อุปกิเลสในวิปัสนาญาณ 10ประการ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 24 มิถุนายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]<TABLE borderColor=#0000ff cellSpacing=2 cellPadding=2 width="90%" border=1><TBODY><TR><TD align=middle>อุปกิเลสของวิปัสสนาญาณ 10 อย่าง</TD></TR><TR><TD align=left> อารมณ์สมถะละเอียด 10 อย่างที่ควรระวัง ซึ่งไม่ใช่วิปัสสนาญาณแท้ เป็นเพียงญาณโลกีย์ ต่อเมื่อนักปฏิบัติยกจิตเป็นพระอริยเจ้าอย่างต่ำชั้นพระโสดาบันแล้ว อาการ 10 อย่างนี้จะเปลี่ยน โลกุตตรญาณ คือ ความรู้ยิ่งกว่าทางโลก ควรระมัดระวังไม่ให้หลงว่าท่านได้มรรคผล อุปกิเลส 10 อย่าง มีดังนี้
    1) โอภาส จิตกำลังพิจารณาวิปัสสนาญาณอยู่ระดับอุปจารสมาธิ ย่อมเกิดแสงสว่างมาก จงอย่าพึงพอใจว่าได้มรรคผล อย่าสนใจแสงสว่าง ให้ปฏิบัติต่อไป
    2) ญาณ ความรู้เช่นทิพจักขุญาณ จากจิตที่เป็นสมาธิภาวนา สามารถเห็นนรก สวรรค์ พรหมโลก รู้อดีต อนาคต ปัจจุบัน ได้ตามสมควร เลิกทำต่อไป หลงผิดคิดว่าได้ บรรลุมรรคผล ไม่ใช่อารมณ์วิปัสสนาญาณ ควรระมัดระวังไม่ให้หลงผิด
    3) ปีติ ความอิ่มใจ ปลาบปลื้ม เบิกบาน มีขนพองสยองเกล้า น้ำตาไหล กายลอย กายเบา โปร่งสบาย สมาธิแนบแน่น เป็นผลของสมถะ ยังไม่ใช่มรรคผล
    4) ปัสสัทธิ ความสงบระงับด้วยฌานสมาธิ ความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง คล้ายจะไปสิ้น ท่านว่าเป็นอุเบกขาฌานในจตุตฌาน อย่าเพิ่งหลงผิดว่า บรรลุมรรคผล
    5) สุข ความสบายกายใจ เมื่ออยู่ในสมาธิ อุปจารฌานระดับสูง หรือ ฌาน 1-ฌาน4 มีความสุขกาย จิต อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต เป็นผลของภาวนา ไม่ใช่มรรคผล
    6) อธิโมกข์ อารมณ์น้อมใจเชื่อโดยไม่มีเหตุผล ไม่ได้พิจารณาถ่องแท้ เป็นอาการศรัทธา ไม่ใช่มรรคผล
    7) ปัคคาหะ ความเพียรพยายามแรงกล้าไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรค อย่าเพิ่งเข้าใจว่าบรรลุมรรคผลเสียก่อน เป็นการหลงผิด
    8) อุปัฎฐาน มีอารมณ์เป็นสมาธิ สงัด เยือกเย็น แม้แต่เสียงก็ไม่ได้ยิน อารมณ์ที่กายกับจิตแยกกันเด็ดขาด เป็นปัจจัยให้นักปฏิบัติคิดว่าบรรลุมรรคผล
    9) อุเบกขา ความวางเฉย เป็นอารมณ์ในสมาธิฌาน 4 ต้องระวังอย่าคิดว่าวางเฉยเป็นมรรคผล
    10) นิกันติ แปลว่าความใคร่ไม่อาจมีความรู้สึกได้เป็นอารมณ์ของตัณหา สงบไม่ใช่ตัดได้เด็ดขาด อย่าพึ่งเข้าใจว่าบรรลุมรรคผล กิเลสยังไม่หมดเพียงแต่ฌานกดไว้
    การปฏิบัติกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่เราปฏิบัติ ก็เพื่อจะกำจัดกิเลส เครื่องร้อยรัดในจิตใจ ให้คนสัตว์ต้องจมอยู่ในวงกลมของการเวียนว่ายตายเกิดนี้ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทุกคนกำจัดสังโยชน์ กิเลสที่ทำให้จิตไม่สะอาด 10 อย่าง มีดังนี้
    1. สักกายทิฏฐิ มีความเห็นผิดว่าร่างกายเป็นของเรา ร่างกายขันธ์ 5 มีในจิตและจิตคือขันธ์ 5 เป็นความเห็นไม่ถูกต้อง ทำให้จิตมีความหลงไม่ฉลาด
    2. วิจิกิจฉา มีความลังเล สงสัย ในคำสอนของพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ โดยคิดว่าไม่ใช่หนทางบรรลุมรรคผล เพื่อความสุขในพระนิพพานจริงบางท่านคิดว่าพระนิพพานสูญสลายไปเลย หรือบาป บุญ ไม่มี นรก สวรรค์ นิพพาน ไม่มี เป็นความเข้าใจผิด อย่างนี้เป็นกิเลส ทำให้เวียนว่ายตายเกิดต่อไป
    3. สีลัพพตปรามาส ไม่รักษาศีลจริงจัง ศีล 5 ไม่ครบ ขาดตกบกพร่อง
    4. กามฉันทะ มีจิตยินดี พอใจในรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัสที่อ่อนนุ่ม รสอร่อย รูปงาม กลิ่นหอม เสียงไพเราะ
    5. พยาบาท-ปฏิฆะ มีอารมณ์ผูกโกรธ จองล้างจองผลาญเป็นปกติ ไม่พอใจหรือหงุดหงิดรำคาญ มีอารมณ์ไม่ฉลาด ไม่สะอาด
    6. รูปราคะ ยึดถือว่ารูปฌาน เป็นคุณธรรมพิเศษสูงสุด เป็นความเห็นผิด
    7. อรูปราคะ ยึดมั่นในฌานที่ไม่มีรูป โดยคิดว่าเป็นคุณพิเศษที่ทำให้หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...