองค์แห่งฌาณ กล่าวคือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกคตา ต้องมีผู้รู้สภาพของสมาธิตามขั้นนั้นๆ ฉะนี้ จึงเตือนไว้ ถ้าหลงไปติดอุคหนิมิตร เข้าใจเป็นจริงเป็นจังโดยขาดสติแล้วย่อมขาดองค์แห่งฌาณไปด้วย จะว่ากล่าวโดยในแล้วเป็นอันเดียวกันก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ฉะนั้นผู้ฝึกจิตจึงควรดูผู้รู้เกิดดับที่ฐานของจิตให้ชำนิชำนาญ เพื่อ ไม่ให้เผลอสติไปติดอุคหนิมิตร ในการบริกรรมภาวนา และหรือตามกำหนดรู้ (ในที่นี้ไม่ว่าเป็น นะมะพะทะ หรือ ใดๆก็แล้วแต่) หรือเมื่อเผลอสติ จิตก็เห็นจิตเห็นลมหายใจได้ในทันทีสติกลับมาที่กาย..
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เห็นด้วยกับการไม่ยึดติด
    ในอุคหนิมิตต่างๆ
    ไม่ว่า แสง สี เสียง
    รวมภาพต่างๆไม่ว่าดี
    หรือไม่ดีด้วยครับ
    แต่ขออนุญาติเพิ่มเติมเล็กน้อย
    เพื่อเป็นประโยชน์

    สำหรับด้านการฝึกกรรมฐาน
    บางคนเรียกด้านสมถะ
    อุคหนิมิต แม้ว่าจะเป็น
    อุคหนิมิตที่ตรงกับ
    กรรมฐานกองนั้นๆก็ตาม
    ยังเป็นโทษได้ครับ
    โทษคือขวางให้เราเข้า
    ถึงระดับใช้งานไม่ได้จริง
    ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง
    เช่น ให้เห็นว่ามันพิสดาร
    หรือให้เข้าใจว่าไม่ใช่
    ธรรมดาถึงจะเห็นได้
    หรือพาให้ทำโน้นนี่ได้และเข้าใจ
    ว่ามันคือที่สุด เราเป็นสุดยอด
    เข้าสมาธิได้สูงสุด ทั่งๆที่ยังใช้งานไม่ได้
    หรือยึดมันจนสร้างเรื่องราวใน
    อุคนิมิตตามกิเลสในใจเรา เช่น
    สร้างเป็นเมือง ทำให้เราเห็นพระพุทธเจ้า
    ทำให้เราได้พูดคุย กับระดับสูงๆ
    จนเราเข้าใจว่าตนเองบรรลุธรรม
    พวกแสงสว่างๆจะทำให้หลงได้ง่าย


    กำลังในระดับนี้ การรับรู้ยังอยู่ภายใต้
    สัญญาในตังติตเราเองนะครับ
    ไม่ใช่เพื่อการลดละ หรือเข้าใจกรับวนการเกิด เพราะการรับรู้ได้ มันจะมีตัววิญญาณ
    ที่ส่งออกจากจิตเราเองไปกระทบ
    สร้างให้เกิดภาพต่างๆ ตามสัญญา
    แม้ว่าสัญญาจะมาจากภายนอก
    แต่เป็นขบวนการภายใต้สัญญา
    ที่มาจากจิตเราเองเช่นกันครับ

    พูดง่ายๆถ้าไม่สัญญาจะไม่มีภาพ
    เพียงแต่กำลังสติจะทำให้เรียกภาพนั่นถูกว่าอะไร เรียกไม่ถูก ไม่เข้าใจแสดงว่ากำลังสติ
    ไม่พอนั่นเองครับ. ระวังให้ดีๆนะครับ


    กำลังสติที่ดี จากการสังเกตุการเกิดดับ
    การส่งออกไปกระ
    ที่ฐานบ่อยๆหรือที่จิต(แล้วแต่จะเข้าใจ)
    นั่น นอกจากจะทำให้จิตดีดความคิดออกจากตัวจิตได้แล้ว(ถ้าทันตอนความคิดมันจะผุด)
    จะช่วยให้จิตสงบได้ชั่วคราว และอาจจะคลายตัวได้ตามธรรมชาติได้ชั่วคราว
    หากสามารถเดินปัญญาจนเกิดเป็นปัญญาทางธรรมได้ครับ

    แต่ให้ระวังเพราะจะยังไม่เห็นตัวผู้ดู
    และเข้าใจว่าผู้ดูกับจิตเป็นตัวเดียวกันได้
    และคิดว่าผู้รู้ที่รู้นั้น เป็นการรู้จริงๆ ไม่ใช่จากสัญญาในจิต
    (รู้ในที่นี้คือเข้าใจ
    ในกะบวนการเกิดดับ
    เพราะหมายเข้าใจ
    ว่าเราสังเกตุตอนเกิดดับทัน)

    ต้องมาเบาวิปัสสนาลงมาแล้วมาหนุนสมถะ
    ไม่สนใจในนิมิตและอุคหนิตใดๆทั้งสิ้น
    จนกว่าจะมีกำลังสมาธิสะสมเพียงพอ
    ที่จะมองเห็นตัวจิตให้ได้ก่อนครับ

    ถึงจะเริ่มเข้าใจได้ว่ามันมี
    ๑.ผู้ดู
    ๒.ตัวจิต
    ๓.ผู้รู้ หรือตัววิญญาณที่ส่งออกจากตัวจิต
    ที่ถ้าหนักทางวิปัสสนาจะเข้าใจคลาดได้ว่ามันคือรู้กระบวนการเกิดดับ จริงแล้วมันแค่เห็นการเกิดและดับของตัววิญญานและรู้จากสัญญาในจิต หรือ กะแสที่ส่งออกจากจิตไปกระทบ. ข้อ ๓ นี้มันคือตัวเดียวกัน
    อล้วแต่จะเรียกตามที่เห็นได้ครับ

    พอท่านเห็นทั้ง ๑,๒และ ๓ ได้แล้ว
    ท่านค่อยมาสังเกตุต่อว่า
    ๑.เกิดตอนไหน(ปกติไม่ทันกันแต่มักจะข่มทันถ้ามีกำลังสมาธิ) และ
    ๒.เกิดเพราะอะไร(ปกติมักจะไม่สังเกตุตรงนี้ เพราะพอดับแล้ว
    และก็เลยลืมๆกันไป)

    ๓.ดับเพราะอะไร(ปกติจะลืม)
    ๔.ดับตอนไหน(ปกติจะไม่สังเกตุ
    เพราะดับแล้วและลืมไปเลย)

    ท่านก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการในการเริ่มเห็น
    ขั้นตอนการเกิดทั้งหมด
    ทั้งผู้ดู จิต ผู้รู้ ว่ามันยังเป็น
    กระบวนการปรุงแต่งอย่างหนึ่งอยู่
    ก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการรู้
    เหตุแห่งการเกิดเรื่องนั้นๆ
    และเหตุแห่งการดับเรื่องนั้นๆได้เองครับ
    หรือเริ่มรอบรู้ในกองสังขาร(เริ่ม)

    การเข้าใจกระบวณการนี้
    จะต่างจากปัญญาทางธรรมตรงที่
    ถ้ามันเข้าใจเหตุแห่งการเกิดดับ
    เรื่องใดๆได้ เรื่องนั้นจะไม่เกิดขึ้นมาอีก
    เหมือนปัญญาทางธรรม
    ที่เวลาผ่านไปซักระยะหนึ่ง
    แต่กลับ ระลึก นึกขึ้น
    เรื่องที่เคยวางไปแล้วได้อีก

    ปล ถ้าท่านหนักสมถะในระดับ
    ที่เลยแสง สี เสียง อุคหนิมิตต่างๆได้แล้ว
    ท่านจะเห็น ตัวจิต และผู้ดู(ตัวที่ทำให้เห็นตัวจิต) แต่ถ้าไม่มา วิปัสสนาต่อ ท่านจะเข้าใจว่าจิตกับผู้รู้มันเป็นตัวเดียวกัน
    และคิดว่าเป็นตัวจิตที่รู้ และหลงตรงนี้ได้
    และยิ่งถ้าไม่ฝึกตัดตัววิญญาณที่ส่งออกจากจิตยิ่งจะหลงยึดการรับรู้ต่างๆได้อย่างคาดไม่ถึงครับ.

    ดังนั้น ความสมดุลย์ของสมถะและวิปัสสนา
    เราต้องหาด้วยตัวเองครับ อย่ายึดอย่างใดอย่างหนึ่งให้กลางๆไว้ เพราะมันจะขวาง
    กระบวนการรู้ที่จะทำให้เราไปถึง
    การเริ่มรอบรู้ในกองสังขาร
    หรือการปรุงแต่ง การเริ่มรู้
    ในกองสังขารนี่หละครับ
    ที่จะทำให้จิตของท่านเริ่ม
    คลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ
    ของมันเองในเวลาลืมตาปกติ
    หรือการใช้ชีวิตประยำวันครับ

    แม้ว่าเราจะเป็นเซียนสมาธิ
    พี่นักกำลังจิต มนุษย์ที่ชำนาญ
    ในการเข้าออกจนทำให้จิต
    คลายตัวได้
    เมื่อมีเหตุฉุกเฉินที่เราจะต้องไป
    ท่านทำให้จิตคลายตัวได้
    แต่ท่านก็ยังต้องไปเสวยผล
    จากตัวที่มากระทำให้จิตคลายตัวได้เหมือนเดิมอยู่ครับ. ดังนั้นไปเรื่อยๆจนกว่าจิต
    จะคลายคัวึได้ตามธรรมชาติตามวาระของเราและของมันเอง
    ให้เป็นปกติวิสัยนะครับ
    อย่าไปเผลอยึดสิ่งใดเป็นที่สุดในระหว่างทาง
    ถ้าจิตยังสามารถคลายตัวได้เอง
    ตามธรรมชาติของมันครับ
    ย่อหน่าสุดท้าย
    เล่าสู่กันฟังเป็นข้อคิดฝากไว้
    พิจารณาเฉยๆครับ (^_^)








     
  3. เส้นทางยาวไกล

    เส้นทางยาวไกล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +206
    ต่อครับๆ อนุโมทนากับทั้งสองความเห็นครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ถ้าเป็นส่วนตัวคงพูดได้เท่าที่
    พูดไปแล้วข้างบนครับ
    มากกว่านี้คงพูดไม่ได้ครับ
    เพราะยังไม่สามารถเข้าถึงได้

    แต่มีหลักให้สังเกตุ
    เรื่องระยะเวลาในการคลายตัวได้ของจิตที่มากขึ้นพวกนี้ส่วนตัวมองว่า
    เป็นวาระด้วยครับ สำหรับฆารวาส
    อย่างน้อยภาระทางสมมุติเราต้องถึงพร้อม
    ไม่มีห่วงกังวลใดๆจากการรับผิดชอบอย่างเต็มที่ในช่วงที่ผ่านมา

    ในบางกรณีก็เคยเห็นบางท่าน
    ที่เป็นนักวิชาการมีชื่อ เป็นพ่อค้า
    ข้าราชการระดับสูง กลับพบว่า
    จิตแทบจะไม่เกิดแล้วก็มี

    นิสัยส่วนมากที่เจอ มักจะเป็นคนง่ายๆ
    มักจะเป็นคนที่ไม่ยึดติดเรื่องราวในอดีตใดๆ
    และเป็นคน ไม่ได้ต้องการอะไร
    ในชีวิตประจำวัน
    ทำแต่งานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
    ไม่สนใจในต่ำแหน่ง ไม่สนยศ
    ไม่ติดในการสรรเสริญ ไม่ได้ต้องการ
    แสวงหาความมั่งคั่ง เอาแค่พออยู่พอกิน
    ตามสถานะแห่งตน

    ส่วนทางห่มเหลืองท่านว่า
    ถ้ายังไม่ถึงเวลาต่อให้พยายามวาง
    พยายามว่างมันก็ไม่วางไม่ว่างให้

    ถ้าวาระมาถึงแม้ไม่อยากวาง
    มันก็วางก็ว่างได้ของมันเอง

    เป็นที่มาของคำว่าวาระตรงนี้
    ดังนั้น ควรพิจารณาเหตุและปัจจัย
    ต่างๆที่จะหนุนนำให้วาระมันมาถึง
    ได้เร็วขึ้นด้วยตัวเราเอง
    ตามแต่เหตุและปัจจัยแห่งตนครับ
    ในทำนองเดียวกันก็ระวังเหตุ
    ที่จะทำให้มัน้ข้าถึงช้าขึ้นด้วยครับ

    คลายตัวได้ตามธรรมชาติของมันเองได้
    ในเวลาปกติทั้งวันหรือบ่อยๆ
    ก็เชื่อได้ว่าจะพ้นได้ในชาตินี้
    เพราะปกติเราไม่มีทางรู้ว่า
    ความตายจะมาเยือนเมื่อไร
    ดังนั้น เป็นไปตามธรรมชาติ
    ของมันจึงเป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญครับ ^_^



     
  5. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    :(
     
  6. เส้นทางยาวไกล

    เส้นทางยาวไกล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +206
    รบกวนขอคำแนะนำ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงจากอุคหนิมิตร ไปสู่ปฏิภาคนิมิตร เป็นวิทยาทาน ธรรมทาน ด้วยครับ
    สาธุครับ
     
  7. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    ....ตามที่ปฏิบัติกันมาการเห็นนิมิตรหรือไม่เห็นนั้นไม่สำคัญ ตามที่พ่อแม่ครูอาจารย์สอนไว้แต่ถ้าเกิดมีนิมิตร เกิดขึ้นมาจริงๆโดยธรรมชาติ ให้อย่าเอะใจ ตกใจ แล้วนิมิตรจะอยู่กับเราได้นานๆ แต่ที่นี้พอจิต ส่งออกนอก ไปรู้ไปเห็นก็ให้กำหนด รู้ เฉย อยู่เพียงเท่านี้ ทีนี้มาตอบกันตรงคำถาม(หรืออาจจะไม่ตรง) ปฏิภาคนิมิตร ยกตัวอย่างเช่น กระดาษสีขาว จ้องจนจำได้ว่าเป็นสีขาว เห็นปั๊ป อ๋อ รู้เลยว่าเป็นสีขาว อารมณ์ความนึกคิดเป็นไปเองโดยธรรมชาติ จำได้หมายรู้เอาว่าเป็นสีขาว นั่นเปรียบได้ง่าย นึก จำ ติด แต่ขาดผู้รู้ ในการดำเนินสติแม้เพียงขณะจิตหนึ่ง ยัง เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว จึงเข้าใจหมายเหตุแห่งปฏิภาคนิมิตร แล อุคหนิมิตรเสียได้ ต้องปฏิบัติในสายทางนี้ ดำเนินตาม จึงจะเข้าใจได้ดีในธรรมบทนี้ ซึ่ง ธรรมในธรรมนั้น กระผมเองยังไม่กล้าตอบ อนุโมทนา สาธุ กับคำถามด้วยครับ พอยกเอาตัวอย่างง่ายๆ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เด่วว่างก่อนมาช่วยแนะทริค
    จากอุคหนิมิตไปปฏิภาคนิมิต
    ว่ามีทริคอย่างไร
    ทั้งแบบที่จะ
    ๑.ใช้เป็นฐานหรือแนวทางสำหรับ
    เดินปัญญา ไม่จำเป็นต้อง
    มีฐานสมาธิมากมาย
    ๒.แบบสร้างกำลังจิต ไปได้ทางพลังงานต่างๆ ไม่ว่าภายในภายนอก
    ๓.แบบอธิฐานจิต ต้องฟิตหน่อย
    ๔.ไปอรูปฌาน ๓ ต้องฟิดเหมือนกัน

    และอาจจะแถมถ้ามีคนสนใจ
    การรู้แบบได้แบบพิเศษในกำลัง
    ระดับภาพอุคหนิมิต เอาพอขำๆ
    ตัวอย่างเช่น จากแค่เงาดำๆ บางทีเราอาจรู้ที่มาที่ไปได้ถึง ๖ ถึง ๗ ชาติ
    ฝึกไว้เพื่อที่จะเข้าใจว่า
    ทำไมเราถึงเห็นเป็นภาพแบบนี้
    จะได้ไม่ยึดในสิ่งที่เห็น
    เพื่อความเข้าในใจเบื้องต้น

    ย้ำว่า
    เพื่อความบันเทิง เพราะไม่ใช่แก่น
    ทำแล้วจะทำให้เข้าใจว่า
    “ มายาจิตเป็นเพียงกลจิตประเภทหนึ่ง”
    ทำไมท่านถึงสอนไม่ให้ยึด แม้เห็นด้วยคาเปล่าเพราะจะแนะแบบวิธีตาเปล่า

    หาจังหวะแป๊บ (^_^)
     
  9. เส้นทางยาวไกล

    เส้นทางยาวไกล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +206
    ขอบพระคุณทั้งสองความเห็นครับ
     
  10. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    สมาธิจมนิ่ง ยิ่งละเอียดยิ่งน่าหลงไหลครับ มันเป็นภพที่เราเข้าไปผ่อนคลายเพื่อหลงไหล
    แต่นั้นคือ การเห็นว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ภายใต้จิตสำนึก สมาธิแบบคือเครื่องฉายจิตใต้สำนึกของเรานี่เอง
     
  11. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    กางมุ้งรอละครับ
     
  12. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ตามเห็นการเกิดดับของรูปนามกิจอื่นให้ทำยิ่งขึ้นไปกว่านี้. ไม่มี.
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ย้ำว่าประเด็นคือ การพัฒนาจากอุคหนิมิต
    ไป ปฏิภาคนิมิต และความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า
    ในระดับ อุคหนิมิต ไม่ว่าจะเป็น อุคหนิมิต ตรงกับ
    กรรมฐานกองนั้นๆก็ตาม ยังถือว่าเป็นโทษได้หมดทุกๆกรรมฐานครับ
    ดังนั้นห้ามไปยึด
    ปตามรู้กระบวณการที่มันได้เกิดขึ้นไปแล้วทุกๆกรณี
    หรือพูดง่ายๆว่า อย่าไปตามรู้ในเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น เพราะทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น มันล้วนแล้วสามารถสร้างขึ้นมาจากตัวจิตเราได้ทั้งนั้น แต่ถ้าไปรู้ไปดูแล้ว ให้เฉยๆ อย่าไปยึด อย่าไปหลง เพราะจะทำให้หลงตัวเอง
    หลงว่าบรรลุ หลงว่าตนวิเศษ ได้อย่างคาดไม่ถึง ทั้งๆที่ไม่มีความสามารถทางจิตใดๆก็จะหลงตัวเองได้ครับ.....

    การที่จะเกิดเป็นปัญญาทางธรรมขึ้นมาได้นั้น
    จะต้องเริ่มต้นจากการที่จิตสามารถแยกรูปแยกนามได้ก่อน
    และตัวจิตว่างรับรู้หรือเป็นกลางโดยมีสติทางธรรมคอยกำกับ
    ปล่อยให้จิตรับรู้ อยู่อย่างนั้น โดยไม่มีการใช้ความคิดใดๆ
    ไม่ว่าจากตำราใดๆ การได้ยิน ได้ฟังมาเข้าไปร่วม จะเกิดเป็นปัญญา
    ทางธรรมได้ ซึ่งมันสามารถวางได้ แต่ในอนาคตมันจะยังกลับขึ้นมาได้อีก และจะต้องต่อไปปัญญาญาน เพื่อที่จะให้จิตได้รอบรู้
    กระบวณการเกิดนั้นๆ จะเป็นลักษณะในการที่ตามทำความเข้าใจ
    ในขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมนะครับ เรื่องนั้นๆจึงจะไม่เหลือเชื้อให้จิต
    มันเกิดขึ้นมาได้ (เกิดคือ ระลึกขึ้นได้ นึกขึ้นได้ ยังคิดได้ ยังปรุงได้) ไม่ใช่ไปตามดูรูป เพราะรูปธรรมมัน ไม่ว่าวัตถุหรือกาย
    มันเปลี่ยนแปลงได้ยาก เราจะทำความเข้าใจ ในส่วน ของ สัญญา
    เวทนา สังขาร วิญญาน เรียกรวมๆว่า ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ซึ่งเป็นฝ่ายอารมย์ ฝ่ายนามธรรมครับ....

    ส่วนรูปธรรมหรือกายนั้น เราใช้กรรมฐานอื่นๆได้เพื่อโน้มให้จิต
    เห็นว่ามันไม่เที่ยงได้.เช่น อสุภะ เป็นต้น
    ...ดังนั้นให้เข้าใจว่า เราไม่ได้ไปตามดู
    รูปมันเกิดดับ แต่ตามทำความเข้าใจ ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมนะครับ
    เนื่องจากมันเป็นนามธรรม ซึ่งสังเกตุการเกิดดับของมันได้


    ดังนั้นการฝึกจนสามารถแยกรูปแยกนามได้
    จึงเป็นพื้นฐานเบื้องต้น ถ้าทำไม่ได้ เราจะแยกความคิดที่เกิดจากจิต แยกจิต แยกความคิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมไม่ได้ และจะเผลอคิดว่า
    พวกนี้ เป็นสติเป็นปัญญา แล้วนำไปพิจารณา ทำให้กลายเป็นวิปัสสนึกได้
    อย่างคาดไม่ถึง จะส่งผลการพัฒนาทางจิตให้ไม่ก้าวหน้า
    ก็ยังจะหลงตัวเอง
    คิดว่าตนเองบรรลุระดับโน้นนี่นั้น
    ในกรณีบุคคลที่มีสัมผัสภายในเป็นทุน นอกจาก
    ความสามารถท่านจะไม่พัฒนา
    ก็ยังจะยึดติดในนามธรรมต่างๆจนเป็นจริง
    เป็นจังได้อย่างคาดไม่ถึงครับ
    ให้ระวังให้ดีๆด้วยนะครับ
    อย่างประมาทในเรื่องพื้นฐาน
    จำไว้ว่า ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้
    ไม่ต้องไปพูดเรื่องวิปัสสนา
    เพราะอย่างไรก็เป็นวิปัสสนึกครับ

    เอาทริคแรก อุคหนิมิต สำหรับ
    ๑.ใช้เป็นฐานหรือแนวทางสำหรับ
    เดินปัญญา ไม่จำเป็นต้อง
    มีฐานสมาธิมากมายนั้น เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา
    ไม่ว่าจะเป็นอุคหนิมิตอะไร
    ห้ามไปอยากรู้ว่า สิ่งที่เห็นมันคืออะไร ทำไมถึงเห็นได้
    มันเกิดขึ้นได้ไง เกิดแล้วเป็นอย่างไร พูดง่ายๆว่า
    ห้ามสงสัยทุกๆกรณีครับ และอย่าไปยึด
    ไม่ว่าจะเห็นสิ่งที่ดีที่สุด หรือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดให้เฉยๆ


    แต่ให้สังเกตุการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมนั้นๆแทน
    ทำไมถึงห้ามไปสงสัยสังเกตุภาพ เพราะการที่เราจะเห็น
    เป็นภาพได้นั้น แสดงว่า มันยังประกอบด้วยสัญญาที่มันอยู่
    ในจิตเราเองหรือจากภายนอก ดังนั้นการไปรู้กระบวณการ
    ตรงนี้ ถือว่า จิตมันเกิดไปแล้ว เราจะรู้เพียงแค่ว่า มันจะเป็นอะไรได้
    แต่ว่า มันจะยังไม่เกิดประโยชน์ใดๆ คล้ายๆเหมือนเราไปร่วมปรุง
    ให้ภาพนั้นนั่นเอง......

    สังเกตุคือ เมื่อเห็นภาพแล้ว ด้านข้าง ด้านซ้าย ด้านขวา ด้านล่าง
    เป็นอย่างไร และเมื่อเราสังเกตุการเปลี่ยนแปลงแล้ว ภาพเปลี่ยน
    ไปอย่างไร และให้สังเกตุสภาพแวดล้อมไป ซึ่งจะเป็นแนวทางให้
    จิตเดินต่อไปได้ เพราะถ้าทำแบบนี้ได้บ่อยๆ
    จิตจะสามารถโน้มไปในทางไม่เที่ยงได้เอง
    แต่ต้องทำบ่อยๆนะครับ
    แต่ต้องมาเสริมความต่อเนื่องเพื่อหนุนกัน

    ในเวลาก่อนที่จะหลับตาและก่อนจะตื่น(อย่าพึ่งลืมตา)
    ว่าเราพลาดเรื่องอะไรบ้างที่ผ่านมาในระหว่างวัน
    ถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไร ก็ได้จากการเจริญสติ
    ในชีวิตประจำวันนั่นเอง ไม่งั้นถ้าเราไม่มีตรงนี้
    เราจะไม่รู้ว่า เราพลาดหรืออ่อนเรื่องอะไร
    เอาหลักๆ คือ โลภ โกรธ หลง....แล้วก็ค่อยๆแก้ไข
    ไปทีละเรื่อง ทีละตัวครับ...
    ถ้าทำอย่างนี้ได้บ่อยๆ ต่อไปจิตจะเริ่มคลายตัวโดยธรรมชาติได้เอง
    โดยไม่ต้องมานั่งเกร๊งกล้ามฝึกสมาธิ ใช้กำลังจิต ความชำนาญ
    อะไรให้ปวดขา ปวดหลังเล่นๆ
    เมื่อจิตคลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะวินาที หรือ หลายวินาที
    ต่อไปความสามารถอะไรก็ตาม ไม่ว่าความเข้าใจทางด้าน
    นามธรรมต่างๆ ความรู้ที่จะนำไปสู่การปล่อยวาง
    ที่ตัวจิตได้เคยสะสมมา
    มันจะค่อยๆขึ้นมาได้เอง โดยที่ไม่ต้องไปฝึกอะไรครับ
    วิธีการนี้ต้องอาศัยความต่อเนื่องอย่างน้อย ๒ เดือนนะครับ
    จะเริ่มเห็นผลและสัมผัสได้ด้วยตัวเอง....
    พูดง่ายๆว่า ไม่ต้องไปฝึกแบบชาวบ้านชาวช่อง
    ย้ำว่า เหมาะสำหรับ คนไม่ค่อยชอบนั่งสมาธิ
    หรืออายุมากหรือ ร่างกายไม่ค่อยอำนวย..


    ๒.แบบสร้างกำลังจิต ไปได้ทางพลังงานต่างๆ ไม่ว่าภายในภายนอก
    หลักง่ายๆคือ เมื่อเข้าอุคหนิมิตได้ ไม่ว่าจะเป็นอุคหนิมิตตรงก็ตาม
    ห้ามไปพยายามที่จะรักษาให้มันอยู่ได้นาน เพราะจะไม่มีกำลังไปต่อ
    ห้ามไปดู ไปรู้อะไร และที่สำคัญในระหว่างนี้ ไม่ว่าจะเกิดความสามารถ
    ในการรับรู้อะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเห็นอะไร จะพิศดารระดับโลกแค่ไหนก็ตาม
    ห้ามไปสนใจทุกๆกรณี หลักๆคือ เมื่อเข้าได้แล้ว เกิดแล้ว
    ให้ระลึกรู้ตัวให้เร็วและถอยออกมาทันที แต่อย่าลืมตา
    และเข้าไปอีก เมื่อเกิดขึ้นอีก ก็ระลึกออกมาอีก
    ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คือ เข้าๆออกๆ
    จะสามารถข้ามไประดับปฏิภาคนิมิตได้เอง
    หลักสังเกตุปฏิภาคนิมิต คือ จะเกิดในกำลังที่สูงขึ้น
    หลายๆอย่างจะมีความสว่างในตัว(ไม่ใช่สว่างทีเดียว)
    รวมๆกันมันเลยดูสว่าง เมื่อถึงจุดนี้ได้ ให้ระลึกว่าจะต้อง
    ปั่นมันหมุนทางด้านซ้ายให้ได้ ย้ำว่าด้านซ้าย
    เพราะด้านขวามันง่ายๆ ปั่นเล่นได้ แต่ไม่มีประโยชน์
    ไม่ว่าชาตินี้ยันชาติไหนๆ
    และต้องระวังรักษาระยะห่างให้ดี ไม่งั้นจะโดนมันดูด
    ไปสู่ที่อื่นๆ และเมื่อโดนดูดแล้วอย่าสนใจในสถานที่นั้นๆ
    ให้ระลึกกลับมาให้เร็วที่สุด ไม่งั้นจะหลงได้อย่างคาดไม่ถึง
    กลับสิ่งที่ได้ไปเห็น ซึ่งมันจะเป็นตัวขวางการสร้างกำลังจิตของเราครับ
    ถ้าหมุนซ้ายได้จริง จะเล่นกับพลังงานภายในและภายนอก
    ได้ในเวลาลืมตาปกติ แบบสิวๆ ถ้าทำไม่ได้ แสดงว่า
    ที่เราปั่นนั้น เป็นระดับอุปจารสมาธิครับ...จบไว้ก่อน

    แบบที่ ๒ ที่พูดข้างบนคือแบบหยาบๆหลักๆ...
    เข้าถึงได้เด่วรู้เองวาจะต้องทำอะไรต่อไปครับ
    และกำลังจิตตรงนี้ จะทำใหเราเข้าใจนามธรรมได้ดีขึ้น
    จะมีประโยชน์มากถ้าจะมาเดินปัญญาต่อ
    หรือแม้กระทั่งจะไประดับปัญญาญานครับ....




     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ต่อ
    ย้ำว่าประเด็นคือ การพัฒนาจากอุคหนิมิต
    ไป ปฏิภาคนิมิต และความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า
    ในระดับ อุคหนิมิต ไม่ว่าจะเป็น อุคหนิมิต ตรงกับ
    กรรมฐานกองนั้นๆก็ตาม ยังถือว่าเป็นโทษได้หมดทุกๆกรรมฐานครับ
    ๓.แบบอธิฐานจิต ต้องฟิตหน่อย


    วิธีที่่ ๓ กับ ๔ หลักการในการข้ามมาปฏิภาคนิมิต
    คล้ายๆกับวิธีก่อนหน้าคือ เห็นได้ให้ถอย และเข้าไปใหม่
    และห้ามไปสงสัยว่า เห็นอะไร คืออะไร ทุกๆภาพ ทุกๆกรณี
    และก็เข้าๆออกๆไปเรื่อยๆ จากระดับอุคหนิมิตจะข้ามไป
    ปฏิภาคนิมิตได้เอง.......
    เพียงแต่ วิธีที่ ๓ นั้น ต้องรักษาระยะห่างภาพให้ดี
    ไม่งั้นจะถูกดูดเข้าไปใต้ฐานพระ เราจะไม่สามารถทำอะไรได้
    นอกจาก มาเปิดดูนั่ง The avengers infinity war ต่อเล่นๆ
    ส่วนมากจะใช้ภาพพระพุทธฯในการตั้งต้นในระดับอุคคนิมิต
    เพื่อความชัว ในการที่จะอฐิษฐานจิตได้ ท่านต้องเตรียมอย่างน้อย
    ๒ อย่างคือ ๑.วางอารมย์เรื่องที่จะอฐิษฐานจิตไว้ก่อน
    เช่น อยากรู้เรื่อง ที่ ๑ และ ๒ และ ๓ และ ๔ ต้องคิดๆไว้ก่อน
    ในระหว่างวัน และก็ลืมๆมันไปซะ เพราะถ้าไม่ทำ แล้วไประลึกตอนนั้น
    มันจะกลายเป็นนิวรณ์และท่านจะกลับเข้าสู่โหมดสมาธิปกติเราหญ้าทันที
    จะทำให้อารมย์เสียได้ ต้องไปหานั่งดูแก้ อารมย์เสียอีก..๕๕
    และ ๒.เมื่อปรากฏปภิภาคนิมิตแล้ว เพื่อประกันความชัวว่า
    จะสามารถอฐิษฐานจิตแล้วเกิดผลได้นั้น ความทิ้งปฏิภาคนิมิตครั้งแรก
    ออกไปก่อน แล้วพยายามเกร๊งกล้ามตู๊ดของท่าน จนกระทั่งเกิดปฏิภาค
    นิมิตขึ้นมาได้อีกครั้งก่อน เพื่อเอากำลังตรงนี้ มารักษาสภาวะภาพปฏิภาคนิมิตให้นานเพียงพอที่จะระลึกเรื่องที่วางอารมย์ไว้
    ทีนี้เรื่องที่ ๑ ที่วางอารมย์ไว้มันจะผุดขึ้นมา ตอนนี้สำคัญอ่านดีๆ
    พอระลึกอฐิษฐานเรื่องที่วางอารมย์ได้ อย่าตกใจ
    เพราะปฏิภาคนิมิต จะค่อยๆมืดลง
    และดูเหมือนกำลังมันจะตกลงมา ให้เฉยๆ
    เพื่อมาดึงเอาสภาวะในระดับอุปจารสมาธิ
    หรือมาดึงสภาวะที่จิตเป็นทิพย์ นึกออกไหม
    ปฏิภาคกำลังสมาธิสูง แต่ไม่มีความเป็นทิพย์
    เหมือนเราจะอฐิษฐานจิต เพื่อการแสดงผล
    จิตมันเลยจะต้องถอยมาดึงความเป็นทิพย์เข้ามาเสริม
    ซึ่งตรงนี้ ย้ำว่า จิตจะทำงานแบบอัตโนมัติของมันเอง
    เราท่านเก๊กมาดหล่อในสภาวะนี้ไปก่อน
    เด่วซักพักหนึ่ง ตัวจิตจะค่อยๆยกระดับขึ้นไปได้เอง
    ในขณะที่กำลังยกระดับขึ้นไปนั้น ก็จะปรากฏผลอย่าง
    ที่ท่านได้อฐิษฐานจิตไว้ในตอนแรก เช่นใครอฐิษฐาน
    อยากรู้นั้น ก็จะได้เห็นไอ้นั้นแบบที่วางอารมย์อฐิษฐานไว้
    ใครบ้าพลังจะเสกโน้นเสกนี้ ก็จะปรากฏผลอย่างที่บ้าพลังไว้.....

    และขั้นตอนต่อมา เมื่อปรากฏเรื่องแรกจบไปแล้ว
    เรื่องที่ ๒ และ ๓ และ ๔ ที่ได้วางอารมย์ไว้
    มันจะขึ้นมาตามลำดับของมันเอง...
    โดยที่จิตจะไม่ลดกำลังลงมาอีกเหมือนครั้งแรก
    ย้ำว่า การลดกำลังมาดึงสภาวะความเป็นทิพย์
    จะเกิดในครั้งแรกเท่านั้นนะครับ ครั้งต่อไปเหมือนจะเป็นออโต๊
    ตามลำดับเรื่องที่ได้วางอารมย์ไว้เลย
    จบส่วนนี้ ใครอยากบ้าพลัง เป็นผู้วิเศษ
    อยากฝึกต่อให้ชำนาญก็ตามสบาย
    แต่ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ถ้าไม่ได้มีแนวทาง
    ที่จะใช้ความสามารถเพื่อประโยชน์ทางธรรมและผู้อื่นๆ
    ให้เปลี่ยนเอากำลังตรงนี้ มาหนุนเรื่อง
    เดินปัญญาจะดีกว่า เพราะเห็นและตัดการส่งออกของจิต
    และรู้เท่าทัน การเกิดเรื่องปรุงแต่งต่างๆได้ดีขึ้นครับ


    ปล.จะบอกว่า ระดับครูบาร์อาจารย์ในอดีตมีชื่อ
    ท่านทำได้ในการหายใจเข้าออกแค่ครั้งเดียวนะครับ
    หมายถึงข้างบนที่เล่าให้ฟังใน #Rep นี้นะครับ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ต่อ วิธีการสุดท้ายแระ
    ย้ำว่าประเด็นคือ การพัฒนาจากอุคหนิมิต
    ไป ปฏิภาคนิมิต และความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า
    ในระดับ อุคหนิมิต ไม่ว่าจะเป็น อุคหนิมิต ตรงกับ
    กรรมฐานกองนั้นๆก็ตาม ยังถือว่าเป็นโทษได้หมดทุกๆกรรมฐานครับ
    ๔.ไปอรูปฌาน ๓ ต้องฟิดเหมือนกัน
    จะแนะนำแบบหยาบๆ เพราะหิวข้าวแล้ว
    และนัดน้องๆไว้ ที่ร้านอาหารด้วย .พูดเพื่อ??


    จะบอกไว้ก่อนว่า อรูปฌานเนี่ย เป็นสภาวะที่ทำให้นักปฏิบัติ
    หลงตัวเองมามากต่อมากแล้ว เพราะว่า มันสามารถเข้าถึงได้
    แม้ว่า ท่านจะไม่เคยฝึกอะไรมาก็ตาม...
    แต่ว่า มันจะไม่มีผลต่อกำลังสมาธิ
    กำลังจิต หรือเกิดปัญญาอะไร
    เพราะการเข้าได้ แบบไม่ฝึกอะไรมา
    หรือนอนกร๊นคร๊อกๆน้ำลายไหลอยู่ก็เข้าได้นั้น
    มันจะไม่มีกำลังอะไรเลย ไม่ว่า กำลังการระลึก
    สำหรับการยกเรื่องวิปัสสนา
    หรือว่าการสร้างกำลังจิต มีแต่เหมือนไปนั่งดูดาว
    แล้วเหมือนทำอะไรไม่ได้ บางท่านคิดว่าเป็นนิพพาน
    ประกันได้ว่า อีกยาวไกล จำเอาไว้ว่า
    ต้องผ่านการขึ้นรูปก่อนเท่านั้นนะครับ
    ถ้าไม่ผ่าน พอจะเอาไว้โม้ให้เด็กๆฟังได้อยู่ครับ
    แต่ไร้ประโยชน์ใดๆ..ถ้าท่านหลงก็แสดงความ
    เสียใจด้วยนะครับ ตัวใครตัวมัน...


    วิธีการนี้ หลักการคล้ายวิธีที่ ๓
    คือ ๑. เข้าๆออกๆ เข้าๆออก ห้ามสนใจระหว่างทางทุกๆกรณี
    ๒.ต้องวางอารมย์เรื่องที่จะพิจารณา
    ไว้ก่อนในระหว่างวันด้วยนะครับ
    ว่าจะพิจารณาอะไร ไม่ว่า ความว่าง อากาศ วิญญาน
    ไม่งั้น ก็จะกลายๆเป็นโง่ๆ เหมือนคิดอะไรไม่ออก
    และพอคิดออก ณ เวลานั้น ก็กลายเป็นวิปัสสนึกซะงั้น
    พอในเวลาปกติ จะพบว่า ท่านจะไร้กำลังจิต ไร้ความสามารถ
    ในการเล่นกับพลังงาน แต่กลับพบว่า ในบุคคลที่ไม่ผ่าน
    การขึ้นรูปมาก่อน แม้ไม่มีความสามารถอะไรเลย
    ก็ยังสามารถหลงตัวเองว่ามีความสามารถได้อย่างคาดไม่ถึงครับ

    แต่เพื่อประกันความชัว เมื่อถึงระดับปฏิภาคนิมิตแล้วนั้น
    ซึ่งไม่ว่า วิธี ๒ หรือ ๓ ท่านจะต้องมีกำลังเพียงพอที่จะข้าม
    เรื่องที่ผุดได้ก่อนนะครับ พอดีลืมบอกก่อนหน้านั้น
    ให้ระลึกทิ้งภาพไปซะ และก็ให้ระลึกขึ้นมาใหม่
    ให้ท่านทำอย่างนี้ให้ได้อย่างน้อย ๒ ครั้งนะครับ
    ย้ำว่า ทิ้งภาพ ระลึกภาพ อย่างน้อยให้เห็นได้ ๒ ครั้งนะครับ
    ถึงจะมีกำลังเพียงพอในการรักษาสภาวะ
    และเรื่องที่จะให้ท่านพิจารณา มันจะขึ้นผุดขึ้นมาได้เองทีระเรื่องตามลำดับครับ
    หลักสังเกตุ ในเวลาลืมตาปกติ จิตจะมีความสามารถในการ
    เล่นกับพลังงานภายนอกภายใน ไม่ว่าดึง ดูด อัด เพิ่ม คลาย ลด
    ได้แบบสิวๆ กำลังระดับนี้ เหมาะมาก ที่จะมาใช้เพื่อเดินปัญญาครับ
    เพราะจะเข้าใจและเห็นส่วนนามธรรมได้ดีขึ้น ชัดเจนขึ้นมากครับ......

    ส่วนอรูปฌานที่ ๔ ไม่สามารถฝึกเอาได้นะครับ
    ท่านต้องทิ้งทุกอย่างที่เคยทำได้ ให้หมด
    เสมือนว่า ไม่เคยเกิดความสามารถอะไรกับท่านเลย
    เหมือนท่านเป็นคนปกติ
    แล้วมาเดินปัญญาต่อ เพื่อเน้นตัด
    ลาภ ยศ สุขสรรเสริญ
    เด่วจิตจะสามารถเข้าอรูปฌาน ๔ ได้ของมันเอง
    แล้วแต่ ระดับโทสะ โมหะ โลภะ ว่ามันน้อยลง
    ถึงระดับที่จะส่งผลให้เข้า อรูปฌาน ๔ ได้เองครับ
    ซึ่ง อรูปฌาน ๔ นี้ มันยังมีผลด้านพิเศษของตัวจิตอยู่
    ก็เลยถือว่า ยังไม่ใช่สภาวะที่ทำให้เราพ้นได้
    ดังนั้น ไม่ความไปยึดติดมัน ยกเว้นว่าจะได้ใช้งาน
    ตามวาระแห่งตน และเมื่อเข้าได้แล้ว......
    ต่อไปจะสามารถเข้าสภาวะดับได้เอง.....


    ทั้งอรูปฌาน ๔ และสภาวะดับ
    ควรจะเป็นสภาวะที่เข้าได้เองตามธรรมชาติ
    โดยไม่ใช้วิธีการ เทคนิค หรือความชำนาญใดๆ
    ในการเข้า มันถึงจะไม่มีเชื้้อที่จะยังก่อให้เกิด
    การเวียนว่ายตามเกิดหรือส่งผลย้อนกลับสู่ตัวจิตได้
    แม้ว่า ในบางครั้ง จะสามารถเข้าได้ด้วยความชำนาญ
    กำลังจิต เทคนิคเฉพาะ แต่ยังถือว่า มีตัวไปกระทำมันอยู่
    จากตัว ชำนาญ กำลังจิต สมาธินั่นหละครับ
    ยังถือว่า เป็นมิจฉาทิฐิอยู่นะครับ เพราะไม่เป็นไปตามธรรมชาติ
    ไม่คลี่คลายและมีตัวกระทำนั่นเอง.....


    ทั้งนี้ทั้งนั้นที่เล่ามา เป็นสมถะ ซึ่งไม่ใช่ประเด็นหลักฝ่ายเดียว
    พุทธเน้นเรื่องปัญญาลดละกิเลส
    ดังนั้น ท่านควรหาความสมดุลย์ ระหว่าง
    สมถะและวิปัสสนาให้ได้ด้วยตัวท่านเอง

    ไม่งั้นท่านจะยังไม่เพียงพอที่จะเข้าใจ
    กระบวณการปรุงแต่งทั้งหมดได้อย่างครอบคลุม
    ท่านจะเห็นได้เฉพาะในด้านที่หนักไปทางสมถะ
    หรือทางวิปัสนาเท่านั้น.....ดังนั้นถ้าคิดอะไรไม่ออก
    ไม่ว่าท่านจะหนักทางสมถะหรือวิปัสสนา
    ให้ระลึกไว้ก่อนว่า จะไม่ยึดถือ หลักการอะไร
    ในด้านที่ท่านหนักทั้งสิ้น เพื่อให้จิตเป็นกลางไว้และ
    เพื่อความปลอดภัยจากการยึดมั่นถือ
    และอนาคตที่รอบด้านในการเห็นทั้งกระบวนการ
    ที่เรียก หล่อๆ ว่า รอบรู้ในกองสังขารครับ

    ส่วนเรื่องการเปลี่ยนแปลงภาพไว้ที่หลัง
    หิวข้าวแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ...(^_^)




     
  16. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    เปรียบเทียบได้ดีครับ ท่านนพ เรานอนหลับทุกคืนแต่ไม่ได้มีกำลังสมาธิขึ้นมาเลย
     
  17. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    นิมิตทั้งหลายไม่ว่าจะอุคหนิมิตหรือปฏิภาคนิมิตล้วนแต่เป็นเพียงเครื่องหมายเท่านั้น
    ประโยชน์ที่มีเพียงใช้สำหรับกำหนดเดินปัญญาวิปัสสนาเพียงเท่านั้น
    หากต้องการอิทธิวิธีให้กำหนดนิมิตเหล่านั้น
    ย่อขยายในเบื้องต้นเสียก่อนแล้วจึงดึงเข้ามา ถอยออกไป
    เมื่อชำนาญแล้วพึงพิจารณาว่านิมิตที่เกิดมีเหตุมาแต่ไหน อย่างไร
    กำหนดดูว่าเป็นสีสันวรรณะใด
    แต่ไม่แนะนำนะครับ
    เดี๋ยวจะติดแล้วพาลทิ้งหนทางปัญญา
    จะผิดทางของพุทธศาสนา
     
  18. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    ..ทีนี้...เมื่อเพียรตามรู้จิตตนไปเรื่อยๆ(วิปัสสนากรรมฐาน)(จิตตานุปัสนาสติปัฏฐาน) ก็จะทราบได้ จิตไปติดสิ่งใดเป็นสุขอย่างไร เป็นทุกข์เช่นไร จึงสอนให้รู้สมถะก่อน ว่าอย่างไรแล้วจึงล่วงรู้ว่าจิตไปติดสิ่งใด แล้วจิตเค้าก็จะปฏิวัติตัวเอง ..จึงขอกล่าวไว้เพียงเท่านี้ ต่อเนื่องจากการปฏิบัติ ตามสมถะกรรมฐาน แล้วและถ้าเกิดเหตุการณ์ใดๆไม่ว่าจะเป็นรูป แสง สี เสียง จิตเค้าย่อมรู้โดยธรรมชาติ เมื่อพัฒนาถึงขั้นที่จิตสว่างไสวตรวจดูร่างกายได้แล้ว ความรู้สึกทางตัณหาจะลดลง เมื่อนี้แล้วจึงควรปรึกษา หาครูอาจารย์ทางพระสายกรรมฐาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...