เกร็ดประวัติหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 4 เมษายน 2012.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]

    เกร็ดประวัติหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ตอนที่ 1



    คัดลอกมาจาก
    www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/monk-hist-index-page.htm


    หลวงปู่สิม ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีระกา เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. ที่บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดามารดาของท่านชื่อ นายสาน นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา รวม ๑๐ คน ในคืนที่หลวงปู่เกิดนั้น ประมาณเวลา ๑ ทุ่ม โยมมารดาของท่านเคลิ้มหลับไป ก็ได้ฝันเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง มีรัศมีกายสุกสว่างเปล่งปลั่ง แลดูเย็นตาเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก ลอยลงมาจากท้องฟ้าลงสู่กระต๊อบกลางทุ่งนาของนาง ต่อมาเวลาประมาณ ๓ ทุ่ม นางคำสิงห์ก็ให้กำเนิดเด็กน้อย ผิวกายขาวสะอาด นายสานผู้เป็นบิดาได้ตั้งชื่อให้ว่า “สิม” หมายถึงโบสถ์ อันบ่งบอกถึงความใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาท่านก็ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ บำเพ็ญสมณธรรมจนตลอดชั่วชีวิตของท่าน ..

    หลวงปู่สิม เป็นพระกรรมฐาน เป็นศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตะเถระ เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของท่าน คือการนั่งขัดสมาธิเพชร ท่านเน้นย้ำเสมอว่า การนั่งสมาธิภาวนา ใจต้องเด็ด นั่งขัดสมาธิเพชรนี้แหละ จะช่วยให้จิตใจอาจหาญขึ้นมาได้ โดยน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งก่อนตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงนั่งขัดสมาธิเพชรใต้ต้นโพธิ์ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน แลกกับการตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาน ท่านว่าการปฏิบัติจะให้ได้ผลต้องปล่อยวางร่างกายลงไป ปล่อยวางความหมายมั่นในรูปร่างกาย ทั้งต้องระลึกถึงความตายให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก จึงจะชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ท่านพระอาจารย์มั่นได้พยากรณ์ไว้ว่า “.. ท่านสิมเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ เบ่งบานเมื่อใด จะหอมกว่าหมู่” ..

    ในวัยเด็กนั้น หลวงปู่ฯ ท่านอยู่ในครอบครัวชาวนา ก็มีหน้าที่ช่วยเลี้ยงควาย ท่านเล่าว่า ”เฮามีควายเขาตู้อยู่ตัวหนึ่ง มันอยากจะชนเขาอยู่เรื่อย แต่ชนทีไรแพ้ทุกที เพราะมันไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเอาหัวงัดลูกเดียว ไม่กี่ทีก็หันหลังวิ่งหนีแล้ว” มิน่าล่ะ คนไม่มีปัญญา หลวงปู่ฯ จึงเรียกว่า ควายเขาตู้ การภาวนาก็เหมือนกัน หลวงปู่เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    “ต้องรู้จักเลือกอุบายภาวนา พิจารณาอุบายที่ถูกจริต อาศัยความเพียรอย่างเดียวบ่ได้ เหมือนคนกินอาหารต้องรู้จักเลือกกินปลากินไก่บ้าง ไม่ใช่กินเนื้ออยู่นั่นแล้ว กิเลสมันพลิกแพลงเก่งต้องตามให้ทัน คนรู้จักพิจารณาก็ได้บรรลุธรรมเร็ว อย่างสาวกในครั้งพุทธกาล ตั้งใจจะบวช พอปลงผม ผมตกลงมาเท่านั้นแหละ ท่านก็ปลงกรรมฐานได้เลยว่าผมไม่ใช่ของใคร ปล่อยวางทุกอย่างก็ได้บรรลุธรรมเลย แล้วแต่สติปัญญาของคนจะพิจารณา บางองค์นั่งฟังเทศน์ก็ได้บรรลุเลย อย่างนั้นปัญญาท่านมาก”

    (กระผม - หมายถึง คนรู้น้อย ผู้โพสท์ข้อความนี้ เห็นว่า คำสอนของท่านตรงนี้ถูกต้องเป็นอย่างมาก เหมือนที่หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านเคยสอนว่ามโนมยิทธิ – ญาณ ๘ ที่ท่านสอนให้นั้น มิใช่เพื่อจะไปนั่งครึ้มอกครึ้มใจว่าเรามีคุณวิเศษยิ่งกว่าคนอื่นๆ ใช้ท่องเที่ยวไปตามภพภูมิต่างๆ ได้ แต่ให้ใช้เป็นเครื่องมือที่ดีในการพิจารณาสภาวธรรม เพื่อให้เกิดปัญญาในการตัดกิเลส อย่างเช่นสักกายทิฐิ การถือตัวถือตน มีความประมาทในความตาย ก็ลองใช้บุพเพนิวาสานุสติญาน ถอยหลังไปดูซิว่า เราเกิด-ตายมากี่ครั้งแล้ว แต่ละครั้งมีสภาพอย่างไรยากดีมีจนอย่างไร มีความทุกข์อย่างไร หมั่นพิจารณา และระลึกอยู่เรื่อยๆ กิเลสในข้อนี้ก็จะค่อยๆ ลดลงไป และให้พิจารณาตัดสังโยชน์ไปทีละข้อ โดยใช้วิชานี้ประกอบ เพื่อการขัดเกลากิเลสให้เบาบางลง นั่นจึงจะตรงกับความต้องการของท่านมากที่สุด)

    สมัยที่หลวงปู่ฯ เริ่มเข้ารุ่นหนุ่มนั้น ท่านสนใจในการเป่าแคน และได้เคยไปเที่ยวล่ากระต่ายกระแตบ้าง แต่สิ่งบันดาลใจที่ทำให้ท่านอยากออกบวชก็คือ ความสะดุ้งกลัวต่อความตาย ท่านเล่าว่า

    “ตั้งแต่ยังเด็กแล้ว เมื่อได้เห็น หรือได้ข่าวคนตาย มันให้สะดุ้งใจทุกครั้งกลัวว่าเราจะตายเสียก่อนได้ออกบวช”

    ในที่สุดเมื่ออายุได้ ๑๗ ปี จึงได้ขอบิดามารดาบรรพชา เป็นสามเณร ณ วัดศรีรัตนาราม (เป็นวัดมหานิกาย) ณ บ้านบัวนั่นเอง ต่อมาคณะกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น ได้เดินธุดงค์มาจากหนองคาย โดยเดินทางมาถึงวัดศรีสงคราม จังหวัดนครพนม สามเณรสิมจึงได้มีโอกาสเดินทางไปฟังธรรม ทั้งจากท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม และท่านอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล ท่านบังเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น และได้ญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุติ โดยมีท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดป่าสามผง จังหวัดนครพนม หลังจากนั้นท่านได้ร่วมขบวนธุดงค์ ติดตามท่านอาจารย์มั่นจากจังหวัดนครพนม ไปยังจังหวัดอุบลราชธานี

    ต่อมาเมื่ออายุครบบวช สามเณรสิมจึงได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดศรีจันทราวาส อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มีท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้เดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์สิงห์ ไปจำพรรษาที่วัดป่าเหล่างา จังหวัดขอนแก่น ที่นี่ท่านได้รับการอบรมกรรมฐานบทแรกอย่างถึงใจ คือมีอยู่วันหนึ่ง ฝนตกหนัก ชาวบ้านออกมารองน้ำฝนและเล่นน้ำฝน เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาที่ท่อรอง เป็นผลให้มีคนตาย ๒-๓ คน เขาเอาศพมาฝังในป่าช้า พอฝังไปได้ ๓-๔ วัน ท่านพระอาจารย์สิงห์ ก็พาพระเณรไปขุดศพขึ้นมา หลวงปู่สิมเล่าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

    “ขุดขึ้นมาใส่กองไฟเขียวอื๋อเลยละ เขียวเหมือนเทา สภาพศพกำลังเน่า หนังตอนนั้นยังเหนียวอยู่ยังไม่แตก เหม็นไม่ต้องบอกละ เต็มจมูกทุกองค์ ได้อสุภะกันหมด ถ้าได้สักศพเอามาเผาที่ถ้ำผาปล่อง เณรน้อยน่ากลัวจะไม่ยอมอยู่ละ”

    “นี่แหละคือร่างกาย” หลวงปู่ฯ พูดเนือยๆ อย่างปลงตกแล้วโดยสิ้นเชิง

    “บางครั้งบางสมัยมันก็ต้องดม ครูบาอาจารย์เพิ่นทำ เราจะหลบไปทางอื่นก็ไม่ได้ ก็ต้องดมไปด้วยกัน”

    ท่านเล่าประสบการณ์ที่ท่านได้อสุภกรรมฐานอีกตอนหนึ่งว่า

    “ศพที่เก็บไว้ ๔-๕ วันก่อนจะเผานั้น ถ้าสมณะนักบวชเรายังไม่เคยเห็นก็อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ผู้ที่เคยดูศพอย่างนั้นมาแล้ว จะนึกได้ว่าพอเปิดฝาโลงเท่านั้นแหละ จะเป็นน้ำมันท่วมขึ้นมาตั้งครึ่งโลง(สมัยก่อนยังไม่มีฟอร์มาลีนฉีด ศพก็จะเน่าไปตามกาลเวลา) แมลงวันไม่รู้มาจากไหน ไม่ต้องมีใครไปเชื้อเชิญละ มาจับสบงจีวรเต็มไปหมด เวลาไปชักบังสุกุลเสร็จ ดมซากศพเสียไม่รู้ว่ากี่ลมหายใจ”

    “นี่แหละร่างกายนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงทรงสอนให้กำหนดเป็นอสุภกรรมฐาน อย่าไปเห็นเป็นรูป ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย ให้เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน ไม่มีใครสวยใครงามกว่ากัน”
    “สมมติโลกว่าสวยงาม สมมติธรรมมันไม่มีสวยงาม อสุภัง มรณัง ทั้งนั้น ถึงมันจะยังไม่ตายตอนเด็กตอนหนุ่มก็เถอะ ไม่นานละ มันก็ทยอยตายไปทีละคนสองคน หมดไป สิ้นไป ไม่เหลือ …”
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เรื่องการให้ทาน เป็นอีกเรื่องที่หลวงปู่ฯ สอนละเอียดละออ ทานที่ท่านย้ำเสมอคือ “อภัยทาน” ท่านบอกว่า “คนเราจะอยู่ด้วยกันได้ อย่างนานที่สุดก็ไม่เกินร้อยปีหรอก เพราะฉะนั้นอย่าไปโกรธแค้น อาฆาตจองเวรคิดเบียดเบียน หรือทำร้ายกันเลย ให้อภัยเสียเถอะ ยังไงเขาก็จะตายเองอยู่แล้ว เราไม่ต้องไปลงมือหรอก ตัวเราเองก็จะต้องตายเองด้วยเหมือนกันนั่นแหละ”

    แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานที่ตัวเล็กกว่ายุง เช่น ริ้น ไร และ ลอด หลวงปู่ฯ ก็ยังสอนให้พวกเราให้ทาน ตัวลอดนี่หน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้ หลวงปู่ฯ บอกว่าตัวมันเล็กจนลอดรูผ้าเข้าไปกัดเราได้นั่นแหละ และท่านก็ยกย่องว่า การที่เราให้ทานน้ำเลือดน้ำเหลืองในตัวเรา แก่พวกนี้เป็นทานบริสุทธิ์ เสียด้วย “ทานัง เม ปริสุทธัง นิพพานัง ปรมัง สุขัง” นั่นทีเดียว

    นอกจากให้ธรรมเป็นทาน อันเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว มีวัตถุทานอะไรที่พอจะให้ได้ หลวงปู่ฯ เป็นแจกไม่อั้น ไม่ว่าจะเป็นเหรียญปลุกเสก ผ้าพุทโธ รูปถ่าย ฯ ลฯ ก็ด้วยเมตตาไม่มีประมาณของท่านนั่นเอง ทำให้ท่านไม่ค่อยขัดใจใคร ถ้าเป็นคำขอที่ไม่ผิดกาลเทศะ หลวงปู่ฯ มักจะอนุโลมให้เสมอ โดยเฉพาะผู้ที่กำลังมีทุกข์ แต่ไม่ว่าจะแจกอะไรก็ตาม หลวงปู่ฯ จะกำชับให้ภาวนา พุทโธ ด้วยทุกครั้ง ...

    ปี พ.ศ. ๒๔๗๙ (พรรษาที่ ๘) สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส) แห่งวัดบรมนิวาส ได้เดินทางไปเยี่ยม พระอาจารย์สิงห์ ที่วัดจักราช ท่านได้แลเห็นจริยาวัตรของหลวงปู่สิม ขณะทำหน้าที่อุปัฏฐากท่านอาจารย์สิงห์ และเกิดชื่นชอบถูกอกถูกใจขึ้นมา จึงเอ่ยปากขอตัวหลวงปู่สิม ว่า ”พระองค์นี้ มีลักษณะเป็นผู้มีบุญบารมี ผมจะขอตัวให้ไปอยู่ด้วยจะขัดข้องหรือเปล่า”

    ท่านอาจารย์สิงห์มิได้ขัดข้อง เพราะหลวงปู่สิมจะได้มีโอกาสใกล้ชิดพระเถระผู้ใหญ่ มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หลวงปู่สิมจึงได้ร่วมเดินทางมากับสมเด็จฯ ได้มาศึกษาพระธรรมวินัย พร้อมกันนั้นก็ได้ทำหน้าที่ อบรมสั่งสอนการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระธุดงค์ โดยสมเด็จฯ โปรดให้ปลูกกุฏิกรรมฐานรอบกำแพงโบสถ์ เพื่อเป็นที่พักของพระเณรจำนวนมาก ที่มารับการอบรมจากหลวงปู่ฯ องค์ท่านเองก็โปรดที่จะมานั่งภาวนาใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างโบสถ์ โอกาสเช่นนี้ หลวงปู่ฯ ได้ถวายคำแนะนำในการปฏิบัติ..

    ครั้งหนึ่งมีรับสั่งถามหลวงปู่ฯ ว่า “ที่พูดกันว่าได้ฌานนั้น ฌานนี้ คำว่าฌานนี่หมายถึงอะไร เห็นว่ามีตั้งหลายอย่าง มี วิตก วิจาร อะไรต่ออะไร มันเป็นยังไง”

    หลวงปู่ฯ ถวายคำอธิบายว่า “เวลาญาติ โยมเขาสร้างกุฏิให้พระอยู่อาศัย พอขึ้นบันไดบ้านมา ก็จะถึงชานก่อน แล้วจึงไปถึงที่นอน”

    “อ้อ ! ๆ รู้แล้ว”

    สมเด็จฯ ทรงเข้าใจในทันที “มันเป็นที่พักผ่อนชั่วคราวเองนะ ยังไม่ใช่ที่หลับที่นอน จริงๆ ”

    เรื่องฌานนี้ หลวงปู่ฯ มีเกร็ดฝอยเกี่ยวกับ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม มาเล่าให้ฟังว่า

    หลวงปู่ตื้อท่านเคยเข้าฌานไปดูศพพระมหากัสสปเถระ ซึ่งตามตำนานมีว่า ยังคงเก็บรักษาไว้แถบภูเขาหิมาลัย คือก่อนที่จะเข้าสู่นิพพาน พระมหากัสสปเถระท่านได้อธิษฐานให้ภูเขาปิดล้อมศพเอาไว้สามด้าน รอเวลาพระศรีอาริย์มาตรัสรู้ แล้วจะได้เผาศพของท่านบนฝ่ามือของพระศรีอาริย์ เนื่องจากมีบุพกรรมต่อกัน

    เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่ง พระมหากัสสปเถระ ท่านมีชาติกำเนิดเป็นช้างแสนรู้ ของจักรพรรดิ์คือพระศรีอาริย์นั่นเอง วันหนึ่งพระจักรพรรดิ์ทรงช้างเสด็จออกประพาสป่า ช้างหนุ่มกัสสปะ พอเห็นช้างสาวก็วิ่งเข้าหาทันทีตามประสา วิ่งไม่วิ่งเฉยๆ สะบัดเอาพระจักรพรรดิ์ตกจากหลังไปด้วย เลยถูกทำโทษให้เอางวงจับเหล็กเผาไฟจนตาย จึงมีเวรกรรมต่อกันตั้งแต่ครั้งกระโน้น จนเดี๋ยวนี้ศพของพระมหากัสสปเถระ ก็ยังรอพระศรีอาริย์อยู่

    เมื่อหลวงปู่ตื้อเข้าฌานไปดูถึงที่เนปาลโน้นต้องไปถึงสองครั้ง เพราะไปครั้งแรกประตูไม่เปิด ในห้องหรือภูเขาที่เก็บศพนั้น มีแสงสว่างเรืองรองแต่ไม่ยักจะมีดวงไฟสักดวง

    เล่ามาถึงตรงนี้หลวงปู่ฯ ก็กระเซ้าคนฟังว่า “ใครอยากพิสูจน์ให้เห็นจริงก็ให้เร่งภาวนา เอาให้ได้ให้ถึง ภาวนาเอง เห็นเอง ฟังคนอื่นเล่ามันก็ไม่สิ้นสงสัย”

    ปี พ.ศ.๒๔๘๐ ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ฯ เดินธุดงค์จากวัดบรมนิวาส มาจนถึงบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิดตามคำอาราธนา ชาวบ้านบัว และบ้านใกล้เคียงมีความเคารพเลื่อมใส แห่กันมาทำบุญกุศล และฟังพระธรรมเทศนา รับการอบรมการปฏิบัติสมาธิภาวนาจากหลวงปู่อย่างมากมาย

    หลวงปู่ฯ ท่านไม่นิยมการสั่งสมทรัพย์สมบัติใดๆ หากมีลาภเกิดขึ้น ท่านจะแจกจ่ายออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อครั้งญาติพี่น้องของท่านนิมนต์ไปที่บ้านเกิดเพื่อรับส่วนแบ่งมรดกที่ดิน หลวงปู่ฯ บอกกับพี่น้องว่า

    “นาที่เป็นมรดกนั้นให้แบ่งกันเองเถอะ เราเอานาทุ้งนี้” (ทุ้ง เป็นภาษาอีสาน แปลว่าทุ่ง) แล้วท่านก็ชี้ไปที่บาตรของท่าน

    หลวงปู่ฯ จำพรรษาที่บ้านเกิดเพียงพรรษาเดียว แล้วท่านก็ธุดงค์ไปจังหวัดเพชรบูรณ์ แวะจำพรรษา อยู่ ๒ พรรษาตามวัดป่า แล้วท่านก็ขึ้นเหนือจนกระทั่งได้พบท่านอาจารย์มั่น ที่หมู่บ้านแม่ดอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ณ ที่นี้เองท่านได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากท่านอาจารย์ฯ จนการปฏิบัติธรรมของท่านก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก

    ต่อมาท่านอาจารย์มั่นกลับไปที่จังหวัดอุดรธานี ท่านก็แยกไปพักที่วัดโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง ได้พักจำพรรษาอยู่นานถึง ๕ ปี แล้วจึงไปอยู่ที่ถ้ำผาผัวะ อ.จอมทอง และอีกหลายๆ ที่ในจังหวัดเชียงใหม่

    ท่านเคยปรารภกับองค์ท่านเองว่า จะเป็นด้วยเหตุอะไรหนอ ไปอยู่ที่อื่นที่ไหนๆ ก็ตามไม่รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ เหมือนอยู่ที่เชียงใหม่ ครั้งหนึ่งมีภาพนิมิตเกิดขึ้น เป็นภาพหลวงปู่ฯ ในเครื่องทรงของพระเจ้าแผ่นดินเชียงใหม่

    “ใส่รองเท้าสูงถึงครึ่งน่องแน่ะ” หลวงปู่เล่าอย่างขำๆ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่นี้ ท่านได้มีโอกาสเรียนภาษาอังกฤษ และเมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาอุบัติขึ้น ท่านก็ได้ไปหาที่สงบบำเพ็ญธรรมที่ถ้ำผาผัวะ ปรากฏว่ามีทหารญี่ปุ่นขึ้นไปฟังเทศน์หลวงปู่ฯ ที่ถ้ำ ตอนแรกเทศน์เป็นภาษาไทย แล้วมีล่ามแปลจากไทยเป็นอังกฤษ และจากอังกฤษเป็นญี่ปุ่นอีกที ทำให้เกิดความยุ่งยาก พอทหารญี่ปุ่นรู้ว่าท่านสามารถคุยภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องโดยตรงได้ ต่างก็พอใจยิ้มออกทีเดียว

    ระหว่างที่อยู่จำพรรษาที่เชียงใหม่นี้ หลวงปู่ฯ ได้สร้างวัดสันติธรรม ซึ่งอยู่ในตัวอำเภอเมือง โดยการอุปถัมภ์ของ คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์ มีเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ เป็นที่พักอันมั่นคง บางขณะมีพระเณรมากถึง ๓๘ รูป

    หลวงปู่ฯ ปกครองพระเณรลูกวัดของท่านอย่างอบอุ่นใกล้ชิด เหมือนพ่อดูแลลูกๆ เวลาที่พระเณรอาพาธ หลวงปู่ฯ จะนั่งเฝ้าไข้อย่างสงบ ไม่ยอมห่างจนกระทั่งผู้ป่วยอาการดีขึ้น

    ครั้งหนึ่งเณรน้อยนอนซมด้วยโรคพยาธิตัวเหลือง ซูบซีดผอมเพราะฉันอาหารไม่ได้เลย “แม่ไล” ได้เอายาถ่ายพยาธิมาถวาย เณรน้อยก็ฉันไม่ได้ อาเจียนออกมา ทำให้แม่ไลโมโหมากจะบังคับให้ฉันให้ได้ แต่หลวงปู่ฯ ซึ่งนั่งเฝ้าอยู่อย่างใจเย็น ได้ปลอบประโลมเณรน้อยของท่านว่า

    “วันพรุ่งนี้เถอะเน้อ ไปบิณฑบาตได้กล้วยก่อน จะเอายาใส่ในกล้วยให้เณรน้อยฉัน”

    หลวงปู่ฯ ยังได้เดินทางไปๆ มาๆ ระหว่าง เชียงใหม่กับทางภาคอีสาน อีกหลายครั้งเนื่องจากโยมมารดาถึงแก่กรรม และดูแลการสร้างวัด จนกระทั่งวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ท่านได้รับสมณศักดิ์ “พระครูสันติวรญาน” ขณะอยู่ที่วัดสันติธรรม นำความปลาบปลื้มยินดีแก่บรรดาศิษยานุศิษย์โดยทั่วกัน

    ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้มีพระลูกศิษย์ของท่านไปพบ ถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ ต.บ้านถ้ำ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เป็นที่สงบสงัด ร่มรื่น และมีน้ำอุดมสมบูรณ์ หลวงปู่ฯ ท่านได้เดินทางมาสำรวจ และเข้าปฏิบัติธรรมหลายครั้ง แต่ยังไม่ถูกใจ ท่านอยากได้ถ้ำที่กว้าง และอยู่สูงสักหน่อย กิเลสจะได้เข้าหายาก

    ลุงติ๊บ คนบ้านถ้ำเป็นผู้พบถ้ำผาปล่อง แกเล่าว่า “ผมขึ้นมาตัดไม้ จึงได้มาเจอถ้ำ มีแต่เถาวัลย์ปกคลุมรุงรังไปหมด ข้างในถ้ำมีแต่ขี้เลียงผา เหม็นอับแล้วก็ชื้นมาก พอเห็นถ้ำท่านก็ชอบใจมาก ตกลงพักในถ้ำคืนนั้นเลย”

    ปัจจุบันนี้สะดวกสบายมาก สมัยก่อนหลวงปู่ฯ พร้อมด้วยศิษย์ผู้บุกเบิก ท่านนอนกลางดินกินกลางทราย แถมดมขี้เลียงผามานักต่อนัก หลวงปู่เล่าว่า “ตอนมาใหม่ๆ ได้เจอครกหินอันหนึ่งกับสากสองอัน แสดงว่าคนสมัยก่อนที่อยู่ถ้ำปล่อง เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยตำรากไม้ใบไม้กินเป็นยา แต่ตอนตายครกหินมันหนักเอาไปด้วยบ่ได้”

    หลวงปู่ฯ ท่านไม่ได้พักในถ้ำ อันเป็นที่วิเวกเหมาะกับการปฏิบัติของท่านนานนัก เนื่องจากท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร เจ้าอาวาสวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการได้มรณภาพลง ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ท่านต้องไปรับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส แต่ท่านเป็นอยู่เพียง ๔ ปีเศษก็ขอลาออกด้วยสุขภาพไม่ดี ต้องไปพักรักษาตัวที่วัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร

    จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ท่านจึงวางภาระทั้งหมด และมาจำพรรษาที่ถ้ำผาปล่อง เป็นระยะเวลานาน ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ หลวงปู่ฯ เดินทางไปเยี่ยม หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ที่อำเภอสันกำแพง หลวงปู่ตื้อได้บอกอำลาว่า “ผมจะขอลาท่านกลับไปบ้านเกิด จะเอาสังขารไปทิ้งที่นั่น คงจะไม่ได้กลับมาเชียงใหม่อีก ผมมีความลับจะบอกท่านอยู่เรื่องหนึ่ง ผมรักษาเอาไว้ ๓๔ ปีนี่แล้ว เมื่อครั้งหลวงปู่มั่นยังอยู่ที่เชียงใหม่ ก่อนท่านจะกลับไปอุดรธานี ท่านได้พยากรณ์ไว้ว่า ศิษย์รุ่นต่อไปที่จะมีชื่อเสียงโด่งดัง คือท่านสิม กับท่านมหาบัว นี่แหละ”

    ต่อมาหลวงปู่ตื้อก็ได้เดินทางกลับ บ้านข่า ต.ท่าบ่อ อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม บ้านเกิดของท่าน ...

    หลวงปู่ฯ ท่านมีปฏิปทา ชอบอยู่ป่าเขาห่างไกลจากความเจริญอันเป็นที่เหมาะสมสำหรับผู้ปฏิบัติ แต่ศิษยานุศิษย์ของท่านก็ยังได้อาราธนานิมนต์ท่านไปต่างประเทศหลายแห่งเช่น อินเดีย ปีนัง มาเลเซีย อังกฤษ และไปถึงทวีปยุโรป และอเมริกา อีกด้วย

    ตลอดชีวิตของท่าน ได้ประพฤติปฏิบัติตรงต่อความหลุดพ้น ทำงานทั้งทางโลกเช่น งานพัฒนาชุมชน งานก่อสร้างบูรณะวัดวาอาราม สถานที่สาธารณะต่างๆ และงานทางธรรม ให้การอบรมสั่งสอน การปฏิบัติสมาธิภาวนาต่างๆ สมบูรณ์ครบถ้วน

    จนถึงวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕ หลวงปู่ฯ จึงเข้าไปรับพัดยศ ในสมณศักดิ์ที่ “พระญาณสิทธาจารย์” ในพระราชวัง หลังจากนั้นท่านรีบกลับถ้ำผาปล่องทันที โดยท่านมิได้มีอาการอาพาธแต่อย่างใด หลวงปู่ฯ ได้ละสังขาร เวลาประมาณ ตี ๓ คืนวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ (ทางราชการถือเป็น วันที่ ๑๔) ด้วยอาการสงบเหมือนท่านนอนหลับไป ท่านจากไปอย่างผู้ที่พร้อมรับต่อความตายทุกขณะ สมตามที่หลวงปู่ฯ ได้พร่ำสอนผู้อื่นอยู่เสมอ ...
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร หรือพระครูสันติวรญาณ แห่งสำนักสงฆ์ “ถ้ำผาปล่อง” อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

    ผมไม่เคยพบท่านมาก่อนหน้านั้น แต่ทราบจากการบอกเล่าของผู้อื่นว่าท่านเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จาริกมาแสวงหาความสงบวิเวกอยู่ที่ถ้ำผาปล่อง ท่านก็เคยเป็นเจ้าอาวาสวัด “อโศการาม” อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ (ก็วัดหลวงพ่อลีฯ นั่นแหละครับ) แต่ท่านเบื่อคนจึงหนีมาอยู่ถ้ำ กระนั้นก็ยังมีผู้แสวงหาท่านจนพบ เขาว่าท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูงมาก ผมเคยคิดจะไปนมัสการท่านอยู่หลายครั้งแล้ว แต่ล้มเลิกไปเพราะได้มาพบหลวงพ่อฯ เสียก่อน มีอะไรให้ต้องเรียน ต้องศึกษามากมายไม่รู้จบจากหลวงพ่อฯ จึงไม่คิดจะไปหาอาจารย์องค์ไหนอีก เผอิญหลวงพ่อฯ ท่านชวนว่าคณะของท่านจะไปนมัสการหลวงพ่อสิมฯ และจะเลยไปนมัสการหลวงปู่แหวน สุจิณโณด้วย

    “อ๊ะ ได้การ แจ๋วจริงๆ ” ผมคิดในใจ เพราะว่าหลวงปู่แหวนฯ นั้น ผมก็เคยได้ยินกิตติศัพท์มาจากรุ่นพี่ และเพื่อนๆ พวกทหารอากาศว่าท่านศักดิ์สิทธิ์นักหนา แต่ก็ไม่เคยได้ไปนมัสการสักที ทั้งๆ ที่เคยทำงานอยู่แถบนั้น “ฮ้า เหมาะเลย ได้นกหลายตัว” จึงกราบเรียนรับปากว่าจะไป แต่ไม่ไปพร้อมคณะเพราะเบื่อคนหมู่มาก ผมจะไปสมทบที่เชียงใหม่เลย ตอนนั้นผมถูกยิงแข้งขาไม่ค่อยจะดี นั่งรถนานมันปวดจึงเดินทางไปโดยเครื่อง บดท. แล้วตามไปสมทบที่น้ำตกแม่สา โดยผมช่วยราชการอยู่ที่กองอำนวยการเคลื่อนย้ายทหารจีนชาติผู้อพยพ หรือ บก.๐๔ ซึ่งมีหน่วยงานอยู่ที่เชียงใหม่ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกองอำนวยการพัฒนาอาชีพผู้อพยพทหารจีนชาติ เดี๋ยวนี้คงเลิกไปแล้ว) ทหารมารับผมจากสนามบินแล้วร่วมกับขบวนลูกศิษย์ของหลวงพ่อฯ แวะชมถ้ำเชียงดาวแล้วพากันขึ้นไปนมัสการหลวงพ่อสิมฯ บนถ้ำ

    อันว่าทหารคนขับรถนี้ ไม่ใช่คู่หูคนเดิมที่เคยขับรถให้ผมเสมอๆ แต่เขามีหน้าที่ดูแลบ้านพักของนายทหารระดับผู้ใหญ่มากๆ ท่านหนึ่งที่นั่น เขาว่างและอยากจะได้พระเครื่องของหลวงพ่อสิมฯ จึงได้อาสาขับรถแทน ให้กับเจ้าคู่หูของผมซึ่งเผอิญเกิดความจำเป็นที่สำคัญบางประการขึ้นมาพอดี ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้อง เพราะเห็นว่าหน่วยก้านพอไปไหว แม้จะอ้วนไปสักหน่อย เป็นทหารอากาศแต่ไม่เคยขึ้นเครื่องบินหรอกครับ อยู่ภาคพื้นดินมาโดยตลอด

    โดยผมชี้แจงว่าที่เรามานี้เรามากับคณะนักบุญ ซึ่งมีหลวงพ่อฯ เป็นผู้นำ กำหนดจะพักค้างคืนบนถ้ำ พวกนักบุญเหล่านี้เขาไม่มีอาวุธอะไรติดตัวมา และเราซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าบริเวณดังกล่าวนั้นเป็นที่เปลี่ยวมีโจรผู้ร้ายชุกชุม เราจะต้องทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองปลอดภัยกับพวกเขาด้วยนะ ไม่ใช่ว่ามาเที่ยวอย่างเดียว

    เขาบอกว่าเขาเต็มใจ ตกลงเบิกเอ็ม ๑๖ ไป ๒ กระบอก นอกจากนั้นผมยังมีปืนพกส่วนตัวติดไปอีก ๑ กระบอก เมื่อเดินทางถึงเชิงเขา เวลายังไม่ทันพลบค่ำ ผมกับเขาเดินตามคณะขึ้นไปด้วย โดยผมกำชับให้ห่อให้มิดชิดไม่ให้ประเจิดประเจ้อเป็นอันขาด เขารับปากแล้ว แต่เขาก็ลืมเอาปืนที่ว่าขึ้นไป จึงได้ขอแก้ตัวโดยอาสาว่าเมื่อมืดแล้วเขาจะลงมานอนเฝ้าทรัพย์สินในรถของคณะใหญ่ ซึ่งจอดอยู่ที่เชิงเขา (ผมเลย O.K.) โดยผมรับจะดูแลด้านบนถ้ำเอง

    เขาได้ลงมาจากถ้ำเมื่อมืดสนิทแล้วหลังจากรับพระเครื่องมาจากหลวงปู่สิมฯ แถมยังเอาปืนพกของผมลงไปด้วยเพราะระหว่างทางลงเขา สภาพไม่น่าไว้วางใจ ผมเองก็นึกเคืองเขาอยู่เหมือนกันว่าหากเกิดเหตุอะไรขึ้นบนเขา แล้วผมจะเอาอาวุธที่ไหนไปต่อกรกับคนร้าย แต่เมื่อหารือกับบางคนทราบว่ามีเครื่องทุ่นแรงแบบเดียวกับผมอยู่บ้าง ก็เลยตามเลย

    ตอนดึกระหว่างคณะบนเขากำลังจะนอนพักผ่อน ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ณ บริเวณที่จอดรถ ชายฉกรรจ์ทั้งหลายพากันกรูลงไปดูเหตุการณ์ พบว่าเขาถูกคนร้ายยิงที่บริเวณท้องถึงไส้ทะลัก เอาปืนของผมยิงต่อสู้ไปหลายนัดเหมือนกันดันถูกแต่ต้นกล้วย

    พวกนักบุญช่วยกันพาเขาไปส่งที่อนามัย ซึ่งอนามัยก็รับรักษาไม่ไหว ต้องนำส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสวนดอก ผมว้าวุ่นมาก ไหนจะห่วงคนเจ็บ ไหนจะห่วงคนเป็น เพราะหวั่นไหวกันไปหมด ด้วยเกรงภัยจากโจรร้าย ต่อมาตำรวจท้องที่ทราบเหตุนำตัวเขาส่งโรงพยาบาลสวนดอก ที่เชียงใหม่ ผมนั้นคิดว่าเขาไม่น่าจะรอดเพราะบาดแผลฉกรรจ์มาก

    ผมได้ขอให้คุณหมอชุติ เนียมสกุล ขับรถพาผมไปดูเขาที่โรงพยาบาล เพราะผมขับรถเองไม่ได้ หลังจากที่ได้นมัสการกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบแล้ว และได้ติดต่อขอให้ตำรวจท้องที่มาดูแลความปลอดภัยคณะใหญ่เป็นที่เรียบร้อย หมดกังวลไปเปลาะหนึ่ง

    หมอชุติฯ ท่านก็แสนดี คำน้อยสักคำก็ไม่ปริปากบ่น ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ นะครับ แถมยังคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามภูเขา ขนาดคนเป็นยังแย่แล้วคนเจ็บจะเป็นอย่างไรผมไม่อยากคิด เพราะผมเองก็เคยมาแล้วเมื่อครั้งที่ถูกยิงที่ชายแดน นอกจากนั้นผมก็ยังกังวลใจว่าจะรายงานผู้บังคับบัญชาอย่างไรดี เพราะคนที่ถูกยิงไม่มีชื่ออยู่ในคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ ขอแทนกันเอง อุบา! ปัญหาร้อยแปดพันเก้า

    แต่แล้วทุกอย่างก็คลี่คลาย เขาปลอดภัย (๗ วันออกจากโรงพยาบาลมาเดินปร๋อเลยครับ ไม่น่าเชื่อ แถมยังคุยโม้อีกถูกตัดไส้ไปวาสองวา ดีเสียอีกจะได้เปลืองข้าวน้อยลง) เรื่องทางวินัยก็ไม่โดน ได้อาศัยท่านโกษาป่อง (ท่านเจ้ากรมเสริมฯ ) กรุยทางผู้บังคับบัญชาที่นั่นให้ (แถมปีนั้นได้เลื่อนขั้น ๒ ขั้น อันนี้ฝีมือผมขอให้เอง)

    ผมแก้ปัญหาจนเสร็จสรรพ จึงได้วกกลับมายังถ้ำผาปล่อง คณะใหญ่กลับไปแล้ว (เดินทางต่อไปเพื่อไปนมัสการหลวงปู่แหวนฯ )
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อสิมฯ ท่านกรุณา ให้ผมกับลูกน้องชุดใหม่พักผ่อนหลับนอนในถ้ำ ที่ท่านจำวัดอยู่ ผมจึงได้โอกาสพูดคุยกับหลวงพ่อสิมฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากในขณะนั้นผมเองเกิดความลังเลสงสัย ในตัวหลวงพ่อ (ฤาษีฯ) เพราะในวันที่เกิดเหตุนั้น ก่อนเกิดเหตุ หลวงพ่อ (ฤาษีฯ) ได้พูดกับลูกศิษย์ลูกหา ว่ามีเทวดามาโมทนาการทำบุญของพวกเรากันมากมาย ท่านแม่ศรีฯ ก็มา ท่านพ่อพระอินทร์ก็มา ท่านท้าวมหาชมพูก็มา วู้ย ! เยอะแยะ ไม่น่าเชื่อ... ก็จะไปให้เชื่อได้ยังไงถ้ามีจริงมาจริง ทำไมจึงปล่อยให้ลูกน้องของผม ถูกคนร้ายยิงเอาเกือบตาย ไม่จริงละมั้ง ดูๆ ไม่น่าเชื่อนี่นา

    ขอเรียนให้ทราบเสียก่อนนะครับ ในสมัยที่เกิดเหตุนั้น ผมเพิ่งจะหัดภาวนา “พุทโธ” เท่านั้นเอง ลืมตาหลับตาได้ แต่ภาวนาพุทโธเป็นสรณะ ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นอะไรพิสดาร แต่เอาละ ไอ้เรามันก็ชายชาตินักรบ ไม่ชอบทำอะไรคลุมเครือ เราไม่เห็นเองและไม่เชื่อ อย่ากระนั้นเลยเราถามหลวงพ่อสิมฯ ดีกว่า

    ผมตัดสินใจถามหลวงพ่อสิมฯ เลยครับ ถามว่าเทวดามีจริงหรือ หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านติดต่อกับเทวดาเห็นเทวดาได้จริงหรือ เทวดาเหล่านั้นเป็นใคร มีความผูกพันอย่างไรกับหลวงพ่อฤาษีฯ ท่านแม่ศรีฯ คือใคร ท่านท้าวมหาชมพูเป็นใคร เทวดานักรบมีจริงหรือ ใครเป็นหัวหน้า ทำไมปล่อยให้ลูกน้องผมถูกยิง

    เรียกว่าผมระดมคำถามแบบกระหน่ำยิงไม่เลี้ยงเลยครับ คิดในใจว่าถ้าหลวงพ่อสิมฯ ตอบไม่ตรงกับที่หลวงพ่อฯ เคยพูด หรือแม้เพียงลังเลบิดพลิ้ว ผมก็จะเลิกนับถือ “ทั้งสององค์” นั่นแหละครับ

    พ่อแม่พี่น้องรู้ไหมครับ หลวงพ่อสิมฯ มิได้ลังเลเลย ท่านตอบทันทีว่า เทวดามีจริง มาจริง ท่านแม่ศรีเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (อันนี้อาจจะคลาดเคลื่อนเรื่องชั้นไปนิดหนึ่ง) ท่านท้าวมหาชมพูเป็นใคร ใครเป็นใครหลวงพ่อสิมฯ แจง ๑๕๐ เบี้ยเลยครับ คือแถมให้อีก ๑๔๖ เบี้ย กระเซ้าผมว่าถ้าอยากรู้เองเห็นเอง ให้หมั่นฝึกตามที่หลวงพ่อพระมหาวีระฯ สอนเถิด แล้วจะได้รู้ความจริงไม่ต้องถามใคร ส่วนเหตุที่บังเกิดนั้นเป็นเรื่องกฏแห่งกรรม โยมอย่าไปโกรธ อย่าไปโทษเทวดา

    แน่ะ ! รู้อีกแน่ะว่าผมเคืองเทวดา ก็ผมคิดเอาไว้ในใจว่า ถ้าเทวดามีจริงและมาจริง ต้องถูกลงโทษเพราะดูแลรักษาพุทธบริษัทไม่ดี ปล่อยให้เกิดเหตุร้ายในพื้นที่อันเป็นเขตนิวาสถานของพระอริยบุคคล (อย่างนี้ต้องลาออก)

    เอาละครับ หลวงพ่อสิมฯ ท่านเล่าไปเรื่อยๆ แบบตามสบาย ท่านว่า เป็นกฎแห่งกรรม คนทำ ตำรวจจะจับไม่ได้ แต่เขาจะต้องเสวยผลกรรมอันนั้น ไม่เกิน ๓ วัน ๗ วัน น่าสงสารเขานะ เขาติดยาเสพติด คิดว่าคณะของหลวงพ่อมหาวีระฯ มีทรัพย์มาก จึงมาขโมยของเอาไปซื้อยาเสพติด เขากำลังงัดแงะรถที่จอดอยู่ พอดีมีคนลงไป เขาก็ตกใจกระโดดหลบแอบอยู่ที่กอไม้ นายคนนั้นก็บังเอิญปวดทุกข์ ถอดเสื้อถือปืนเดินตรงไปที่เขา เขาคิดว่าเห็นเขา จะมาจับเขา เขาก็เลยยิงเอาแล้วหนีไป คนถูกยิงก็มีกรรมเก่า คนยิงมีกรรมใหม่หนักมาก น่าสงสารคนยิง

    แน่ะ ! เป็นงั้นไป ! แทนที่จะสงสารลูกน้องของผมคนที่ถูกยิง หลวงพ่อสิมฯ กลับไปสงสารคนยิง

    ท่านย้ำว่าเป็นกรรมหนัก
    ผมถามท่านอีกว่า ตำรวจท้องที่เขาขึ้นมารายงานท่านหรือ
    ท่านยิ้มหัวเราะตอบว่า เปล่า
    ผมถามว่าแล้วหลวงพ่อรู้ได้อย่างไร
    ท่านกลับย้อนถามผมว่า แล้วโยมรู้ว่าอย่างไร

    ผมตอบว่า

    “จริงครับ คนของผมไปสืบมาแล้ว เหตุการณ์เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตรงกับที่หลวงพ่อพูดทุกอย่าง แล้วหลวงพ่อรู้ได้อย่างไรครับ”

    ท่านร้องตัดบทว่า

    “ เฮ่ย รู้ก็แล้วกันน่ะ โยมน่ะมีครูดีแล้ว หลวงพ่อมหาวีระฯ ไม่ใช่พระธรรมดานะ สร้างบารมีปรารถนาพระโพธิสัตว์เชียวนะ แต่เลิกได้ก็ดี ลูกศิษย์เยอะแยะตามสร้างบารมีมานาน แต่นั่นแหละพอหัวหน้าเลิก ลูกน้องก็จะเลิกตามบ้าง โอ้โฮ ลูกน้องลูกศิษย์เยอะจริงๆ คงต้องให้ไปอยู่ที่กามาวจรสวรรค์ก่อน ลูกน้องยังตั้งตัวไม่ทัน”

    “เออ โยมนอนเสียเถิด หลับให้สบายไม่ต้องกลัวอะไร เหนื่อยมามาก นอนอยู่กับหลวงพ่อนี่เย็นใจ สบายใจ เก็บปืนเสียไม่ต้องใช้ หลวงพ่อจะเจริญกรรมฐาน มีอะไรเกิดขึ้นในถ้ำนี้ ไม่ใช่กิจของโยม เป็นเรื่องของอาตมา หลับเถิด หลับให้สบาย”

    สิ้นเสียงหลวงพ่อสิมฯ พวกผมก็หลับปุ๋ยไปโดยพลัน (ยังก๊ะโดนยานอนหลับ) ..

    ผมมาสดุ้งตื่นราวๆ ตีสอง ที่รู้เวลาเพราะพอตื่นปุ๊บก็ดูนาฬิกาปั๊บ มองไปไม่เห็นหลวงพ่อสิมฯ ที่ที่นอนของท่าน เหลือบไปอีกทีโอ้โฮเฮะ ! อะไรกันน่ะ มีคนเต็มถ้ำจนเรียกได้ว่าแออัด รูปร่างเหมือนคนแต่ตัวโปร่งใส แต่งตัวเหมือนพวกเล่นลิเก ทุกคนสำรวม และเคร่งขรึม หลวงพ่อสิมฯ นั่งอยู่บนอาสนะกลางถ้ำ ท่าทางเหมือนกำลังเทศน์ เพราะนุ่งห่มพาดสังฆาฏิเรียบร้อย พอผมผลุดลุกขึ้นนั่ง คนตัวใสๆ ก็หันมามองผมเป็นตาเดียว ทุกคนที่มองมาที่ผม และมีพลังออกมาให้ผมได้รับรู้ว่า พวกเขากำลังไม่สบายใจ จิตของผมรับสื่อที่เขาส่งออกมาว่า เขาขอโทษผม พอผมเริ่มจะตื่นเต็มตัว และอยากลุกขึ้นมาพูดจาด้วย แต่แล้วทันใดนั้นเสียงของหลวงพ่อสิมฯ ก็ลอยมาอีก

    “โยม นอนเสียเถิดนอนให้สบาย ไม่ต้องกังวล ที่นี่ปลอดภัย ไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่กิจของโยม นอนเสียเถิด อาตมาดูแลเอง” ...

    (จบข้อเขียนของท่าน พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา)
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
    สนทนากับหลวงปู่สิม

    ข้อมูลจาก : Watthasung.com » หนังสือธรรมะ ๕ » อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ (ตอนที่ 3 หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร)
    <TABLE id=table6 border=0 width=150><TBODY><TR><TD align=center>[​IMG]
    </TD>
    </TR><TR><TD align=center>พระครูสันติวรญาณ (หลวงพ่อสิม)
    วัดถ้ำผาปล่อง อ. เชียงดาว จ. เชียงใหม่
    องค์นี้ขึ้นชื่อโด่งดังมากในภาคเหนือ
    ดร.ปริญญา นุตาลัย นำคณะไปนมัสการหลวงพ่อสิม
    ตอนบ่ายวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๗
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    หลวงพ่อสิม (ส) : นิมนต์ถ้ำเลย โน่น ๆ ๆ เชิงดอย
    หลวงพ่อฤๅษี (ฤ) : ครับ ๆ แหม..ที่นี่สบาย ปกติพระท่านอยู่มากไหมครับ..ที่นี่ ?
    ส. : อ๋อ..ปกติ ก็เมื่อพรรษา ๙ รูป
    ฤ. : งั้นหรือครับ..พระที่อยู่นี่ท่านมุ่งดี?
    ส. : มุ่งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ฤดูแล้งนี้ขึ้น ๆ ลง ๆ
    ฤ. : ก็เป็นธรรมดา (ชี้รูปหล่อโลหะหลวงพ่อสิม) นี่ทำเมื่อไรครับ?
    ส. : นี่เขาเอามาเมื่อ ๒๔ ตุลา ดูจะใหญ่กว่าองค์จริง องค์จริงมันเล็ก แต่ดีกว่าองค์จริง ตั้งแต่มายังไม่เห็นไอสักที..เงียบ ! (หัวเราะ)
    ฤ. : หิวก็ไม่หิว เมื่อยก็ไม่เมื่อย ผมก็ว่าอย่างนั้น จับไปโยนน้ำสัก ๑๐ ปี เอาขึ้นมาก็ปกติ
    ส. : น่าน..!
    ฤ. : เอ๊ะ..ใครดีว่าใครกันแน่
    ส. : องค์นั้นแหละดี (พยักหน้าไปทางรูปหล่อ) (เสียงหัวเราะ)
    ฤ. : ถ้าองค์จริงเน่าเสียอย่างเดียว รูปหล่อมันก็ไม่เกิด ของเน่ามันเพาะไม่ขึ้น
    (คุยกันไปมาเรื่องสถานที่)
    ส. : เมษา ร้อน ๆ ก็นิมนต์อาจารย์มาพักนาน ๆ เย็นดี
    ฤ. : ก็ดี..แต่อีตอนเหาะขึ้นเหาะลงนี่แย่ เห็นจะต้องฝึกเหาะ วันนี้มีคนมีบุญมากจริง ๆ อยู่ ๓ คน
    ส. : อ้อ..น่าน !
    ฤ. : คนที่เป็นโรคหัวใจ (เสียงหัวเราะ) ถ้าไม่ตั้งใจจริง ๆ มาไม่ถึง..เพราะเหนื่อย
    ส. : อ้อ..ขึ้นสูงไม่ค่อยได้ ขาลงก็ง่ายละ
    ฤ. : แต่ขาลงกลัวจะเบรคไม่อยู่เสียอีก (เสียงหัวเราะ)
    ฤ. : ก็ดีเหมือนกันครับ เป็นการพิสูจน์ใจคน ถ้าเขาไม่มีศรัทธาแท้ก็มาไม่ถึง
    ส. : มาไม่ถึง
    ฤ. : มันไม่คละกันอยู่ จะให้อะไรก็ให้ง่าย สบายใจดี ไอ้ทางแบบนี้ ขึ้นบ่อย ๆ ก็หมดเรื่อง นาน ๆ ขึ้นก็แย่
    ส. : เส้นเอ็นมันรู้จักพัฒนา
    ฤ. : ครับ..ยังงี้ เขาเรียกสำนักพัฒนาเส้นเอ็น (เสียงหัวเราะ)
    (กับศิษย์) วันนี้ไม่ใช่วานซืนนะ ไม่ใช่หมู
    (กับ ส.) วานนี้ต้องคน ๆ เดียวครับ เขาจะไปพูดธรรมกัน เดิมหลวงพ่ออยู่ไหนครับ ?
    ส. : เดิม..อุปสมบทอยู่ขอนแก่น อยู่วัดศรีจันทร์ จังหวัดขอนแก่น แล้วก็ย้ายไปหลายที่ มาอยู่เชียงใหม่นี่นาน ตั้งแต่สมัยหลวงปู่มั่น ผมขึ้นมาเชียงใหม่นี่มัน ๓๐ กว่าปีแล้ว
    ฤ. : ยังงั้นหรือครับ
    ส. : เป็นเจ้าอาวาสที่วัดแม่ริม เมืองมันใกล้เข้ามาเรื่อย ก็เลยเปลี่ยนมาสิบกว่าวัด อยู่ในป่านี่สบายดี
    ฤ. : อยู่ป่าสบายดีครับ..มันสงัด ได้ทุกอย่าง แต่ดี..อยู่ในเมืองก็ดี อยู่ในเมืองก่อนแล้วมาอยู่ในป่าไม่อยากกลับเข้าเมือง ถ้าอยู่ป่าก่อนแล้วมันอยากกลับเข้าเมือง เพราะยังไม่รู้เรื่อง เห็นเมืองดีกว่า
    สายเหนือกับสายอีสาน เข้มแข็งในทางปฏิบัติ
    ส. : อีสานเคยไปบ่อยไหม?
    ฤ. :ไม่บ่อยหรอกครับ แต่ว่าเคยไปตอนหนุ่ม ๆ ตอนแก่แล้วไม่ไหว ตอนนี้แย่หน่อย ตามข่าวนะครับ..ธรรมปฏิบัติ เอาจริงเอาจังกัน หลวงพ่ออยู่กับหลวงพ่อมั่นกี่ปีครับ ?
    ส. : อยู่ตั้งแต่แรก บวชเป็นพระ ๒๔๖๙ สมัยนั้นอยู่ภาคอีสาน ต่อมาท่านขึ้นมาทางนี้ บวชเณรอยู่ ๓ พรรษา
    (มีคนถามท่านว่าบวชมากี่พรรษา ตอบ ๔๖ พรรษา)
    ฤ. : นิดเดียว ๔๖ พรรษาเท่านั้นเอง นั่งไล่เบี้ย (เสียงหัวเราะ) ถามน่ะ..ไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ เกรงจะเอาไปคิดเป็นหวย (เสียงฮา) ไล่ไปไล่มาชักสงสัย หมุนไปหมุนมา
    ส. : หลวงพ่อเท่าไร?
    ดำรง นุตาลัย : องค์นั้นบอกจริงไม่ได้ครับ
    ส. : ถ้าอย่างนั้น เอาหวยจากท่านไม่ได้
    ฤ. : บอกเข้าเดี๋ยวคิดเป็นเลข ก็ดี..กี่พรรษาก็ชั่งมันตัดหางออกไม่ได้
    (กับศิษย์) ดี..ยังงี้ดี ดี ไงรู้ไหม อ้าว..เราได้เปรียบไม่ต้องสร้างที่ เรามานอนสบาย หลวงพ่อเสียท่าเรา ยังมีอีกหลายองค์ไหมครับ พระที่สนใจอยู่ เท่าที่รู้จักนะครับ
    ส. : ก็พอมีอยู่บ้าง
    ฤ. : ที่สนใจ และตั้งใจดี สายเหนือ สายอีสาน ที่เข้มแข็งในการปฏิบัติ เอ๊ะ..ปริญญา ยังมีใครอีกองค์ อายุใกล้ ๆ กับหลวงพ่อแหวน
    ปริญญา : หลวงพ่อคำแสนครับ
    ฤ. : หลวงพ่อคำแสนวัดไหน ?
    ปริญญา : วัดดอนมูล สันโค้งครับ อยู่สันทราย หลวงพ่อ (สิม) รู้จักไหมครับ ?
    ส. : อ๋อ..เคยร่วมกัน อยู่คนละสาย แต่ร่วมอาจารย์กัน
    ฤ. : กำลังจะมีงานครับ อยากจะหาพระ แต่ไม่ใช่หานักบวชนะครับ
    ส. : อ๋อ..อือม์..หาพระแท้
    ฤ. : จะอาราธนาไปเป็นกรณีพิเศษครับ ไม่ต้องการให้เหนื่อยมาก หลวงพ่อแหวนเป็นผู้ใหญ่เฒ่ามาก?
    ส. : เฒ่ามาก
    ฤ. : หลวงพ่อคำแสนจะไปได้?
    ส. : พอไปได้อยู่
    ฤ. : หลวงปู่ตื้อไปเสียแล้ว เสียดายจริงครับ
    (หมายเหตุ :- หลวงปู่ตื้อเป็นพระมีชื่อเสียงอยู่ทางนครพนม และมรณภาพไปก่อนหน้านี้แล้ว บ้างก็กล่าวว่าท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมทิภาญาณ มีจุดสำคัญเฉพาะตัว คือ พูดตรงชนิด "ด่าไม่เลี้ยง")
    หลวงพ่อสิมถามหลวงพ่อฤๅษีลิงดำว่า เคยไปเยี่ยมหลวงปู่ตื้อหรือ ?
    ฤ. : เจอะกันครับ..ทะเลาะกัน
    (หมายเหตุ :- ระวัง ท่านไม่ได้ตอบว่าเคยไปเยี่ยม)
    ส. : ปฏิภาณโวหารมาก
    ฤ. : ดีมากครับ แหม ปฏิภาณเก่งจริง ๆ ยอดจริง ๆ นี่ได้ตัวปัญญาจริง ๆ หายากเสียดาย
    ส. : เคยถามสมัยท่านมีชีวิตว่า เอ..พระที่มีปฏิภาณโวหารนี่มีอยู่หรือในประเทศไทย ท่านตอบว่าไม่มี แต่ไอ้ปฏิภาณโวหารน่ะมันมี แต่ว่าเมื่อเพื่อนขัดคอมันมักโกรธองค์อื่นเป็นยังงั้น ไอ้ผมนะ..ขัดคอเฉยเสีย
    ฤ. : ธรรมดาท่านเก่งจริง ๆ ตอบปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างคาดไม่ถึง
    ส. : น่าน..คาดไม่ถึง
    ฤ. : ปริญญา..วันนี้หลวงพ่อขออย่าให้ถอย (เสียงหัวเราะ) วันนั้นนวดหนัก..ยั่วแก ความจริงพระเขาทำแบบนี้ ถ้าอารมณ์ยังข้องตอนไหนอยู่ก็พยายามตัด ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็ตัดไม่ออก
    ส. : อ้อ..!
    ฤ. : เราจะตัดเขา ไอ้เรา (เอง) ตัดได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ (เสียงหัวเราะ)
    ส. : มองคนอื่นมันมองเห็น มองเราเองมองไม่เห็น..มันใกล้ไป
    ฤ. : นี่หนีเข้ามาอยู่ในถ้ำแล้วนา ไฟฟ้ายังตามเข้ามา ประปามี น้ำร้อนยังมีให้
    ส. : เขามาตาม
    ฤ. : ครับ..เราไม่ได้ไปดึงเขามา น่ากลัวจะกลิ่นแรง (เสียงหัวเราะ)
    ปริญญา : กลิ่นศีล..หลวงพ่อ !
    ฤ. : ถ้ากลิ่นอย่างอื่น อย่าว่าแต่ไฟฟ้าประปาเลย เสื่อกระจูดก็ไม่มี อย่างพระอินทร์ท่านว่า คนมาทักว่า ยกหม้อพระบังคลหนักพระพุทธเจ้าไปเทได้ยังไง เทวดาย่อมรังเกียใจมนุษย์ ห่างร้อยโยชน์ก็ไม่อยากจะมา เพราะกลิ่นมนุษย์มันเหม็น ท่านบอกว่าก็เราหอมกลิ่นศีลนี่ ไอ้กลิ่นศีลมันไปกลบกลิ่นอุจจาระหมด
    ฤ. : (ปรารภ) อือม์..ชาวบ้านนี่เขารู้จักหาดี ความจริงนะโยม ฉันว่าชาวบ้านที่มาสงเคราะห์นี่โง่ เขาต้องสงเคราะห์พระมีพัดซี เขาว่างั้นต่างหากล่ะ พวกนี้โง่จัด..ไม่อยากลงนรก ไอ้เจ้าพวกนี้โง่มาก ถ้าสงเคราะห์หนักเกินไปละ ไม่ได้ผุดได้เกิด เจ้าพวกนั้นแน่ะ (เสียงหัวเราะ)
    (กับหลวงพ่อสิม) นะครับ..ระยำไม่รู้จักดี ไงปริญญา..อย่ามาบ่อยนักนะ ต่อไปจะไม่ได้ผุดได้เกิดมาที่นี่น่ะ สมัยเด็ก ๆ เขาด่าแบบนั้นเราโกรธนะ
    (หมายเหตุ :- ท่านคงฟังออกนะครับ ไม่ผุดไม่เกิดอีก หมายถึงไปนิพพานเสียแล้ว)
    ส. : ครับ
    ฤ. : เดี๋ยวนี้ ถ้าเขาด่าแบบนั้นจริง ๆ หลวงพ่อจะว่าไงครับ
    ส. : ก็ดี !
    (เสียงหัวเราะ)
    ฤ. : ชอบนะครับ?
    ส. : ใช่
    ฤ. : อารมณ์ไม่เท่าเด็กเสียแล้วซิ ความจริงมันแช่งผิดน่ะ มันแช่งให้เราหมดทุกข์น่ะ สำนักอาจารย์ฝั้น หลวงพ่อเคยสัมผัสมาหรือเปล่าครับ?
    ส. : อ้าว..ก็อยู่ร่วมกันมา
    ฤ. : คงไม่ไกลกัน?
    (หมายเหตุ :- ป่องสงสัยว่า คงหมายถึงว่า ท่านอาจารย์สิม ระดับคงไม่ไกลกับท่านอาจารย์ฝั้น)
    ส. : ก็…บ้านใกล้ ๆ กัน
    (อ้าว..หลบไปเสียโน่น)
    ฤ. : รุ่นนั้นมีใครบ้างครับแถวนี้ ที่พอเรียกว่าใช้ได้?
    ส. : มีอาจารย์ฝั้น อาจารย์ขาว อาจารย์ฝั้นเมื่อก่อน วันที่ ๑๒ ตุลาก็มา
    ฤ. : พระลูกศิษย์ มีสนใจทางนี้ไหมครับ
    ส. : มีบ้าง..คนสมัยนี้ไม่ค่อยสนใจ สนใจทางนอก
    ฤ. : ครับ..เขายังไม่เห็น
    ส. : นั่น ๆ เขายังไม่เห็น
    ฤ. : อีตอนนี้ซีครับ มารู้ว่าดีอีกทีหนึ่งตอนหลวงพ่อตายแล้ว ไอ้พวกนี้ เวลาอยู่ไม่ค่อยเอาหรอก…นะครับ
    ส. : เออ น่าน…น่าน !
    ฤ. : หลายองค์นะครับ..กว่าจะรู้ว่าอาจารย์ดีก็อาจารย์ตายไปเสียแล้ว
    ส. : น่าน..!
    ฤ. : พอเขาพูดว่าดีก็บอกว่า เอ๊..ฉันก็เป็นลูกศิษย์เหมือนกัน ทำไมไม่ได้ล่ะ
    ส. : ครับ
    ปริญญา : คืนนี้เอาไงดีครับหลวงพ่อ ?
    ส. : เอาหลวงพ่อใหญ่ท่านซี
    ฤ. : ผมไม่เอาครับ ผมไม่ใช่เจ้าของบ้าน เอางี้ซีครับ..เขามาเอาแล้ว หลวงพ่อต้องให้เขา
    (หมายเหตุ :- คือคณะกรุงเทพฯ จะมาเอาธรรมจากหลวงพ่อสิม)
    ส. : อ้าว..ก็ท่านอาจารย์ให้จนเต็มปรี่ยังจะเอาอีกอยู่หรือ ?
    ฤ. : เดี๋ยวก่อนครับ..ไอ้น้ำมันเต็มตุ่มได้ แต่ข้างตุ่มมันยังไม่สวย (เสียงหัวเราะ) มันไม่แน่นักหรอก คือว่าความชำนาญแต่ละฝ่าย สมัยเมื่อเด็ก ๆ นะครับ ผมหนุ่ม ๆ หลวงพ่อปานท่านก็สั่งเรื่อย ถ้าที่ไหนดีท่านไม่เคยกีดกันนึกว่าท่านดีกว่า ท่านบอกว่าแต่ละองค์ย่อมมีความชำนาญต่างกัน
    ส. : ครับ
    ฤ. : ลีลาต่างกัน..เพราะว่าความฉลาดทุกอย่างนี่ มีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียว
    ส. : ครับ
    ฤ. : มาที่นี่หลวงพ่อก็ต้องให้เขา (เสียงฮา) เขามาแล้วนี่
    ปริญญา : ผมขอเสนอ ๔ ธรรมมาสน์เป็นไงครับ ?
    ฤ. : หือ? ไม่ต้องหรอก อย่า…เผื่อเจอของดีเอาไปให้ได้ ไอ้ของเราเมื่อไรก็ได้สตางค์ของเรา เราใช้เมื่อไรก็ได้
    (หมายเหตุ :-มาทราบภายหลังว่าได้ประกาศไว้ว่า หลวงพ่อจากกรุงเทพจะไปเทศน์)
    ฤ. : ไม่..ไม่ควร
    ปริญญา : ไม่ควรหรือครับ
    ฤ. : มางี้..ไม่ควร เดี๋ยวพระพุทธเจ้าท่านว่าเอา
    ส. : อาจารย์ท่านฉลาด..ไปได้..ลอดไปได้ (เสียงฮา)
    ฤ. : ความจริงก็ฉลาดมาด้วยกัน ออกจากท้องแม่มาด้วยกัน เปล่า..เท่ากันแหละ ท่านสอนดีอยู่แล้ว ท่านจะไม่เอาเรื่องของท่าน แล้วยิ่งฟังหลายกระแสด้วยยิ่งไม่ดี อย่างพวกเรานี่ต่างหาก เพราะว่าพวกเราตั้งใจมา พวกเราไม่มีฝืน นอกจากจะเห็นว่าปรับปรุง ช่วยประคองให้ดีขึ้นนะ เอางี้ดีกว่านะ..กมลชัย เราจะได้นอนสบาย (เสียงฮา)
    เอางี้ก็แล้วกัน ถ้าเป็นพระที่ไม่พอใจนิดหนึ่งก็ไม่พาบริษัทมา ไอ้บ่อนี้ไม่มีน้ำเดินมาเหนื่อยเปล่า
    (หมายเหตุ :- อย่างนี้ป่องก็ต้องแปลว่าท่านรู้มาก่อนแล้วนะซี?)
    แหม..ดี จะได้เป็นเครื่องประดับ นะ เห็นว่าลีลาการปฏิบัติ มรรคผลย่อมถึงเสมอกัน แต่ว่าไอ้เกณฑ์แห่งการฉลาดหรือนัยหนึ่ง การชำนาญย่อมไม่เสมอกันนะ นี่ถ้ามีพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องไปหาใคร เพราะท่านรู้รอบ ไอ้พวกเรานี่มันได้ตะพดกันคนละอัน (เสียงหัวเราะ)
    นั่นอันโต นี่อันสั้น นั้นอันยาว ได้ไม่เสมอกัน พระพุทธเจ้าท่านมีอาวุธทุกอย่าง มันเหมาะกับใครอันไหนท่านก็จ่าย พวกเรามีอันเดียว ปล่อยดะ นี่มาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ต้องแจกตะพดเรา (เสียงหัวเราะ) จะได้สู้กับกิเลส เสียดายหลวงพ่อตื้อ หลวงพ่อตื้อไม่รูป ยังมีพิษนะครับ
    (หมายเหตุ :- คงหมายถึงว่าตายแล้วยังมีพิษ)
    ส. : อ้อ
    ฤ. : ฤทธิ์เดชมาก..ดีมาก
    ส. : บางทีเวลานี้ ท่านจะมาอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้
    ฤ. : ฮึ..มานานแล้ว ! (เสียงฮา) ไม่ใช่จะมา..มานานแล้ว ไม่ “จะ” หรอกครับ เป็นพระที่น่ารักมาก
    ส. : ครับ
    ฤ. : ชอบในปฏิปทา คือไม่อั้นใครทั้งนั้น เรื่องตอบเลี่ยงคนไม่มี ตรงไปตรงมาหายาก
    ส. : ครับ
    ฤ. : นี่ธรรมแท้ ถ้าขืนทำละพังเลย ขืนตั้งกำแพงเมื่อไรชนพังเมื่อนั้น ดีจริงหายาก หาไม่ได้ แต่ก็ยังมีอยู่ ที่นี่ก็ยังมีองค์หนึ่ง
    ปริญญา : ใครครับหลวงพ่อ ?
    ฤ. : นี่..อยู่ตามถ้ำนี้แหละ ไม่ช้าหรอก ไม่ช้าเป็นหลวงพ่อตื้อองค์ที่สอง
    ส. : (หัวเราะ)
    ฤ. : ก็เหมือนกัน แต่จะให้ใช้เสียงเท่ากันน่ะมันไม่ได้หรอกนะ พรรค์นี้มันของเดิมมานี่ครับ ของติดเดิมมา ลีลาต่าง ๆ
    ส. : แล้วก็ถ่ายทอดหลวงปู่ตื้อให้ฟังสักเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ดี
    ฤ. : พอแล้วครับ หลวงพ่อเก็บไว้เยอะแยะ พอแล้วครับ..ผมว่าไม่ใช่ถ่ายไปจากผม ผมต้องถ่ายจากหลวงพ่อ ไม่ช้าผีหลวงปู่ตื้อสิง (เสียงหัวเราะ)
    ว่ายังงั้นนี่ครับ จวนอยู่แล้ว ไม่ช้าเผลอ ๆ พ่อสิงเต็มตัวเมื่อไรก็ไม่รู้ เอ๊ะ..วันนั้นใคร พ.ต.ท. อนุชา ที่มาวันหลวงพ่อตื้อมรณะ แล้วหลงเข้าไปวัดหลวงพ่ออะไรนะ ใครเขามาหาหลวงพ่อตื้อครับ เขาไปหากระผมที่วัดโน้น บอก เอ๊ะ..แกเที่ยวไหว้พระเปะปะทำไมวะ หลวงพ่อตื้อมีอีกองค์ รีบไป..เดี๋ยวตาย แล้วมันไปช้าอยู่กี่วันไม่ทราบ มันมาพอดีวันตายเลย
    ส. : อ้อ
    ฤ. : มันหลงทางไป มาไม่ตรงวัดหลวงพ่อตื้อ ไปวัดไหนก็ไม่ทราบ ไปเจอะหลวงอะไร พอดีหลวงพ่อองค์นั้นได้รับโทรเลขแล้วท่านก็ไม่ได้ฉีกดู พอฉีกดู อ้าว ! หลวงพ่อตื้อมรณะ ให้รีบไป เลยอาศัยรถเจ้านั่นไป ม่ายยังงั้นไม่มีรถ นี่แสดงว่าหลวงพ่อตื้อมีฤทธิ์มาก ตายแล้วยังมีเดชให้ไอ้นั่นหลงทางมาชนเอาพระที่ท่านต้องการให้เป็นเจ้าภาพ พระอะไรไม่ทราบชื่อ ท่านบอกว่าพึ่งทราบว่าหลวงพ่อตื้อมรณะ แต่ไม่มีรถไป ไอ้เจ้านั่นก็ดันหลงทางไปวัดนั้นแหละ แสดงว่าหลวงพ่อตื้อไม่เลว ตายแล้วยังมีฤทธิ์
    (กับศิษย์) อยู่นี่แหละดี..กังวลน้อย กายวิเวกดี แล้วเราจะได้จิตวิเวกง่าย ๆ เมื่อจิตวิเวกเกิดขึ้น อุปธิวิเวกมันก็เกิด อันนี้สำคัญมาก ไอ้แดนที่อยู่นี่มันต้องเลือกเหมือนกัน ต้องเลือก..ใช่ไหมครับ ?
    ส. : ครับ
    ฤ. : ถ้าไม่เลือกก็แย่ ถ้าเราไปอยู่ในส้วมก็หากลิ่นหอมไม่ได้หรอก
    ส. : น่าน…น่าน
    ฤ. : นอกจากสุนัขหรือหมู นี่มีความสำคัญ กลางคืนมีแขกรบกวนเยอะไหม ?
    (หมายเหตุ :- คงหมายถึงแขกที่ไม่ใช่มนุษย์)
    ส. : อ้า..ไม่มีเท่าไร..กำลังสบาย !
    ฤ. : แขกไม่มี ?
    ส. : แขกก็ไม่มี มีแต่คนไทย (เสียงหัวเราะ)
    ฤ. : เออ..ยังจะคุยกันอีกนานไหมนี่” นี่เห็นไหมหลวงปู่ตื้อมาแล้ว..บอกแล้ว ประเดี๋ยวหลวงพ่อตื้อมา อันนี้ดี..อยู่ในป่า ผีปรากฏบ่อย ?
    ส. : ก็ปรากฏบ้าง
    ฤ. : นี่จึงจะพบของจริง นี่ละแขก ระวังนะ ผีดุที่นี่ ไปนั่งจ้องซี ถ้าอยากได้หวยผีมาก็ขอหวย ถ้าให้ไม่ได้ก็อายไป เลยไม่มา
    ศิษย์หญิง. : หวยไม่อยากได้ อยากได้พระธรรม
    ฤ. : อ้อ นึกว่าอยากได้ฎีกา..หลวงพ่อมี (เสียงหัวเราะ) พระธรรมจะเกิดได้ ต้องอาศัยความดีมีอยู่ ได้ดีอย่างอื่นนอกจากฎีกาก็ไม่น่ะ (เสียงหัวเราะ) ต้องเอาฎีกาไปก่อน หาความดีให้พบจึงได้พระธรรม คุยสนุก ๆ คืนนี้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อนะ

    เป็นอันว่าจบรายการสนทนาระหว่างหลวงพ่อทั้งสอง ส่วนในตอนค่ำเป็นการเทศน์ของหลวงพ่อสิม จะไม่นำมาลงไว้เพราะยังมีการสนทนาตอนอื่น ๆ อีก "ป่อง" ขอเสนอข้อสังเกตจากการสนทนาครั้งนี้

    ข้อแรก..หลวงพ่อสิมอาจจะสงสัยหรืออาจจะซ้อมดูว่า หลวงปู่ตื้ออยู่แถวบริเวณที่นั่งคุยกันหรือเปล่า ข้อนี้อาจเป็นไปได้ว่าหลวงพ่อสิมท่านมี “ตาทิพย์” มองเห็นอะไรต่ออะไรได้ เช่น เห็นหลวงปู่ตื้อ แต่การ “เห็น” เช่นนี้เป็นเรื่องคับอก เพราะเห็นคนเดียวจะบอกใครก็ยาก จะถามใครก็ยาก จึงทำให้มั่นใจไม่ได้ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ที่ท่านเห็นนั้นเห็นจริง ไม่ใช่ประสาทหลอก

    เมื่อปรารภออกมาหลวงพ่อฤๅษีลิงดำก็ยืนยันให้ว่าหลวงปู่ตื้อมาแล้ว มานานแล้วด้วย คำตอบนี้คงจะเป็นเครื่องให้กำลังใจว่าการเห็นนั้นหลวงพ่อสิมเชื่อได้เต็มที่ ทำให้เกิดความมั่นใจในเรื่องอื่นอีกมาก หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการซ้อมดูว่าหลวงพ่อฤๅษีจะมีทิพยจักขุญาณหรือไม่ก็เป็นได้

    เรื่องนี้..ในภายหลังหลวงพ่อฤๅษีเล่าให้ศิษย์ฟังว่า หลวงปู่ตื้อมานานแล้ว นั่งอยู่บนยกพื้น ฉะนั้น ตอนที่หลวงพ่อสิมนิมนต์ให้หลวงพ่อนั่งยกพื้นท่านจึงไม่นั่ง บอกว่า นั่งที่นี่ (ข้างล่างเสมอ ๆ กับหลวงพ่อสิม) เหมาะแล้ว

    ข้อสอง..หลายท่านอาจจะสงสัยว่าหลวงพ่อฤๅษีพูดอะไรที่ว่าหลวงปู่ตื้อจะสิงเต็มตัว ข้อนี้ต้องอธิบายว่า ใครต่อใครมักจะมา “ยืมปาก” หลวงพ่อพูดบ่อย ๆ ซึ่งไม่ใช่ลักษณะเข้าทรง แต่เป็นลักษณะดลใจมากกว่า อย่างประโยค “เออ ยังจะคุยกันอีกนานไหมนี่” นั้นก็เป็นเรื่องที่หลวงปู่ตื้อพูด ไม่ใช่หลวงพ่อ ท่านบอกว่าเราเป็นแขก จะไปพูดยังงั้นได้รึ ถึงได้อธิบายต่อท้ายทันทีว่า เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าหลวงพ่อตื้อมา (จับปากพูด)

    ข้อสาม..หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ บอกใบ้ว่าไม่ช้าคนอยู่แถวถ้ำก็จะเป็นอย่างหลวงปู่ตื้อ คือว่าหลวงพ่อสิมนั้นเองจวนจะสำเร็จกิจพระศาสนาแล้ว เรื่องนี้หลวงพ่อกระซิบกับพวกเรา ภายหลังว่าหลวงพ่อสิมยังติดนิดเดียว สงสัยว่าการมาของพวกเราคราวนี้คงเป็นการสะกิดอะไรบ้างอย่างทำให้ท่านหลุดพ้นไปได้เลย (ต่อมาภายหลังเพียงไม่กี่วันหลวงพ่อก็ตอบคำถามพวกเราว่าได้เป็นอย่างที่ท่านแจ้งไว้แล้ว คือหลวงพ่อสิม ขยับขึ้นไประดับเดียวกับหลวงปู่ตื้อแล้ว.


    ที่มา - หนังสือล่าพระอาจารย์
    ลอกเทป - ป่อง โกษา (พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2012
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เกร็ดประวัติหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร 2

    พ่อแม่ครูบาอาจารย์

    คำกล่าวที่เรียกว่า ” พ่อแม่ครูบาอาจารย์” นี้ ในแวดวงพระกรรมฐานสมัยก่อนนั้น เป็นเช่นนั้นจริงๆ ซึ่งอาจจะหาให้เห็นได้ยากขึ้นทุกๆ วัน ในสังคมยุคนี้

    หลวงปู่สิม พุทธาจโร ท่านปกครองพระเณรลูกวัดของท่านอย่างอบอุ่นใกล้ชิดเหมือนพ่อแม่ดูแลลูกๆ ภาพในอดีตที่ประทับใจคุณแม่นิ่มนวล (ผู้มีส่วนสำคัญในการสร้างวัดสันติธรรม) อีกภาพหนึ่งก็คือ เวลาที่พระเณรอาพาธหลวงปู่ท่านจะนั่งเฝ้าไข้อย่างสงบ ไม่ยอมห่างจนกระทั่งผู้ป่วยอาการดีขึ้น

    ครั้งหนึ่ง เณรน้อยนอนซมด้วยโรคพยาธิตัวเหลืองซูบซีด ผอมเพราะฉันอาหารไม่ได้เลย แม่ไล (โยมอีกท่าน) ได้เอายาถ่ายพยาธิมาถวาย เณรน้อยก็ฉันไม่ได้ อาเจียนออกมา ทำให้แม่ไลโมโหมากจะบังคับให้ฉันให้ได้ แต่หลวงปู่ซึ่งนั่งเฝ้าอยู่อย่างใจเย็นได้ปลอบประโลมเณรน้อยของท่านขึ้นว่า

    “วันพรุ่งเถอะเน้อ!! ไปบิณฑบาตได้กล้วยก่อน จะเอายาใส่ในกล้วยให้เณรน้อยฉัน”

    (จาก หนังสือพุทธาจาโรบูชา หน้า 24)


    บ่ ต้องท้อแท้อ่อนแอ บ่ต้องหน่ายแหนง



    คุณแม่นิ่ม สุภาวงศ์ อุบาสิกาลูกศิษย์ของหลวงปู่สิม พุทธาจาโรท่านหนึ่ง ท่านมักจะไปถือศีลแปดและปฏิบัติเนสัชชิกทุกวันพระ เธอเล่าว่า

    คืนวันพระวันหนึ่ง เธอเกิดความง่วงขึ้นมาอย่างสุดแสนจะทนทาน จิตใจอ่อนแอท้อแท้ รู้สึกอยู่แต่ว่า การไปถือเนสัชชิกเป็นการทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียว ก็เลยรำพึงรำพันกับตัวเองขึ้นมาว่า

    “เออ หนอ ! ที่เรามาปฏิบัติอยู่เวลานี้ ถ้าได้สำเร็จมรรคผลขึ้นมาบ้างก็ดีไป แต่ถ้าไม่ได้ไม่ดีอะไรขึ้นมา แล้วเรามาทุกข์ทรมานอย่างนี่เพื่อประโยชน์อะไร ไป..กลับไปนอนเป็นสุขสบายอยู่ที่บ้านเสียไม่ดีกว่าหรือ”

    ดูเหมือนว่าเธอจะรำพึงรำพันยังไม่ทันสิ้นกระแสความดีนัก พลันก็ได้ยินเสียงหลวงปู่เทศน์ขึ้นมาว่า

    “บ่ ต้องท้อแท้อ่อนแอ บ่ ต้องหน่ายแหนง ทำมาได้แค่ไหน ก็ให้ถือว่าเป็นปัจจัยนิสัย เป็นต้นทุนต่อไปในภายภาคหน้า ระวังให้ดีเถอะ เจ้าตัวถีนมิทธะ นี่มันตัวร้ายทีเดียว มันเป็นตัวขัดขวางมรรคผลนิพพาน มันนี่ล่ะที่พามาเกิดมาตายวนเวียนอยู่ ไม่รู้จักจบสิ้น”

    คำเตือนสติของหลวงปู่ ทำให้คุณแม่นิ่มท่านสามารถมีกำลังใจและสติปฏิบัติอุโบสถศีลและเนสัชชิกต่อไปได้

    (จากหนังสือพุทธาจาโรบูชา หน้า 24)
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่แสดงฤทธิ์



    เย็นวันหนึ่งมีโยมขึ้นไปหาหลวงปู่สิม พุทธาจโร ที่ถ้าผาปล่อง แล้วก็เอ่ยว่า

    “หลวงปู่ หลวงปู่ต้องแสดงฤทธิ์ให้ผมดู ไม่อย่างนั้นผมจะไม่นับถือพระศาสนา”

    “ได้!!!” หลวงปู่ตอบทันที “โยมนั่งๆ ไปเถอะ เดี๋ยวทนไม่ไหว หิวข้าวก็ลุกไปเอง…….นั่นล่ะหลวงปู่แสดงฤทธิ์แล้ว”

    แต่โยมคนนั้นก็ยังไม่ยอม นั่งคาดคั้นอยู่เป็นชั่วโมงๆ จะให้หลวงปู่แสดงฤทธิ์ท่านั้นท่านี้ หลวงปู่เอาแต่หัวเราะลูกเดียว จนในที่สุดโยมทนฤทธิ์หลวงปู่ไม่ไหว (คงหิวข้าวด้วยนั้นล่ะ) ลุกกลับไป ฯลฯ

    พอคล้อยหลังโยม พระอุปัฏฐากซึ่งคงอดกลั้นอยู่นานเต็มทีก็โพล่งออกมาว่า “โอ้ เจออย่างนี้บ่อยๆ น่าเบื่อแย่เลยน่ะครับ”

    “จะไปทุกข์ร้อนทำไมกับคนใจต่ำ”หลวงปู่ตอบด้วยเสียงเรียบเย็น “ไม่ได้มาเอาธรรมคำสอน จะเอาแต่ฤทธิ์อย่างเดียว”

    อีกโอกาสหนึ่งเมื่อพระอุปัฏฐากปรารภถึงเหตุผลที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามพระแสดงฤทธิ์ เพราะในความเห็นของตนเอง น่าจะทรงอนุญาตบ้างเพื่อจูงใจให้คนที่ไม่มีศรัทธา หันมานับถือศาสนา……

    หลวงปู่ตอบว่า “….. นั่นแหละคือความเสื่อมของพระพุทธศาสนาละ คือว่าบารมีของพระอรหันต์แต่ละองค์ไม่เท่ากัน พระอรหันต์ทั้งหมดมีกี่องค์ที่แสดงฤทธิ์ได้ พวกที่ได้โลกียฌานก็แสดงฤทธิ์ได้เหมือนกัน คนก็จะหลงผิดไปเลือกนับถือแต่ผู้มีฤทธิ์ ศาสนาก็เสื่อมล่ะทีนี้”

    (จาก หนังสือ ละอองธรรม หน้าที่ 38-39)


    ถอยหลังเข้าคลอง



    ในปี 2528 ช่วงนั้นผมศึกษาอยู่ในกทม. และเริ่มสนใจฝึกกรรมฐาน พอมีโอกาสว่างตอนปิดเทอม ก็จะขึ้นไปเชียงใหม่ไปกราบหลวงปู่สิม ที่ถ้ำผาปล่อง. ผมไปถึงตัวเชียงใหม่ในตอนเช้า แล้วแวะไปหาเพื่อนๆ สมัยเป็นเด็กๆ เจตนาเริ่มต้นจะเพียงไปทักทายถามสารทุกข์สุขดิบกันเท่านั้น…..เพื่อนของผมที่ไปหาในวันนี้เป็นเพื่อนผู้ชาย ประมาณ 6 คน มันก็จับกลุ่มกัน และก็จะพากันไปหาเช่าหนังวิดีโอ (แบบที่วัยรุ่นผู้ชายเขาชอบดูกันอ่ะครับ) มารวมหัวกันดู…..เอ เจตนาผมจะมากราบพระ ....แต่ถ้า ผมจะไม่ดูไปกับเขาด้วย เดี๋ยวมันก็จะดูแปลกแยกออกจากหมู่เพื่อนฝูง โดนมองว่าเป็นตัวประหลาดอีก ก็เลยต้องนั่งดูไปกับเขาด้วย. พอตอนบ่ายแก่ๆ ก็เดินทางไปถึงเชียงดาว แล้วขึ้นถ้ำไป..

    ก็ได้กราบหลวงปู่สิมตอนเวลาประมาณสักสี่โมงเย็น……

    ตอนนั้นท่านกำลังต้อนรับคณะศรัทธาที่ขึ้นไปกราบท่านอยู่พอดี…… พอคณะนั้นกลับแล้ว ผมจึงเข้าไปกราบท่านต่อ…… ท่านก็ทักทายและเมตตามาก……. ก่อนที่จะกราบลาท่านไปอาบน้ำเข้าที่พัก ท่านก็พูดเปรยๆ ขึ้นเรียบๆ ตามไสตล์ของท่านว่า

    “……เออ ให้ภาวนาน่ะ อย่าไปมัวแต่ไปดูวิดีโอ อยู่ก็แล้วกัน!!!

    เหตุการณ์ที่ท่านจะเตือนผมก็มีอีกครั้งหนึ่ง……ในช่วงนั้น ราวปี 2530 ผมภาวนาได้ค่อนข้างดีขึ้นอยู่ช่วงหนึ่ง….. แต่แล้วจู่ๆ ความเพียรมันตก มันก็หมดแรงไปเสียเฉยๆ . วันหนึ่งผมไปกราบท่านที่บ้านกรุงเทพภาวนา ที่สุขุมวิท (ญาติโยมนิมนต์ท่านลงมา) พอว่างจากผู้คน ท่านก็หันมาทางผมแล้วกล่าวเปรยๆ ขึ้นว่า

    “ทำไมถึง ภาวนาแบบถอยหลังเข้าคลองอย่างนั้นล่ะ”
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เมตตาพระอาคันตุกะ



    ครั้งหนึ่งมีพระอาคันตุกะไปจำพรรษาที่ถ้ำผาปล่อง จะเป็นด้วยสำคัญผิดในความรู้ระดับปริญญาของตนเอง หรือมีมิจฉาทิฏฐิมาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ทราบ แต่ล่ะวันหลวงพี่ก็เลยทำความเพียรด้วยการวิพากษ์ วิจารณ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปเรื่อยๆ

    “พระพุทธเจ้ามีจริงเรอะ? ที่สอนๆ เล่าๆ กันมาว่า ปฏิบัติอย่างนั้นได้ผลอย่างนี้ ครูบาอาจารย์องค์นั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อะไรทั้งหลายน่ะ ไม่เชื่อหรอก!!! …..”

    หลวงปู่ท่านได้ยินอย่างไรก็ไม่ทราบ วันหนึ่งลูกศิษย์ลูกหาก็ต้องสะดุ้ง เมื่อท่านกัดฟัน (ปลอม) เทศน์เสียงเข้ม เปรี้ยงปร้างออกมาว่า

    “ พระพุทธเจ้าน่ะ พระองค์เป็นบุคคลพิเศษ …… คุณวิเศษของพระองค์เกิดจากการบำเพ็ญบารมีมานับอสงไขย…… เป็นคุณวิเศษเฉพาะ ที่ความรู้ความสามารถของคนธรรมดาเข้าใจไม่ได้หรอก”……และลงท้าย หลวงปู่ก็สรุปเสียงหนักว่า

    “ แกไม่เชื่อ ก็แล้วแต่แกสิ”

    (จากหนังสือละอองธรรม หน้า90)


    เมตตาพระชะตาขาด



    ลูกศิษย์หลวงปู่องค์หนึ่ง เป็นโรคลมชักเนื่องจากเนื้องอกในสมอง แต่เมื่อเข้ามาสู่เพศบรรพชิต (บวชเณร) ไม่นาน กลับไปตรวจร่างกายพบว่าเนื้องอกทุเลาไป ท่านจึงอธิษฐานบวชตลอด …… ตอนที่ยังเป็นเณรอยู่ที่ถ้ำผาปล่อง พระได้ใช้ให้ท่านขึ้นต้นมะพร้าว เมื่อหลวงปู่มาเห็นเข้าท่านก็ดุลั่นเลย สั่งให้พระรีบเรียกเณรลงมาพร้อมกับสำทับว่า “….มันยังจะตกต้นมะพร้าวตายน่ะ”

    เมื่อถึงโอกาสที่จะได้บวชเป็นพระ ….. ก็มีโยมคัดค้านว่าเณรรูปนี้บวชไม่ได้ เพราะเป็นโรคที่เป็นข้อห้ามตามพระวินัย พระอุปัชฌาย์ก็จนใจจึงแนะนำให้กลับไปบวชที่บ้านเกิด ทำให้เณรรู้สึกผิดหวังมากที่ไม่ได้บวชกับหลวงปู่…… พระอุปัฏฐากเห็นอาการเศร้าสร้อยของเณรแล้วก็สงสาร อยากสงเคราะห์ให้เณรสมปรารถนา….. เมื่อได้โอกาสพระอุปัชฌาย์มาทำบุญครบรอบวันเกิดของหลวงปู่ ท่านจึงกราบเรียนหลวงปู่ถึงปัญหานี้ต่อหน้าท่านพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่จึงเอ่ยปากขอร้องว่า “ มหา บวชให้ทีน่ะ เรารับรอง”

    เมื่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์สั่งขนาดนี้ มีหรือท่านอาจารย์มหาจะขัดข้อง การเตรียมงานอุปสมบทเณรจึงเป็นไปอย่างคึกคัก หลวงปู่เมตตาจัดบริขารทุกอย่างสำหรับการอุปสมบทด้วยองค์ท่านเอง ประคตเอวก็ให้ใช้ของท่าน มีดโกนก็หยิบเอาจากย่ามของท่าน พิธีอุปสมบทมีขึ้นที่วัดสันติธรรม หลวงปู่สั่งพระทุกรูปจากถ้ำผาปล่องไปร่วมงาน องค์ท่านเองไปนั่งเป็นประธาน พระที่วัดสันติธรรมทั้งหมดก็เข้าร่วมงานด้วย วันนั้นมีพระเข้าร่วมอุโบสถกรรมทั้งหมด 30 รูป ยิ่งใหญ่สมชื่อทีเดียว โยมที่เคยคัดค้านการบวชก็เลยต้องกลับลำกระโดดเข้าช่วยงานอย่างแข็งขันน่าปลื้มใจ

    เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงพี่รูปนี้ก็ยังพำนักที่ถ้ำผาปล่องเรื่อยมาจนกระทั่งหลวงปู่ดับขันธ์ …… หลังจากงานพระราชทานเพลิงศพผ่านไปแล้ว ท่านก็กราบลาครูบาอาจารย์ที่ถ้ำผาปล่องกลับไปช่วยพัฒนาวัดที่บ้านเกิด…..ระยะก่อนที่ท่านจะมรณภาพ มีคนได้ยินท่านปรารภความฝันให้ฟังว่า ” หลวงปู่มาชวนไปอยู่ด้วย “

    วันหนึ่งท่านก็สังเกตเห็นต้นมะพร้าวยืนตายที่ข้างทางเข้าวัด ท่านจึงปีนขึ้นไปเพื่อจัดการกับกิ่งแห้งและลูกมะพร้าวแห้งซึ่งมีอยู่เป็นอันมาก ถ้าเกิดมันหล่นลงมาก็จะเป็นอันตรายกับคนข้างล่างได้….. แต่จะเป็นเพราะโรคประจำตัวกำเริบโดยปัจจุบันทันด่วนหรือเป็นเพราะอะไรก็สุดจะคาดได้ เพราะที่หล่นนั้นไม่ใช่กิ่งหรือลูกมะพร้าว แต่เป็นตัวท่านเอง!!!

    พรรษาแปด หลวงพี่ มรณภาพในผ้าเหลือง

    “ตกต้นมะพร้าวตาย” อย่างที่หลวงปู่ปรารภจริงๆ

    (จากหนังสือ ละอองธรรม หน้า 94)
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๕๕๕ ขบวนการบ้าหวย



    มีความเชื่อกันว่าพระป่าบางรูปทรงอภิญญา คือความสามารถพิเศษในการรับรู้เหนือกว่าประสาทสัมผัสธรรมดา..

    และความรู้เหล่านั้นบางครั้งก็อาจจะไปเกี่ยวข้องกับเลขหวยเข้า.

    จึงมีบางท่าน แทนที่จะไปกราบครูบาอาจารย์เพื่อฟังอรรถ ฟังธรรม.

    ก็กลับกลายเป็นดั้นด้นเข้าไปหาเลขในสารพัดรูปแบบและวิธีการ.

    มีเรื่องตลกเกี่ยวกับครูบาอาจารย์กับพวก "ขบวนการบ้าหวย" มาเล่าให้ฟัง

    หลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ์ ผู้ทรงธุดงควัตรอย่างเคร่งครัดตลอดชีวิต.

    ท่านก็ต้องผจญกันกับพวกขบวนการบ้าหวยอย่างดุเดือด

    คุณพ่อของผมท่านเล่าให้ฟังว่า พวกบ้าหวยจะไปตีความเอาตัวเลขจากการใช้ชีวิต อิริยาบถ คำพูด และ ฯลฯ ของท่าน

    ท่านเคยยืนยันว่าท่านไม่เคยให้เลขแก่ใคร แต่ก็แปลกมาก ที่พวกขบวนการบ้าหวยนี้มันจะแปลและแทงถูกออกบ่อยๆ จนท่านแทบจะไม่เป็นอันประกอบสมณกิจ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านคงจะรำคาญสุดๆ ท่านจะนั่งหันหลังและยื่นก้นออกมาใส่หน้านั้นล่ะครับ คงเพราะเบื่อสุดๆ และไม่อยากพูดคุยอะไรกับพวกนี้อีก.

    เชื่อไหมครับ ว่ามันยังอุตส่าห์เอาไปตีเป็นเลขหวยและดันทะลึ่งแทงถูกซะอีกแน่ะ!!!

    หลวงปู่ สิม พุทธาจโร ท่านก็เป็นครูบาอาจารย์อีกองค์หนึ่งที่ต้องผจญกับพวกบ้าหวย

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง เถ้าแก่คนหนึ่งขึ้นไปกราบหลวงปู่บนถ้ำผาปล่อง.

    หลวงปู่ท่านก็เมตตาให้เณรไปเอาชามาชงให้เถ้าแก่ดื่ม.

    เถ้าแก่ท่านนั้นก็รีบไปดูว่า ชานั้นยี่ห้ออะไร

    ชานั้นเป็น ชายี่ห้อ ๕๕๕ ..

    เถ้าแก่ท่านนั้นก็เลยเอาไปตีเป็นเลขหวย

    และมันก็ดันออกเลขนี้เสียอีก!!! เรื่องนี้มีผู้ไปกราบให้หลวงปู่ทราบภายหลัง ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ให้เลขใครหรอก ท่านก็ไม่รู้ว่ามันไปตีถูกกันได้อย่างไรเหมือนกัน..

    และบางครั้ง หลวงปู่ยืนอยู่บนกุฏิชั้นสองตรงระเบียงหน้า เห็นพวกขบวนการนี้มาแต่ไกล ท่านก็จะชี้มือเข้าไปในป่า และบอกให้พวกนั้นไปถามเลข กับอาจารย์หมี ในป่าเอา..

    ข่าวไม่ได้บอกมาว่าพวกนั้นได้เลขเด็ดกับอาจารย์หมีในป่าบ้างไหม

    แต่จะพูดไป....คนใกล้ตัวผมก็มีน่ะครับ ที่สังกัดขบวนการนี้อยู่เหมือนกัน.

    คุณแม่ผมท่านเป็นผู้ที่มีศรัทธาในพระศาสนา ชอบทำทานรักษาศีล ไปกราบทำบุญกับพระสุปฏิปันโน แต่ภาวนาน้อยไปหน่อย.

    เวลาท่านไปที่ไหน ท่านก็ชอบไปดูและตีเลขกับเขาเหมือนกัน ท่านบอกว่าแก้เซ็ง .

    ผมไม่เห็นด้วยหรอกครับ เพราะมันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ เคยเตือนท่านบ่อยๆ แต่ก็ไม่อยากจะไปขัดใจอะไรท่านมาก.

    มีอยู่วันหนึ่งท่านทำกับข้าวอยู่ในครัว.

    ท่านเรียกน้องสาวผมเสียดังลั่น

    ผมตกใจนึกว่ามีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้น.

    เรื่องมีอยู่ว่า ท่านตอกไข่ใส่กะทะและไข่มันดันทะลึ่งขดตัวเป็นสายๆ เห็นเป็นเลขเข้า.....ผมนึกถอนใจว่า เฮ้อ แม่เราชักจะหาเลขมากไปแล้ว

    แต่มันก็ตลกสุดๆ ว่างวดนั้นมันดันออกเลขนั้นจริงๆ ..

    นี่พูดถึงเฉพาะที่ถูกน่ะครับ ที่ผิดก็ออกเยอะไป
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ปฏิบัตินอกแบบแต่อยู่ในใจ



    พระเถระอีกรูปหนึ่งเป็น "เจ้าแห่งปัญหา" เพราะในการภาวนานั้น ท่านเล่าว่า มีปัญหาติดขัดต้องไปกราบถามบ่อยๆ หลวงปู่สิมก็เมตตาแนะนำอุบายต่างๆ ซึ่งท่านออกตัวว่าอาจเป็นอุบายเฉพาะสำหรับท่าน (หลวงปู่สิมเอง) ก็ได้

    "สำหรับเราน่ะ หลวงปู่ไม่เน้นวิธีการ ท่านบอกว่าเอาวิธีไหนก็ได้ มันเป็นภาวนาทั้งนั้น ไม่จำเพาะจะต้องภาวนาหลับตา.สำคัญที่ใจ"

    เวลาลูกศิษย์กราบเรียนถามปัญหาในการปฏิบัติ หลวงปู่ไม่ค่อยตอบ บางทีก็เหมือนกับตอบไปคนล่ะเรื่องกับที่ถาม

    "ท่านชอบให้ลูกศิษย์ใช้ปัญญาแก้ปัญหาเองมากกว่า ถ้าท่านตอบแล้วเราต้องเอาไปพิจารณา คำตอบของท่านมักให้ไว้ล่วงหน้า บางทีเพียรปฏิบัติตามไปๆ ปีหนึ่งหรือบางทีสามถึงสี่ปี จึงเข้าใจว่าที่ท่านสอนนั้นจริงและตรง"

    ครั้งหนึ่งไปกราบเรียนถามท่านว่า ” ภาวนาจิตสงบแล้ว….ต่อไปจะทำอย่างไร?”

    หลวงปู่ตอบว่า” ภาวนาไม่เป็นนี่…. เราสอนให้ภาวนาละกิเลส แต่นี่ภาวนาเอากิเลส”

    ฟังแล้วก็งง หลวงปู่ก็เลยอธิบายต่อไปว่า

    ”….เห็นในปัจจุบันเป็นหนึ่งเดียว…..

    …. มีสติ เห็นตามความเป็นจริงเท่าที่เห็น…..

    …..มีปัญญา เลิกละความยึดมั่นถือมั่น จิตก็หยุดไม่สงสัย…..

    …..เป็นการเห็นเพื่อการเลิกละทั้งหมด…..

    …..เป็นการรู้เพื่อการเลิกล่ะทั้งหมด.....

    …..การภาวนานั้น ไม่ได้เอา เป็นการละกิเลส…..

    …..อะไรๆ ที่จิตมันชอบ-ไม่ชอบ บังเกิดมีขึ้นนะ บ่ ต้องไปเอา…..

    …..มรรค ผล นิพพาน ก็ไม่ต้องเอา….."

    (จากหนังสือละอองธรรม หน้า 30)
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ปล่อยไปก่อน



    พระเถระ (ที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่สิม) องค์หนึ่งซึ่งญาติโยมห่วงใยในข้อวัตรของท่านมาก เมื่อห่วงมากก็กังวลมาก.จึงมีเรื่องไปปรารภกับหลวงปู่สิมอยู่เสมอ

    "ทำไม ท่านองค์นี้เก็บเนื้อเก็บตัวจังเลยครับหลวงปู่....

    สวดมนต์ทำวัตรก็ไม่ค่อยมาประชุมกับหมู่คณะ

    อายุพรรษาท่านก็มากแล้ว ทำไมไม่เห็นไปธุดงค์บ้างเลย....ฯลฯ "

    แล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกสารพัดเท่าที่โยมคิดว่าพระที่ดีในสายตาของโยมพึงปฏิบัติ

    โดยมากเมื่อโยมบ่น หลวงปู่มัก "วางเฉย เหมือนแผ่นดิน".....จนกระทั่งเห็นว่า โยมชักกังวลบ่นพร่ำเกินเหตุ ท่านก็ชี้แจงเอื่อยๆ ว่า

    "บ่ต้องไปกังวลกับเพิ่น (ท่านพระเถระองค์นั้น) ถึงเวลาเพิ่นก็ออกมาเอง ฆราวาสเราไม่ค่อยรู้เรื่องพระหรอก.อยากธุดงค์ก็เดินรอบวัดนี่แหละ ชอบป่าไหน อยากหยุดก็หยุดซิ"

    และการณ์ก็เป็นอย่างที่หลวงปู่ว่าไว้ไม่ผิด คือ "ถึงเวลาจำเป็น" ลูกศิษย์ของหลวงปู่ก็ออกมาปฏิบัติหน้าที่ตามสมควรแก่สถานภาพของตนเองโดยไม่บิดพลิ้ว

    (จาก หนังสือละอองธรรม หน้า30)


    ผู้รู้....มีอยู่ในโลก (1)



    ในโอกาสอันเหมาะอันควร หลวงปู่สิมท่านก็จะ "ดักคอ" ลูกศิษย์ให้ได้สะดุ้งกันเสียทีหนึ่ง บางท่านเจอบ่อยจนคิดว่า "อยู่ต่อหน้าหลวงปู่ ไม่กล้าคิดอะไร กลัวท่านรู้"

    ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงปู่ไปสกลนคร ปกติแทบทุกครั้งที่ไป หลวงปู่แวะพักผ่อนคลายอิริยาบถที่ศาลาริมน้ำวัดท่าวังหิน

    วันนั้นเมื่อหลวงปู่ไปถึง ลูกศิษย์ออกมารับย่าม แล้วก็เดินตามหลวงปู่ไปเงียบๆ .

    แต่ความคิดนั้นไม่ยอมเงียบ

    "เอ!!! เวลาเราอยู่คนเดียว การกระทำทางกาย วาจา จิตของเราที่ไม่ดี.หลวงปู่จะรู้ไหมน้อ..การกระทำ ความคิดของคนเรา ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง .....มีผู้รู้หรือเปล่า???"

    หลวงปู่ซึ่งเดินนำหน้าลูกศิษย์ผู้ช่างคิดตอบขึ้นทันทีว่า

    "ท่าน......ผู้รู้มีอยู่ในโลก"

    (จากหนังสือละอองธรรม หน้า 32)
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ผู้รู้....มีอยู่ในโลก (2)



    อีกครั้งหนึ่งเมื่อไปกราบหลวงปู่สิมที่บ้านกรุงเทพภาวนา ระหว่างนั่งรอเพื่อให้โอกาสญาติโยมเข้าถวายของหลวงปู่ ก็มีเวลาให้จิตปรุงแต่งได้แสดงบทบาทโต้ตอบกัน

    "ของถวายหลวงปู่มากมายจริงๆ ศิษย์น่าจะได้รับแบ่งบ้าง วัดเรายังแร้นแค้น เทียนที่จะจุดในกระท่อมก็หายาก น้ำตาลจะฉันยังไม่มีเลย.

    เอ๊ะ ทำไมจึงคิดโลภไปอย่างนั้น

    ก็มันไม่มีนี่!"

    จนกระทั่งได้โอกาสเข้าสนทนาธรรม แล้วถึงเวลากราบลา ก็ต้องกระอักกระอ่วนใจเต็มที เมื่อหลวงปู่ผลักของที่กองอยู่ข้างๆ ตัวท่านมาให้ จำเพาะเป็นของที่คิดอยากได้ทั้งนั้น!

    (จากหนังสือละอองธรรม หน้า 33)


    ผู้รู้....มีอยู่ในโลก (3)



    ช่วงฤดูฝนปีหนึ่ง หลวงปู่สิมไปสกลนคร ท่านพักในกระท่อมที่บ้านบัว ตรงข้ามกับวัด.

    ระยะนั้นพอดีลูกศิษย์ก็กำลังปั่นป่วนรวนเรด้วยโลกธรรมกระทบ จิตหวั่นไหว ฟูๆ แฟบๆ ไปตามสรรเสริญนินทา

    เลยพาลโทษวัดบ้าง โทษกุฏิบ้าง โทษโยมบ้าง ....ว่าไปเรื่อย.

    จนในที่สุดก็คิดหนี

    เมื่อตัดสินใจว่าไปแน่ ก็ผลุนผลันออกจากกุฏิ จะไปกราบลาหลวงปู่

    พบท่านคอยอยู่ระหว่างทาง

    หลวงปู่เตือนสติลูกศิษย์ด้วยคำอุปมาว่า

    "ท่าน ห้ามเสียงกบเสียงเขียดได้ไหม.

    กบเขียดที่มันร้องน่ะ มันฆ่าตัวมันเองน่ะ

    มันร้องว่า ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่นี่.... คนก็มาจับไป"

    ยิ่งโดนหลวงปู่ดักคอบ่อย ยิ่งมีอานิสงส์มาก ลูกศิษย์ก็เลยอยู่หมัด.

    หนีก็ไม่หนี สึกก็ไม่สึก

    อยู่มาจนปัจจุบันท่านเป็นประธานของสำนักสงฆ์ที่ท่านคิดหนีตอนนั้นนั่นเอง

    (จากหนังสือละอองธรรม หน้า 33-34)
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เคารพพระธรรม



    หลวงปู่สิม พุทธาจโร .ในตอนที่ท่านยังหนุ่มอยู่ ในช่วงนั้นท่านจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ร่วมกับครูบาอาจารย์ที่สำคัญอีกหลายองค์.

    มีการกำหนดให้ผลัดกันขึ้นแสดงธรรมทีล่ะองค์.

    เหตุการณ์เช่นนี้ก็เวียนหมุนกัน ผลัดกันขึ้นแสดงธรรมทีล่ะองค์มาเสมอ. มีอยู่วันหนึ่ง เป็นคิวของหลวงปู่สิม และเกิดเหตุบางประการเป็นเหตุให้ทั้งพระและฆราวาสไม่สามารถมาร่วมกันฟังธรรมได้

    มีนั่งกันอยู่ในวิหารเพียง 3-4 คนเท่านั้น.

    หลวงปู่สิมท่านก็ขึ้นธรรมมาสน์แสดงธรรมตามปกติ เรียกว่าไม่แตกต่างจากเวลาที่มีคนมาฟังกันมากๆ เท่าใดเลย..

    ท่านยังคงแสดงธรรมอย่างตั้งใจเต็มที่.

    ครั้นแสดงธรรมเสร็จ ก็มีญาติโยมมากราบเรียนถามท่านว่า วันนี้คนมากันน้อยมาก หลวงปู่ไม่น่าแสดงธรรมให้เสียเวลาเลย เหนื่อยเปล่าๆ . หลวงปู่ท่านเมตตาตอบเรียบๆ ว่า

    "คนไม่ค่อยมากัน แต่เทวดามากันเต็มวิหารเลย"

    ผู้เผชิญมรณะภัยอย่างสงบ



    ครูบาอาจารย์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ แต่ล่ะท่าน...... ก็ล้วนแต่ต้องมีวาระสุดท้ายด้วยกันทั้งนั้น....... บางท่านก็มีวิบากขันธ์น้อย...... บางท่านก็มีวิบากขันธ์มาก........ แต่ทุกท่านล้วนแต่ที่เป็น"สุคโต" หรือผู้ไปแล้วด้วยดี ย่อมล้วนแต่ผู้ที่มีสติทำกาละ...... ไม่หลงตายแบบปุถุชนเรา-ท่าน

    ครูบาอาจารย์บางท่าน กว่าจะมรณภาพ ก็ต้องเผชิญกับวิบากกรรมในอัตภาพขันธ์สุดท้ายมาก...... เช่น หลวงปู่ชา หลวงปู่แหวน ท่านอาจารย์บุญจันทร์ . แต่ครูบาอาจารย์อีกหลายๆท่าน ท่านก็ไปแบบง่ายๆ ไม่ต้องรับวิบากกรรมในอัตภาพสุดท้ายมากนัก เช่น หลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่สิม ๆลๆ
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ขอเล่าถึง การเผชิญความตายอย่างสงบของหลวงปู่สิม พุทธาจาโรให้ฟัง...... ในช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายของชีวิตท่าน ท่านยังจำพรรษาที่เชียงดาวอยู่ แต่ก็มีข่าวว่าลูกศิษย์ทางสกลนครจะอาราธนาให้ท่านกลับบ้านเกิดที่สกลนคร. ในช่วงนั้นทางวัดกำลังจัดสร้างเจดีย์พิพิธภัณฑ์บริขารของท่านอยู่...... เพื่อนของคุณแม่ของผม ได้ไปกราบเรียนถามท่านว่า

    "......หลวงปู่ค่ะ ถ้าหลวงปู่ไปจำพรรษาที่สกลนครแล้ว เจดีย์ที่เพิ่งสร้างเสร็จนี้จะทำอย่างไรต่อ...."

    หลวงปู่ตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า "ก็..... ให้เอากระดูกมาใส่"

    คุณแม่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง...... ผมรู้ทันทีว่าหลวงปู่ปลงอายุสังขารแล้ว

    ปกติองค์หลวงปู่ท่านจะมีโรคประจำตัวคือโรคเก๊าท์ และน้ำตาลในเลือดต่ำ..... แต่สุขภาพโดยรวมของท่านก็ค่อนข้างดีสำหรับผู้ที่อายุ 80 กว่าปี..... มีอาจารย์แพทย์อาวุโสท่านหนึ่ง ท่านเคยไปอุปัฏฐากรักษาหลวงปู่ถึงที่วัด ผมก็เคยได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์แพทย์ท่านนี้. มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสพูดคุยถึงหลวงปู่สิมกับอาจารย์ท่านนี้ ผมมั่นใจว่าหลวงปู่สิมท่านอ่านความคิดผู้อื่นออก...... ผมกำลังจะถามอาจารย์แพทย์ท่านนี้ท่านเคยเจอเหมือนอย่างที่ผมเคยเจอไหม..... อาจารย์แพทย์ท่านนี้ก็ดูเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังจะถามความเห็นเรื่องใด ท่านเลยพูดออกมาเองว่า "....หลวงปู่ท่านอ่านความคิดได้.....".

    เรื่องสุขภาพหลวงปู่ในช่วงสุดท้ายนั้น ถ้าเป็นคนภายนอกอาจจะไม่รู้ว่าความจริงท่านก็กำลังเผชิญกับโรคที่ร้ายแรงอยู่เหมือนกัน แต่เป็นเพราะท่านมีกำลังจิตอันเยี่ยมยอด ท่านจึงไม่แสดงออกมาให้คนอื่นต้องร้อนใจไปกับท่านด้วย. ในช่วงไม่กี่วันสุดท้าย ก่อนจะมรณภาพ สมเด็จพระราชินีนิมนต์ท่านเข้าวังในวันที่12สิงหา...... ในวันที่13 ระหว่างเดินทางกลับ ท่านได้กล่าวขึ้นว่า

    "....หลวงปู่หมดภาระ หมดเรื่องหมดราวเสียที......"

    โยมที่ใกล้ชิดท่านถามท่านว่า หลวงปู่เหนื่อยไหม...... หลวงปู่ตอบเฉยๆว่า "..... เหนื่อยจนพูดไม่ถูกแล้ว....."

    มีพระเข้าไปกราบนิมนต์ขอให้หลวงปู่ดำรงขันธ์อยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ หลวงปู่ไม่รับนิมนต์ แต่ย้อนถามกลับว่า ".......คนนิมนต์น่ะ จะอยู่ได้หรือเปล่า....."

    เช้ามืดวันรุ่งขึ้น (14 สิงหาคม 2535 ) หลวงปู่ก็มรณภาพ!!!
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ความฝันที่ไม่มีวันลืม



    ต่อจากความเห็นข้างบน......ในช่วงสุดท้าย ก่อนที่หลวงปู่สิมจะมรณภาพนั้น ผมไม่ได้อยู่ที่เชียงใหม่ ต้องกลับไปปฏิบัติราชการที่ภูมิลำเนาเดิม

    ผมพอจะคาดเดาได้ว่า หลวงปูท่านคงจะวางขันธ์แล้ว...... แต่ก็ไม่คาดคิดว่ามันจะรวดเร็วจนตั้งตัวกันไม่ทันเช่นนี้!!! ผมเองอยู่ไกล จึงไม่ได้ข่าวว่าหลวงปู่อาพาธหนักแต่อย่างใด..... ที่ผมเล่าในความเห็นข้างต้นนั้น เรื่องรายละเอียดการอาพาธของหลวงปู่นั้นทราบจากลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดภายหลังน่ะครับ.......

    ในคืนก่อนที่หลวงปู่จะมรณภาพนั้น ผมฝันแปลกประหลาดมากครั้งหนึ่ง..... ยังจำภาพนั้นติดตามาถึงทุกวันนี้

    ในความฝันนั้น ผมเห็นภาพของหลวงปู่สิมนอนป่วยอย่างหนักอยู่บนเตียง...... และภาพต่อมาที่ผมเห็นนั้น คือ ภาพของต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งล้มโค่นลง......

    เช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าหลวงปู่ท่านมรณภาพ!!!

    "......สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว.....

    ........มีความทำลายเป็นธรรมดา......

    ........ การปราถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าได้ทำลายไปเลย ดังนี้......

    ........ มิใช่ฐานะจะมีได้........"

    จาก มหาปรินิพพานสูตร
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เกร็ดประวัติหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร 3

    ความที่หลวงปู่มีชื่อเสียงเกียรติคุณแผ่ไปในทศทิศมาแต่แรกเริ่มว่า ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐสุด ถึงความวิมุติหลุดพ้นด้วยประการสิ้นเชิงแท้จริง จึงมีผู้สนใจศรัทธาไปเลียบเคียงกราบเรียนถามหลวงปู่สิมในหลายๆคราวว่า

    "หลวงปู่สำเร็จอรหันต์จริงหรือ..???"

    หลวงปู่หัวเราะน้อยๆแล้วชี้ไปยังคนที่นั่งเฝ้าแหนท่านอยู่เต็มไปหมดแล้วว่า

    "โน่นก็อรหัน นี่ก็อรหัน เพราะยังหันไปหันมาอยู่..!!??"

    เสร็จแล้ว ท่านก็หันมาชี้ที่รูปหล่อของท่านซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ

    "นี่สิ ถึงจะอรหันต์ของจริง เพราะไม่ต้องหันไปไหนมาไหนแล้วนะ..!!!!!"

    เมื่อได้ฟัง ญาติโยมบางรายก็ไม่ยอมแพ้ คาดคั้นจะเอาคำตอบแบบ "ตรงไปตรงมา" ให้สมใจจงได้ โดยไม่คำนึงว่า "พระ" ท่านจะลำบากใจในอันที่จะตอบมิให้ "ล่วง" พระวินัยสักเพียงไรอย่างไม่เลิกราเนืองๆว่า

    "หลวงปู่จะต้องกลับมาเกิดอีกหรือไม่..??"

    หรือ

    "หลวงปู่ปรารถนาโพธิสัตว์หรืออรหันต์.???"

    ท้ายสุด หลวงปู่สิมจึงตอบยิ้มๆ อย่างใจเย็นแล้วจึงว่า

    "หลวงปู่ไม่อยากวุ่นวายแล้ว ถ้าไปแล้ว จะไม่หันกลับมาอีก...!!!!"

    นอกจากนี้ หลวงปู่สิมท่านยังเคยพูดเหมือนปรารภไว้อีกหน่อยหนึ่งด้วยว่า

    "พระพุทธเจ้าเอา (เป็น) ลำบาก พระสาวกเอา (เป็น) สบาย...!?!?"

    แต่ก่อนที่หลวงปู่สิม จะมรณภาพไม่กี่เวลา ท่านได้ "แย้ม" เป็นนัยถึง "คุณธรรมเบื้องสูง" แห่งท่านให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังอย่างเรียบเฉยอย่างยิ่งว่า

    "ถ้ากระดูกไม่หันออกมาให้เห็น คนจะรู้หรือไม่ ว่าหลวงปู่สำเร็จอรหันต์แล้ว..!!??"

    <TABLE id=table3 border=0 width=150><TBODY><TR><TD align=center>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    และเมื่อถึงคราที่หลวงปู่สิมท่าน "ดับขันธ์" ลงในวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2535....

    และหลังจากนั้นในปีถัดมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ถึงปริมณฑลพิธีถ้ำผาปล่อง ...

    <TABLE id=table4 border=0 width=150><TBODY><TR><TD align=center>[​IMG]
    </TD><TD align=center>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    และด้วยเหตุที่ "หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร" เป็นพระที่ "พุทธวงศ์" (นามแฝงผู้เขียนบทความนี้โพสท์ใน : phuttawong.net) เจาะจง "เลือก" เคารพนับถือเป็น "ครูบาอาจารย์" องค์แรกสุด เพราะเหตุที่ท่านทรงไว้ซึ่งอธิคุณและคุณสมบัติครบถ้วนแห่ง "พระอริยะในอุดมคติ" แห่งพุทธวงศ์อย่างสมบูรณ์ และได้มีโอกาสกราบไหว้ใกล้ชิดในช่วง 6 ปีสุดท้าย ก่อนที่หลวงปู่ท่านจะละสังขาร จึงเป็นเหตุให้ได้ยินได้ฟัง และได้ทราบเรื่องราวที่น่าสนใจและพิเศษกว่ากรณีปกติ ทั้งขององค์หลวงปู่เอง และการพระศาสนาเป็นอันเอนกปริยาย ซึ่งเรื่องหลายๆเรื่อง ไม่อาจจะพบเห็นหรือหาอ่านหาศึกษาจากหนังสือหรือเอกสารจากที่ใดได้ ซึ่ง "พุทธวงศ์" เห็นว่า สมควรที่จะได้นำมาแสดงให้ปรากฏตามโอกาสอันควร เพื่อถวายเป็นเกียรติประวัติ และเป็นจดหมายเหตุแด่องค์หลวงปู่สิมตลอดไป อีกทั้งยังจะเป็นเครื่องเจริญศรัทธาในพระศาสนา และประดับสติปัญญาแก่ผู้สนใจศรัทธาทั้งหลายอย่างไม่รู้สิ้นสูญสืบต่อไปอีกโสตหนึ่งด้วย....

    <TABLE id=table5 border=0 width=150 align=left><TBODY><TR><TD align=center>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    .....เป็นที่เชื่อแน่ได้ว่า พระอริยเจ้าองค์สำคัญ ซึ่งทรงไว้ด้วยคุณาธิคุณ และคุณาธิบารมีอันใหญ่หลวงและลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่ได้เคยอุบัติ และสถิตเสถียรสถาพรบนผืนแผ่นดินแห่งสยามประเทศมาเนิ่นนานปี ที่จักตราตรึงอยู่ในความรู้สึกนึกคิดและจิตใจ แก่บรรดาผู้ใฝ่หาพระบริสุทธิสงฆ์ ผู้ทรงศีล สมาธิ ปัญญา ตามแนวทางแห่งอริยปฏิปทาที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดา อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงวางหลักเกณฑ์ไว้ได้อย่างสนิทใจและมั่นใจที่สุดองค์หนึ่งตลอดไปตราบชั่วกาลนั้น จักต้องมีรูปและนามแห่งพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์ หรือหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ประดิษฐานอยู่ในแถวหน้าสุดแห่งทำเนียบ พระสงฆ์ดีองค์หนึ่งอย่างไม่มีใดต้องสงสัยเลย....

    อันความเป็นพระอัจฉริยาริยเจ้า ผู้เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมอย่างยิ่งแห่งหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรนั้น ย่อมเป็นที่แจ้งประจักษ์ชัดแก่ตาแก่ใจแห่งบรรดาท่านผู้รู้แจ้งทั้งหลายมาแต่บูรพกาลแล้ว ดังสามารถจะพึงพิจารณาจากคำรับรอง และอนุโมทนาสาธุการต่างๆ ดังต่อไปนี้

    เณรสิมนี้ ยังเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ ถ้าเบ่งบานเมื่อใดจะหอมกว่าหมู่....

    (พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสนากรรมฐาน)
    ถ้าจะถวายกุศลถึงเราแล้ว ก็ขอให้นำไทยทานนั้นไปถวายท่านอาจารย์สิม ที่วัดโรงธรรมเถิด แล้วของสิ่งนั้นจะถึงเรา..

    (ครูบาเจ้าศรีวิไชย นักบุญแห่งล้านนาไทย ได้มานิมิตแก่แม่อุ๊ยชรา ซึ่งเป็นศรัทธาวัดโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ผู้ปรารถนาจะถวายทานไปหายังท่าน "ต๋นบุญ" แห่งล้านนา เมื่อ พ.ศ. 2482 ซึ่งเวลานั้น หลวงปู่สิมได้บังเอิญจาริกธุดงค์มาจำพรรษาอยู่ที่วัดโรงธรรมสามัคคี พอดี นับเป็นเหตุการณ์ประจวบเหมาะที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง)

    ภิกษุนวกะผู้นี้ มีจริยาวัตรตามแบบอย่างพระพุทธเจ้า จำเราจักให้ฉายา 'พุทฺธาจาโร' จึงจะควร....

    ท่านสิมนี้ เขามีบุญบารมีที่ได้เคยสร้างสมมาแต่ชาติก่อนๆ มากเหลือเกิน จะเป็นแรงกุศลให้เขาสำเร็จไว้กว่าคนอื่นๆ....

    ในบรรดาศิษย์รุ่นน้องเราทั้งหมด ท่านฝั้นและท่านสิมนี้ นับว่าเป็นยอด.....

    (พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา)
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ท่านสิมนี้ เปิ้น (ท่าน) บรรลุแล้ว มีคุณธรรมสูงมากแท้ๆ...
    ให้คอยตามหลวงปู่สิม ให้ดีๆนะ...

    (หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่)
    อาจารย์สิม ท่านเป็นพระเจ้า (พระพุทธรูป) ทองนะ.....
    อาจารย์สิม ท่านเก่งมากเรื่องการธุดงค์และการปฏิบัติ..

    (หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข สิงห์บุรี)

    ท่านสิม เป็นพระธรรมยุติ อยู่ทางเชียงดาวโน่น ท่านเก่งมากนะ...
    (ครูบาพรหมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า ลำพูน)
    “หลวงปู่สิมนี้ เป็นผู้มีคุณธรรมสูงและมีพลังจิตแก่กล้ามาก.....
    (หลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปาง)
    “อดีตภาคของหลวงปู่สิมนั้น ท่านเป็นพระฤาษีเจ้าผาปล่องมาก่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าพระมหาฤาษีที่มีฤทธิ์มากที่สุด ซึ่งมีหน้าที่คอยพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาตราบจนสิ้นภัทรกัปโน่นเลยนั่นแหละ....
    (หลวงปู่ครูบาเจ้าชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ลำพูน)
    “หลวงปู่สิมนั้น เปิ้นสำเร็จพระอรหัตแล้ว ไปนิพพานแล้ว....
    (หลวงปู่หลวง กตปุญโญ วัดป่าสำราญนิวาส ลำปาง)
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table6 border=0 width=150 align=left><TBODY><TR><TD align=center>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เมื่อครั้งที่คุณชินพร สุขสถิตย์ ศิษย์เอกหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ระยอง สร้าง "เหรียญเม็ดกระดุม" หลวงปู่สิมออกมารุ่นหนึ่ง(จำนวน 20,000 เหรียญ) เพื่อแจกเป็นของขวัญปีใหม่แก่ผู้อ่านนิตยสารอภินิหารและพระเครื่อง ที่คุณชินพรเป็นบรรณาธิการ เมื่อต้นปี พ.ศ. 2518

    ภายหลังจากที่คุณชินพรได้นำเหรียญดังกล่าว ไปให้หลวงปู่สิมเสกถึงบนถ้ำผาปล่อง ในงานวันเกิดของหลวงปู่สิมท่านเสร็จแล้ว ก็ได้ถวายให้หลวงปู่ท่านไว้แจกบรรดาศิษยานุศิษย์ท่านจำนวน 3,000 เหรียญด้วยกัน ส่วนอีก 17,000 เหรียญที่จะนำมาแจกพร้อมกับนิตยสารอภินิหารและพระเครื่องนั้น คุณชินพรได้นำไปขอให้หลวงปู่ทิม อิสริโกปลุกเสกเพิ่มพลังให้อีกครั้งหนึ่ง

    ทันใดนั้นเอง หลวงปู่ทิมเมื่อเห็นเหรียญเม็ดกระดุมของหลวงปู่สิมนี้แล้ว ก็หันมาพูดกับคุณชินพรเลยทีเดียวว่า

    พระสงฆ์องค์นี้ ท่านเป็นพระนักปฏิบัติ มีคุณธรรมสูงมาก เอาเหรียญของท่านมาให้นี่เสก ให้กลับไปบอกกล่าวท่านเสียก่อนนะ...!!!!???!!!!”

    ก็ขนาดอภิมหาเกจิฯ ยอดนิยมอาวุโส ผู้กล้าวิทยาคม อย่างหลวงปู่ทิม อิสริโก ถึงกับกล่าวยกย่องให้เกียรติพระอริยเจ้ารุ่นลูก อย่างหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร (ปี พ.ศ. 2518 หลวงปู่ทิมอายุสูงถึง 96 แต่หลวงปู่สิม อายุเพียง 66 เท่านั้น แตกต่างห่างกันถึง 30 ปีเต็มๆ) เห็นปานนี้ ย่อมบ่งบอกให้เราท่านทั้งหลายแจ้งใจโดยไม่ยากเย็นว่า อัน "หลวงพ่อสิม" นั้น ท่านทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและคุณวิเศษอันสูงเยี่ยมถึงขนาดไหน..???

    สมแล้ว ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ได้เคยกล่าวสรรเสริญ และรับรองในคุณธรรมอันสูงสุด ของท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์ (สิม พุทฺธาจาโร) สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งอย่างเป็นทางการ และเป็นการส่วนตัว เป็นหลายวาระโอกาสด้วยกัน ซึ่งที่ปรากฏชัดเจนยิ่ง ย่อมพิจารณาเห็นได้ใน "คุณานุโมทนา" ที่ทรงมีพระลิขิตไว้ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พระญาณสิทธาจารย์ (สิม) ซึ่งได้แสดงสภาวธรรม "เบื้องสูงสุด" ที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรได้ทรงไว้ ด้วยสำนวนที่ "ลึกซึ้ง" และ "ละเมียด" อย่างที่สุด ยากที่สามัญปุถุชนทั่วไปจัก "แทงตลอด" โดยง่ายได้ อันมีเนื้อความดังต่อไปนี้....

    <TABLE id=table8 border=0 width=150><TBODY><TR><TD align=center>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    อนึ่ง... โปรดสังเกต "พระลิขิต" ในหลายตอน ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชทรงแสดง "เป็นนัย" ถึงคุณธรรมอันสูงสุดของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร แฝงไว้ในร้อยแก้ว ซึ่งเป็น "อักขระวิจิตร" ชิ้นเยี่ยมอย่าง "แนบเนียน" และ "แยบยล" ตลอดจน "เป็นธรรม" อย่างที่สุดบทหนึ่งที่ว่า

    1. ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์ (สิม พุทฺธาจาโร) เป็น "ผู้มีศีลงดงาม"

    2. บรรดาผู้ที่รู้จักท่าน "จริง" ย่อมเห็นชัด

    3. "ศีลที่นำท่านสู่ฐานะที่สูงขึ้นโดยลำดับ"

    4. "ไม่เพียงสูงขึ้นด้วยสมณศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานเลื่อน แต่สูงขึ้นด้วยฐานะในความรู้สึกนึกคิดจิตใจของผู้ที่รู้จักท่าน แม้เพียงโดยกิตติศัพท์โดยชื่อ"

    <TABLE id=table31 border=0 width=150 align=right><TBODY><TR><TD align=center>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    5. ความเป็นผู้สงบงดงามเป็นปกติด้วยกริยา วาจานั้น เกิดจากความมี "ศีลที่ใจ"

    6. ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์นั้น เป็นที่รู้ไกล ว่า "มีศีล"เ ครื่องลูบไล้อัน "ประเสริฐ"

    7. "กริยาท่านสงบเป็นปกติ วาจาท่านสงบเป็นปกติ"

    8. ผู้ได้พบได้เห็นได้สนทนาวิสาสะย่อม "ประจักษ์แจ้งใจ" ใน "คุณอันควรอนุโมทนาสาธุการ" ของท่าน

    และ

    9. "ขอถวายอนุโมทนาสาธุการ" สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
     

แชร์หน้านี้

Loading...