อ.รามฯ-พุทธคุณพระเครื่องรักษาโรค

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 19 พฤศจิกายน 2007.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>เซียนอ.รามฯ-พุทธคุณพระเครื่องรักษาโรค</TD></TR><TR><TD vAlign=top>18 พฤศจิกายน 2550 20:26 น.</TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG][/IMG] [​IMG] "อโรคยา ปรมาลาภา" หมายถึง"ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" สัจธรรมข้อนี้ผู้คนทั่วไปคงได้ยินกันอยู่บ่อยๆ

    ปัจจุบันนี้ หากเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปคลินิกไปโรงพยาบาลแต่ถ้าเป็นในอดีต การแพทย์ไม่เจริญเท่าทุกวันนี้พระและวัดจึงเป็นที่พึ่งทุกๆ เรื่อง รวมทั้งเรื่องการรักษาโรคด้วย และแม้ว่า ปัจจุบันนี้การแพทย์จะเจริญเพียงใด บทบาทของพระรักษาโรคก็ไม่ได้ลดน้อยลง ขณะเดียวกัน ความเชื่อเรื่อง พุทธคุณพระเครื่องรักษาโรคก็ยังอยู่กับสังคมไทยอย่างเหนียวแน่น

    พุทธคุณพระเครื่องที่คนไทยมีคติความเชื่อว่าสามารถรักษาโรคได้นั้น มีอยู่มากมาย เช่น พระผงสุพรรณที่แตกกรุจากพระปรางค์องค์ใหญ่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี พุทธคุณของพระองค์นี้ แม้ว่าจะเลื่องชื่อในด้าน แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี และเมตตามหานิยมก็ตามแต่หากใครได้ศึกษาการแปลความจากจารึกในลานทองทั้ง ๓ แผ่น ฉบับสมบูรณ์จะพบว่า "พระผงสุพรรณมีพุทธคุณรักษาโรคได้ด้วย"
    ในจารึกลานทองได้เขียนอุปเท่ห์ของ พระผงสุพรรณเกี่ยวกับการใช้รักษาโรคดังนี้ ถ้าเจ็บตา ให้อาราธนาพระสรงน้ำแตงกวาแล้วเสกด้วยนวหรคุณ แล้วเอามาหยอดตาหายแล ถ้าไม่สบายหรือปวดหัวตัวร้อนใดๆหรือผีเข้าให้เอาพระสรงน้ำ และเสกด้วยพุทคุณ ๑๐ คาบ กินบ้าง อาบบ้าง หายแล ถ้าจักใช้ถอนพิษตะขาบ แมลงป่อง หรืออเทวดาอมนุษย์ให้โทษท่านสวดด้วยเอตตาปินั้นเทิด
    พระสมเด็จวัดระฆัง ที่จัดสร้างโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตารามเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พระสมเด็จวัดระฆังมีชื่อ ตั้งแต่อดีต เนื่องจากในสมัยนั้นได้เกิดโรคห่า หรือ อหิวาตกโรคระบาดทั่วประเทศไทย
    โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นยุคแห่งความวิบัติเคราะห์ร้ายของผู้คนในแผ่นดิน เนื่องจากเกิดอหิวาตโรค (โรคห่าโรคท้องร่วง) ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๖๓โรคได้ระบาดไปทั่วเมือง มีผู้คนล้มตายลงวันละมากๆ เพราะการแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่เจริญ
    ในครั้งนั้น มีผู้อาราธนา พระสมเด็จวัดระฆังของสมด็จฯมาฝนน้ำแล้วใช้ดื่มกิน ปรากฏว่า โรคหายเป็นที่น่าอัศจรรย์
    พุทธคุณของพระสมเด็จสามารถรักษาโรคได้จึงเลื่องลือมาตั้งแต่นั้น ทั้งนี้สามารถอิบายด้วยการแพทย์สมัยใหม่ได้ว่า พระสมเด็จนั้น มีแคลเซียมจากเปลือกหอยเป็นมวลสำคัญ เมื่อฝนกับน้ำ กินเข้าไปจะเกิดอาการท้องผูก
    พระกริ่งเป็นพระเครื่องที่คนในวงการพระเครื่องเชื่อมากันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะ "เซียนพระกริ่ง" ยังเชื่อกันอย่างแน่วแน่ว่าสามารถช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้ทุกโรค โดยเฉพาะโรคที่การแพทย์แผนปัจจุบันหาสาเหตุไม่พบ และรักษาด้วยยาไม่ได้
    ยามใดที่เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยจงอธิษฐานขออำนาจพุทธคุณในพระกริ่ง แล้วนำพระแช่น้ำ จากนั้นก็เอามาดื่ม บ้างก็นำมาอาบ เพื่อความเป็นสิริมงคล โรคภัยไข้เจ็บป่วยอยู่นั้น ก็จะหายโดยอัศจรรย์
    ประวัติการสร้าง"พระกริ่ง" มีมาแต่โบราณ เริ่มขึ้นที่ประเทศทิเบต และจีน จึงเรียกติดปากว่า พระกริ่งทิเบตและพระกริ่งหนองแส
    พระกริ่งเป็นพระพุทธเจ้าปางมาช่วยโปรดสัตว์โลกหรือเรียกกันว่า "พระไภสัชคุรุ" เป็นพระพุทธเจ้าปางหนึ่งของลัทธิมหายานซึ่งหมายความว่า ทรงเป็นครูในด้านเภสัช คือ การรักษาพยาบาล ต่อมาได้แพร่หลายมาก นิยมสร้างในเขมรเรียกว่า พระกริ่งอุบาเก็ง หรือพระกริ่งพนมบาเก็ง และพระกริ่งพระปทุมสุริยวงศ์
    สำหรับพระที่มีชื่อเสียงทรงคุณวิเศษหลายประการมีผู้นิยมนับถือกันมาก ยิ่งในปัจจุบันนี้ยิ่งหายาก ต้องยกให้พระกริ่งวัดสุทัศนฯ เพราะ สมเด็จพระสังฆราช(แพ) ทรงสร้างไว้จำนวนไม่มาก
    สาเหตุที่ทรงสร้างพระกริ่งนั้น เนื่องจากเมื่อครั้งที่ สมเด็จพระวันรัต(แดง) พระอุปัชฌาย์อาพาธเป็นอหิวาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระองค์ทรงเคยรักษาผู้ป่วยเป็นอหิวาตกโรคให้หายได้ ด้วยการอาราธนาพระกริ่งลงในน้ำ ทำเป็นน้ำพระพุทธมนต์ แล้วโปรดให้น้ำนั้นแก่ผู้ป่วยดื่ม ปรากฏว่า หายอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้วก็อาราธนาพระกริ่งลงในน้ำ ทำน้ำพระพุทธมนต์ประทานแก่ สมเด็จพระวันรัต(แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์นั้นแล้วก็บรรเทาหายอาพาธเป็นปกติ
    สมเด็จพระสังฆราช(แพ) ได้ทอดพระเนตรเห็นคุณวิเศษน่าอัศจรรย์ของพระกริ่งในขณะนั้นแล้วจึงเกิดความสนพระทัย และทรงเริ่มศึกษาค้นคว้าตำราที่จะสร้างพระกริ่งเรื่อยมา จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการสร้าง จนเจนจบ เมื่อจะมีการสร้างพระกริ่งขึ้นครั้งใด พระองค์จะถูกขอร้องให้เป็นผู้ชี้แจงการสร้าง และการหล่อ ในฐานะประธานการหล่อพระกริ่งเสมอมา
    นอกจากนี้แล้วลูกศิษย์ที่มีความเคารพศรัทธา อุบาสิกา(แม่ชี) บุญเรือน โตงบุญเติม มีคติความเชื่อว่า พระพุทโธน้อย(ลักษณะขององค์พระ ประกอบด้วยว่านเกสรดอกไม้อธิษฐาน ๙ เสาร์ พระผงเก่าๆ ผงพระธรรม ใบลานสุมไฟ และน้ำอธิษฐานจิต) มีพุทธคุณอธิษฐานจิตขอพรรักษาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บได้ทุกประการ
    ทั้งนี้อุบาสิกาบุญเรือน ได้สร้างพระรุ่นนี้โดยได้นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทมนต์ ๑๓ รูป เป็นเวลา ๓ วัน ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ กันยายน ๒๔๙๔ หลังจากนั้น อุบาสิกาบุญเรือนได้อธิษฐานจิตให้ธรรมบันดาล (ไม่ใช่วิธีการปลุกเสก)
    สำหรับเหตุที่คนไม่ให้ความสำญเรื่องพุทธคุณพระเครื่องรักษาโรคได้เนื่องจากวิทยาการแพทย์สมัยใหม่จากตะวันตกเข้ามาในสยามประเทศ ทำให้คนหันมานิยมรักษากับหมอฝรั่ง ทอดทิ้งสมุนไพรโบราณ
    ในทางกลับกันปัจจุบันนี้มีทั้งหมอฝรั่ง หมอญี่ปุ่ญ ต่างให้ความสนใจศึกษาการแพทย์แผนโบราณของไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตำรายาสมุนไพรที่จารึกอยู่ในใบลาน ซึ่งมีวัดอยู่หลายแห่งถูกโจรกรรมไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ที่คนไทยมักไม่ให้ความสำคัญภูมิปัญญาไทย
    -->
    [​IMG]

    "อโรคยา ปรมาลาภา" หมายถึง"ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" สัจธรรมข้อนี้ผู้คนทั่วไปคงได้ยินกันอยู่บ่อยๆ
    ปัจจุบันนี้ หากเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปคลินิกไปโรงพยาบาลแต่ถ้าเป็นในอดีต การแพทย์ไม่เจริญเท่าทุกวันนี้พระและวัดจึงเป็นที่พึ่งทุกๆ เรื่อง รวมทั้งเรื่องการรักษาโรคด้วย และแม้ว่า ปัจจุบันนี้การแพทย์จะเจริญเพียงใด บทบาทของพระรักษาโรคก็ไม่ได้ลดน้อยลง ขณะเดียวกัน ความเชื่อเรื่อง พุทธคุณพระเครื่องรักษาโรคก็ยังอยู่กับสังคมไทยอย่างเหนียวแน่น
    พุทธคุณพระเครื่องที่คนไทยมีคติความเชื่อว่าสามารถรักษาโรคได้นั้น มีอยู่มากมาย เช่น พระผงสุพรรณที่แตกกรุจากพระปรางค์องค์ใหญ่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี พุทธคุณของพระองค์นี้ แม้ว่าจะเลื่องชื่อในด้าน แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี และเมตตามหานิยมก็ตามแต่หากใครได้ศึกษาการแปลความจากจารึกในลานทองทั้ง ๓ แผ่น ฉบับสมบูรณ์จะพบว่า "พระผงสุพรรณมีพุทธคุณรักษาโรคได้ด้วย"


    [​IMG]

    ในจารึกลานทองได้เขียนอุปเท่ห์ของ พระผงสุพรรณเกี่ยวกับการใช้รักษาโรคดังนี้ ถ้าเจ็บตา ให้อาราธนาพระสรงน้ำแตงกวาแล้วเสกด้วยนวหรคุณ แล้วเอามาหยอดตาหายแล ถ้าไม่สบายหรือปวดหัวตัวร้อนใดๆหรือผีเข้าให้เอาพระสรงน้ำ และเสกด้วยพุทคุณ ๑๐ คาบ กินบ้าง อาบบ้าง หายแล ถ้าจักใช้ถอนพิษตะขาบ แมลงป่อง หรืออเทวดาอมนุษย์ให้โทษท่านสวดด้วยเอตตาปินั้นเทิด
    พระสมเด็จวัดระฆัง ที่จัดสร้างโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตารามเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พระสมเด็จวัดระฆังมีชื่อ ตั้งแต่อดีต เนื่องจากในสมัยนั้นได้เกิดโรคห่า หรือ อหิวาตกโรคระบาดทั่วประเทศไทย
    โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นยุคแห่งความวิบัติเคราะห์ร้ายของผู้คนในแผ่นดิน เนื่องจากเกิดอหิวาตโรค (โรคห่าโรคท้องร่วง) ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๖๓โรคได้ระบาดไปทั่วเมือง มีผู้คนล้มตายลงวันละมากๆ เพราะการแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่เจริญ


    [​IMG]

    ในครั้งนั้น มีผู้อาราธนา พระสมเด็จวัดระฆังของสมด็จฯมาฝนน้ำแล้วใช้ดื่มกิน ปรากฏว่า โรคหายเป็นที่น่าอัศจรรย์
    พุทธคุณของพระสมเด็จสามารถรักษาโรคได้จึงเลื่องลือมาตั้งแต่นั้น ทั้งนี้สามารถอิบายด้วยการแพทย์สมัยใหม่ได้ว่า พระสมเด็จนั้น มีแคลเซียมจากเปลือกหอยเป็นมวลสำคัญ เมื่อฝนกับน้ำ กินเข้าไปจะเกิดอาการท้องผูก
    พระกริ่งเป็นพระเครื่องที่คนในวงการพระเครื่องเชื่อมากันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะ "เซียนพระกริ่ง" ยังเชื่อกันอย่างแน่วแน่ว่าสามารถช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้ทุกโรค โดยเฉพาะโรคที่การแพทย์แผนปัจจุบันหาสาเหตุไม่พบ และรักษาด้วยยาไม่ได้

    [​IMG]

    ยามใดที่เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยจงอธิษฐานขออำนาจพุทธคุณในพระกริ่ง แล้วนำพระแช่น้ำ จากนั้นก็เอามาดื่ม บ้างก็นำมาอาบ เพื่อความเป็นสิริมงคล โรคภัยไข้เจ็บป่วยอยู่นั้น ก็จะหายโดยอัศจรรย์
    ประวัติการสร้าง"พระกริ่ง" มีมาแต่โบราณ เริ่มขึ้นที่ประเทศทิเบต และจีน จึงเรียกติดปากว่า พระกริ่งทิเบตและพระกริ่งหนองแส
    พระกริ่งเป็นพระพุทธเจ้าปางมาช่วยโปรดสัตว์โลกหรือเรียกกันว่า "พระไภสัชคุรุ" เป็นพระพุทธเจ้าปางหนึ่งของลัทธิมหายานซึ่งหมายความว่า ทรงเป็นครูในด้านเภสัช คือ การรักษาพยาบาล ต่อมาได้แพร่หลายมาก นิยมสร้างในเขมรเรียกว่า พระกริ่งอุบาเก็ง หรือพระกริ่งพนมบาเก็ง และพระกริ่งพระปทุมสุริยวงศ์
    สำหรับพระที่มีชื่อเสียงทรงคุณวิเศษหลายประการมีผู้นิยมนับถือกันมาก ยิ่งในปัจจุบันนี้ยิ่งหายาก ต้องยกให้พระกริ่งวัดสุทัศนฯ เพราะ สมเด็จพระสังฆราช(แพ) ทรงสร้างไว้จำนวนไม่มาก
    สาเหตุที่ทรงสร้างพระกริ่งนั้น เนื่องจากเมื่อครั้งที่ สมเด็จพระวันรัต(แดง) พระอุปัชฌาย์อาพาธเป็นอหิวาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระองค์ทรงเคยรักษาผู้ป่วยเป็นอหิวาตกโรคให้หายได้ ด้วยการอาราธนาพระกริ่งลงในน้ำ ทำเป็นน้ำพระพุทธมนต์ แล้วโปรดให้น้ำนั้นแก่ผู้ป่วยดื่ม ปรากฏว่า หายอย่างน่าอัศจรรย์
    เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้วก็อาราธนาพระกริ่งลงในน้ำ ทำน้ำพระพุทธมนต์ประทานแก่ สมเด็จพระวันรัต(แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์นั้นแล้วก็บรรเทาหายอาพาธเป็นปกติ
    สมเด็จพระสังฆราช(แพ) ได้ทอดพระเนตรเห็นคุณวิเศษน่าอัศจรรย์ของพระกริ่งในขณะนั้นแล้วจึงเกิดความสนพระทัย และทรงเริ่มศึกษาค้นคว้าตำราที่จะสร้างพระกริ่งเรื่อยมา จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการสร้าง จนเจนจบ เมื่อจะมีการสร้างพระกริ่งขึ้นครั้งใด พระองค์จะถูกขอร้องให้เป็นผู้ชี้แจงการสร้าง และการหล่อ ในฐานะประธานการหล่อพระกริ่งเสมอมา
    นอกจากนี้แล้วลูกศิษย์ที่มีความเคารพศรัทธา อุบาสิกา(แม่ชี) บุญเรือน โตงบุญเติม มีคติความเชื่อว่า พระพุทโธน้อย(ลักษณะขององค์พระ ประกอบด้วยว่านเกสรดอกไม้อธิษฐาน ๙ เสาร์ พระผงเก่าๆ ผงพระธรรม ใบลานสุมไฟ และน้ำอธิษฐานจิต) มีพุทธคุณอธิษฐานจิตขอพรรักษาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บได้ทุกประการ
    ทั้งนี้อุบาสิกาบุญเรือน ได้สร้างพระรุ่นนี้โดยได้นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทมนต์ ๑๓ รูป เป็นเวลา ๓ วัน ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ กันยายน ๒๔๙๔ หลังจากนั้น อุบาสิกาบุญเรือนได้อธิษฐานจิตให้ธรรมบันดาล (ไม่ใช่วิธีการปลุกเสก) สำหรับเหตุที่คนไม่ให้ความสำญเรื่องพุทธคุณพระเครื่องรักษาโรคได้เนื่องจากวิทยาการแพทย์สมัยใหม่จากตะวันตกเข้ามาในสยามประเทศ ทำให้คนหันมานิยมรักษากับหมอฝรั่ง ทอดทิ้งสมุนไพรโบราณ ในทางกลับกันปัจจุบันนี้มีทั้งหมอฝรั่ง หมอญี่ปุ่ญ ต่างให้ความสนใจศึกษาการแพทย์แผนโบราณของไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตำรายาสมุนไพรที่จารึกอยู่ในใบลาน ซึ่งมีวัดอยู่หลายแห่งถูกโจรกรรมไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ที่คนไทยมักไม่ให้ความสำคัญภูมิปัญญาไทย <TABLE align=center><TBODY></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ----------
    ที่มา:คมชัดลึก
    http://www.komchadluek.net/2007/11/19/j001_172925.php?news_id=172925
     

แชร์หน้านี้

Loading...