อ่านแล้วทะแม่งๆ แต่ให้ข้อคิดดีคิดอีกทีก็ตลก ทุกท่านลองให้ความเห็น

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 11 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <TABLE cellPadding=6 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สั่งเครื่องให้ทำการพิมพ์​
    ลานธรรมเสวนา > ชีวิตกับธรรมะ
    กระทู้ 32189 ผู้ปราถนา พระโพธิญาน ( http://larndham.net/index.php?showtopic=32189 )

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    ทำไมคนปรารถนาพุทธภูมิกันเยอะ จริงๆมีหลายสาเหตุครับ
    บางคนเห็นพระพุทธเจ้าท่านเท่ห์ก็ปรารถนาพุทธภูมิ
    บางคนเห็นพระพุทธเจ้าท่านมีความรู้มากก็ปรารถนาพุทธภูมิ
    บางคนเห็นพระพุทธเจ้าท่านมีฤทธิ์มากก็ปรารถนาพุทธภูมิ
    บางคนเห็นพระพุทธเจ้าท่านรูปงามมากก็ปรารถนาพุทธภูมิ
    บางคนเห็นพระพุทธเจ้ามีปัญญามาก็ปรารถนาพุทธภูมิ
    บางคนเห็นพระพุทธเจ้าท่านยิ่งใหญ่มากก็ปรารถนาพุท ธภูมิ
    ใครบ้างที่อยากเป็นพระพุทธเจ้าเพราะเห็นว่าพระองค์เคยอกหักมานับแสนชาติ
    ใครบ้างที่อยากเป็นพระพุทธเจ้าเพราะเห็นว่าพระองค์เคยโดนฆ่าและปองร้ายมานับไม่ถ้วน
    ส่วนใหญ่คนเราก็เห็นแต่ด้านดีๆตอนที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วทั้งนั้นครับ
    แต่จะมีสักกี่คนที่เห็นพระพุทธเจ้าท่านเหน็ดเหนื่อยเพียงใดกับการสั่งสอนหมู่สัตว์
    จะมีสักกี่คนที่เห็นว่าพระธรรมอันสูงค่านี้หาได้ยาก รู้ได้ยาก เข้าใจได้ยาก
    ที่พระองค์ต้องเหน็ดเหนื่อยและต้องเผชิญทุกข์อย่างแสนสาหัสเพียงใด
    เพื่อช่วยคนกลุ่มน้อยไม่กี่คนให้พ้นทุกข์ได้
    ใครบ้างที่จะมีน้ำใจประเสริฐอย่างพระองค์ท่านที่ยอมลำบากและเหนื่อยยากเพื่อหมู่สัตว์
    โดยที่บางคนก็ยังหันกลับมานินทาท่านต่างๆนานา
    (เคยเห็นในกระทู้นึงที่มาตั้งข้อสงสัยว่าท่านเป็นเกย์)
    ผมเคยได้ยินมาว่าพระโพธิสัตว์นั้นเป็นง่าย แต่จะไปให้ถึงเป็นพระพุทธเจ้านั้นแสนยาก
    หากไม่ได้เริ่มด้วยมหากรุณาจิต หรือระหว่างสร้างบารมีมีมหากรุณาจิตเกิดเป็นระยะก็ยากมาก
    ดังนั้นผู้ปรารถนาพุทธภูมิส่วนใหญ่เมื่อเห็นทุกข์หนักเข้าก็มักจะลาไปซะก่อน
    ดังนั้นแม้ผู้ปรารถนาจะมีมากมายมหาศาล แต่ผู้ถึงได้จริงๆมีน้อยยิ่งกว่าน้อยครับ
    ------------------------------------------------------------------------
    เคยมีโอกาสสนทนากับหลวงปู่ท่านหนึ่ง ท่านกล่าวว่าไม่มีใครหรอกที่ไม่เคย
    ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อมาพิจารณาดูก็เห็นจริงดังนั้น เพราะทุกคนก็อยาก
    เป็นคนดี และพระพุทธเจ้าก็เป็นหนึ่งในคนดีทั้งหลายที่เราสามารถดูเป็นแบบ
    อย่างได้ การสร้างบารมีเพื่อโพธิญาณนั้นเป็นศิลปะของการดำเนินชีวิต เราต้อง
    เรียนรู้ที่จะสร้างสมดุลระหว่างความเบื่อหน่ายในกองทุกข์และความเมตตาต่อ
    สรรพสัตว์ เมื่อใดที่ความเบื่อหน่ายมีมากกว่าความเมตตา บุคคลผู้นั้นก็จำเป็น
    ต้องลาพุทธภูมิและมุ่งปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์เป็นที่สุด อิทธิบาท4 เป็นธรรม
    บทสำคัญที่จะนำเราไปสู่เป้าหมายได้ เริ่มต้นด้วยฉันทะคือความรักในโพธิญาณ
    เพราะเห็นแล้วว่ามีประโยชน์ใหญ่หลวงต่อสรรพชีวิต หลายท่านแค่เริ่มต้นก็ผิด
    เสียแล้วคือมีความหลงในโพธิญาณจนกลายเป็นตัณหาไป เมื่อสร้างบารมีธรรม
    ไปเรื่อยๆ จิตเริ่มมีสติปัญญามากขึ้นความหลงและตัณหาเริ่มลดน้อยลงไป ความ
    ปรารถนาต่อพุทธภูมิก็พลอยลดน้อยลงไปจนทำให้อาจจะปฏิบัติเพื่อเข้าสู่สาวกภูมิ
    หรือปัจเจกพุทธภูมิได้ บางท่านมีความเพียรในการสร้างบารมีมากจนไม่ประมาณ
    กำลังตนทำให้ประสบณ์ทุกข์หนักก็เป็นเหตุนำไปสู่การลาได้อีกเช่นกัน เหตุสำคัญ
    อันนำไปสู่การลาพุทธภูมิคือเวลา หรือความยาวนานในการสร้างบารมีจนสำเร็จ
    ฉะนั้นผู้เริ่มต้นไม่ควรคำนึงถึงเวลา ควรรู้จักผ่อนหนักเบาบ้างในการสร้างบารมี
    จนเริ่มรู้แนวรู้หลักมีฐานมั่นคงแล้วก็ลองทดสอบบารมีโดยการประกาศให้หมู่ชน
    ทราบบ้าง จนสุดท้ายมีจิตอันตั้งมั่นไปแปรเปลี่ยน จิตและโพธิญาณหลวมรวมเป็น
    หนึ่งคือโพธิจิตแล้ว ก็จะได้รับพุทธพยากรณ์ต้อนรับเข้าสู่พุทธวงศ์เป็นหน่อเนื้อ
    พุทธางกูรที่จะเติบโตไปสู่พระพุทธเจ้าในกาลต่อไป
    -----------------------------------------------------------------------
    เส้นทางแห่งพุทธภูมินี้ลำบากแท้บางครั้งกระแสแห่งมรรค ผล นิพพาน ก็เป็นเอก บางครั้งกระแสของพุทธภูมิก็เป็นเอก บางครั้งกรรม บริวารก็เป็นเหตุให้เลือกกระแสพุทธภูมิ บางครั้งกำลังปัญญาก็เป็นเหตุให้เลือกกระแส มรรค ผลนิพาน ในแต่ละชาติละชาติเหล่าพุทธภูมิก็ต้องฟันผ่าอุปสรรคกับกำลังปัญญาทางมรรค ผล นิพพานกันไป ถ้าใครกำลังปัญญาทางมรรค ผล นิพพานมากกว่า ก็ลาพุทธภูมิกันไป และถ้าใครจิตยังยึดมั่นเป็นจิตโพธิ ก็ต้องสู้และฟันฝ่ากันไป ในแต่ละชาติที่เกิดมา ว่าจะต้องระลึกได้เสมอว่าเดินทางไหนอยู่ อันนี้ก็ลำบาก
    สุดท้ายขออำนาจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดลบันดาลให้เหล่าพุทธภูมิมีกำลังต่อสู้กับอุปสรรคและมีความสามารถในทางธรรมในทุกชาติและปลอดจากการตกอบายภูมิ และไปสู่เส้นทางที่ตั้งหวัง และดลบันดาลให้เหล่าพุทธภูมิที่มีปัญญาเห็นทุกข์ชัดก็ขอให้มีกำลังมากๆเพื่อเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ...(ผิดพลาดประการใดแนะนำผมด้วยครับ)
    พุทธพงษ์
    -------------------------------------------
    จากความเห็นเก่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว และเข้าใจว่า เทพผู้ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายมีพร้อมแล้วจากที่ขาดอยู่ แต่หลังจากนั้นผมได้รับความทุกข์ยากบีบเค้นทั้งทางสังคมทางชีวิต ทางฐานะ อย่างมาก และเนื่องจากวิปัสสนาญาณยังล่อเลี่ยงอยู่ ยังกำหนดสติอยู่เป็นส่วนมาก จึงอยากหนี่ อยากหลุดอยากพ้นเต็มกำลัง และพระอาจารย์ก็ได้มรณภาพไปแล้ว จึงตั้งใจอย่างหนักแน่นว่า จะพิสูตรตนเองอีกครั้ง โดยเอาการปฏิบัติธรรมนี้เป็นสิ่งวัด จะพยายามคลายความคิดการจินตนการเรื่องพุทธภูมิลงเรื่อยๆ โดยการปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นหลัก ปฏิบัติอยู่เรื่อยๆ ตามแบบของคนมีครอบครัว เกิดสมาธิเห็นความว่าง แล้วเกิดปัญญาเห็นว่า
    ถ้าครอบครัวไม่ตั่งมั่น แล้วเราจะหนีไปสร้างบารมีอะไรได้ จะมีแต่ความห่วงและความทุกข์ติดตามเราเหมือนกับเงาตามตัว เพราะความตัดช่องน้อยไม่รับผิดชอบ จึงให้ใจและเวลากับครอบครัวมากขึ้น
    เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเวลา 5 ปี เกิดวิปัสสนาญาณ ตัดขาดความนึกคิดและจินตนการเรื่องพุทธภูมิจากจิตสำนึกอย่างสิ้นเชิ่ง ปัญญาเห็นความไม่ยึดมันถื่อมั่นในทั้งหมดทั้งสิ้น(ก็พูดยากเหมือนกันสำหรับผู้ไม่เห็น) สรุปเป็นอันว่า เรื่องพุทธภูมิหมดจากความคิดและจินตนการที่เป็นจิตสำนึกที่รู้สึกได้ คือไม่มีผลต่อจิตใจอีกเลย
    ส่วนเรื่องการสื่อสนทนากับโอปาติกะนั้นยังสนทนากันอยู่แต่เป็นเรื่องทั่วๆ ไป ไม่บ่อยนัก นานครัง แต่เมื่อผมออกปากกล่าวเรื่อง ความปรารถนาพุทธภูมิหมดไปจากใจและความคิดของผมเสียแล้ว โอ่โอ้มีเรื่องเลย โอปาติกะผู้ที่มาสือสัมผัสได้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นคือ
    โอปาติกะส่วนที่ 1.
    เข้ามาเตือน บอกว่า "ท่านไม่สามารถที่จะล้มเลิกการสร้างบารมีได้อย่างแน่นอนแล้ว"
    ผมกล่าวว่า "ความคิดความรู้สึกปรารถนาพุทธภูมิไม่มีในใจผมแล้วนิ้ครับ และผมก็ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นด้วยเสียแล้ว"
    โอปาติกะกล่วาว่า "ถึงอย่างไร ท่านก็ไม่สามารถล้มเลิกได้อย่างแน่นอน เป็นสัจจะเทียงแท้แน่นอนแล้ว" แล้วจากไป
    โอปาติกะส่วนที่ 2.
    ในวันต่อๆ มา โอปาติกะส่วนที่ 2. เข้ามาตัดท้อต่อว่า "ท่านล้มเลิกปรารถนาได้อย่างไร? เราได้ติดตามท่านมานาน อย่างน้อยสุดก็จะได้บรรลุสมัยท่าน ท่านทำอย่างนี้ทำให้เราต้องทุกข์และเศร้าหมองไปด้วย"
    ผมกล่าวว่า "ในเมื่อใจผมไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเรื่องพุทธภูมิแล้วนี้ครับ และท่านก็สามารถปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลนิพพานได้นี้"
    โอปาติกะกล่าว "เราก็ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในปัจจุบันนี้ เราจึงปรารถนาติดตามท่าน ท่านไม่น่าทำอย่างนี้เลย" แล้วจากไป

    โอปาติกะส่วนที่ 3.
    เข้ามาด้วยความโกรธ และขุ่นเคื่องผมอย่างมาก เมื่อมาสื่อสัมผัสว่าผมทันที "ท่านทำไม่ถูก ท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไร เราอุตสายึดท่านเป็นที่พึ่ง สุดท้าย แต่เมื่อท่านทำอย่างนี้เราหมดศรัทธาและโกรธเขืองท่านอย่างมาก"
    ผมก็ตอบว่า "เอ้า ในเมื่อใจผมไม่ความยึดมั่นถือมั่นเรื่องพุทธภูมิแล้ว จะทำอย่างไรได้?"
    โอปาติกะตอบกลับมาด้วยความขุ่นเคือง ว่า "อย่างนั้นเราท้าให้ท่านไป อธิฐานยกเลิกการปรารถนาพุทธภูมิต่อเจดีย์พระธาตุ หรือพระพุทธรูปศักษสิทธิ์ ท่านกล้าไหมละ?"
    ผมเฉยไม่เห็นจะสาระสำคัญอะไร จึงตอบไปว่า "ในเมื่อใจไม่ความยึดมั่นถือมั่นแล้ว จะอธิฐานหรือไม่อธิฐาน ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่สาระสำคัญอะไรเลย"
    โอปาติกะโกรธมาเลยกล่าวว่า "อย่างนั้นเราจะไม่คุยกับท่านแล้ว ไม่มาสัมผัสสนทนากับท่านอีกต่อไปแล้ว ไม่ใส่ใจและติดตามท่านแล้ว" แล้วจากไปอย่างโกรธเคื่อง
    หลังจากนั้นผมก็ยังสนทนากับเทพที่กลางๆ ที่มาสือสัมผัสอยู่ แต่น้อยลงเรื่อยๆ และจิตใจผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในพุทธภูมิจริงๆ เสียด้วยชิ พัฒนาญาณและสมาธิได้ดีขึ้นมาก เบาละเอียดกว่าเดิมมากนัก

    จนเวลาล่วงเลยผ่านมาถึง 5 ปี (จาก 2537 ถึง 2541) เมื่อพ่อเสีย ก็ได้กระทำให้พ่อที่เสียไประลึกถึงบุญกุศลในวันที่ท่านมีปิติในการบวชผม(พ่อปิติออกหน้าออกตาจริงๆ ในวันบวชผม ที่ผมเรียนจบเร็วได้มาบวชพระให้พ่อแม่ ปกติพ่อไม่เคยสนใจเรื่องบุญกุศลเลยแถมขัดขวางและด่าว่าบุคคลในครอบครัวเสียอีกที่ไปทำบุญ) และพ่อก็ไปเกิดในภพที่ดีเมื่อระลึกถึงบุญนั้นได้ ก็เห็นว่าไม่น่าจะห่วงอะไรแล้ว
    เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเวลาเกิอบสองเดือน พ่อในภพใหม่นั้นได้มาสื่อสัมผัสโดยไม่ได้รับเชิญ มาอย่างเศร้าๆ และง่อๆ แล้วบอกว่า "พ่อมาลาเพื่อจะไปเกิดในภพใหม่"
    ผมถามว่า "แล้วพ่อไปเกิดในภพที่ดีขึ้นหรือไม่?"
    พ่อภพใหม่บอกว่า "ไม่รู้ แต่รู้สึกทุกข์เศร้า แห้งแล้ง และหวาดกลัวเสียเหลือเกิน"
    ผมก็บอกพ่อว่า "ให้ระลึกถึงบุญ ที่พ่อเคยทำมา"
    พ่อภพใหม่ สายหน้า แล้วพูดว่า "ระลึกไม่ได้เลย"
    ผมก็บอกว่าผมจะอุทิศส่วนบุญ ที่ผมได้ตักบาตร์และปฏิบัติกรรมฐานให้ พ่อก็พยักหน้า แล้วผมก็กล่าวคำอุทิศส่วนบุญให้ จนเสร็จ พ่อก็เฉย ผมจึงถามว่า "พ่อได้รับส่วนบุญหรือเปล่า"
    พ่อภพใหม่ก็สายหน้า
    ผมก็อุทิศอีก ก็ไม่มีผลที่ดีขึ้น ผมทำถึง 3 ครั้งก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องสาระสำคัญ จริงหรือไม่จริงเราก็ไม่รู้ ยึดมั่นถือมั่นทำไม่? ผมก็วางเฉยเสีย
    แต่ดันมีเทพเข้าสื่อสัมผัสแทรกระหว่างกลางกล่าวว่า "เราเป็นเทพ มาบอกให้ท่านทราบว่า พ่อของท่าน กำลังจะจุติ แล้วเกิดเป็นอสูรกาย อยู่แล้ว"
    ผมก็พูดว่า "แล้วจะให้ผมทำอย่างไรละ?"
    เทพก็บอกว่า "ท่านก็ลองอ้างสัจจะบารมี ที่ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิชิ เผื่อช่วยพ่อท่านได้บ้าง"
    ผมก็ตอบว่า "ใจผมไม่ได้มีความยึดมั่นถือมั่นในพุทธภูมิแล้วนี้ครับ"
    เทพก็บอกส่วนขึ้นมาว่า "เวลาของพ่อของท่านมีน้อยแล้ว ถ้าไม่รีบช่วยตอนนี้ก็ไม่ทันการเสียแล้ว"
    ผมก็หยุดคิดแล้วกล่าวว่า "เอาก็เอา ลองดูไม่ได้เสียหายอะไร?"
    ผมจึงยกมือขึ้นพนม แล้วกล่าวว่า "ด้วยสัจจะบารมี ที่ข้าพเจ้าปรารถนาพุทธภูมิ(ถึงตอนนี้ใจลึกที่อยู่ข้างในสะกิดให้คิดไปว่า ถ้าช่วยให้พ่อพ้นทุกข์ไปได้ แม้เราต้องทุกข์เพราะปรารถนาพุทธภูมิเราก็ต้องยอม)" คิดจบแต่กล่าวยังไม่ทันจบเลย ทุกๆ สิ่ง ไม่ว่าความรู้สึก สติ สมาธิ ก็จะมาจุกรวมกันที่กลางลำตัว เป็นจุดความรู้สึกและสามาธิอยู่ แล้วความปรารถนาพุทธภูมิจากจิตใต้สำนึก ก็กระจายเต็มไปทั้วทั้งจิตสำนึก มีปิติมากมายจนนำตาไหล จึงอุทิศส่วนบุญให้กับพ่อที่เสิยไปแล้วได้
    จนพ่อที่มาสือสัมผัสสั่นสะท้านไปด้วยปิติ เช่นกัน แล้วคงไปเกิดในภูมิที่ดี หลังจากนั้นก็ไม่ได้สือสัมผัสกับพ่ออีกเลย จนถึงปัจจุบันนี้

    จากเหตุการณ์เรื่องของพ่อวันนั้น ทำให้ผมสับสนว่านี้คืออะไรกัน หลังจากนั้นผมต้องมานั่งพิจารณาตนเอง ว่าเราควรปฏิบัติตนอย่างไร ก็ได้คิดขึ้นว่า ก็ผลสรุปที่ผมเคยตั้งจิตอย่างแน่วแน่ปฏิบัติกรรมฐานเมื่อ 10 มาแล้วเป็นตัววัดเรื่องความปรารถนาว่าจริงหรือไม่จริง และผลก็ได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว จะปฏิเสธด้วยจิตสำนึกอย่างไรก็คงไม่ได้ เพราะไม่ฝังอยู่แค่เพียงจิตสำนึกเท่านั้น มาอยู่ลึกไปกว่านั้นเสียอีก
    ในเมื่อเห็นแล้วว่ามีอยู่ก็ต้องรับภาระนั้นต่อไป ต้องแบกความทุกข์ไปอีกนานแสนนาน และพิจารณาว่าเมื่อสร้างสมก็ต้องสร้างสมเพื่อสัตว์ทั้งหลายให้มากที่สุดให้ดีที่สุด แต่ไม่ควรยึดมั่นและถือมั่น เพราะได้เห็นได้เข้าใจแล้วถึงความไม่ยึดและถือมั่น
    เมื่อความปรารถนาพุทธภูมิได้มาปรากฏในจิตสำนึกแล้ว ก็ย่อมผลักดันให้เกิดการไฝ่หา การเรียนรู้ การให้ทาน ทั้งวัตถุทาน และธรรมทาน ตามฐานะ ด้วยความไม่ยึดติดในความปรารถนาจนทำให้จิตใจผันผวนหรือผิดไปจากปกติชน เพราะใจนั้นไม่ได้เปรียบเทียบว่าเป็นเราหรือเป็นใคร เพราะเห็นสภาพแห่งความเป็นจริงว่า เป็นไปตามเหตุและปัจจัย (เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี)

    [ จึงไม่ใช่เรานี้เหละในปัจจุบันจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ เพียงแต่เหตุปัจจัยในปัจจุบันก่อให้บังเกิดพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งพระพุทธเจ้าในอนาคตนั้นก็ไม่ใช่รูปและนามนี้ในปัจจุบันนี้ที่เป็นเรา

    ดังนั้นในปัจจุบันนี้จึงควรดำรงณ์ตนอยู่ในศิลในธรรม ทำประโยชน์ปัจจุบันให้ดีอย่างปกติสุข ประโยชน์ในอนาคตก็ย่อมเจริญขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ]

    ผมจึงไม่ไปหลงว่า เป็นชุปเปอรแมน หรือวิเศษวิโส อะไรเลย กลับไปเห็นว่าต้องแบกต้องฝ่าฟันกับความทุกข์อีกมากมายและยาวนาน เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดกับสัตว์ทั้งหลายและตนเองเพื่อไม่สร้างทุกข์หรือสร้างเหตุให้เกิดทุกข์ที่เป็นปัจจุบันและอนาคตให้มากขึ้น โดยดำรงณ์ตนอยู่อย่างสงบและเป็นปกติชนอย่างชนทั่วๆ ไป

    บรรยายมาพอแล้วเริ่มเรื่องบันเทิงธรรมต่อ เมื่อความปรารถนาได้ปรากฏชัดเจนในจิตสำนึกแล้ว การไฝ่หาการเรียนรู้ ก็ย่อมดำเนินไปตามวัฐจักรเอง แล้วข้อมูลต่างๆ ก็ไหลเข้ามาให้รับรู้อีกมากมาย ทั้งจากโอปาติกะ จากความคิด และจินตนการ แต่ก็พยายามดำรงณ์สติอยู่

    มีหลายเรื่องหลายราวที่ปรากฏมาให้ทราบ ข้อมูลบางข้อมูลก็ปรากฏขัดแย้งกับความเห็นของผมก็มี บางข้อมูลขัดแย้งกับญาณที่ปรากฏกับตัวผมก็มี ทั้งเรื่องอดีตชาติเมื่อค้นลึกเข้าไปกลายเป็นเรื่องที่เข้าสู่เทพนิยายมากขึ้น แต่ข้อเป็นเพียงข้อมูลไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงใน ณ.ชีวิตปัจจุบัน (ตรง อดีตชาติ ชีวิตปัจจุบัน และอนคตชาติ ถ้าไม่ดำรงณ์สติสัมปัญยะและปัญญาแยกแยะให้ดี ย่อมหลงไปได้ทุกเวลา ดังนั้นความคิดหรือจินตนการ เรื่องภพเรืองชาติ ที่ข้ามภพหรือข้ามชาติ หรือเรื่องภพอื่น เช่น เปรต เทพเทวดาหรือพรหม จึงต้องควรตระหนักให้ดี เพราะจิตเข้าไปติดอย่างยึดมั่นถือมั่นจนหลงฐานะความเป็นจริงได้ง่าย)
    เอาละครับเรื่องต่างๆ ผมจะตัดทิ้งไป จะเหลือเรื่องที่ผมนำเสนอ ดังต่อไปนี้
    เมื่อปลายปี 2547 ปกติธรรมดาการสือสัมผัสนั้นนานทีจะสือสัมผัส และการสือสัมผัสนั้นเกิดขึ้นหลักๆ เพียง 3 กรณี
    1. ต้องการฟังธรรม หรือสนทนาธรรมกับเทพอริยะ
    2. ถามเรื่องปัญหาสำคัญในครอบครัว
    3. มีผู้ประสงค์มาสือสัมผัส ขอส่วนบุญโดยเฉพาะ หรือสนทนาธรรม
    ในช่วงนั้นได้สือสัมผัส ฟังธรรมและสนทนาธรรมกับเทพอริยะติดต่อ ผมก็ไม่รู้ว่ามีโอปาติกะใดสนใจบ้าง เพราะผมไม่มีตาทิพย์และหูทิพย์(ไม่มีอภิญญานั้นเอง)
    ในคืนหนึ่งหลังจากนั้น มีเทพที่เคยอยู่ร่วมกันในชาติที่แล้วมาสัมผัสตามที่เขาบอก แล้วผมก็ถามว่า "แล้วชาติที่แล้วนั้นผมอยู่บนสวรรค์ชั้นอะไร"
    เทพนั้นก็บอกว่า "ท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต เราเป็นเทพบริวารของท่าน"
    ผมก็ชวนคุยเรื่องต่างๆ ที่ผมสงสัย เรื่องชาติก่อนผมเป็นอย่างไร? อยู่อย่างไร? แล้วค่อยสือสัมผัสกับเทพบริวารอื่นตามลำดับอีกหลายท่าน แล้วอยู่ๆ เกิดมีเทพนารีเข้ามาสือสัมผัส แบบไม่ได้รับเชิญ พูดจาดีและอ่อนหวานในเชิ่งตัดพ้อว่า "เราเป็นเทพนารีซึ่งเคยเป็นภรรยาท่านผู้หนึ่งซึ่งมีทั้งรูปร่างหน้าตาสวยงามมีชาติกุลเป็นถึงราชธิดา แต่ท่านกลับไม่รักเรากลับไปรักหญิงชาวป่า ซึ่งเทียบกับเราไม่ได้เลย ทั้งความสวยงามและชาติตระกุล"
    ผมเป็นงงไปเลยและคิดว่า ภรรยาที่เป็นมนุษย์ที่เขาสือให้อยู่นี้เขาคิดอย่างไร ความคิดผมก็วิ่งปลูดทันทีว่าจะตอบโต้อย่างไร? จึงพูดไปว่า "ในชาติก่อนนั้นหญิงชาวป่าคนนั้นอาจเป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรม และรักเรามากก็ได้ เราจึงไปอยู่ไปรักกับเขา"
    เทพนารี ก็สวนขึ้นมาว่า "เรานี้รักท่านมากเป็นที่สุด ย่อมสละให้ท่านได้ทุกอย่าง ให้ท่านมากกว่าหญิงชาวป่าผู้นั้นให้ท่านเสียอีก เป็นไหนๆ แต่ท่านสละทิ้งทุกอย่างไปรักไปอยู่กับหญิงชาวป่าผู้นั้น"
    ผมก็แอะใจว่ามาแปลกจึงกล่าวไปว่า "หญีงชาวป่าผู้นั้นอาจดี มีคุณธรรมและอาจย่อมสละชีวิตเพื่อผมในชาตินั้นก็ได้"
    เทพนารีก็สวนกลับมาอีกว่า "เรานี้ก็รักท่านยอมสละชีวิตเพือท่านได้เช่นกัน ท่านก็ยังสละเราไปได้ไปรักกับหญิงชาวป่าไม่มีสกุล เรานี้แค้นท่านมากแต่ก็ยังรักท่านอยู่"
    โอ้ยผมตั้งรับไม่ทันจึงตอบไปว่า "หญิงชาวป่าผู้นั้นอาจมีคุณธรรมที่พิเศษที่ตรึงใจต่อผมในชาตินั้นก็ได้"
    เทพนารีก็สวนกลับมาอีกว่า "แล้วผู้หญิงที่เป็นมนุษย์คนนี้ละ ไม่ได้สะสวยไม่ได้มีฐานะดีกว่าเราเลย ท่านรักเขาด้วยเหตุใด"
    อุ่ยเล่นถามข้ามชอดเลยจะตอบอย่างไรดี จึงพูดออกไปว่า "ก็เขาไม่ได้รังเกียจฐานะผมเมื่อพบกันและรักผม เขาย่อมสละหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อผมได้ ผมจึงรักเขา"
    เทพนารีก็สวนกลับถามแบบเอาจริงเอาจังมาว่า "ระหว่างเราที่เป็นเทพนารี กับมนุษย์ผู้หญิงนี้ท่านรักใครมากกว่ากัน?
    ถามอะไรไม่รู้แปลกๆ ผมจึงตอบไปว่า "ผมก็รักภรรยาที่เป็นมนุษย์นี้มากกว่าชิ"
    เทพนารีถามว่า "ท่านรักอะไรในตัวผู้หญิงนี้"
    ผมตอบ "ผมรักเพราะเขาติดตามผม ยอมสละประโยชน์ตนเพื่อประโยชน์ให้ผมสร้างคุณความดีได้"
    เทพนารีกล่าวอย่างตัดพ้อและขุ่นเขื่องว่า "แม้แต่หญิงมนุษย์นี้ท่านก็ยังรักมากกว่าเรา"
    แล้วเทพนารีกล่าวต่อว่า "เราขอถามท่านว่า ระหว่างหญิงผู้นี้กับพุทธภูมิท่านรักอะไรมากกว่ากัน"
    อุ่ยถามปัญหาอะไรก็ไม่รู้ ผมจึงตอบว่า "ผมต้องรักพุทธภูมิหรือสัพพันญูตาญาณมากกว่าอยู่แล้ว"
    เทพนารีสวนกลับมาแบบผมงงเลยว่า "ระหว่างภรรยาท่านต้องตาย กับพุทธภูมิ ให้เลือกว่าท่านจะเลือกช่วยชีวิตภรรยาท่าน หรือพุทธภูมิ"
    โอ้ยถามอะไรอย่างนั้น ผมจึงตอบว่า "เป็นเรื่องสมมุติ ไม่ใช่เรื่องจริงแล้วผมจะเลือกทำไม่?"
    เทพนารีถามย้ำ และกล่าวอย่างหนักแน่นและดุ "ท่านต้องเลือก"
    ผมจึงตอบแบบเชิงวิชาการว่า "ถ้ากล่าวตามสัจจะ ตามเป็นจริงแล้ว ผมก็ต้องเลือกพุทธภูมิ"
    เมื่อเทพนารีได้ฟังดังนั้น ก็กล่าวเยอะทันที่ว่า "เราไม่เสียใจแล้ว ท่าน(ภรรยาผม)ดูชิ เขารักพุทธภูมิมากกว่าท่านเสียอีก ท่านไม่น้อยใจเสียหรือ?"
    ภรรยาที่กำหนดจิตอย่างสงบนิ่งเพื่อสือสัมผัส ก็ถอนออกมาพูดว่า "แม้ร่างที่เราอุทิศเพื่อการสือสัมผัสนี้ เราก็อุทิศเพื่อประโยชน์เขา แล้วเราจะไปเสียใจน้อยใจที่เขารักพุทธภูมิมากกว่าเราได้อย่างไร?"
    เมือภรรยกล่าวจบก็กำหนดจิตสงบนิ่งอีก แล้วภรรยาจากที่นั่งขัดสมาธิก็ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าต่อหน้าผม พนมมือขึ้นแล้วกล่าวว่า "เราเป็นองค์อมรินทร์ แปลงมาเพื่อลองใจท่าน เราเห็นความมั่นคงของท่านแล้วเราศรัทธายิ่ง และเราขอขมาต่อท่านที่เราได้มาลองใจท่าน" แล้วก้มลงไหว้ผมเพื่อขอขมา แล้วก็จากไป
    ภรรยาก็แปลกใจ ผมก็แปลกใจ ว่ามีอย่างนี้ด้วยหรือ?
    -----------------------------------------------------------------

    คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์มีอยู่ 3 ข้อใหญ่คือ
    1.มหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส
    2.มหากรุณา หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
    3.มหาอุปาย หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการ ชาญฉลาดในการแนะนำอบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจธรรม

    ตอบโดย: ฐานิโย 23 มิ.ย. 51 - 11:28
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    อนุโมทนา สาธุ เรา ๆ ท่าน ๆ รอท่านอยู่ครับ

    ตอบโดย: Nemo 23 มิ.ย. 51 - 12:20
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    อ่านเพิ่มได้ที่นี่ค่ะ http://larndham.net/index.php?showtopic=14637&st=0 <!--emo&:02:-->[​IMG]<!--endemo-->

    ตอบโดย: วิมุตฺติยา 23 มิ.ย. 51 - 12:26
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    สวัสดีครับ คุณ ฐายิโน. ได้รับจากเมล์หรือ? เนื่องจากมีเรื่องที่เกี่ยวกับผม

    ผมจึงขอบอกให้ทราบก่อนนะครับว่า ผมไม่เคยส่งเมล์อย่างนี้ให้กับใครเลยครับ.

    แต่ท่านที่ทำก็หาได้ผิดอะไรนะครับ เพราะผมเคยบอกไว้ในกระทู้ลานธรรมแล้วว่า สิ่งที่ผมได้เขียนได้แสดงในลานธรรม ผมไม่ได้ถือเป็นลิขสิทธ์ สามารถจะเอาเสนอในทางธรรมได้ ที่ไม่เป็นไปในเชิงพานิชณ์ เพราะข้อมูลเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นจริง ไม่ได้แต่งขึ้นมา แต่จะเป็นสัจจะแท้จริงหรือไม่นั้นผมไม่สามารถพิสุจน์ให้ปรากฏเห็นได้.



    ตอบโดย: Vicha 23 มิ.ย. 51 - 15:21
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    <!--emo&:10:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->

    ตอบโดย: มุ่งเต็มใจ 23 มิ.ย. 51 - 22:05
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    ข้อสุดท้าย...ไม่มี <!--emo&:01:-->[​IMG]<!--endemo-->

    อย่างไรก็ตาม ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ

    ตอบโดย: บัญชรี 23 มิ.ย. 51 - 22:20
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->
    อย่าว่าแต่เรื่องปราถนาพุทธภูมิเลยค่ะ
    เอาแค่บรรลุมรรคผลนี่เอง.... ก็ยังเป็นงงกะตัวเอง
    ทำได้เพียงแค่ ตั้งใจปฏิบัติไปตามทางแห่งมรรค 8 เท่านั้นเอง
    แม้ผู้ปฏิบัติภาวนาด้วยกัน หลายคนจะพูดคล้ายกันว่า อธิษฐานขอบรรลุมรรคผลในชาตินี้
    แต่ทำมั้ยย ตัว pat ไม่เคยอธิษฐานได้เลย
    ถ้าตั้งใจจะอธิษฐานขอจริงๆแล้ว จะเห็นใจที่มันเฉยเมย ไม่อยากพูด ไม่อยากกล่าว และไม่อยากจะไปถึงไหน
    เคยฉวยโอกาส นึกเร็วๆว่า ขอให้ได้พ้นโดยเร็วที่สุด แต่ก็เหมือนพูดแบบนกแก้ว ใจไม่เอาด้วย
    ตอนหลังนี่ทำได้เพียงแค่ ขอให้สามารถไปถึงจุดหมายได้ เมื่อไหร่ก็ช่าง ใจจึงสว่างไสวขึ้นมาได้บ้าง
    พี่ที่นับถือกันท่านนึง บอกว่าให้อธิษฐานลาสิ่งที่ปราถนาไว้ .. แต่ทำไม่ได้ <!--emo&:05:-->[​IMG]<!--endemo--> ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าปราถนาอะไรไว้
    เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ค้างคา ที่ต้องจัดการให้เสร็จสิ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
    คล้ายกับว่ายังต้องรออะไร รอใคร หรือยังไงก็ไม่ทราบได้ <!--emo&:18:-->[​IMG]<!--endemo-->
    (รู้สึกอายเพื่อนๆที่เค้าตั้งหน้าตั้งตากันจะให้ถึงฝั่งจัง <!--emo&:05:-->[​IMG]<!--endemo--> )

    ตอบโดย: pat 23 มิ.ย. 51 - 23:09
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    <!--emo&:18:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->

    ตอบโดย: มุ่งเต็มใจ 23 มิ.ย. 51 - 23:44
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    เรียน คุณ Vicha

    เพื่อนๆ กลุ่มสนใจธรรม ส่งเมล์มาให้อ่าน ครับ
    อ่านแล้วก็ชอบ ก็เลย นำมาเผื่อมีผู้สนใจ

    อนุโมทนา กับคุณ Vicha ด้วย ที่นำเสนอเรื่องดีๆ มาให้เพื่อนๆอ่านกัน

    ตอบโดย: ฐานิโย 24 มิ.ย. 51 - 09:58
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>

    ในเมื่อคุณฐานิโย ได้ตั้งกระทู้ขึ้นมาแล้วเกี่ยวกับผม ผมก็จะสานต่อให้เห็นมุมมองที่เกิดขึ้นกับตัวผม(จิตสำนึก) และจิตใต้สำนึก โดยผมเล่าเรื่องโดยสรุปใจความสำคัญ และจะเน้นตรงจุดเด่นในและตอนตามที่ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้น ส่วนเรื่องละเอียดมีอยู่ในเวบส่วนตัวแล้วครับ

    หมายเหตุ นี้ก็เป็นกุศโลบาย อย่างหนึ่งของผมแต่เป็นเรื่องจริงนะครับไม่ได้แต่งหลอกลวง ไม่รู้จะหลอกลวงไปทำไม (พระอินทร์องค์นั้น ก็โดนกุศโลบาย ที่ผมก็ไม่ทราบมาก่อนเหมือนกันผลักดัน ให้เกิดภาวะกระทำกรรมร่วมกัน)

    เริ่มทั้งแต่วัยเด็ก ทั้งที่ผมนั่งสมาธิด้วยตัวเอง เมื่ออายุ 12-13 ปี แล้วภายหลังก็ปฏิบัติอานาปานสติโดยกำหนดพุทธ - โธ สัมพันธ์คลุกคลีกับวัด พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์มาตั้งแต่เล็กๆ ไม่เคยมีเลยที่ผมตั้งจิตหรือหวังเป็นพระพุทเจ้า หรืออาจไม่เคยรู้ และเป็นเพราะความต่ำต้อยในสังคมก็ได้
    จนผมเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา ได้อ่านหนังสือธรรมเยอะมากและพระสูตรต่างๆ จนได้อ่านและรู้เรื่องการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอัครสาวกพระมหาสาวกต่างๆ ทำให้คิดถึงตนเองขึ้นมาว่า เอ..เราเกิดมาก็มีทุกข์มากถูกความกดดันมาตั้งแต่เกิดจนปัจจุบันมากอย่างนี้ เราจะต้องทุกข์กดดันต่อไปอีกหรือถ้าชาติหน้าหรือชาติต่อไปมีจริง
    หลังจากนั้นประมาณปี พ.ศ. 2525 เมื่อไหวพระสวดมนต์เสร็จก็จะอธิษฐานอย่างนี้ทุกคืนไม่วางเว้นว่า

    "ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าสร้างบารมีอะไรมา ถ้าสร้างบารมีมาเกิน 2 ใน 3 ข้าพเจ้าจะสร้างบารมีต่อ ถ้าน้อยกว่าก็ขอยกเลิก และขอให้ได้เจอกับพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ ที่มีอภิญญาช่วยบอกให้ทราบด้วย"

    และพยายามถือศีล 8 แบบนักศึกษาคือได้บ้างไม่ได้บ้างอยู่เป็นปี จนกระทั้งได้ปฏิบัติธรรมจริงจังๆ ที่คณะห้าวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ ประมาณ พ.ศ.2526 แล้วลืมสิ่งที่อธิษฐานไปไปอย่างหมดสิ้น รู้แต่ว่า ปรารถนานิพพาน เป็นอย่างยิ่ง

    ปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจังแบบเอาเป็นเอาตายถึง 4 ปี (ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องวิปัสสนาญาณหรือฌาน เมื่อเอาชีวิตเป็นเดิมพัน) ประมาณ พ.ศ. 2529 ก็เกิดมีแฟนที่เป็นจริงเป็นจังครังแรกในชีวิต ทั้งๆ ที่ตนเองตั้งเป้าไว้ว่าจะบวชพระอีกครั้งถ้าโอกาสเบิดทาง เพราะด้วยกิเลสและการย่อมรับหรือไม่จากครอบครัวแฟน จึงเกิดความทุกข์อย่างมากในจิตใจที่สงบราบเรียบมาเป็นเวลา 3-4 ปี จึงตั้งใจกำหนดกรรมฐานแบบไม่หยุดจนกว่าตนเองจะละกิเลสได้ติดต่อเป็นเวลา 5-6 วัน จนเบรอ เปลี่ยนมาเป็นความฝันว่า
    "ขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นพระอยู่ ได้มีโต๊ะและพระรูปอื่นๆ นั่งรอบโต๊ะบนโต๊ะมีแก้วน้ำซึ่งมีน้ำอยู่เกือบเต็มแก้ว แล้วพระต่างๆ ได้พูดทำนองว่า
    ถ้าผู้ใดได้ดื่มน้ำที่อยู่ในแก้วศีลก็จะบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าก็จึงหยิบแก้วน้ำนั้นมาดื่มพอดื่มหมดแก้ว พระต่างๆ ก็หัวเราะกันใหญ่ ว่าข้าพเจ้าได้ดื่มเหล้าไปแล้ว
    ข้าพเจ้ามีความเสียใจอย่างยิ่งจึ่งวิ่งเข้ากุฏิตนเอง บิดห้องมืด กดอารมณ์ตนเองจนนิ่งลึกลงไปๆ จนกลายเป็นสมาธิที่ลึก เพียงจุดเดียวเฉยนิ่งอยู่อย่างนั้น
    จากจุดสมาธินิ่งลึกๆ จิตเกิดไหวตัวพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตะโกนออกมาจากสมาธิลึกๆ ว่า "ข้าอยากเป็นพระพุทธเจ้า" อย่างสุดกำลัง ขึ้นจากก้นบึงของจิต
    แล้วจิตรวมตัวเป็นจุดแสงสว่างเท่าดาวประกายพรึกที่เคยได้มา จากนั้นจุดแสงสว่างเริ่มแขวงหมุนเป็นเลข 8 คล้ายเครื่องหมาย อินฟินิตี่ ในสัญญาลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ แก่วงแบบห่างๆ แล้วเคลื่อนที่เร็วขึ้น กระชับขึ้นๆ หลายๆ 10 รอบ จนแน่นแล้วจึงระเบิดเสียงดังสนั่น ออกมาพร้อมกับรู้สึกตัวทันที่"


    สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึก อยู่ลึกกว่าสมาธิระดับฌานเสียอีก แต่เมื่อเกิดแล้วผมก็หาได้เชื่อไม่ ก็ปฏิบัติวิปัสสนาญาณวางสิ่งนั้นเสีย แต่ก็ด้วยความแปลกใจก็ผ่อนการกำหนดปฏิบัติตลอดเวลาลงมาและไม่พูดนิมิตนี้กับใครเลย หลังจากนั้นครอบครัวของแฟนก็ยอมรับไม่กีดกัน ก็จบปัญหาไปเปราะหนึ่งเรื่องความรัก แต่เรื่องนิมิตนั้นผมได้พูดกับใครเลยแม้แต่แฟนน่าจะเป็นเวลา 3 เดือน จึงเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    จนมีอยู่วันหนึ่งนั่งคุยเรื่องธรรมกันประมาณ 4-5 คน มีคนหนึ่งพูดเรื่องพระโพธิสัตว์ ว่าท่านสร้างบารมีมายาวนาน ผมก็นึกเรื่องนิมิตนั้นขึ้นมา จึงเปิดปากเล่าเรื่องนิมิตนั้นขึ้นมา โอ้ในขณะที่เล่า ความปรารถนาจากจิตใต้สำนึกเหมือนที่โดนกักขังอยู่อัดแน่นอยู่ เกิดทะลักพุ้งออกมาจากภายในจิต ถ้าโถมเหมือนกับลมพายุเข้าใส่ กระจายไปด้วยปีติเกินกำลัง แต่ก็พยายามควบคุมกายเล่าเรื่องจนจบ
    มันไม่ใช่จบเพียงแค่นั้น เพราะจิตใต้สำนึกยึดจิตสำนึกเกือบหมด จึงเกิดการต่อสู่กันคือจิตใต้สำนึกให้ปรารถนาพุทธภูมิ แต่จิตสำนึกไม่ยอมจะปฏิบัติธรรมเพื่อละกิเลสเพื่อพระนิพพาน มันทั้งทุกข์ทรมานทั้งความลังเลและการต่อสู่ทางความคิดอย่างมากมายมหาศาลเกินประมาณ ต่อสู่สิ่งเหล่านี้ได้เป็นเวลาถึง 2 เกือนกว่า
    ในช่วงที่เข้าปฏิบัติธรรมที่วัดทนอยู่ไม่ได้ต้องพ้ายแพ้ต่อจิตใต้สำนึก จึงไปอธิษฐานต่อพระธาตุเจดีย์ในวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ด้วยภาวะที่เตือนให้รู้ว่า "จะสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าให้สมบูรณ์ที่สุด"
    แต่แฟนก็เข้าปฏิบัติธรรมเช่นเดียวกันแล้วตามไปไหว้พระธาตุเจดีย์ แต่เป็นอีกปะตูอีกด้านหนึ่ง จึงหาได้รู้กันหรือได้ยิน
    เมื่อผมอธิษฐานเสร็จ ก็ทบทวนความทุกข์ของตนเองที่ผ่านมาและการปรารถนาเพื่อละกิเลสที่เป็นกองทุกข์ ประสงค์นิพพานเป็นอย่างยิ่ง จึงมีใจน้อมขึ้นมาว่า เราจะไม่ชักชวนผู้ใดมาร่วมทุกข์กับเราที่ไม่ทราบว่าต้องสร้างบารมีอีกยาวนานแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน แฟน หรือญาติๆ และคนทั้งหลาย เพราะแม้แต่เราที่ผ่านมาก็ประสงค์จะละกิเลสอันเป็นกองทุกข์นี้
    เมื่อเสร็จจากการอธิษฐานกำลังเดินกลับ จึงถามแฟนว่าไปไหว้พระธาตุอธิษฐานอะไรหรือ? แฟนบอกว่าตอนก็คิดทั่วๆ ไป แต่พออธิษฐานมันผุดขึ้นมาเองทำนองว่า "ขอร่วมบุญกุศลปฏิบัติธรรมและเป็นคู่ครองกับเซียมทุกภพทุกชาติ ในชาติใหนที่เซียมบรรลุมรรคผลนิพพานขอให้ตนเองบรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินั้นด้วย"
    ผมแปลกใจปนความกังวัลใจกลัวเขาต้องมาทุกข์กับเราจึงพูด "อ้าวทำไม่อธิษฐานอย่างนั้นเหล่า"
    แฟนก็พูดว่า " ก็มันผุดขึ้นมา และก็เห็นเซียมเป็นคนดี ปฏิบัติธรรมก็ดี ติดตามคนดีย่อมดีไปด้วย อย่างน้อยเราก็ไม่พลาดพลั่งไป เพราะอยู่กับคนดี"
    ผมถามแฟนว่า "รู้หรือเปล่าว่า ผมอธิษฐานอะไร?"
    แฟนบอกว่า "ไม่ รู้"
    ผมจึงบอกแฟนว่าผม อธิษฐานสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าให้สมบูรณ์ จะต้องวนเวียนเกิดตายทุกข์อีกนานไม่รู้เมื่อไหร? นะ
    แฟนก็พูดทำนองว่า "ก็ไม่เห็นแปลกอะไร? ในเมื่ออธิษฐานอย่างนี้"
    ผมอึ่งและกังวลใจ แต่ทำไงได้เขาก็อธิษฐานไปแล้ว จึงปลอยไปเลยตามเลย

    จบตอนที่หนึ่ง ไม่เคยประสงค์ให้ใครมาร่วมทุกข์สร้างบารมีกับเราเพราะเห็นทุกข์นั้นอย่างแสนสาหัสมาอย่างดี แต่เขากลับอธิษฐานเองโดยที่ไม่เคยประสงค์ชักชวน.




    ตอบโดย: Vicha 24 มิ.ย. 51 - 15:37
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    ตอนที่ 2.
    เมื่อเกิดการอธิษฐานกันแบบนี้ ผมก็เกิดการปรุงแต่ง ว่าจะตรวจสอบตนเองได้อย่างไร? จึงขอให้พระอาจาย์ดูให้ อาจารย์ก็บอกว่าให้ไปดูเอง
    จึงมากำหนดวิปัสสนาญาณ เพื่อให้เกิดญาณ ญาณก็บอกว่า เรานั้นแน่นอนแล้วถึง 3 ครั้ง ที่ดูด้วยตนเองวันครั้ง 3 วัน แต่ก็ไม่เชื่อ แฟนก็อยากจะช่วยก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร? แฟนก็บอกว่าในสมัยเด็กเคยเล่นกับน้อง โดยทำเป็นนั่งสมาธิหลับตา แล้วพูดว่าข้าเป็นผู้รู้อยากรู้อะไร ข้าบอกได้ เล่นสนุกกับน้องๆ

    ส่วนผมเอาจริง คิดว่าน่าเป็นไปได้ เพราะแฟนก็ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเอาจริงเอาจังก็ประมาณ 2 ปีแล้ว มีสมาธิระดับหนึ่งแล้ว น่าจะทำ(การทดลอง)ได้ จึงให้แฟนนั่งสมาธิแล้วทำใจให้ว่าง และเชิญเทพเทวดา(ตามที่คิดได้ในตำรา) ให้มาสื่อสัมผัสบอกเรื่องเราที่ถาม แต่แฟนนั่งนิ่งเป็นอยู่อย่างนั้น จึงเลิก แล้วแฟนบอกว่า เหมือนมีอะไรสะกิดที่ใจแล้วรู้แล้วว่ามาสัมผัส แต่พูดออกไปไม่ได้ ผมจึงคิดว่า เมื่อพูดไม่ได้ก็ต้องขยับได้ตามคำถาม
    จึงให้แฟนนอนราบ เข้าสมาธิทำใจให้ว่าง เชิญเทพเทวดา แล้วตั้งกติกาเมื่อผมถามถ้าใช่ให้พยักหน้า ถ้าไม่ใช่ให้สายศรีษะ ก็เกิดเรื่องที่แปลกประหลาด แฟนเขาพยักหน้าหรือสายศรีษะตามคำถามทุกอย่างเอง โดยที่เขาเองบอกว่าไม่มีเจตนาเลยมันเป็นไปเอง และยื่นยันว่าผมเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จากการพยักหน้า
    แค่นี้สำหรับผมนั้นยังเป็นข้อมูลไม่พอเพื่อที่ให้ผมยอมรับอย่างสนิทใจ ได้โอกาสก็บอกเพื่ออีกคนที่ปฏิบัติธรรมร่วมกันลองทำบ้าง ทั้งทีเพื่อนไม่รู้เรื่องราว ให้เขาทำแบบเดียวกับแฟน ก็ปรากฏเหตุการณ์แปลกเหมือนที่เกิดกับแฟน แต่ในตอนหลังเพื่อนลองฝืนไม่ให้ผยักหรือสายศรีษะ เมื่อถามว่า ผมได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้วใช่ไหม? แต่เพื่อนก็ไม่สามารถต้านทานแรงลึกลับที่ให้พยักหน้าจนได้ ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดใจเขาอย่างมากมายที่เดียว และเพื่อนคนนี้ปัจจุบันก็บวชเป็นพระอยู่หลายพรรษาแล้ว.
    ทั้งหมดข้างบนนั้นก็ไม่พอใจในการพิสูจน์ของผม(ผมจบวิทยาศาสตร์ จะยอมรับอะไรง่ายๆ คงไม่ได้) จึงได้ขอร้องพระอาจารย์ให้ดูให้ แล้วแฟนก็พูดเสริมพระอาจารย์ พระอาจารย์ที่สอนวิปัสสนากรรมฐานเป็นพันเป็นหมืน ก็จึงยอมดูให้ พร้อมทั้งผมนึกถึงคำอธิษฐานที่เคยลืมไปแล้วเมื่อตอนที่ยังเรียนอยู่ขึ้นมาได้ พระอาจารย์ได้ใช้สมาธิระลึกชาติหนหลังมองผ่านจิตผม และยื่นยันว่า ผมได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว และน่าจะเป็นเพียงผู้เดียวที่พระอาจารย์ดูให้อย่างนี้ในชีวิตของท่าน เพราะตอนนั้นท่านบอกว่าท่านไม่เคยดูให้ใครแบบนี้มาก่อนเลย.
    หลังจากนั้นพระอาจารย์จึงสอนวิธิดู แบบผู้ที่ไม่มีกำลังสมาธิถึงอภิญญา คือใช้ "ทิพจักขุอุปาทายนัง" ให้เกิดนิมิตขึ้นมาพร้อมกับญาณรู้
    หลังจากนั้นพวกเราทั้ง 3 คนคะยันคะยอให้พระอาจารย์สอนคาถา ที่พระอาจารย์เคยฝึกเคยจำได้ หลังจากนั้นข้าพเจ้ากับแฟนก็แตงงาน และภรรยาได้พัฒนาคาถาและการสื่อสัมผัสได้ดีขึ้น
    ประมาณปี 2531 แฟนก็สื่อสัมผัสกับโอปปาติกะหรือเทพพรหมได้โดยที่ไม่ต้องพยักหน้าหรือส่ายศรีษะอีกเลย เพราะสามารถพูดกันได้ โดยตรง เริ่มแรกมีข้อมูลความรู้สึกต่างๆ ไหลเข้ามาทางใจของเขามากมาย จนเขาเองกลัวตนเองเพี้ยนหรือวิปลาสไป ต้องโทรทางไกลถามพระอาจารย์ตลอด จนพระอาจารย์บอกว่าเป็นของจริง ให้ฝึกและแยกแยะบ่อยๆ ก็จะชำนาญขึ้น ภรรยาจึงวางใจได้ ทั้งสามารถพูดภาษาเทพออกมาได้ทุกชั้นที่เทพแต่ละชั้นนั้นมาสื่อสัมผัส ผมจึงให้เขียนและอัดเทปไว้ก็มากอยู่เหมือนกัน แต่ภายหลังเมื่อเวลาผ่านมาจึงไม่เก็บไว้ทิ้งไปหมด เพราะอย่างไรเมื่อสื่อสัมผัสกับเทพใดก็สามารถให้พูดภาษาเทพนั้นให้ฟังได้โดยไม่ต้องอัดไว้

    จะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2529 - 2530 ผมก็หาได้สนใจเรื่องผู้ใดจะร่วมสร้างบารมีกับผมเลย เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ชักชวนผู้ใดหรือบอกให้ใครทราบฐานะที่เกินไปจากเพื่อนสนิท4-5 คนที่ร่วมกรรมฐานกับพระอาจารย์เดียวกัน

    แต่ปี 2531 ที่ภรรยาสื่อสัมผัสชำนาญแล้ว รู้เรื่องต่างๆ ศึกษาสิ่งต่างๆ จากการสื่อสัมผัสมาก ผ่านมาเป็นเวลาประมาณ 2 เดือนกว่า สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะมี ก็ได้บังเกิดขึ้น เมื่อเทพที่เป็นพระอรหันต์มาสือสัมผัสโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว และมีความประสงค์จะอนุเคราะห์ ให้ผมได้สร้างบารมีอย่างสมบูรณ์ เพราะท่านก็เคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ในขณะที่ท่านเทศนาเทพพรหมอยู่ ท่านจึงเชิญชวนเทพให้มาตั้งจิตปรารถนาสร้างบารมีร่วมกับผม ท่านชักชวนแบบเอาจริงเอาจัง จนผมคิดในใจว่า เอ.. มันแปลกๆ อยู่น่า พระอรหันต์ท่านจะทำแบบนี้หรือ?
    ในครั้งนั้นมีผู้มาปรารถนา ไม่กี่ท่าน และมีท่านหนึ่งเป็นพระพรหมฌาน 4 มาตั้งความปรารถนาเป็นอัครสาวกผู้มีปัญญาเป็นเลิศแล้วบอกว่าท่านได้รับพุทธพยากรณ์แล้วในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดปรารถนาอีกเลย หลังจากนั้นเทพพระอรหันต์ท่านก็เชิญชวนอย่างเอาจริงเอาจริงมองไปทั่วทุกชั้นฟ้า ว่า ในเมื่อมีผู้ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกมีปัญญาเลิศก็ย่อมี ปรารถนาผู้เป็นอัครสาวกผู้มีฤทธิ์เป็นเลิศ แต่ก็หาได้มีใครกล้ามาปรารถนา กลับมี เทพที่เจตภูตที่กายผม ปรารถนาเป็นผู้แสดงฤทธิ์เป็นเลิศ ผมคิดว่านี้คือผู้ปรารถนามีฤทธิ์เป็นเลิศ ภรรยาก็เข้าใจดังนั้น และหลังจากนั้นไม่กี่ราตรีเทพพระอรหันต์ก็ดับขันธ์นิพพานไป
    ถึงตอนนี้ผมเคลือบแครงในการสื่อสัมผัส เรื่องที่เทพพระอรหันต์เชิญชวนให้มีผู้มาอธิษฐานรวมสร้างบารมีกับผม แบบเอาจริงเอาจัง เป็นปัญหาที่ผมเคลือบแคลงมาตลอด? เกือบ 20 ปี
    และเรื่องเหล่านี้ก็จบสิ้นกันไป ไม่มีเทพพระอรหันต์เชิญชวนให้ใครมาอธิษฐานแบบนี้อีกเลย และผมก็เริ่มทำการพิสูจน์ตนเองด้วยการปฏิบัติอีกครั้งในปี 2532 เป็นเวลาถึง 11 ปี ห่างหายไปจากการสื่อสัมผัส แต่หลังจากเมื่อปรากฏผล แล้วข้อมูลต่างๆ ก็เริ่มทยอยมาอย่างช้าเข้ามาอีก แล้วจุดเด่นของเรื่องก็คือเรื่องพระอินทร์ ในปี 2547 นั้นแหละครับ ตามที่ผมเล่าไว้ ซึ่งเป็นปมมาจาก การสื่อสัมผัสเมื่อปี 2531

    จบตอนที่ 2.


    ตอบโดย: Vicha 24 มิ.ย. 51 - 17:35
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> ค่ำคืนแสงดาวประกายสาดส่อง

    ดวงจันทร์ลอยเด่นสว่างส่องแสง

    ปฐพีลองรับแสงดาวและดวงจันทร์

    เวลาหมุนผ่านพ้นสุดสิ้นบารมี

    อาิทิตย์ลอยเด่นสว่างจ้ากลางเวหา

    เมฆาลอยไหลเคลื่อนแจ่มชัดสว่างไสว

    บารมีจบแดนสะสมทำลายสิ้นแห่งตัณหา

    มรรคใจปรากฏทางเดินเด่นล้ำนำพาหมู่สัตว์



    <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> อนุโมทนาในจิตที่คิดดีด้วยเมตตาครับ คุณวิชา

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ตอบโดย: ชัชวาล เพ่งวรรธนะ 24 มิ.ย. 51 - 19:17
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    อนุโมทนาคุณ Vicha คุณฐานิโย

    <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->

    <!--QuoteBegin-->
    <SAMP>อ้างอิง
    <!--QuoteEBegin-->ความคิดเห็นที่ 11 <!--QuoteEnd-->
    </SAMP><!--QuoteEEnd-->

    <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->

    ตอบโดย: มุ่งเต็มใจ 24 มิ.ย. 51 - 20:38
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    รออ่านต่อ นะครับ

    หลายครั้งที่เข้ามาในลานธรรม ก็รู้สึกดี

    ที่หลายๆท่าน ตั้งใจ ปฎิบัติกันจริงจัง ประสพผลดีมากน้อยแตกต่างกันไป

    อ่านแล้ว มีกำลังใจ จะทำดี ต่อๆไป

    อนุโมทนา สาธุ

    ตอบโดย: ฐานิโย 24 มิ.ย. 51 - 20:42
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    เมื่อไม่ทิ้งจุดหมาย ย่อมถึงซึ่งจุดหมายนั้น
    เมื่อไม่ละความพยายาม ย่อมสำเร็จสมดั่งใจ
    เมื่อปรารถนาจะนำพาผู้อื่น ทุกข์ย่อมหนักสาหัสแก่ร่างกาย
    หากแต่หัวใจตั้งมั่นไว้ ทำด้วยใจเมตตาแด่เหล่ามหาชน

    ผมเองเคยได้ยินพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเทศนาสอนผู้ปรารถนาโพธิญาณ
    (หากสัญญา จดจำผิดพลาดประการใด ของดโทษอโหสิกรรมไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ
    ครูบาอาจารย์ท่านสอนดี แต่ศิษย์คนนี้ยังโง่มิอาจแจ้งในคำสอนได้ถ่องแท้ทุกถ้อยคำ )

    " เธอต้องรู้ตัวเสมอ ว่าการปรารถนาโพธิญาณนี้เป็นคุณมาก
    แม้พญามาร ได้รู้ซึ้งถึงคุณแห่งพระพุทธเจ้า ก็ได้ระลึกในใจปรารถนาออกมา
    ว่า แม้เราเองก็ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้า

    แม้กระนั้นเอง พระอุปคุต ผู้เป็นอรหันต์
    ยังน้อมรับอนุโมทนาในการระลึกความปรารถนาในครั้งนั้น
    เห็นถึงคุณแห่งพระโพธิญาณ

    อย่างไรก็แล้วแต่ เธออย่าไปติดรส ติดชาติ แห่งความสำเร็จในอนาคต
    ขอให้เธอรู้ในกำลัง ของตนต่อไป เปรียบดั่งช้าง
    เธอมีกำลังมาก เธอก็แบกสำภาระได้มาก
    เธอมีกำลังน้อย เธอก็แบกสำภาระได้น้อย
    เธอมีกำลังเฉพาะตน เธอก็เดินเพียงลำพัง ไปเฉพาะตน

    คุณแห่งการทำประโยชน์และการเดินทางนั้น ย่อมเกิดขึ้นตามกำลังของเธอเอง "

    แล้วก็มีพี่ผู้ปรารถนาโพธิญาณท่านหนึ่งได้มีคำถามว่า
    " สาธุครับ แล้วการกล่าวแสดงธรรม เราควรกล่าวเช่นไรครับพระคุณเจ้า
    เพราะบางที เรากล่าวในธรรม แต่ไม่ถูกใจผู้ฟังเอาเสียเลย "

    " เธอทำเพื่อประโยชน์สิ่งใดล่ะ .....
    การแสดงธรรมผู้ต้องการธรรมล้วนๆ
    เธอก็กล่าวธรรมที่เป็นอภิธรรมล้วนๆ เหมาะแก่จริตนิสัย
    กล่าวแก่ผู้ปฏิบัติ เธอก็ต้องใช้ภาษาปฏิบัติอธิบาย
    กล่าวแก่ผู้มาใหม่ เธอก็ต้องแนะนำตามธาตุตามขันธ์ ให้สามารถนำไปประพฤติปฏิบัติได้เหมาะแก่การและเวลานั้น

    หากเธอกล่าวสิ่งที่เธอรู้เพียงอย่างเดียว แต่ผู้ฟังไม่สามารถจะนำสิ่งเหล่านั้น
    ไปประพฤติปฏิบัติได้ นั่นก็เป็นเพียงการแสดงภูมิความรู้ของเธอ ว่าเธอเป็นผู้รู้เท่านั้นเอง
    ประโยชน์นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นแก่ผู้ฟังเลย
    คำที่มีประโยชน์เหล่านั้น แท้จริงแล้วเมื่อไม่ก่อประโยชน์ให้ผู้ฟัง
    ก็กลายเป็นคำไร้ประโยชน์ ไม่เหมาะแก่การ และเวลา
    ขอเธอทั้งหลาย จงสำรวมคำ แนะนำธรรมะโดยพิจารณาแก่ธาตุและขันธ์
    และธรรมอันเธอได้พึงประพฤติปฏิบัติได้จริง เพื่อความถ่องแท้ แก่ใจเธอเอง และผู้อื่น
    อันเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุด ทั้งผู้ให้และผู้รับ ในกาลนั้นเทอญ "

    " สาธุ ครับ พระคุณเจ้า "


    นี่เป็นบทสนทนาธรรมบทหนึ่งที่ผมพอจะจำในสัญญาได้คร่าวๆ
    จากอริยเจ้าผู้ทรงคุณท่านหนึ่ง กับ พี่ๆ ผู้ปรารถนาโพธิญาณ
    ดังนั้น ด้วยเหตุที่ผมไม่สามารถอ้างที่มาที่ไปเป็นลายลักษณ์อักษร

    หากเห็นผิดมีโทษประการใด ในธรรม ผมเองต้องของดโทษอโหสิกรรมในกาลนี้ด้วยครับ
    และหากมีสิ่งใดเพิ่มเติมในข้อธรรมอันงาม
    ตรงตามพระสัจธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    หรือมีธรรมแนะนำเป็นการส่วนตัว ผมเองก็ขอความเมตตาได้โปรดชี้แนะในข้อธรรมนั้นๆด้วยเทอญ

    ขอให้ทุกๆท่าน เจริญในพระศาสนา ขององค์สมเด็จพระศาสดา
    และได้เข้าถึงซึ่งอมตธรรม ในกาลอันลัดสั้น ไร้อุปสรรคขวากหนาม
    มาแผ้วพาลดั่งคำปวรณาทุกๆท่านเทอญ

    พระรัตนตรัยรักษาครับ


    ตอบโดย: ภพกฤต 24 มิ.ย. 51 - 21:53
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->

    ตอบโดย: นายชม 24 มิ.ย. 51 - 22:03
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    ยกมาเสริมอีกสักกระทู้ <!--emo&:04:-->[​IMG]<!--endemo--> http://larndham.net/index.php?showtopic=15630&st=0

    ตอบโดย: วิมุตฺติยา 25 มิ.ย. 51 - 00:05
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    ผมขอแทรกเสนอความคิดเห็นนี้ก่อน เพื่อให้ปรับให้เกิดมีสติในการอ่าน กับข้อมูลต่างๆ ที่ผมสรุปกำลังเสนอนี้ ให้แยกแยะออกได้ว่านี้เป็นเพียงข้อมูล ก็จะไม่เกิดภาวะที่อาจจะเกิดความสับสน

    ข้อมูลนี้เป็นเพียงมุมหนึ่งของชีวิตผมเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงนั้นมีกิจกรรมอื่นอีกมาก เช่นอาชีพการทำงาน การอยู่กับครอบครัว การดูแลลูก การสร้างครอบครัว และเข้าสังคม ดังนั้นเวลาในการใช้สื่อสัมผัสนั้นหาได้มากมายนัก บางครั้งก็เดือนหรือสองเดือนครั้งเพื่อสนทนาธรรมหรือฟังธรรมจากเทพพระอรหันต์ บางครั้งก็อาทิตย์สองอาทิตย์ต่อครั้ง เช่นมีผู้ตั้งหัวข้อธรรมแล้วสนทนากัน หรืออุทิศส่วนบุญกุศลกับผู้ที่เข้ามาสัมผัสต้องการ หรือแฟนทำงานต่างจังหวัดมา ก็ย่อมมีผู้ติดตามมาชวนให้ต้องคุยกัน หรือในเรื่องสัพเพเหระต่างๆ ฯลฯ ในกรณีที่สื่อสัมผัสติดต่อกัน 2-4 วัน ในช่วงกลางคืน ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดเรื่องแปลกหรือใหญ่ให้ต้องแก้ปัญหากัน เพราะไม่ใช้ว่าต้องราบรื่นไปทุกเรื่อง ขุ่จะเอาชีวิตผมเอง หรือ ลูกเมีย ก็มี
    แต่โดยรวมๆ แล้วเวลาที่ใช้ในการสื่อสัมผัสหาได้มากมายนักจนเบียดเบียนเวลาอื่น เพียงแต่ว่า เป็นเวลายาวนานถึง 20 กว่าปี เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงมีหลายกรณี หลายรูปแบบ เมื่อเขียนออกมาจึงเสมือนว่ามันมากเยอะไปหมด และโอปปาติกะที่เข้ามาสื่อสัมผัสนั้นก็มากมายจนนับไม่ถูก ส่วนที่จำนวนที่รับรู้โดยไม่ได้เข้ามาสื่อสัมผัสโดยตรงมากมายจนนับไม่ได้ตามที่ผู้มาสือสัมผัสได้บอก

    ดังนั้นจึงขอให้ทำความเข้าใจไว้ว่า

    ข้อมูลต่างๆ ที่หลั่งไหลมาให้ทราบ จริงหรือเท็จก็หาควรยึดมั่นและถือมั่นเป็นอัตตา. เพราะถ้าปรุงแต่งฟุ้งเฟ้อก็จะทำให้ขาดสติและเป็นทุกข์ได้เพราะความยึดมั่นและถือมั่น. จะจริงหรือเท็จก็ไม่อาจสามารถรู้ได้อย่างแม่นมั่น ควรรู้แล้ววางเพราะเป็นเพียงข้อมูลเท่านั้นเอง เป็นเช่นนั้นเอง เมื่อสามารถวางใจได้อย่างนี้ไม่ว่า ข้อมูลเข้ามาจะมากมายแค่ไหน ก็สามารถมีสติสัมปัญญะและจิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่หลุดจากกรอบจนผิดเพี้ยนหรือวิปลาสไป ดำเนินชีวิตตามปกติชนได้อย่างปกติสุข.
    แต่การทำบุญให้ทานรักษาศีลปฏิบัติธรรม ก็จงรักษาและปฏิบัติอยู่เป็นประจำ เพราะการอยู่ในธรรมจะยังความเจริญให้กับตนเองครอบครัวและบุคคลรอบข้าง ยังประโยชน์ปัจจุบันนี้และประโยชน์ภายภาคหน้าให้สมบูรณ์


    ความคิดเห็นต่อไปผมก็จะนำเสนอต่อนะครับ สรุปตามข้อมูลที่ไหลเข้ามา โดยที่ผมก็ไม่รู้มาก่อนล่วงหน้า หรือคาดคิดไว้ก่อนว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ บางครั้งในขณะที่เรื่องเกิดขึ้นก็คาคดิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่สุดท้ายดันไม่ใช่ผลิกไปจากความรู้สึกของตนเองก็มี.





    ตอบโดย: Vicha 25 มิ.ย. 51 - 10:03
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    ขอสรุปข้อมูลที่ผมได้แบบสะเปะสะปะ ช่วง ปี 2542 - 2546 คือ

    เมื่อปี 2531 เมื่อทราบว่ามีผู้ปรารถนาเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาปัญญาเป็นเลิศแล้วและอ้างว่าได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ดังนั้นสามารถประเมินได้ว่า อย่างมากก็มีเวลาเหลือในการสร้างสมบารมีก็ไม่เกิน 1 อสงไขย กับเศษแสนกัป
    แต่ประมาณปี 2542-3 ได้ข้อมูลแบบไม่แนะนอนจากท่านที่ไม่สามารถมีอภิญญารู้ไปถึงได้ ประมาณให้ทราบว่า ประมาณ 8 แสนมหากัป

    ทราบจากอีกท่านหนึ่งว่า สมัยที่ผมตรัสรู้นั้น มีนามว่า สุภัคทะ

    ในช่วงนั้นผมเริ่มใช้ ทิพจุกขุอุปาทายนัง ที่พระอาจารย์สอนให้แบบจริงๆ จังๆ ว่ามีพระโพธิสัตว์อีกกี่พระองค์ที่จะสำเร็จก่อนผมทำติดต่อกับ 4 หรือ 5 วัน ก็ออกมาตรงกันทั้งนิมิตและญาณรู้ว่า อีก 2 องค์ แต่ผู้มาสื่อสัมผัสก็บอกว่า 2 บ้าง 3 บ้าง

    ทราบว่า ผู้ปรารถนามีฤทธิ์เป็นเลิศ ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ (ขัดกับพุทธวงค์อย่างมากมาย เพราะเมื่อมีพระอัครสาวกเบื้องขวา ก็ต้องมีอัครสาวกเบื้องซ้าย และจะต้อได้รับพุทธพยากรณ์ในสมัยเดียวกันใกล้เคียงกัน ก็รู้ว่ามันแปลกๆ อยู่นะ แต่ก็ตัดทิ้งไปก่อนให้ข้อมูลมันไหลไปตามเหตุปัจจัยไปเรื่อย โดยไม่ไปผลักดัน หรือคิดว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างโน้น )

    ต่อจากเรื่องในหัวกระทู้
    องค์อมรินทร์องค์นั้นในขณะนั้น ผมเข้าใจว่า เป็นพระอินทร์องค์ใหม่ มาแทนพระอินทร์องค์เก่าที่เป็นพระโสดาบันในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีประชนชีพอยู่ ซึ่งท่านเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไปแล้ว ดังเรื่องหลังจากเหตุการณ์ที่พระอินทร์องค์นั้นลองใจแล้วมี เรื่องต่อดังนี้

    เมื่อพระอินทร์ไปแล้ว ข้าพเจ้าและภรรยาต่างก็แปลกใจ แล้วข้าพเจ้าถามภรรยาว่า "ตอนสื่อสัมผัส เขากล่าวถึงหญิงอื่น และพาดพิงมาถึงเธอ เธอไม่มีปฏิกิริยาจะตอบโต้บ้างหรือ?"

    ภรรยาตอบว่า "ก็กำหนดใจให้สงบนิ่งแยกออกไปต่างหาก เพราะอยากจะรู้อยู่เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อ"

    ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่าอย่างนั้นลองสัมผัสกับเทพที่ใกล้ชิดถามดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น ภรรยาก็เข้าสมาธิแล้วสื่อสัมผัส หลังจากมาสื่อสัมผัสแล้วทักทายกันเป็นที่รู้กันว่าเป็นใครแล้ว ข้าพเจ้าก็ถามว่า "ท่านที่แปลงมาเป็นพระอินทร์จริงหรือ?"

    โอปาติกะตอบ "เป็นพระอินทร์จริงๆ "

    ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า "ตามที่อ่านในพระไตรปิฎก พระอินทร์เป็นถึงโสดาบัน แล้วท่านจะทำอย่างนี้หรือ? ทำเพื่ออะไร?"

    โอปาติกะตอบ "ท่านเป็นพระอินทร์จริง แต่เรื่องอื่นที่เหลือเราไม่อาจบอกท่านได้ อย่าให้เรากล่าวเลย ไม่ใช้กิจของเราที่จะกล่าว"

    ข้าพเจ้าจึงหยุดถาม แล้วยุติการสื่อเพียงแค่นั้น และไม่ได้สื่อสัมผัสอีกนาน

    และเป็นอันว่าทั้งแต่นั้นผมเข้าใจว่า พระอินทร์ที่มาลองใจนั้น เป็นพระอินทร์ที่มาแทนพระอินทร์องค์ที่เป็นพระโสดาบัน มาตลอด.


    ตอบโดย: Vicha 25 มิ.ย. 51 - 11:06
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=4 width="90%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    ต่อไปผมจะคัดลอกจากที่ผมได้พิมพ์รวบรวมไว้แล้ว. เพราะคงย่อลำบาก

    ต่อมาอีกประมาณเดือนกว่า ภรรยาข้าพเจ้าประสงค์ฟังธรรมจากเทพอริยะ แต่ข้าพเจ้ากำลังนอนจะหลับ ข้าพเจ้าจึงต้องลุกขึ้นมาเป็นคู่สนทนา ซึ่งข้าพเจ้าก็เคยถามภรรยานานมาแล้วว่า "เธอสื่อสัมผัสเอง ฟังเอง ถามเอง ได้หรือไม่?"
    ภรรยาตอบว่า "ทำได้แต่ไม่มีความมั่นใจ เพราะไม่สามารถแยกได้ชัดเจน ระหว่างพูดเองและถามเองในใจ นั้นแยกได้ยาก เหมือนกับอุปทานไปเอง ต่างกับการสื่อเพื่อสนทนากับเธอ ใจเราสงบนิ่งแยกต่างหากโดยสิ้นเชิง ปากพูดก็พูดไปเองไม่ได้คิด เวลาถูกถามปากก็ตอบไปเอง โดยไม่คาดคิดมาก่อน สามารถแยกได้ชัดเจนกว่า"
    เมื่อสื่อกับเทพอริยะท่านก็สอนธรรม สรุปรวมลงอยู่ที่ การมีสติ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น การปล่อยวาง การเกิดดับ ของสังขาร หรือรูปและนาม หลังจากนั้นข้าพเจ้าถามเรื่องสัพเพเหระ ในสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากรู้ต่างๆ ร่วมเวลาก็เป็นชั่วโมงๆ ก็รับพรแล้วยุติการสื่อสัมผัส
    เมื่อเทพพระอรหันต์ ท่านได้เทศนาและสนทนาธรรมเสร็จท่านก็ถอยไป จึงเลิกการสื่อสัมผัส ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนเพราะเที่ยงคืนกว่าแล้ว แต่ภรรยาก็บอกว่าเดี่ยวๆ ยังมีผู้สะกิดใจประสงค์จะสนทนาต่ออีก ข้าพเจ้าก็ต้องลุกขึ้น พูดว่า เอาก็ได้ชิ

    หมายเหตุ เป็นการพูดคุยสนทนากันในทำนองนี้ จึงหาได้ตรงกันทุกคำทุกประโยค

    เมื่อได้ทักทายถามกับกับผู้ที่ประสงค์สนทนา ข้าพเจ้าก็ประหลาดใจมาก เพราะท่านบอกว่า
     
  2. แสวงหาความจริง

    แสวงหาความจริง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    509
    ค่าพลัง:
    +5,163
    ผู้ปราถนา พระโพธิญาน ทุกท่านถึงแม้แต่ละท่านจะบำเพ็ญด้วยแนวคิดหรือแนวปฏิบัติอย่างไร ถึงแม้บางท่านจะมองว่าอ้อม จะมองว่าผิด จะมองว่าหลง จะมองว่าถูก จะมองว่าเที่ยงแท้แน่แล้ว เราก็ควรจะอนุโมทนาในความปราถนา พระโพธิญาน ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ จะถูกผิดอย่างไรเราก็ไม่ทราบ เพราะเรื่องบุญบารมีนั้นสั่งสมมาไม่เหมือนกันไม่เท่ากันครับ อุปสรรคที่พบก็ไม่เหมือนกัน
     
  3. Ton_Ton

    Ton_Ton เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,249
    ค่าพลัง:
    +4,750
    ยาวมากครับ อ่านได้นิดเดียวเอง แต่ขอบคุณกับคำแนะนำนะครับ
     
  4. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    เห็นด้วยกับคุณ แสวงหาความจริงนะครับ ว่ามิควรปรามาสผู้ปราถนาพุทธภูมิ
    เพราะ การที่บางคนบอกว่าหลงหลงผิดนั้นการที่ลองผิดลองถูก ซึ่งเป็นการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ที่คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องเรียนรู้ให้มาก
    หากไม่รู้ว่าสุดโต่งทั้งสองข้างเป็นเช่นไร จะรู้ตรงกลางระหว่างสองด้านได้อย่างไร
    คนที่เป็นพุทธภูมินั้นเรื่องแค่นี้ก็คงไม่หวั่นไหวกระมังครับ
    และอย่างที่บอกเร็วช้าต่างกันผู้ประสงค์ติดตามก็ จะเห็นความเลื่อมใสที่ผู้ปราถนาได้กระทำอันนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยสืบเนื่องกัน
    แล้วแต่ยุคหรือศาสนาที่พระพุทธเจ้านั้นๆสร้างบารมีนะครับ
    คนที่ปราถนาย่อมเป็นการดีอย่างน้อยไม่ได้บรรลุก็ยึดความดีไว้ก่อนก้ดีแล้ว

    อนุโมทนาในผู้ปราถนาพุทธภูมิทุกท่านครับและหากท่านเหล่านั้น ได้โอกาสแห่งการบรรลุธรรมเฉพาะตนนั้นแล้ว ข้าพเจ้าขอโอกาสท่านเหล่านั้นโปรดชี้แนะสั่งสอนข้าพเจ้าเพื่อกระทำความดับทุกข์ให้แจ้งด้วยเทอญ สาธุ
    อนุโมทนาในความดีที่เกิดขึ้นในอนาคต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2009
  5. pol47

    pol47 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +14

    ขออนุโมทนาในการให้ข้อมูลและแนวทางการปฏิบัติ ในพระไตรปิฏก ว่าไม่ให้เชื่ออาจารย์ทั้งหมดต้องลองศึกษาดูเอง
     
  6. มาร-

    มาร- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +487
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ดีแล้ว ชอบแล้ว

    อิติ อิติ พระโพธิสัตว์ เอหิ เอหิ สมาคะมะ

    สาธุ สาธุ สาธุ

    _______________________________________________

    บุญกุศลเหล่าใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำจัก จำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ดี ร้อยชาติก็ดี หมื่นชาติก็ดี อสงไขย์ชาติก็ อนันตชาติก็ดี ..........................

    ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมอำนาจพระพุทธคุณอันไม่มีประมาณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทั่วทั้งอนันตจักวาลที่มิได้มีประมาณ ทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยมี ภันเต ภควา องค์พระสิริมิตร องค์พระธรรมสามี พระธรรมราชา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิขี ทศพล ญาณที่1 สมเด็จองค์พระปฐมเป็นสมเด็จองค์พระประธาน แห่งองค์พระพุทธคุณ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณพระธรรม พระสัจธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ อันไม่มีประมาณ เป็นองค์พระธรรมคุณ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจแห่งองค์พระปัจเจกพุทธคุณ แห่งองค์พระปัจเจกพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ ทั่วทั้งอนันตจักวาล ทุกกาล ทุกกัปป์ ทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็น องค์พระปัจเจกพุทธคุณ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจ แห่งคุณพระสงฆ์ พระสาวกแห่งพระผู้มีพระภาค องค์ภันเต ภควา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ทั่วทั้ง อนันตจักวาล อันไม่มีประมาณ อันหาที่สุด มิได้ เป็น พระสังฆคุณ

    ข้าพระพุทธขอน้อมอำนาจ คุณบิดา คุณมารดา พระอรหันต์แห่งบุตรของสรรพสัตว์ทั้งหลาย และของข้าพเจ้าทุกๆชาติ ทุกๆภพ ทุกๆภูมิ เป็น คุณแห่งบิดาและมารดา

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจแห่งคุณพระอาจารย์ ทุกๆรูป ทุกๆนาม ทุกๆภพ ทุกๆภูมิ ตลอด อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่ได้ประสิทธิประสาท วิชา สั่งสอนในคุณความดี ตั้งมั่นใน มรรค มีองค์ 8 เป็น คุณแห่งครูบาอาจารย์

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจแห่งคุณของ พระพรหม และเทพ เทวดา พระยายมราช ทุกรูป ทุกนาม ทุกๆชั้นฟ้า ทั้วทั้ง อนันตจักวาล สากลพิภพ อันไม่มีประมาณ จงร่วมกันบันดาล ปกป้องรักษาและอนุโมทนา

    ขออำนาจแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระปัจเจกพุทธคุณ พระสังฆคุณ คุณแห่งบิดา มารดา คุณแห่งครูบาอาจารย์ และ ทวยเทพเทวดาทั้ง โปรดดลบันให้....
    กุศลผลบุญ เหล่าใด ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำมา ได้บำเพ็ญมาโดยชอบ จำได้ก็ดี จำมิได้ก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าขออุทิศกุศลเหล่านั้น แด่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกรูป ทุกนาม ทุกภพ ทุกภูมิ ขอให้ได้ร่วมอนุโมทนา ขอให้มีส่วนร่วมในกองกุศลของข้าพเจ้า

    ธรรมเหล่าใด ยังประโยชน์แก่ข้าพเจ้าฉันใด
    ธรรมเหล่านั้นจงถึงพร้อมแด่สรรพสัตว์ทั้งหลายฉันนั้น
    เพื่อยังผลให้ที่สุดแห่งกองทุกข์ จงหมดสิ้นไปด้วยเทอญ....
     
  7. ตติยะ

    ตติยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +127
    ในเมื่อมีผู้เอาข้อมูลมาเสนอ จึงจำต้องสเสนอข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์ เพิ่มเติม เพื่อให้สมบูรณ์ตามสภาวะที่ใกล้เคียงสิ่งที่ปรากฏจริงให้ทราบ.

    หมายเหตุ เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ปรากฏขึ้นจริง แต่จะกล่าวว่า ถูกต้องและต้องเป็นจริงแน่นอนตามเรื่องที่ปรากฏหรือที่เกิดนั้น ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ไม่สามารถยืนยันได้ .

    เริ่มเล่าส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์ ตามเหตุเพราะมีผู้เริ่มเสนอข้อมูลให้เกิดขึ้น จึงสามนต่อเพื่อให้สมบูรณ์ตามสิ่งที่ปรากฏ

    วันพระต่อมาปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งตรงกับวันพระและวันวิสาขาบูชาเป็นวันหยุดข้าพเจ้าถือศีลแปด ข้าพเจ้าและครอบครัวก็ไปทำบุญที่วัดในตอนเช้า เมื่อเป็นวันหยุดก็ย่อมมีเวลาว่างมาก ประมาณ 10.00 น ข้าพเจ้าจึงตั้งกติกาการสื่อสัมผัสขึ้นมาเพื่อเป็นสิ่งทดสอบ คือให้ภรรยาเข้าสมาธิวางใจเพื่อสื่อสัมผัส แต่ให้ข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานในใจโดยยกพระศรีรัตนตรัยเป็นสารนะเป็นเบื้องต้นแล้วข้าพเจ้าก็ตั้งจิตอธิษฐานในใจโดยที่ภรรยาข้าพเจ้าไม่ทราบเลย ว่าข้าพเจ้าอธิษฐานอะไร อย่างไร ให้ผู้ใดมาสื่อสัมผัส<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ครั้งแรกข้าพเจ้ายกมือพนมแล้วกล่าววาจา ข้าพเจ้าขอระลึกถึงคุณพระพุทธพระธรรมและพระสงค์ ข้าพเจ้าบูชาในพระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ ข้าพเจ้าศรัทธาในพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ ขอให้คำอธิษฐานในใจของข้าพเจ้าเป็นสัจจะเป็นจริงด้วยเทอญ <o:p></o:p>
    แล้วข้าพเจ้าก็อธิษฐานในใจว่า ขอให้ผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้า ที่จะบรรลุธรรมในสมัยของข้าพเจ้าจึงมาสื่อสัมผัสกับภรรยาข้าพเจ้าได้อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนท่านผู้อื่นขออย่าได้มาสื่อสัมผัสได้โดยเด็ดขาด เมื่ออธิษฐานจบ ภรรยาก็สื่อสัมผัสกับผู้หนึ่งในทันทีและยิ้มแบบไม่เปิดปาก<o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าจึงถาม ว่าท่านเป็นใครครับ?”<o:p></o:p>
    ผู้ที่มาสื่อสัมผัสก็บอกข้าพเจ้าว่า เราเป็นพระพรหมผู้ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกมีปัญญาเลิศในสมัยของท่าน”<o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าก็เกิดความประหลาดใจว่าตรงกับที่อธิษฐานได้อย่างไร ว่าต้องได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็สนทนากับท่านเล็กน้อยก็จบกิจไป <o:p></o:p>
    แล้วข้าพเจ้าก็ให้ภรรยาวางใจแบบเดิม แล้วข้าพเจ้าก็กล่าววาจาและอธิษฐานแบบเดิม คราวนี้ก็มีผู้มาสื่อสัมผัส ข้าพเจ้าจึงถามว่า ว่าท่านเป็นใครครับ?”<o:p></o:p>
    ท่านผู้นั้นก็ตอบว่า เราเป็นพระอินทร์ผู้ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกมีฤทธิ์เป็นเลิศในสมัยของท่าน” <o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่า อ้า... คราวนี้ไม่น่าถูกต้องเพราะพระอินทร์องค์นี้ท่านไม่ทราบมาก่อนว่าท่านได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้ว แล้วมาสื่อสัมผัสได้อย่างไร แต่ข้าพเจ้าก็หาทำให้ผิดสังเกต กลัวภรรยาจะรู้จึงสนทนากันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้วท่านก็จากไป <o:p></o:p>
    หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็อธิษฐานแบบเดิม ให้ภรรยากำหนดจิตวางเฉยเพื่อสื่อสัมผัสแบบเดิม แล้วก็มีท่านใหม่มาสื่อสัมผัส เมื่อทักทายว่าเป็นใคร?<o:p></o:p>
    ท่านผู้นั้นก็บอกว่า เราเป็นมหาเทพ ผู้ปกครองสวรรค์ส่วนหนึ่ง เป็นผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้า จะได้เป็นพระอรหันต์ที่เป็นเอกทัคคะ และเรานี้เองเป็นผู้นิมนตร์พระอรหันต์ให้มาช่วยชักนำชี้แนะท่าน”<o:p></o:p>
    ก็สนทนากับท่านเล็กน้อยท่านก็จากไป เพราะขณะนั้นข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกว่าจะถามอะไรบ้างเพราะต้องการที่จะตรวจสอบทดสอบ<o:p></o:p>
    แล้วข้าพเจ้าก็กล่าววาจาและอธิษฐานแบบเดิม แล้วก็มีผู้มาสื่อสัมผัส เมื่อข้าพเจ้าทักทายว่าเป็นใคร ผู้มาสื่อสัมผัสตอบว่า<o:p></o:p>
    เราเป็นองอมรินทร์อีกจักรวาลหนึ่ง เป็นผู้ ซึ่งได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วว่า จะได้เป็นภิกษุเป็นเอกทัคคะ ในสมัยของท่านที่จะตรัสรู้”<o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าก็หาได้สนทนาอะไรมากนัก เพราะก็ยัง แปลกใจอยู่ ในเรื่องพระอินทร์ที่ปรารถนาอัครสาวกเบื้องซ้ายเมื่อยังไม่ทราบว่าตนเองได้รับพุทธพยากรณ์แล้วหรือยังแต่กลับ สื่อสัมผัสได้อย่างไร คราวนี้ผมต้องเปลี่ยนคำอธิษฐานในใจใหม่ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นจริงตามคำอธิษฐานในใจหรือเปล่าในครั้งนี้ว่า ขออย่าให้ผู้ใดสื่อสัมผัสกับภรรยาข้าพเจ้าได้เลย”<o:p></o:p>
    หลังจากนั้นภรรยาข้าพเจ้าก็ยังนั่งหลับตานิ่ง แช่อยู่อย่างนั้นนาน จนเขาแปลกใจและลืมตาขึ้นส่ายหน้า แล้วบอกว่าไม่เห็นมีใครมาสื่อสัมผัสเลย ข้าพเจ้าก็ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ก็คิดว่าพระอินทร์ท่านนั้นอาจจะได้รับพุทธพยากรณ์แล้วในสมัยพระพุทธเจ้าองค์อื่นในชาติเมื่อนานมาแล้ว ท่านจึงไม่รู้ <o:p></o:p>
    หลังจากนั้นจึงบอกให้ลองกันใหม่โดยผมกล่าววาจา และอธิษฐานแบบเดิมเหมือนครั้งแรก คราวนี้ก็มีผู้มาสื่อสัมผัสได้ปกติ และทักทายว่าท่านผู้นั้นเป็นใคร <o:p></o:p>
    ท่านผู้นั้นก็ตอบว่า เราคือผู้ที่จะได้เป็นอรหันต์เป็นเลิศในสมัยของท่าน และเราก็ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เป็นเลิศในการรักษาจิตได้อย่างยอดเยี่ยม <o:p></o:p>
    ครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าเฉลียวใจมากขึ้นเพราะได้ผ่านการทดลองไปแล้ว 1 ครั้ง จึงคิดในว่า เอ ทำไม? มีผู้ที่เป็นเอกทัคตะได้รับพุทธพยากรณ์ในสมัยข้าพเจ้ามากแล้วหรือ? แล้วข้าพเจ้าจึงถามว่า ท่านเป็นเทวดาชั้นไหนหรือครับ?”<o:p></o:p>
    เทวดานั้นบอกว่า เราเป็นเทวดาชั้นดุสิต”<o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าถามต่อไปว่า ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนชีพอยู่ พระองค์ทรงพุทธพยากรณ์ท่านว่าอย่างไร ผมอยากทราบครับ”<o:p></o:p>
    เทพองค์นั้นบอกว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ท่านผู้นี้ต่อไปในอนาคตจะได้เป็นพระอรหันต์เอกทัคคะเป็นเลิศทางด้านรักษาจิตได้อย่างยอดเยี่ยม ในสมัยของพระพุทธเจ้านามว่า อเสติ”<o:p></o:p>
    หลังจากนั้นท่านก็จากไป หลังจากนั้นผมก็กล่าววาจา และอธิษฐานในใจต่อไป ก็มีท่านใหม่ มาสื่อสัมผัส เมื่อทักทายว่าท่านเป็นใคร <o:p></o:p>
    ท่านผู้นั้นก็ตอบว่า เราคือผู้ที่จะได้เป็นอรหันต์เป็นเลิศในสมัยของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน”<o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าถามไปว่า ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนชีพอยู่ พระองค์ทรงพุทธพยากรณ์ท่านว่าอย่างไร ผมอยากทราบครับ”<o:p></o:p>
    เทพองค์นั้นบอกว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ท่านผู้นี้ต่อไปในอนาคตจะได้เป็นพระอรหันต์เอกทัคคะเป็นเลิศทางด้านรักษาศีลได้อย่างยอดเยี่ยม ในสมัยของพระพุทธเจ้านามว่า อเสติ”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ขณะนั้นเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า ก็คิดว่าเดี่ยวลูกคงขึ้นมาเคาะประตูเรียก และภรรยาข้าพเจ้าก็เริ่มอึดอัดเพราะเขาไม่รู้เลยว่าข้าพเจ้าจะอธิษฐานอะไรบ้าง ข้าพเจ้าจึงให้ผ่อนคลาย จึงบอกภรรยาว่า ให้ลองตั้งจิตสื่อสัมผัสจิตกับ องค์อัมรินที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายดูสิ มีเรื่องจะคุยด้วย ภรรยาก็ทำการสื่อสัมผัส และท่านก็มา<o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าจึงถามว่า ตอนที่มาสื่อสัมผัสจิตครั้งแรก ท่านมาได้อย่างไร?”<o:p></o:p>
    ท่านก็งงๆ แล้วตอบว่า ก็เรานึกประสงค์จะสื่อสัมผัสจิต สนทนากับท่าน ก็สัมผัสได้เลย”<o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าจึงถามว่า ท่านรู้หรือเปล่าว่า ผมอธิษฐานในใจว่าอย่างไร?”<o:p></o:p>
    พระอินทร์ก็บอกว่า เราไม่รู้ได้”<o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าจึงบอกว่า ผมอธิษฐานในใจว่า ขอให้ท่านผู้ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าจะได้บรรลุเป็นอัครสาวกหรือมหาสาวกผู้เป็นเลิศในสมัยของผมเท่านั้นสามารถสื่อสัมผัสได้”<o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าจึงพูดต่อ ถ้าเป็นจริงแล้วท่านสามารถสื่อสัมผัสได้ ดังนั้นท่านได้รับพุทธพยากรณ์แล้วนะสี แต่คงไม่ใช่สมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านจึงระลึกไม่ได้”<o:p></o:p>
    พระอินทร์บอกว่า สิ่งนั้นเราก็ไม่ได้ไปสนใจ แต่เมื่อเราได้อธิษฐานตั้งมั่นแล้ว เราก็หาได้คลอนแคลนในสิ่งใดแล้ว”<o:p></o:p>
    หลังจากนั้นก็จบการสนทนาการทดลองสื่อสัมผัสช่วงที่ 1 ในวันวิสาขาบูชานั้น เพราะยังมีกังวลใจเรื่องลูกจะมารบกวน.<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อถึงเวลาประมาณช่วง 15.00 ซึ่งลูกจะไปว่ายน้ำและเล่นกับเพื่อนที่สะว่ายน้ำ ในวันหยุดซึ่งเขาต้องใช้เวลาเล่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง จึงได้โอกาส สื่อสัมผัสกันอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงใช้เวลายาวนานได้อย่างปลอดโปร่ง<o:p></o:p>
    และผมก็ได้อธิษฐานในใจเหมือนเดิมโดยที่ภรรยาไม่รู้เลยว่าผมจะเปลี่ยนคำอธิษฐานอย่างไรบ้าง ช่วงระยะแรกผมกล่าววาจาและอธิษฐานในใจแบบเดิม คือ ให้ผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วและบรรลุในสมัยของข้าพเจ้าเท่านั้นมาสื่อสัมผัสได้ ตามลำดับ<o:p></o:p>
    ก็สร้างความแปลกใจของผมเป็นอย่างยิ่ง ทั้งท้าวมหาพรหมหรือมหาพรหม และเทพต่างๆ เป็นสิบกว่าท่าน ก็มาบอกให้ทราบว่า ท่านเหล่านั้นได้รับพุทธพยากรณ์แล้วในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่จะได้เป็นพระอริยะผู้เป็นเลิศในสมัยของข้าพเจ้า ในนามว่า อเสติ บ้าง ในนามว่า อสิตะ บ้าง คือชื่อนามนั้นเสียงเพี้ยนกันอยู่ที่ อเสติ หรือ อสิตะ ข้าพเจ้าก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน ทำไม? ซื่อออกเสียงไม่เหมือน ข้าพเจ้าพึ่งกระจ่างเมื่อข้าพเจ้าได้ดู ทรูวิชันยูบีชี รายาสารคดีธรรมชาติช่อง 41 เรื่องลูกหมีในรัฐเชีย ที่ภาคเป็นภาษาไทยเรียกลูกหมีกำพร้าตัวหนึ่งในสองตัวว่า มิดชา แต่เสียงในชาวส์แทรกออกเสียงเป็น มึสสึก หรือ มึสสึค.. ทำให้เข้าใจถึงการออกเสียงแต่ละถินแต่ละภาษาก็ออกเสียงแตกต่างกันไป เพียงแต่เทียบเคียงให้พอเข้ากันได้. <o:p></o:p>
    ในบรรดาผู้ที่มากล่าวนั้นล้วนเป็นผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์เป็น พุทธบิดา พุทธมารดา พุทธบุตร ผู้ทรงอภิธรรม ผู้ทรงธรรมถึก ฯลฯ <o:p></o:p>
    แต่หาใช่ว่าข้าพเจ้าจะอธิษฐานในใจแบบเดียวตลอด น่าจะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่อธิษฐานในใจว่า ขอให้ผู้ที่ไม่ได้รับพุทธพยากรณ์เท่านั้นสื่อสัมผัสได้ ผู้ที่มาสื่อก็หาได้บอกให้ทราบเกี่ยวกับการได้รับพุทธพยากรณ์เลย แต่จะสนทนาเรื่องทั่วๆ ก็จบกันไป. <o:p></o:p>
    เมื่อมีผู้มาสื่อสัมผัสหลายๆ ท่าน ประมาณยี่สิบกว่าท่าน ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าเพราะสนทนาข้อปลีกย่อยด้วย ภรรยาจึงทนต่อความสงสัยไม่ได้ จึงพูดว่า เซียม อธิษฐานอะไร? บอกบ้างสิ สงสัยจังเลยกลัวผิด ทำอย่างนี้มากแล้วเกิดความสงสัยไม่มั่นใจตัวเองเลย และก็เหนื่อยด้วย <o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าเห็นหน้าภรรยาแล้ว ท่าทางทนต่อความสงสัยต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงต้องบอกความจริงที่อธิษฐานให้ทราบ และการอธิษฐานทดลองให้ทราบ <o:p></o:p>
    ภรรยาหน้าสลดลงแล้วพูดว่า ไม่น่าสงสัยมากเลย ทำให้เสียกิจที่ควร ควรปล่อยให้เซียม ทำกิจให้เสร็จ”<o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าก็บอกว่า อือ.. แต่มันก็จบไปแล้ว ไม่เป็นไร <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แต่มีเรื่องพิเศษดังนี้ มีเทพพิลึก กายก็ใหญ่ใจก็มีกำลังกดหนักแน่นยิ่งนัก จนมนุษย์ที่มีกำลังสมาธิเพียงสัมผัสทางจิตก็มีโอกาสทำให้ หัวใจวายหยุดเต้นได้ ก่อนที่จะสื่อสัมผัสจิตเต็มๆ ก็ส่งกระแสจิตสะกิดบอกก่อนแล้วว่า ถ้าสื่อสัมผัสจิตเต็มที่ อาจจะทำให้ร่างกายของผู้สื่อสัมผัสนั้นทนอยู่ไม่ได้ ทำให้หัวใจหยุดเต้นได้.
    แต่เนื่องด้วยข้าพเจ้าและภรรยาไม่เคยมีประสบการณ์อย่างนี้และคิดว่าไม่น่าเป็นอะไร และคิดว่าสมาธิของภรรยาที่ฝึกมาก็มากพอแล้วไม่นาจะเกิดอะไรขึ้น และเป็นช่วงที่สำคัญ ที่จะได้ทราบที่มาที่ไปอย่างชัดแจ้งมากขึ้น ข้าพเจ้าก็คิดว่าไม่น่าเป็นอะไร ภรรยาก็บอกว่าก็ลองดู แล้วเทพผู้นั้นจึงสื่อสัมผัสกันได้เต็มกำลัง ที่สามารถกล่าววาจาได้แล้วกล่าววาจาให้ข้าพเจ้าทราบว่า

    "
    เราเป็นมหาเทพที่มีจิตใจยิ่งใหญ่หนักแน่นดังภูผายิ่งกว่าเทพใดๆ ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วว่า จะได้เป็นเอกทัคคะสาวกผู้มีจิตใจยิ่งใหญ่หนักแน่นดังภูผา ในสมัยของท่าน"
    แล้วเทพนั้นก็รีบถอนออกทันที แต่ภรรยาข้าพเจ้าต้องเอามือจับหัวใจตนเองตัวอ่อนพิงหัวเตียง หน้าและปากซีดเผือกลง หายใจแรงและถี่อยู่พักหนึ่ง พูดอะไรไม่ได้จุกและแน่น ตอนนั้นข้าพเจ้าหน้าเสียเลยครับ กลัวว่าภรรยาจะเป็นลมหมดสติ และหัวใจวาย เพราะภรรยาเป็นโรคความดันสูง และมีโรคหัวใจร่วมอยู่ด้วย.
    เมื่อเวลาผ่านไปสักพักอาการต่างๆ ทุเรา ภรรยาก็บอกให้ฟังว่า ขณะที่เทพนั้นมาสื่อสัมผัสแบบเต็มๆ นั้น ภรรยาไม่สามารถหายใจได้เลย ร่างกายโดนกัดดันทุกทิศทุกทาง ต้องฝืนและกลั่นใจตนเองเป็นที่สุด แทบจะทนไม่ได้ ดีที่เทพนั้นรีบกล่าวและรีบถอนออกไป. <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อเป็นดังนี้ข้าพเจ้าก็ย่อมสงสัยต่อว่า ในเมื่อมีผู้ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นพระเอคคัตตะแน่นอนแล้วอย่างมากท่าน ก็หมายความว่าระยะเวลาที่เหลือในการสร้างบารมีของข้าพเจ้าอย่างมากที่สุดก็เหลือประมาณเศษแสนมหากัปเท่านั้นเอง<o:p></o:p>
    เมื่อหมดกิจกับผู้ที่ปรารถนาตั้งมั่นแล้วจึงสื่อสัมผัสกับเทพพระอรหันต์ จึงถามท่านว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ <o:p></o:p>
    ท่านจึงตอบว่า ในกัปนี้มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วถึง 4 พระองค์ และเป็นกัปที่ผู้ร่วมสร้างบารมีกับโพธิสัตว์น้อยเริ่มได้รับพุทธพยากรณ์กันจำนวนหนึ่งแล้ว และที่เหลือจะได้รับพุทธพยากรณ์ทั้งหมดในสมัยของพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้าย ก็จะไม่มีอีกแล้ว เพราะถ้าเป็นในพระพุทธเจ้าองค์ต่อไม่ก็ไม่มีเวลาเหลื่อที่จะสร้างบารมีได้แล้ว ”<o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า อย่างนั้นเวลาที่เหลือในการสร้างบารมี ก็ประมาณเศษแสนครับสีครับ”<o:p></o:p>
    ท่านก็ตอบว่า เป็นเช่นนั้น โพธิสัตว์น้อย” <o:p></o:p>

    หมายเหตุ. แต่ข้าพเจ้าก็ไม่หลงตนเองและหลงยึดมั่นในข้อมูลนั้น ซึ่งอาจจะผิดหรือคลาดเคลื่อนได้อยู่เหมือนกัน เพราะข้าพเจ้าเห็นและเข้าใจ อนัตตา(ความไม่เป็นตัวไม่เป็นตน) ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความเป็นเช่นนั้นเอง มีสติอยู่กับปัจจุบันโดยส่วนมาก จึงไม่หลงฐานะความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่ต้องประกอบกิจกรรมตามฐาณะในสังคมอย่างปกติสุข โดยใจไม่ยึดมั่นถือมั่นจนผิดปกติหรือผิดเพี้ยนไป. เพราะเข้าใจธรรม { เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ} หาได้สำคัญเท่ากับการดำรงสติอยู่กับปัจจุบันขณะ แล้วอยู่อย่างปกติสุข.
    <o:p></o:p>
     
  8. ตติยะ

    ตติยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +127
    ในเมื่อมีผู้เอาข้อมูลมาเสนอ จึงจำต้องสเสนอข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์ เพิ่มเติม เพื่อให้สมบูรณ์ตามสภาวะที่ใกล้เคียงสิ่งที่ปรากฏจริงให้ทราบ.

    หมายเหตุ เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ปรากฏขึ้นจริง แต่จะกล่าวว่า ถูกต้องและต้องเป็นจริงแน่นอนตามเรื่องที่ปรากฏหรือที่เกิดนั้น ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ไม่สามารถยืนยันได้ .

    เริ่มเล่าส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์ ตามเหตุเพราะมีผู้เริ่มเสนอข้อมูลให้เกิดขึ้น จึงสามนต่อเพื่อให้สมบูรณ์ตามสิ่งที่ปรากฏ

    วันพระต่อมาปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งตรงกับวันพระและวันวิสาขาบูชาเป็นวันหยุดข้าพเจ้าถือศีลแปด ข้าพเจ้าและครอบครัวก็ไปทำบุญที่วัดในตอนเช้า เมื่อเป็นวันหยุดก็ย่อมมีเวลาว่างมาก ประมาณ 10.00 น ข้าพเจ้าจึงตั้งกติกาการสื่อสัมผัสขึ้นมาเพื่อเป็นสิ่งทดสอบ คือให้ภรรยาเข้าสมาธิวางใจเพื่อสื่อสัมผัส แต่ให้ข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานในใจโดยยกพระศรีรัตนตรัยเป็นสารนะเป็นเบื้องต้นแล้วข้าพเจ้าก็ตั้งจิตอธิษฐานในใจโดยที่ภรรยาข้าพเจ้าไม่ทราบเลย ว่าข้าพเจ้าอธิษฐานอะไร อย่างไร ให้ผู้ใดมาสื่อสัมผัสครั้งแรกข้าพเจ้ายกมือพนมแล้วกล่าววาจา

    “ข้าพเจ้าขอระลึกถึงคุณพระพุทธพระธรรมและพระสงค์ ข้าพเจ้าบูชาในพระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ ข้าพเจ้าศรัทธาในพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ ขอให้คำอธิษฐานในใจของข้าพเจ้าเป็นสัจจะเป็นจริงด้วยเทอญ”
    <O:p</O:p
    แล้วข้าพเจ้าก็อธิษฐานในใจว่า “ขอให้ผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้า ที่จะบรรลุธรรมในสมัยของข้าพเจ้าจึงมาสื่อสัมผัสกับภรรยาข้าพเจ้าได้อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนท่านผู้อื่นขออย่าได้มาสื่อสัมผัสได้โดยเด็ดขาด”

    เมื่ออธิษฐานจบ ภรรยาก็สื่อสัมผัสกับผู้หนึ่งในทันทีและยิ้มแบบไม่เปิดปากข้าพเจ้าจึงถาม “ว่าท่านเป็นใครครับ?”<O:p</O:p

    ผู้ที่มาสื่อสัมผัสก็บอกข้าพเจ้าว่า “เราเป็นพระพรหมผู้ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกมีปัญญาเลิศในสมัยของท่าน”
    <O:p</O:p
    ข้าพเจ้าก็เกิดความประหลาดใจว่าตรงกับที่อธิษฐานได้อย่างไร ว่าต้องได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็สนทนากับท่านเล็กน้อยก็จบกิจไป แล้วข้าพเจ้าก็ให้ภรรยาวางใจแบบเดิม แล้วข้าพเจ้าก็กล่าววาจาและอธิษฐานแบบเดิม คราวนี้ก็มีผู้มาสื่อสัมผัส ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ว่าท่านเป็นใครครับ?”<O:p</O:p

    ท่านผู้นั้นก็ตอบว่า “เราเป็นพระอินทร์ผู้ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกมีฤทธิ์เป็นเลิศในสมัยของท่าน”<O:p</O:p

    ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่า “อ้า... คราวนี้ไม่น่าถูกต้องเพราะพระอินทร์องค์นี้ท่านไม่ทราบมาก่อนว่าท่านได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้ว แล้วมาสื่อสัมผัสได้อย่างไร”
    แต่ข้าพเจ้าก็หาทำให้ผิดสังเกต กลัวภรรยาจะรู้จึงสนทนากันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้วท่านก็จากไป<O:p</O:p

    หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็อธิษฐานแบบเดิม ให้ภรรยากำหนดจิตวางเฉยเพื่อสื่อสัมผัสแบบเดิม แล้วก็มีท่านใหม่มาสื่อสัมผัส เมื่อทักทายว่าเป็นใคร?
    <O:p</O:p
    ท่านผู้นั้นก็บอกว่า “เราเป็นมหาเทพ ผู้ปกครองสวรรค์ส่วนหนึ่ง เป็นผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้า จะได้เป็นพระอรหันต์ที่เป็นเอกทัคคะ และเรานี้เองเป็นผู้นิมนตร์พระอรหันต์ให้มาช่วยชักนำชี้แนะท่าน"
    <O:p</O:p
    ก็สนทนากับท่านเล็กน้อยท่านก็จากไป เพราะขณะนั้นข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกว่าจะถามอะไรบ้างเพราะต้องการที่จะตรวจสอบทดสอบแล้วข้าพเจ้าก็กล่าววาจาและอธิษฐานแบบเดิม แล้วก็มีผู้มาสื่อสัมผัส เมื่อข้าพเจ้าทักทายว่าเป็นใคร

    ผู้มาสื่อสัมผัสตอบว่า“เราเป็นองอมรินทร์อีกจักรวาลหนึ่ง เป็นผู้ ซึ่งได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วว่า จะได้เป็นภิกษุเป็นเอกทัคคะ ในสมัยของท่านที่จะตรัสรู้”
    <O:p</O:p
    ข้าพเจ้าก็หาได้สนทนาอะไรมากนัก เพราะก็ยัง แปลกใจอยู่ ในเรื่องพระอินทร์ที่ปรารถนาอัครสาวกเบื้องซ้ายเมื่อยังไม่ทราบว่าตนเองได้รับพุทธพยากรณ์แล้วหรือยังแต่กลับ สื่อสัมผัสได้อย่างไร

    คราวนี้ผมต้องเปลี่ยนคำอธิษฐานในใจใหม่ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นจริงตามคำอธิษฐานในใจหรือเปล่าในครั้งนี้ว่า “ขออย่าให้ผู้ใดสื่อสัมผัสกับภรรยาข้าพเจ้าได้เลย”
    <O:p</O:p
    หลังจากนั้นภรรยาข้าพเจ้าก็ยังนั่งหลับตานิ่ง แช่อยู่อย่างนั้นนาน จนเขาแปลกใจและลืมตาขึ้นส่ายหน้า แล้วบอกว่าไม่เห็นมีใครมาสื่อสัมผัสเลย ข้าพเจ้าก็ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ก็คิดว่าพระอินทร์ท่านนั้นอาจจะได้รับพุทธพยากรณ์แล้วในสมัยพระพุทธเจ้าองค์อื่นในชาติเมื่อนานมาแล้ว ท่านจึงไม่รู้
    <O:p</O:p
    หลังจากนั้นจึงบอกให้ลองกันใหม่โดยผมกล่าววาจา และอธิษฐานแบบเดิมเหมือนครั้งแรก คราวนี้ก็มีผู้มาสื่อสัมผัสได้ปกติ และทักทายว่าท่านผู้นั้นเป็นใคร
    <O:p</O:p
    ท่านผู้นั้นก็ตอบว่า “เราคือผู้ที่จะได้เป็นอรหันต์เป็นเลิศในสมัยของท่าน และเราก็ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เป็นเลิศในการรักษาจิตได้อย่างยอดเยี่ยม”
    <O:p</O:p
    ครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าเฉลียวใจมากขึ้นเพราะได้ผ่านการทดลองไปแล้ว 1 ครั้ง จึงคิดในว่า เอ ทำไม? มีผู้ที่เป็นเอกทัคตะได้รับพุทธพยากรณ์ในสมัยข้าพเจ้ามากแล้วหรือ? แล้วข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านเป็นเทวดาชั้นไหนหรือครับ?”
    <O:p</O:p
    เทวดานั้นบอกว่า “เราเป็นเทวดาชั้นดุสิต”<O:p</O:p

    ข้าพเจ้าถามต่อไปว่า “ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนชีพอยู่ พระองค์ทรงพุทธพยากรณ์ท่านว่าอย่างไร ผมอยากทราบครับ”
    <O:p</O:p
    เทพองค์นั้นบอกว่า “พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ท่านผู้นี้ต่อไปในอนาคตจะได้เป็นพระอรหันต์เอกทัคคะเป็นเลิศทางด้านรักษาจิตได้อย่างยอดเยี่ยม ในสมัยของพระพุทธเจ้านามว่า อเสติ”
    <O:p</O:p
    หลังจากนั้นท่านก็จากไป หลังจากนั้นผมก็กล่าววาจา และอธิษฐานในใจต่อไป ก็มีท่านใหม่ มาสื่อสัมผัส เมื่อทักทายว่าท่านเป็นใคร
    <O:p</O:p
    ท่านผู้นั้นก็ตอบว่า “เราคือผู้ที่จะได้เป็นอรหันต์เป็นเลิศในสมัยของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน”
    <O:p</O:p
    ข้าพเจ้าถามไปว่า “ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนชีพอยู่ พระองค์ทรงพุทธพยากรณ์ท่านว่าอย่างไร ผมอยากทราบครับ”
    <O:p</O:p
    เทพองค์นั้นบอกว่า “พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ท่านผู้นี้ต่อไปในอนาคตจะได้เป็นพระอรหันต์เอกทัคคะเป็นเลิศทางด้านรักษาศีลได้อย่างยอดเยี่ยม ในสมัยของพระพุทธเจ้านามว่า อเสติ”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ขณะนั้นเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า ก็คิดว่าเดี่ยวลูกคงขึ้นมาเคาะประตูเรียก และภรรยาข้าพเจ้าก็เริ่มอึดอัดเพราะเขาไม่รู้เลยว่าข้าพเจ้าจะอธิษฐานอะไรบ้าง ข้าพเจ้าจึงให้ผ่อนคลาย จึงบอกภรรยาว่า ให้ลองตั้งจิตสื่อสัมผัสจิตกับ องค์อัมรินที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายดูสิ มีเรื่องจะคุยด้วย ภรรยาก็ทำการสื่อสัมผัส และท่านก็มา
    <O:p</O:p
    ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ตอนที่มาสื่อสัมผัสจิตครั้งแรก ท่านมาได้อย่างไร?”
    <O:p</O:p
    ท่านก็งงๆ แล้วตอบว่า “ก็เรานึกประสงค์จะสื่อสัมผัสจิต สนทนากับท่าน ก็สัมผัสได้เลย”
    <O:p</O:p
    ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านรู้หรือเปล่าว่า ผมอธิษฐานในใจว่าอย่างไร?”
    <O:p</O:p
    พระอินทร์ก็บอกว่า “เราไม่รู้ได้”<O:p</O:p

    ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “ผมอธิษฐานในใจว่า ขอให้ท่านผู้ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าจะได้บรรลุเป็นอัครสาวกหรือมหาสาวกผู้เป็นเลิศในสมัยของผมเท่านั้นสามารถสื่อสัมผัสได้”
    <O:p</O:p
    ข้าพเจ้าจึงพูดต่อ “ถ้าเป็นจริงแล้วท่านสามารถสื่อสัมผัสได้ ดังนั้นท่านได้รับพุทธพยากรณ์แล้วนะสี แต่คงไม่ใช่สมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านจึงระลึกไม่ได้”
    <O:p</O:p
    พระอินทร์บอกว่า “สิ่งนั้นเราก็ไม่ได้ไปสนใจ แต่เมื่อเราได้อธิษฐานตั้งมั่นแล้ว เราก็หาได้คลอนแคลนในสิ่งใดแล้ว”
    <O:p</O:p
    หลังจากนั้นก็จบการสนทนาการทดลองสื่อสัมผัสช่วงที่ 1 ในวันวิสาขาบูชานั้น เพราะยังมีกังวลใจเรื่องลูกจะมารบกวน.<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อถึงเวลาประมาณช่วง 15.00 ซึ่งลูกจะไปว่ายน้ำและเล่นกับเพื่อนที่สะว่ายน้ำ ในวันหยุดซึ่งเขาต้องใช้เวลาเล่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง จึงได้โอกาส สื่อสัมผัสกันอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงใช้เวลายาวนานได้อย่างปลอดโปร่งและผมก็ได้อธิษฐานในใจเหมือนเดิมโดยที่ภรรยาไม่รู้เลยว่าผมจะเปลี่ยนคำอธิษฐานอย่างไรบ้าง ช่วงระยะแรกผมกล่าววาจาและอธิษฐานในใจแบบเดิม คือ ให้ผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วและบรรลุในสมัยของข้าพเจ้าเท่านั้นมาสื่อสัมผัสได้ ตามลำดับ
    <O:p</O:p
    ก็สร้างความแปลกใจของผมเป็นอย่างยิ่ง ทั้งท้าวมหาพรหมหรือมหาพรหม และเทพต่างๆ เป็นสิบกว่าท่าน ก็มาบอกให้ทราบว่า ท่านเหล่านั้นได้รับพุทธพยากรณ์แล้วในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่จะได้เป็นพระอริยะผู้เป็นเลิศในสมัยของข้าพเจ้า ในนามว่า อเสติ บ้าง ในนามว่า อสิตะ บ้าง คือชื่อนามนั้นเสียงเพี้ยนกันอยู่ที่ อเสติ หรือ อสิตะ ข้าพเจ้าก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน ทำไม? ซื่อออกเสียงไม่เหมือน

    ข้าพเจ้าพึ่งกระจ่างเมื่อข้าพเจ้าได้ดู ทรูวิชันยูบีชี รายาสารคดีธรรมชาติช่อง 41 เรื่องลูกหมีในรัฐเชีย ที่ภาคเป็นภาษาไทยเรียกลูกหมีกำพร้าตัวหนึ่งในสองตัวว่า “มิดชา” แต่เสียงในชาวส์แทรกออกเสียงเป็น “มึสสึก” หรือ “มึสสึค..” ทำให้เข้าใจถึงการออกเสียงแต่ละถินแต่ละภาษาก็ออกเสียงแตกต่างกันไป เพียงแต่เทียบเคียงให้พอเข้ากันได้.
    <O:p</O:p
    ในบรรดาผู้ที่มากล่าวนั้นล้วนเป็นผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์เป็น พุทธบิดา พุทธมารดา พุทธบุตร ผู้ทรงอภิธรรม ผู้ทรงธรรมถึก ฯลฯ
    <O:p</O:p
    แต่หาใช่ว่าข้าพเจ้าจะอธิษฐานในใจแบบเดียวตลอด น่าจะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่อธิษฐานในใจว่า“ขอให้ผู้ที่ไม่ได้รับพุทธพยากรณ์เท่านั้นสื่อสัมผัสได้”

    ผู้ที่มาสื่อก็หาได้บอกให้ทราบเกี่ยวกับการได้รับพุทธพยากรณ์เลย แต่จะสนทนาเรื่องทั่วๆ ก็จบกันไป.
    <O:p</O:p
    เมื่อมีผู้มาสื่อสัมผัสหลายๆ ท่าน ประมาณยี่สิบกว่าท่าน ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าเพราะสนทนาข้อปลีกย่อยด้วย ภรรยาจึงทนต่อความสงสัยไม่ได้ จึงพูดว่า “เซียม อธิษฐานอะไร? บอกบ้างสิ สงสัยจังเลยกลัวผิด ทำอย่างนี้มากแล้วเกิดความสงสัยไม่มั่นใจตัวเองเลยและก็เหนื่อยด้วย”
    <O:p</O:p
    ข้าพเจ้าเห็นหน้าภรรยาแล้ว ท่าทางทนต่อความสงสัยต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงต้องบอกความจริงที่อธิษฐานให้ทราบ และการอธิษฐานทดลองให้ทราบ ภรรยาหน้าสลดลงแล้วพูดว่า “ไม่น่าสงสัยมากเลย ทำให้เสียกิจที่ควร ควรปล่อยให้เซียม ทำกิจให้เสร็จ”
    <O:p</O:p
    ข้าพเจ้าก็บอกว่า “อือ.. แต่มันก็จบไปแล้ว ไม่เป็นไร”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่มีเรื่องพิเศษดังนี้ มีเทพพิลึก กายก็ใหญ่ใจก็มีกำลังกดหนักแน่นยิ่งนักจนมนุษย์ที่มีกำลังสมาธิเพียงสัมผัสทางจิตก็มีโอกาสทำให้ หัวใจวายหยุดเต้นได้ก่อนที่จะสื่อสัมผัสจิตเต็มๆ ก็ส่งกระแสจิตสะกิดบอกก่อนแล้วว่าถ้าสื่อสัมผัสจิตเต็มที่ อาจจะทำให้ร่างกายของผู้สื่อสัมผัสนั้นทนอยู่ไม่ได้ทำให้หัวใจหยุดเต้นได้.

    แต่เนื่องด้วยข้าพเจ้าและภรรยาไม่เคยมีประสบการณ์อย่างนี้และคิดว่าไม่น่าเป็นอะไร และคิดว่าสมาธิของภรรยาที่ฝึกมาก็มากพอแล้วไม่นาจะเกิดอะไรขึ้น และเป็นช่วงที่สำคัญ ที่จะได้ทราบที่มาที่ไปอย่างชัดแจ้งมากขึ้นข้าพเจ้าก็คิดว่าไม่น่าเป็นอะไร ภรรยาก็บอกว่าก็ลองดูแล้วเทพผู้นั้นจึงสื่อสัมผัสกันได้เต็มกำลังที่สามารถกล่าววาจาได้แล้วกล่าววาจาให้ข้าพเจ้าทราบว่า

    "เราเป็นมหาเทพที่มีจิตใจยิ่งใหญ่หนักแน่นดังภูผายิ่งกว่าเทพใดๆได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วว่าจะได้เป็นเอกทัคคะสาวกผู้มีจิตใจยิ่งใหญ่หนักแน่นดังภูผาในสมัยของท่าน"

    แล้วเทพนั้นก็รีบถอนออกทันทีแต่ภรรยาข้าพเจ้าต้องเอามือจับหัวใจตนเองตัวอ่อนพิงหัวเตียง หน้าและปากซีดเผือกลงหายใจแรงและถี่อยู่พักหนึ่ง พูดอะไรไม่ได้จุกและแน่น ตอนนั้นข้าพเจ้าหน้าเสียเลยครับกลัวว่าภรรยาจะเป็นลมหมดสติ และหัวใจวาย เพราะภรรยาเป็นโรคความดันสูงและมีโรคหัวใจร่วมอยู่ด้วย.

    เมื่อเวลาผ่านไปสักพักอาการต่างๆ ทุเรา ภรรยาก็บอกให้ฟังว่าขณะที่เทพนั้นมาสื่อสัมผัสแบบเต็มๆ นั้น ภรรยาไม่สามารถหายใจได้เลยร่างกายโดนกัดดันทุกทิศทุกทาง ต้องฝืนและกลั่นใจตนเองเป็นที่สุด แทบจะทนไม่ได้ดีที่เทพนั้นรีบกล่าวและรีบถอนออกไป. <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อเป็นดังนี้ข้าพเจ้าก็ย่อมสงสัยต่อว่า ในเมื่อมีผู้ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นพระเอคคัตตะแน่นอนแล้วอย่างมากท่าน ก็หมายความว่าระยะเวลาที่เหลือในการสร้างบารมีของข้าพเจ้าอย่างมากที่สุดก็เหลือประมาณเศษแสนมหากัปเท่านั้นเอง<O:p</O:p

    เมื่อหมดกิจกับผู้ที่ปรารถนาตั้งมั่นแล้วจึงสื่อสัมผัสกับเทพพระอรหันต์ จึงถามท่านว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ <O:p</O:p

    ท่านจึงตอบว่า “ในกัปนี้มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วถึง 4 พระองค์ และเป็นกัปที่ผู้ร่วมสร้างบารมีกับโพธิสัตว์น้อยเริ่มได้รับพุทธพยากรณ์กันจำนวนหนึ่งแล้ว และที่เหลือจะได้รับพุทธพยากรณ์ทั้งหมดในสมัยของพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้าย ก็จะไม่มีอีกแล้ว เพราะถ้าเป็นในพระพุทธเจ้าองค์ต่อไม่ก็ไม่มีเวลาเหลื่อที่จะสร้างบารมีได้แล้ว ”
    <O:p</O:p
    ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า “อย่างนั้นเวลาที่เหลือในการสร้างบารมี ก็ประมาณเศษแสนครับสีครับ”
    <O:p</O:p
    ท่านก็ตอบว่า “เป็นเช่นนั้น โพธิสัตว์น้อย”<O:p</O:p

    หมายเหตุ. แต่ข้าพเจ้าก็ไม่หลงตนเองและหลงยึดมั่นในข้อมูลนั้น ซึ่งอาจจะผิดหรือคลาดเคลื่อนได้อยู่เหมือนกัน เพราะข้าพเจ้าเห็นและเข้าใจ อนัตตา(ความไม่เป็นตัวไม่เป็นตน) ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความเป็นเช่นนั้นเอง มีสติอยู่กับปัจจุบันโดยส่วนมาก จึงไม่หลงฐานะความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่ต้องประกอบกิจกรรมตามฐาณะในสังคมอย่างปกติสุข โดยใจไม่ยึดมั่นถือมั่นจนผิดปกติหรือผิดเพี้ยนไป. เพราะเข้าใจธรรม { เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ} หาได้สำคัญเท่ากับการดำรงสติอยู่กับปัจจุบันขณะ แล้วอยู่อย่างปกติสุข.
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2009
  9. yoottapong

    yoottapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +761
    o
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2009

แชร์หน้านี้

Loading...