เกิดสิ่งนี้ขึ้น นับว่าเป็นนิมิตหรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย overmage, 9 ตุลาคม 2014.

  1. overmage

    overmage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +128
    ผมลองภาวนาก่อนนอนมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว (ภาวนาแล้วให้หลับคาภาวนาไปเลย) บางวันก็ทำได้ บางวันก็หยุดก่อนถึงจะหลับ

    แต่บังเอิญมีอยู่วันหนึ่งมันเกิดภาพขึ้นในหัว เหมือนนั่งดูหนังหลายๆเรื่องในจอเดียวกัน โดยแบ่งช่อง

    แต่ละช่องเป็นภาพของคน หลายๆคน หลายเพศ หลายวัย และหลายกิจกรรมที่กำลังทำ ในตอนนั้นความคิดแว่บขึ้นมาในหัวมาว่า

    ทั้งหมดนี่แหละ ตัวเรา แล้วก็มีความคิดต่อว่า เดี๋ยวหมดชาตินี้ เราก็ต้องไปต่อแบบนี้อีกเรื่อยๆ พอคิดถึงตอนนี้

    อารมย์เบื่อเกิดขึ้นมาทันที เบื่อที่ต้องเกิดมาแล้วทำซ้ำๆต่อไปอีก แต่น่าเสียดาย จำอารมย์ตอนนั้นไม่ได้

    พอต่อๆมาก็ไม่เห็นอีกเลย อยากถามว่า
    1. ภาพที่เห็นเป็นนิมิตใช่ไหม
    2. อารมย์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น หากจำอารมย์ได้ นำมาจับได้เป็นอารมย์ตอนภาวนาได้ไหมครับ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ภาวนา นิมิต นอกกรรมฐานเค้าให้ ละ อย่าไปยึดติด มาขวางผลการปฏิบัติ ครับ

    เกิดขึ้นแล้วก็ให้รับรู้ แล้วปล่อยวาง อย่าไปอยากๆๆ เวลาปฏิบัติ ให้ตัดอารมณ์ต่างๆทิ้งไปให้หมด ให้จดจ่ออยู่กับกรรมฐานภาวนาที่ปฏิบัติในกองนั้นๆครับ

    1.นิมิต ครับ เมื่อ กำลังจิต จิตมีกำลังระดับนึง ที่เราสร้างสะสมไว้ ก็ส่งผล มีธรรมมาแสดงให้เราเห็นครับ

    2.ก็ต้องถามว่า อารมณ์ในองค์สมาธิ ในฌาน ในกรรมฐานหรือป่าวละครับ หรืออารมณ์ ความอยาก

    ถ้าอารมณ์ในกรรมฐานที่เราทรงได้อยู่ ก็เอามาปฏิบัติได้ครับ เช่นเคยเข้า ปฐมฌาน รู้ว่าอารมณ์ในองค์ปฐมฌาน เป็นอย่างไร เราก็สามารถที่จะละลึกอารมณ์ในองฌาน เข้าฌาน ในองค์นั้นๆ ได้ ถ้าชำนาญ

    แต่ถ้าเป็นอารมณ์กิเลส นิวรณ์5 อยากนั้นอยากนี่ อยากเป็นแบบนั้น นี่ให้ตัดทิ้งให้หมด ครับ

    เวลาปฏิบัติ อย่าให้เกิดความอยาก ครับ

    จขกทบอกว่า จำอารมณ์นั้นไม่ได้ ผมก็แนะนำว่า อะไรที่ผ่านมาแล้วก็อย่าไปสนใจครับ

    ให้มีสติ อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับกรรมฐานที่เราปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน

    อย่าไปฟุ้งซ่านในอดีตที่ผ่านมา หรือ ฟุ้งซ่านอนาคต ครับ

    มีสติ อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับคำภาวนาในกรรมฐาน ครับ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    พูดในประเด็นของสภาวะจิตก่อนนะครับ..จิตอยู่สภาวะที่มีความเป็นทิพย์
    ในระดับอุปจารสมาธิระดับที่ยังไม่ตัดร่างกายได้เด็ดขาด ยังสามารถ
    ควบคุมระบบประสาทของร่างกายได้แต่ก็น้อยมาก.ซึ่งในทางกิริยา
    ทางร่างกายคือ เราจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดังใจเรานั่นเอง..
    บางคนเจอกิริยาอย่างนี้แล้วไปนึกที่จะขยับร่างกาย.เลยมีอาการ
    ในลักษณะที่มักเรียกว่าคล้ายๆผีอำนั่นเองครับ...
    และที่สำคัญสภาวะอย่างนี้ไม่จำเป็นจะต้องฝึกสมาธิอะไรเลยก็สามารถ
    ที่จะเข้าถึงได้ทุกๆคนครับแต่ไม่จะเห็นได้แบบคุณนะ
    ..เพียงแต่คนที่ฝึกสมาธิเค้าจะมีความชำนาญ
    ในการเข้าอารมย์นี้เฉยๆซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรือจะบ่งบอกว่าบุคคล
    ผู้นั้นเก่งหรือเป็นคนที่ดีอะไรครับ..เพราะคนที่ชำนาญอย่างมากก็ไม่เกิน
    นาทีก็จะทำได้เป็นปกติครับถ้านานกว่านี้ถือว่ายังต้องฝึกอีกเยอะ
    ..โดยเฉพาะพวกที่เคยชอบท่องเที่ยวแบบ
    ส่งจิตออกนอกประเภทหลับตาทั้งหลายจะทำกันได้ปกติครับ..

    แต่อารมย์ระดับนี้หาใช่ว่าไม่ดีครับ..เพราะเป็นอารมย์สำหรับใช้วิปัสสนาได้
    แต่คุณจะต้องเดินปัญญามาก่อนในระดับหนึ่ง.ถึงพอจะทราบครับว่าเรื่องอะไร
    ที่เราจะต้องเอามายกพิจารณาในอารมย์ระดับนี้..และเราต้องพอรู้หลักในการ
    วางอารมย์ด้วยครับ..คือคุณอาจจะพอรู้ว่าเรายังมีกิเลสอะไรที่เรายังตัดไม่หมด
    หรือมันยังมีอยู่แม้ไม่มาก ให้นึกๆไว้แล้วก็ลืมๆไปเลยครับ..พอถึงอารมย์นี้อีก
    มันจุผุดขึ้นมาของมันเองอัตโนมัติ.เราจะเข้าสู่โหมดวิปัสสนาได้ครับ.
    เพราะถ้าไม่วางอารมย์ ไม่เลิกสนใจ มันจะกลายเป็นความอยากเป็นกิเลสละเอียด
    และเราจะโดนนิวรณ์เข้าแทรก.ซึ่งเป็นตัวขวางตัวหนึ่งในการเข้าสู่อารมย์นี้.
    และถ้าคุณสามารถวิปัสสนาเรื่องนั้นได้บ่อยๆนะครับ..มันจะสามารถตัดกิเลส
    ได้เรื่อยๆของมันจนถึงขั้นละเอียดได้ครับ..สังเกตุดูอารมย์เป็นทิพย์นี้นะครับ
    แม้ว่าเราพิจารณาได้ แต่พอออกมาจิตเรามันจะยังฟูอยู่คับ คือเราจะงงๆว่า
    ตอนวิปัสสนามันลงไปแล้ว แต่พอออกมาสภาวะปกติทำไมมันยังอยู่ นี่หละครับ
    เป็นเหตุที่ทำให้เราต้องพิจารณาเรื่องเดิมๆซ้ำๆบ่อยๆครับ..

    ประเด็นต่อมาอ่านดีๆนะครับ.เพราะว่ากรณีของ
    คุณมันค่อนข้างจะพิเศษกว่าพวกที่มีทิพย์จักขุทั่วๆไปอยู่ครับ..
    เอาว่าเล่าให้ฟังทั่วๆไปนะครับ ฟังหูไว้หูนะครับ.
    ..ปกติการเห็นอย่างคุณพวกที่มาทาง
    สายวิชาพิเศษเค้าจะเห็นได้คล้ายๆกันคือเห็นเป็นจออย่างนั้นหละครับ
    แต่เค้าจะต้องมีฐานจากการสร้างภาพให้เกิดจากจิตตรงกลางลิ้นปี่มาก่อน
    แล้วมองผ่านตาที่สามซะส่วนใหญ่
    แม้แต่กลุ่มบุคคลที่ชำนาญแล้วก็เห็นเช่นนั้น หรือแม้กระทั่งพวกที่ทิพย์จักขุเปิด
    โดยทั่วๆไปก็เห็นผ่านตาที่สาม.หรือเห็นคล้ายๆภาพที่สร้างขึ้นมาจากจิตครับ..
    การเห็นแบบคุณก็เป็นหนึ่งหลายๆแบบ แต่การเห็นแบบของคุณชนิดที่ว่า
    แยกย่อยได้ละเอียดในจอเดียวกัน..สามารถนับคนได้ครับ.น้อยคนที่จะเห็น
    ได้แบบนี้.อย่างมากก็เป็นภาพสลับไปสลับมาครับ.
    เพราะกระแสจิตของคุณเวลามันจะสร้างภาพพวกนี้นะครับ..
    มันจะเร็วและนิ่งมากครับ และมันจะวิ่งขึ้นไปบนกระโหลก
    ศรีษะส่วนหน้าบริเวณที่มันเลยหน้าฝากขึ้นมาครับ
    การเห็นได้ลักษณะนี้จะเป็นการเห็นในลักษณะที่ระดับ
    ภพภูมิระดับสูงๆเท่านั้นครับ ที่จะส่งเสริมให้เราเห็น
    แบบนี้ได้ครับ.ที่เล่ามาก็ฟังหูไว้หูแล้วแต่จะเชื่อหรือไม่นะครับ...

    ..แม้ว่าการเห็นตอนนี้ที่สิ่งที่เห็น
    ทั้งหมดมันจะเป็นสัญญาเดิมที่อยู่ในจิตดวงนี้ก็ตาม..โดยปกติถ้าจะเห็นได้แบบนี้
    ต้องพอมีกำลังสมาธิและกำลังสติสะสมมาพอตัว..ไม่งั้นจิตมันจะออกไปรู้ไปเห็น
    ข้างนอกแทนครับประเด็นนี้เล่าให้ฟังเล่นๆครับ...

    ส่วนอารมย์นี้นะครับที่มีประโยชน์ก็คือ มันสามารถยกเรื่องวิปัสสนาได้ แต่ต้อง
    ทำซ้ำๆบ่อยๆครับ มันถึงจะเอากิเลสลงถึงขั้นละเอียดได้..แต่ถ้าจะฝึกเข้าในแบบ
    เราไม่นั่งสมาธิอะไร.ถ้ากำลังจิตเราไม่พอ มันจะกลายไปการไปรู้ไปเห็นข้างนอก
    แทน.บางคนในสายวิชาพิเศษที่เค้าชอบหลับตาและส่งจิตไปมักจะใช้วิธีนี้แต่ไม่ว่า
    จะหลับตาแล้วไปหรือนั่งแล้วส่งจิตไป..วิธีไหนก็ไม่แนะนำครับ ยกเว้นไปแล้วรู้ประโยชน์
    เห็นและก่อเกิดประโยชน์ในการน้อมกลับมาพิจารณาแล้วเกิดประโยชน์แก่ตนเอง
    หรือทำให้เราละอาย เกรงกลัวต่อบาปอย่างนี้แนะนำครับ...

    แต่ถามต่อว่ามันมีประโยชน์ต่อสมาธิที่เราจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อป้องกัน
    สิ่งกระทบทั้งจากภายในและจากภายนอกหรือเปล่าก็ตอบว่ายังไม่พอครับ..
    เพราะในทางปฏิบัติอารมย์นี้เป็นอารมย์ที่ยังมีการปรุงแต่งได้อยู่ เพราะมันยังมีเป็น
    ภาพปรากฏอยู่ครับ.แม้ว่าจะจริงๆไม่จริง มันก็ยังมีการปรุงแต่งร่วมระหว่างสัญญา
    ความจำได้ในจิตไม่ว่าภพชาติไหน กับสัญญาจากภายนอกที่ส่งมากระทบให้ปรุง
    เป็นภาพครับ..ถ้าสมมุติว่าเข้าได้จนชำนาญแล้วให้ทิ้งอารมย์นี้เสียโดยการทิ้งทุกๆ
    ภาพทุกสิ่งที่เห็นในนิมิตรครับ..แล้วจิตเราจะไต่เข้าสู่ระดับฌาน ๑ ได้ครับ.และถ้า
    เราได้พิจารณาวางกิเลสบ่อยๆในอารมย์เป็นทิพย์แล้ว..โอกาสที่ระดับฌานเรามันจะ
    ไต่ขึ้นไปถึงระดับฌาน ๔ ที่กายกับจิตแยกกันเด็ดขาดชั่วคราวแบบที่ไม่สามารถควบ
    คุมร่างกายได้และตัดประสาทร่างกายออกทั้งหมดก็จะสูงครับ..

    พอถึงจุดนี้ค่อยมาฝึกสติเพิ่มเพื่อคอยควบคุมจิต.เพื่อให้จิตวิ่งในร่างกาย เราจะได้
    มรรคผลในการตัดร่างกาย ตัดความยึดหมั่นถือมั่นตรงนี้ได้ในระดับละเอียดได้ครับ.
    หรือถ้าสมาธิเราเข็มแข็งพอที่จะดูเข้าไปในตัวจิตได้แล้วหละก็ ความสามารถอะไรที่
    จิตดวงนี้มันเคยทำได้มาก่อนในอดีตชาติมันก็จะขึ้นมาให้เราทำได้เป็นปกติในสภาวะ
    ลืมตาทั่วๆไป..ซึ่งประเด็นล่าสุดนี้สุดแล้วแต่พิจารณาครับ.
    .คือได้อย่างเสียอย่างนั้นเอง วิธีหนึ่งจะได้เรื่องการตัดร่างกายและได้กำลังสติ
    ซึ่งส่งผลให้ภูมิต้านทานทางนามธรรมเราจะดี..
    ส่วนวิธีหนึ่งที่บอกจะได้ความสามารถพิเศษกลับคืนมา อาจจะทำให้เรามีเครื่องรู้
    เหนือกว่าคนปกติแต่มันจะให้เราไม่สนเรื่องการสร้างสติทางธรรมและภูมิต้าน
    ทานทางด้านนามธรรมเราจะน้อยในอนาคตครับ..
    ซึ่งสุดแล้วแต่จะพิจารณาครับ..

    ปล.ประมาณนี้ครับ
     
  4. overmage

    overmage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +128
    ขอพระคุณเป็นอย่างสูงที่ช่วยชี้แนะครับ ผมจะลองนำไปปฏิบัติเพิ่มเติมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...