เกิดอาการหูดับและไม่รับรู้การมีร่างกายและลมหายใจขณะนั่งสมาธิเป็นเพราะอะไร

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย jjustdream, 20 มิถุนายน 2012.

  1. Ohchan

    Ohchan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +47
    ก็คงจะมีส่วนเป็นไปได้ตามที่คุณจิตวิญญาณอธิบาย คนส่วนใหญ่ที่วิปลาสหรือเรียกง่ายบ้าๆบอๆไปเลยจากการนั่งสมาธิเพราะไม่สามารถแยกแยะอันไหนจริงอันไหนเท็จได้ มีพี่ที่รู้จักท่านหนึ่ง นั่งสมาธิจนเห็นอีกมิติหนึ่งได้ คล้ายกับตาที่สาม แกเล่าว่าถึงจะถอนสมาธิแล้วก็ยังเห็นไม่หยุด จนที่บ้านแกนึกว่าแกบ้าจึงจับส่งโรงพยาบาลบ้าสะเลย หลังจากเข้าไปอยู่หลายเดือน แกก็ได้ออกมาหลังจากใช้สติควบคุมสิ่งที่เห็น ไม่ให้เห็นพรํ่าเพรื่อ จะคุยกับสิ่งที่เห็นผ่านทางจิตเท่านั้น เพื่อให้เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป หลังจากนั้นที่ทราบแกได้นําความสามารถพิเศษนี้ไปช่วยคนค่ะ ตอนนี้แกมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย สําหรับตัวดิฉันเมื่อเริ่มนั่งเองนั้น คิดแค่ว่าอยากรู้ว่าคนนั่งสมาธิเพื่ออะไรแล้วเค้าเห็นอะไรกัน และคนที่ทักบอกว่าทําแล้วจะเข้าใจสิ่งที่สงสัย แค่นั้นแหละก็เริ่มนั่งสมาธิเลยโดยไม่เคยหาอ่านข้อมูลที่ไหน กลัวเก็บเอาไปคิดเองค่ะ คือต้องการรู้เอง แต่ดิฉันก็มีหลักง่ายๆคือไม่ว่าจะเจอหรือพบอะไรขณะนั่งสมาธินั้น อย่ากลัว อย่าเตลิด จงแค่รู้ตามจิตและนําสิ่งที่เห็นมาพิจารณาตามหลักคําสอนง่ายๆ ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป และจงระลึกไว้เสมอ ขณะที่เรานั่งสมาธิจะมีอํานาจพุทธคุณ เทพเทวา คุ้มครองตัวเราด้วย ดังนั้นไม่ต้องกลัวแต่สิ่งที่ควรกลัวคือจิตตัวเองมากกว่าค่ะ อย่างที่ว่ามาคงต้องรอคุณธรรมชาติมาอธิบายให้ลึกซึ้งขึ้นกว่านี้จะได้คลายข้อสงสัยแกเจ้าของกระทู้
     
  2. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    อิๆๆๆๆๆ ตอนนี้ฝึกเข้มครับ เย็นนี้คุณธรรมชาติคงตอบได้ครับ แหมคุณจิตวิญญาณรู้ดีจริงๆ รู้ได้ไงเนี่ย:cool:
     
  3. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    เล่าถึงการถอดจิตตอนนอนให้ฟังน่ะค่ะ เพราะสังเกตุว่าความกลัวที่เคยเป็นตอนนี้เริ่มหายไปบ้างแล้ว

    ครั้งแรก พอเคลิ้มกำลังจะหลับ เห็นตัวเองลอยขึ้นท่านอนเต็มตัวน่ะค่ะ ขณะนั้นรู้แล้วว่าคือการถอดจิต เพราะจำคำพูดของคุณธรรมชาติที่เคยพูดในโพสท์ที่ 148 ว่า +++ คุณถอดจิตด้วยการไหลขึ้น

    ขณะกำลังไหลขึ้นจากพื้น ใจก็รู้สึกจำได้อีกว่าเคยมีคนบอกว่าถอดจิตครั้งแรกจะบังคับไม่ได้ และช่วงที่ไหลไปใกล้โต๊ะบูชาพระ ก็รีบบอกตัวเองว่าระวังชนโต๊ะ ปรากฏว่าตัวเองไหลชนทะลุโต๊ะเลย เออ อ่าว บังคับไม่ได้จริงด้วย พอช่วงกำลังจะไหลขึ้นเพดาน ใจคิดว่าไม่รู้จะไปไหน กลับเข้าร่างดีกว่า นึกแค่นั้นแหล่ะค่ะก็รู้สึกตัวตื่น พอสองวันถัดมาเป็นอีก นอนๆกำลังจะเคลิ้มหลับ ได้ยินเสียงจิ้งจกร้องทัก รู้สึกตัวตื่น พอเคลิ้มอีกที จิตเขาไม่ยอมออกไปไหนค่ะ นอนแช่อยู่อย่างนั้นนั่นแหล่ะ อาการคือมีสติ มีความรู้สึกเต็มตัว แต่ไม่มีตัวตน ไม่หายใจ แต่ก็มีช่วงขณะที่เคลิ้มจะหลับจะได้ยินเสียงผู้หญิงคุยกัน เสียงชัดมาก แต่ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน พอเคลิ้มแล้วรู้สึกตัวอีกทีเสียงก็หายไปแล้ว ก็นอนแช่อยู่อย่างนั้นนานเหมือนกันค่ะ จนกระทั่งได้ยินเสียงน้องหมาร้อง เสียงร้องที่ได้ยินจะเหมือนไกลมาก เสียงที่ได้ยินไม่คมชัด จะทุ้มๆเหมือนได้ยินอยู่ภายในร่างกาย ก็เลยรู้สึกตัวตื่นลุกขึ้นไปเปิดประตูให้น้องหมาออกนอกบ้าน

    หลังจากนั้นช่วงกลางวันน่ะค่ะ รู้สึกเพลียนิดหน่อยและรู้สึกหน่วงๆที่ท้ายทอย ตอนนั้นรู้เลยว่าถ้าเอนหลังนอน จิตจะออกจากร่างเหมือนจิตตกภวังค์ ก็เลยลองเอนหลังนอน พอเคลิ้มจะหลับ รู้สึกตัวเองขยับได้แต่ร่างกายไม่ขยับ เพื่อความแน่ใจ ก็เลยลองยกแขนขึ้น ปรากฏว่ายกขึ้นแล้วโยกแขนไปมาแต่มองไม่เห็นแขน มองรอบๆห้องก็เห็นเฟอร์นิเจอร์เป็นสภาพเหมือนจริงอยู่ครบ ตอนนั้นไม่สนใจร่างสังขารเลยค่ะ พอรู้และมั่นใจแล้วว่านี่คือการถอดจิต ก็เลยนึกขึ้นได้ว่า คุณธรรม-ชาติบอกว่าให้ลองลุกนั่งทำสมาธิต่อ ก็เลยลุกนั่งทำสมาธิ ช่วงที่นั่งสมาธิอยู่ เห็นหยดน้ำลอยกระทบกันอยู่ตรงหน้า ก็เลยมองดูหยดน้ำ ไม่ได้เพ่งอะไรนะคะ มองดูเฉยๆ ปรากฏว่าหยดน้ำเล็กๆขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงกลมลักษณะคล้ายๆฟองสบู่ ขยายเป็นวงกลมใหญ่ขึ้นแล้วค่อยๆเคลื่อนเข้ามาคลอบร่างที่นั่งสมาธิอยู่ หลังจากนั้นวงกลมก็เคลื่อนลอยขึ้นบนเพดานโดยมีเรานั่งสมาธิอยู่ข้างในวงกลม ลอยขึ้นไปถึงเพดาน นึกขึ้นมาว่าไม่รู้จะไปไหน พอนึกแค่นั้นแหล่ะค่ะเลยรู้สึกตัวตื่น .. สรุปคือ ไม่ก้าวหน้าไปไหนมาไหนเลยค่ะ คงเป็นเพราะไม่มีจุดหมายปลายทางที่จะไปใช่ไหมคะ?
     
  4. Ohchan

    Ohchan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +47
    ขอเรียนถามคุณจิตวิญญาณหน่อยนะค่ะเพื่อเป็นความให้กับตัวเอง ดิฉันก็เคยเกิดอาการคล้ายๆกับคุณจิตวิญญาณค่ะแต่ก็ไม่ทราบนั้นเรียกว่าการถอดจิตหรือเปล่าไม่รู้ คือวันนั้นเป็นตอนกลางวัน หลัังจากดิฉันนั่งสมาธิเสร็จใหม่ๆก็ออกจากห้องพระและก็มาล้มตัวลงนอนแบบไม่ใช้ว่าอยากนอนนะค่ะ ตายังคงลืมอยู่ ตอนนั้นมันรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก จู่ๆก็รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตแรงมากๆเหมือนหายใจรวยริน มันมีอาการเหมือนคนจะขาดใจตาย เสียวหน้าอกมากๆ จากนั้นดิฉันก็ใช้สติจับอยู่สักครู่ว่ามันคืออะไร โดยพยายามหายใจแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ หลังจากนั้นรู้สึกใบหน้าและลําตัวถูกแรงดึงบ้างอย่างพยายามกระชากออก ซึ่งตอนนั้นเริ่มมองเห็นตัวเราเองเหมือนมีสองคน ดิฉันยื้อยุดอยู่สักครู่ก็พลันคิดว่าสงสัยเรากําลังจะตายรึเปล่าเพราะตอนนั้นมันเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ เลยระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าถ้าจะตายก็ไม่กลัวและขอเห็นท่านเป็นนาทีสุดท้าย เมื่อคิดแค่นั้น ตัวดิฉันที่กําลังถูกดูดออกไป ก็ได้กลับเข้ามาแนบสนิทและอาการต่างๆก็หายไปค่ะ ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอาการของอะไรกันแน่แต่เคยถามพี่ที่มีประสบการณ์ แกว่ามันเป็นอาการของการถอดจิตอย่างหนึ่งโดยเราไม่รู้ตัว เพราะดิฉันไม่ยอมปล่อยและสละร่าง มันก็เลยฉุดกันไปกันมา อย่างไงก็ฝากถามคุณธรรมชาติด้วยแล้วกันนะค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  5. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    คิดว่าคงต้องรอคุณธรรม-ชาติมาตอบให้ความกระจ่างจะดีกว่าค่ะ ตัวดิฉันเองเรื่องตอบจะไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ คือแบบว่าบางอย่างก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่จะเข้าใจตามที่เห็นที่เป็น พอจะอธิบายก็จะหาคำพูดมาอธิบายไม่ได้
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ของคุณ Ohchan

    ดิฉันก็เคยรู้สึกแบบนี้ค่ะ เมื่อ 4 ปีก่อนโดยดิฉันเพิ่งจะหัดนั่งสมาธิโดยการกําหนดลมหายใจพุธโธและก็เป็นการฝึกด้วยตัวเองค่ะ เริ่มจากพบหลวงปู่โลกเทพอุดรในสมาธิ หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็เกิดภาวะหูดับไร้ซึ่งร่างกายและไร้ลมหายใจ ดูเหมือนดิฉันหลุดเข้าไปในที่เป็นเหมือนสุญญากาศคล้ายจักรวาล บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ มันคล้ายท้องฟ้ากว้างใหญ่มีสีสันแวววาวสุกใสไปหมด คําภาวนาพุธโธก็หายไป ดิฉันเองหลังจากนิ่งแบบนั้นสักพัก สติก็บอกว่าเรานั่งสมาธิอยู่แล้วลมหายใจกะร่างกายฉันไปไหน แล้วฉันจะจับอะไรต่อดี ก็เริ่มจะภาวนาต่อ

    +++ ในขณะนั้นสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณขันธ์ ในหมวดของขันธ์ 5 (ตัวดู - ใจ) ยุติการ ส่งออกและรับเข้า ชั่วคราว และมี อุเบกขา (เฉย ๆ) โดดเด่นเป็นอารมณ์หลัก ในขณะนั้น วิญญาณขันธ์ อยู่ได้ด้วยตัวมันเองโดยไม่ต้องพึ่งร่างกาย ดังนั้น ร่างกายและลมหายใจจึงไม่ได้ใช้โดยวิญญาณขันธ์ (ตัวดู - ใจ)

    +++ ส่วนคำว่า "มีสีสันแวววาวสุกใสไปหมด" นั้น เป็นลักษณะที่คล้ายกับการ "เปล่งรังสี" หรือไม่ คือ คล้ายกับตนเองเป็นเหมือน ดวงอาทิตย์ที่กำลัง "เปล่งรังสี" ออกไปในอวกาศในขณะนั้น ๆ ถ้าหากไม่ใช่ ควรอธิบายอาการในขณะนั้นให้ละเอียดกว่านี้

    แต่ไม่ทันไรเวลาที่หยุดนิ่งนั้นกลับมามีชีวิตดังเดิม ตั้งแต่นั้นดิฉันก็ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นอีกแต่อย่างน้อยก็ทําให้รู้ว่าการไม่มีสังขารและการละกิเสลทุกอย่างโดยเหลือแต่จิต มันสบายและเป็นสุขกว่าอื่นใดทีเราจับต้องได้ในโลกมนุษย์ และมันมีอยู่จริง สามารถทําได้ขณะที่เรายังมีสังขารอยู่

    +++ ในขณะนั้นเรียกว่า "ไร้นิวรณ์" จะถูกต้องกว่า การใช้คำว่า "ไร้กิเลส" ซึ่งถูกต้องตรงตามอาการทางจิต นะครับ

    ช่วงปีที่ดิฉันนั่งปฎิบัติธรรมนั้น ทําให้พบเจอเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสิ่งศักดิสิทธิ์ การได้ไปเที่ยวที่แปลกๆ การได้พบกับเทพ เทวดา ถ้าเขียนหนังสือได้คงเป็นเล่มเลยค่ะ ทําให้ยอมรับคติข้อหนึ่ง คือ ผู้รู้พึ่งรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น ถ้าไม่ได้เห็นและสัมผัสเองก็ยากที่จะเชื่อ แรกๆก็รู้สึกเหมือนอยากจะรู้ อยากจะถามว่าทั้งหมดคืออะไร แต่ตอนนี้รู้สึกอิ่มตัวกับเรื่องเหล่านี้ และไม่สงสัยหรือใคร่รู้อะไรอีก ดิฉันก็ปฎิบัติต่อไปเรื่อยๆมากบ้างน้อยบ้างตามแต่กาลเวลา

    +++ ถูกแล้วครับผู้ที่เจอมาจนอิ่มตัว (เบื่อ) ก็ต้องการวางเรื่องเหล่านี้ลง เพื่อพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไปมากกว่านี้ ไม่ใช่ย่ำเท้าอยู่ที่เดิมตลอดเวลา ที่กล่าวมานั้น ถูกแล้วครับ

    ดิฉันขออนุโมธนาบุญผู้ปฎิบัติธรรมทุกๆท่านค่ะ
    ===========================================================
    ของคุณ jjustdream

    มีข้อสงสัยค่ะ คืออ่านเจอบทความหนึ่งมีใจความประมาณว่าการปฎิบัตินั่งสมาธิจำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะให้คำสอน หากไม่มีหรือปฎิบัติเองเข้าใจเองนานเข้าอาจเป็นวิปลาสได้ วิปลาสนี่หมายถึงบ้า ฟั่นเฟือนใช่ไหมคะ แล้วมันมีโอกาสเป็นจริงตามข้อความข้างต้นจริงรึป่าว พออ่านมาแล้วก็รู้สึกกังวลเพราะตัวเองไม่เป็นศิษย์มีครู นั่งเอง ปฎิบัติเองน่ะค่ะ ( ต้องขออภัยหากดิฉันเข้าใจเจ้าของข้อความผิดไป แต่ดิฉันอ่านแล้วตามความเข้าใจของดิฉันมันคืออย่างที่บอกมาค่ะ)

    +++ วิปลาส คือ คลาดเคลื่อนออกไปจากความเป็นจริง (สัจจะธรรม) หรือเรียกว่า เพี้ยน ก็ได้ เมื่อสะสมเป็นไปนานเข้า ผลลัพธ์ ย่อมออกมาเป็น ฟั่นเฟือน เป็นธรรมดา

    +++ ส่วนจำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะให้คำสอนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยแห่ง "สัจจะธรรม" เพียงประการเดียวเท่านั้น หากครูบาอาจารย์นั้น ๆ สอนได้ "ตรงต่อสัจจะธรรม" คำตอบก็คือ "จำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์" แต่ถ้าหากครูบาอาจารย์นั้น ๆ สอนได้ "ไม่ตรง ต่อสัจจะธรรม" ก็ควร "หลีกหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้"

    +++ การสอนที่ถูกต้องตรงต่อ "สัจจะธรรม" นั้นให้ดูการสอนที่ "สติ" เป็นหลัก เพราะ "สติ" เท่านั้นที่จะรู้ "สัจจะธรรม" ได้
    =================================================================
    ของคุณ Ohchan

    ถ้าครูที่เจ้าของกระทู้หมายถึงคนที่สองเรานั่งสมาธิและเป็นผู้ชี้แนะและเป็นแบบอย่างนะหรือค่ะสําหรับตัวดิฉันนั้นถือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอาจารย์และเป็นแบบอย่างค่ะ ก่อนนั่งสมาธิทุกครั้งก็จะสวดมนต์อาราธนาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อนเสมอ อย่างที่ว่าช่วงตอนนั่งสมาธิใหม่ๆเกิดจากมีคนทักบอกว่า ถึงเวลาที่ดิฉันต้องปฎิบัตีได้แล้ว ตอนแรกดิฉันก็ไม่เชื่ออยากรู้ว่าสมาธิและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงไหมก็เลยลองทําดู โดยพี่เค้าเน้นง่ายๆคือพุทโธ พอได้คําแนะนําแค่นั้นก็พบเห็นเรื่องราวมากมาย และครูที่ว่านั้นไม่จําเป็นต้องเป็นมนุษย์เสมอ พูดอย่างนี้ก็ไม่อยากให้เจ้าของกระทู้ไขว้เขว ครูบาอาจารย์ขึ้นอยู่กับวาสนาที่ผูกพันกัน ดิฉันบอกตามตรงเลยว่าผู้ที่มาสอนดิฉันจนถึงสภาวะกายและจิตแยกกันนั้น ท่านเป็นเทพที่มาเมตตาสอนให้

    +++ เรื่องที่ "จิตอื่น" มาสอน หรือ มาอนุโมทนา ให้นั้น มีอยู่จริงเพราะ จิตเรามีจริงจิตอื่นก็มีจริงเช่นกัน

    รวมทั้งบอกให้ดิฉันถือเอาหลวงปู่ใหญ่เป็นครูและบอกว่าถ้าท่านมาโปรดอีกก็ให้เข้าไปกราบแต่นับจนวันนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้มีวาสนาได้พบท่านอีก เรื่องต่างๆที่ดิฉันเล่านี้ไม่ใด้ต้องการจะอวดอ้างอะไรเพียงแค่อยากให้เจ้าของกระทู้เข้าใจว่าบ้างครั้งหนังสือก็เป็นเพียงสถิติแต่มันมีหลายๆอย่างที่อยู่นอกเหนือจากหนังสือ ดิฉันไม่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับสมาธิพวกนี้เลย และไม่เคยรู้ว่าแต่ละภาวะจิตเรียกอะไร แล้วต้องรู้สึกอย่างไร เพียงแต่ดิฉันต้องการให้จิตเกิดการพัฒนาด้วยตัวโดยไม่ต้องไปจดจําจากในหนังสือ นั้นแหละเราจะรู้ว่าจิตเราพัฒนาไปได้อย่างไร เรื่องเหล่านี้ละเอียดอ่อนมากเกินกว่าจะอธิบายได้ถ้าไม่ได้พบด้วยตนเอง ตอนนี้เจ้าของกระทู้ยังมีเรื่องใคร่รู้และยังเพิ่มเริ่มต้นฝึกเท่านั้น ยังมีเรื่องราวปาฎิหารย์ทีเจ้าของกระทู้จะได้พบเจอทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสัญญาเดิมว่าจะดึงออกมาได้ไหมเพื่อจะได้บําเพ็ญบารมีต่อ และเมื่อใดเกิดตัวรู้ขึ้นภายในตัวเองก็จะเข้าใจสิ่งที่ดิฉันพูดไว้ เอาไว้แค่นี้ก่อนนะค่ะ ถ้าสนใจอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม ดิฉันยินดีให้คําแนะนําและตอบข้อสงสัยค่ะ

    +++ หากเป็นเรื่องที่สามารถ "เล่าสู่กันฟัง เพื่อ ประโยชน์ตน และ ประโยชน์ท่าน" ได้ก็จะเป็นการดีครับ
    ==================================================================
    ของคุณ จิตวิญญาณ

    ตามความเข้าใจของดิฉันนะคะ ... วิปลาสนี่น่าจะเป็นความหลงผิดที่เกิดจากกิเลสเป็นตัวชักนำพาไป หากเราฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความรู้สึกตัว อยู่กับเป็นจริง ความหลงก็จะไม่เกิด

    +++ ถูกต้องตามนี้แหละครับ

    บางท่านปฏิบัติได้เห็นโน่นเห็นนี่แล้วหลง หลงว่าตัวเองสำเร็จก็มีไม่น้อย เคยเห็นเพื่อนรุ่นน้อง นั่งสมาธิบางครั้งนั่งถึง 7-8 ชั่วโมง พอออกจากสมาธิก็มาเล่าให้ฟังว่าเห็นโน่นเห็นนี่ เห็นแล้วจินตนาการเป็นจริงเป็นจัง คือจิตมันปรุงแต่งก็หลงไปกับมัน ใครจะตักเตือนด้วยความห่วงใยจะไม่รับ จะเชื่อเฉพาะครูบาอาจารย์ที่สอนเธอเท่านั้น คนอื่นไม่เก่งเหมือนครูบาอาจารย์เธอ ไม่เก่งเหมือนเธอ อย่ามาสอนเธอ อะไรทำนองนี้น่ะค่ะ จิตวิปลาสนี่คิดว่าคงไม่ได้เกิดจากมีครูบาอาจารย์หรือไม่มีครูบาอาจารย์คอยสอน แต่เชื่อว่าเกิดจากตัวบุคคลนั้นๆมากกว่าค่ะ บางคนไม่มีครูบาอาจารย์สอน แต่ฝึกสติ มีปัญญา รู้เท่าทันกิเลส ก็ไม่เกิดวิปลาส บางคนมีครูบาอาจารย์ดีสอน แต่กำลังของสติปัญญาไม่มีพอให้รู้เท่าทันกิเลส คนนั้นก็เกิดจิตวิปลาสได้เหมือนกันค่ะ

    +++ ใช่แล้วครับ ตามนั้นแหละ

    ปล. สนทนาธรรมกันไปก่อนนะคะ คงต้องรอคุณธรรม-ชาติ มาตอบ สงสัยคุณธรรม-ชาติ ท่านกำลังฝึกเข้มให้กับลูกศิษย์อยู่ ใครปฏิบัติแล้วมีอะไรสงสัยก็โพสท์ๆลงไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวท่านคงเข้ามาตอบให้ความกระจ่างในเร็วๆนี้ค่ะ อิอิ

    +++ เพิ่งกลับมา ฝึกกันได้สมตามความปรารถนากันไปหลายคนทีเดียว คุ้มค่า คุ้มเวลา คุ้มเหนื่อย คุ้มต่อการสัมผัสกับสักขีพยานธรรม ครับ
    =============================================================
    ของคุณ Ohchan

    ก็คงจะมีส่วนเป็นไปได้ตามที่คุณจิตวิญญาณอธิบาย คนส่วนใหญ่ที่วิปลาสหรือเรียกง่ายบ้าๆบอๆไปเลยจากการนั่งสมาธิเพราะไม่สามารถแยกแยะอันไหนจริงอันไหนเท็จได้ มีพี่ที่รู้จักท่านหนึ่ง นั่งสมาธิจนเห็นอีกมิติหนึ่งได้ คล้ายกับตาที่สาม แกเล่าว่าถึงจะถอนสมาธิแล้วก็ยังเห็นไม่หยุด จนที่บ้านแกนึกว่าแกบ้าจึงจับส่งโรงพยาบาลบ้าสะเลย หลังจากเข้าไปอยู่หลายเดือน แกก็ได้ออกมาหลังจากใช้สติควบคุมสิ่งที่เห็น ไม่ให้เห็นพรํ่าเพรื่อ จะคุยกับสิ่งที่เห็นผ่านทางจิตเท่านั้น เพื่อให้เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป หลังจากนั้นที่ทราบแกได้นําความสามารถพิเศษนี้ไปช่วยคนค่ะ ตอนนี้แกมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย สําหรับตัวดิฉันเมื่อเริ่มนั่งเองนั้น คิดแค่ว่าอยากรู้ว่าคนนั่งสมาธิเพื่ออะไรแล้วเค้าเห็นอะไรกัน และคนที่ทักบอกว่าทําแล้วจะเข้าใจสิ่งที่สงสัย แค่นั้นแหละก็เริ่มนั่งสมาธิเลยโดยไม่เคยหาอ่านข้อมูลที่ไหน กลัวเก็บเอาไปคิดเองค่ะ คือต้องการรู้เอง

    แต่ดิฉันก็มีหลักง่ายๆคือไม่ว่าจะเจอหรือพบอะไรขณะนั่งสมาธินั้น อย่ากลัว อย่าเตลิด จงแค่รู้ตามจิตและนําสิ่งที่เห็นมาพิจารณาตามหลักคําสอนง่ายๆ ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป

    +++ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือเป็นที่รู้กันและเรียกกันสั้น ๆ ว่า "ไตรลักษณ์" นั้น ตามสัจจะธรรมแล้ว ให้ "รู้อยู่เฉย ๆ" ห้ามนำการ "พิจารณา หรือ ความคิด" เข้าไปแทรกแซงวงจรของมัน เพียงแต่ให้รู้กระบวนการตั้งแต่ "เริ่มปรากฏขึ้น การแปรปรวน จนสูญสลาย" ของปรากฏการณ์นั้น ๆ เมื่อทำได้แล้ว จะเกิดปรากฏการณ์ "วูปหนึ่งแห่งความรู้แจ้ง แบบสิ้นสงสัย" ขึ้นมาเองนะครับ

    และจงระลึกไว้เสมอ ขณะที่เรานั่งสมาธิจะมีอํานาจพุทธคุณ เทพเทวา คุ้มครองตัวเราด้วย ดังนั้นไม่ต้องกลัวแต่สิ่งที่ควรกลัวคือจิตตัวเองมากกว่าค่ะ อย่างที่ว่ามาคงต้องรอคุณธรรมชาติมาอธิบายให้ลึกซึ้งขึ้นกว่านี้จะได้คลายข้อสงสัยแกเจ้าของกระทู้

    +++ ถูกต้องแล้วครับ "จิตตนนั่นแล น่ากลัวที่สุด"
    ================================================================
    ของคุณ จิตวิญญาณ

    เล่าถึงการถอดจิตตอนนอนให้ฟังน่ะค่ะ เพราะสังเกตุว่าความกลัวที่เคยเป็นตอนนี้เริ่มหายไปบ้างแล้ว

    ครั้งแรก พอเคลิ้มกำลังจะหลับ เห็นตัวเองลอยขึ้นท่านอนเต็มตัวน่ะค่ะ ขณะนั้นรู้แล้วว่าคือการถอดจิต เพราะจำคำพูดของคุณธรรมชาติที่เคยพูดในโพสท์ที่ 148 ว่า +++ คุณถอดจิตด้วยการไหลขึ้น

    ขณะกำลังไหลขึ้นจากพื้น ใจก็รู้สึกจำได้อีกว่าเคยมีคนบอกว่าถอดจิตครั้งแรกจะบังคับไม่ได้ และช่วงที่ไหลไปใกล้โต๊ะบูชาพระ ก็รีบบอกตัวเองว่าระวังชนโต๊ะ ปรากฏว่าตัวเองไหลชนทะลุโต๊ะเลย เออ อ่าว บังคับไม่ได้จริงด้วย พอช่วงกำลังจะไหลขึ้นเพดาน ใจคิดว่าไม่รู้จะไปไหน กลับเข้าร่างดีกว่า นึกแค่นั้นแหล่ะค่ะก็รู้สึกตัวตื่น พอสองวันถัดมาเป็นอีก นอนๆกำลังจะเคลิ้มหลับ ได้ยินเสียงจิ้งจกร้องทัก รู้สึกตัวตื่น พอเคลิ้มอีกที จิตเขาไม่ยอมออกไปไหนค่ะ นอนแช่อยู่อย่างนั้นนั่นแหล่ะ อาการคือมีสติ มีความรู้สึกเต็มตัว แต่ไม่มีตัวตน ไม่หายใจ แต่ก็มีช่วงขณะที่เคลิ้มจะหลับจะได้ยินเสียงผู้หญิงคุยกัน เสียงชัดมาก แต่ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน พอเคลิ้มแล้วรู้สึกตัวอีกทีเสียงก็หายไปแล้ว ก็นอนแช่อยู่อย่างนั้นนานเหมือนกันค่ะ จนกระทั่งได้ยินเสียงน้องหมาร้อง เสียงร้องที่ได้ยินจะเหมือนไกลมาก เสียงที่ได้ยินไม่คมชัด จะทุ้มๆเหมือนได้ยินอยู่ภายในร่างกาย ก็เลยรู้สึกตัวตื่นลุกขึ้นไปเปิดประตูให้น้องหมาออกนอกบ้าน

    หลังจากนั้นช่วงกลางวันน่ะค่ะ รู้สึกเพลียนิดหน่อยและรู้สึกหน่วงๆที่ท้ายทอย ตอนนั้นรู้เลยว่าถ้าเอนหลังนอน จิตจะออกจากร่างเหมือนจิตตกภวังค์ ก็เลยลองเอนหลังนอน พอเคลิ้มจะหลับ รู้สึกตัวเองขยับได้แต่ร่างกายไม่ขยับ เพื่อความแน่ใจ ก็เลยลองยกแขนขึ้น ปรากฏว่ายกขึ้นแล้วโยกแขนไปมาแต่มองไม่เห็นแขน มองรอบๆห้องก็เห็นเฟอร์นิเจอร์เป็นสภาพเหมือนจริงอยู่ครบ ตอนนั้นไม่สนใจร่างสังขารเลยค่ะ พอรู้และมั่นใจแล้วว่านี่คือการถอดจิต ก็เลยนึกขึ้นได้ว่า คุณธรรม-ชาติบอกว่าให้ลองลุกนั่งทำสมาธิต่อ ก็เลยลุกนั่งทำสมาธิ ช่วงที่นั่งสมาธิอยู่ เห็นหยดน้ำลอยกระทบกันอยู่ตรงหน้า ก็เลยมองดูหยดน้ำ ไม่ได้เพ่งอะไรนะคะ มองดูเฉยๆ ปรากฏว่าหยดน้ำเล็กๆขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงกลมลักษณะคล้ายๆฟองสบู่ ขยายเป็นวงกลมใหญ่ขึ้นแล้วค่อยๆเคลื่อนเข้ามาคลอบร่างที่นั่งสมาธิอยู่ หลังจากนั้นวงกลมก็เคลื่อนลอยขึ้นบนเพดานโดยมีเรานั่งสมาธิอยู่ข้างในวงกลม ลอยขึ้นไปถึงเพดาน นึกขึ้นมาว่าไม่รู้จะไปไหน พอนึกแค่นั้นแหล่ะค่ะเลยรู้สึกตัวตื่น .. สรุปคือ ไม่ก้าวหน้าไปไหนมาไหนเลยค่ะ คงเป็นเพราะไม่มีจุดหมายปลายทางที่จะไปใช่ไหมคะ?

    +++ ก่อนนอนทุกครั้งให้ตั้งใจไว้ว่า หากคืนนี้ถอดจิต "เราจะฝึกอะไรในขณะที่ถอด" เช่น ตั้งใจว่า จะฝึกการลอยไปมา ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างบน ข้างล่าง หรือ ลอยให้ใด้ดังใจทุกประการ ในหมวดแรก หากทำได้แล้ว ในหมวดที่สอง ก็ให้ฝึก ชำแรกหรือทะลุกำแพงหรือผนังห้อง ในหมวดที่สาม ให้ฝึก แบ่งเป็น 2 ร่างบ้าง 4 หรือ หลาย ๆ ร่างบ้างตามใจปรารถนา ในหมวดที่สี่ ให้ฝึก การปรากฏตัวจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง (ล่องหน หรือ teleportation) ในระยะใกล้ ๆ หรือระหว่าง ห้องต่อห้อง หรือ ในบ้าน นอกบ้าน ก็ได้ ลอง ๆ ดูนะครับ
    ===================================================================
    ของคุณ Ohchan

    ขอเรียนถามคุณจิตวิญญาณหน่อยนะค่ะเพื่อเป็นความให้กับตัวเอง ดิฉันก็เคยเกิดอาการคล้ายๆกับคุณจิตวิญญาณค่ะแต่ก็ไม่ทราบนั้นเรียกว่าการถอดจิตหรือเปล่าไม่รู้ คือวันนั้นเป็นตอนกลางวัน หลัังจากดิฉันนั่งสมาธิเสร็จใหม่ๆก็ออกจากห้องพระและก็มาล้มตัวลงนอนแบบไม่ใช้ว่าอยากนอนนะค่ะ ตายังคงลืมอยู่ ตอนนั้นมันรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก จู่ๆก็รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตแรงมากๆเหมือนหายใจรวยริน มันมีอาการเหมือนคนจะขาดใจตาย เสียวหน้าอกมากๆ จากนั้นดิฉันก็ใช้สติจับอยู่สักครู่ว่ามันคืออะไร โดยพยายามหายใจแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ หลังจากนั้นรู้สึกใบหน้าและลําตัวถูกแรงดึงบ้างอย่างพยายามกระชากออก ซึ่งตอนนั้นเริ่มมองเห็นตัวเราเองเหมือนมีสองคน ดิฉันยื้อยุดอยู่สักครู่ก็พลันคิดว่าสงสัยเรากําลังจะตายรึเปล่าเพราะตอนนั้นมันเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ เลยระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าถ้าจะตายก็ไม่กลัวและขอเห็นท่านเป็นนาทีสุดท้าย เมื่อคิดแค่นั้น ตัวดิฉันที่กําลังถูกดูดออกไป ก็ได้กลับเข้ามาแนบสนิทและอาการต่างๆก็หายไปค่ะ ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอาการของอะไรกันแน่แต่เคยถามพี่ที่มีประสบการณ์ แกว่ามันเป็นอาการของการถอดจิตอย่างหนึ่งโดยเราไม่รู้ตัว เพราะดิฉันไม่ยอมปล่อยและสละร่าง มันก็เลยฉุดกันไปกันมา อย่างไงก็ฝากถามคุณธรรมชาติด้วยแล้วกันนะค่ะ ขอบคุณค่ะ

    +++ เป็นการถอดจิต พี่ที่มีประสบการณ์ของคุณ กล่าวได้ถูกต้องแล้วครับ อาการยื้อยุดกันนั้นเกิดจาก จิตยังไม่คุ้นเคยต่อการถอดนั่นเอง ยามใดที่คุ้นเคยแล้ว ก็สามารถตั้งใจก่อนถอด ดังคำตอบข้างบนที่ตอบให้คุณ จิตวิญญาณ ทุกประการนะครับ
     
  7. Ohchan

    Ohchan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +47
    ขอขอบคุณคําอธิบายและคําชี้แนะจากคุณธรรมชาติมากค่ะ ส่วนข้อสงสัยที่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นหลังจากที่นิวรณ์ 5 (ตามที่คุณธรรมชาติบอกไว้) ของดิฉันดับลงแล้ว สิ่งที่ดิฉันเห็นต่อจากนั้นคือ สิ่งที่คล้ายท้องฟ้าแต่ไม่มืดและไม่สว่างจ้าเหมือนท้องฟ้าจริงๆ มันเต็มไปด้วยละอองสีขาวละเอียดเป็นสายพวยพุ่งไปทั่ว ผสมกับแสงระยิบระยับหลากสี คล้ายเพชรพลอย สว่างสดใสเย็นๆ น่ามองจนทําให้ดิฉันหยุดตะลึงอยู่พักใหญ่ พวงมันค่อยๆเคลื่อนไหวกันอย่างช้าๆ ลอยกันไปมาสวยงามมากๆ เหมือนรู้สึกว่าเวลาหยุดนิ่ง อารมณ์คล้ายดิฉันกําลังดู the matrix อย่างไงอย่างงั้นค่ะ ทุกอย่างจบตรงที่จิตยํ้าว่านี้ที่ไหนและลมหายใจกับร่างกายหายไปแล้วจะไปไงต่อ แค่คิดแค่นั้นก็กลับมาเป็นปกติค่ะ ดิฉันได้เกลาความรู้สึกออกมาได้แค่นี้นะค่ะ เพราะเห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเอง อย่างไงรบกวนคุณธรรมชาติทวนสอบสิ่งนี้ให้หน่อยนะค่ะว่าคืออะไร ควรทําอย่างไรต่อค่ะ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ขอขอบคุณคําอธิบายและคําชี้แนะจากคุณธรรมชาติมากค่ะ ส่วนข้อสงสัยที่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นหลังจากที่นิวรณ์ 5 (ตามที่คุณธรรมชาติบอกไว้) ของดิฉันดับลงแล้ว สิ่งที่ดิฉันเห็นต่อจากนั้นคือ สิ่งที่คล้ายท้องฟ้าแต่ไม่มืดและไม่สว่างจ้าเหมือนท้องฟ้าจริงๆ

    +++ หากจะใช้คำศัพท์ว่า อวกาศ น่าจะตรงกับอาการมากกว่าหรือไม่

    มันเต็มไปด้วยละอองสีขาวละเอียดเป็นสายพวยพุ่งไปทั่ว

    +++ พวยพุ่งไปทั่ว คือ ล้วนพุ่งออกจากตัวคุณทั้งสิ้น ไม่มีขอบเขต พุ่งออก 360 องศา ต่อเนื่องไม่หยุดยั้งขาดตอน ใช่หรือไม่

    ผสมกับแสงระยิบระยับหลากสี คล้ายเพชรพลอย สว่างสดใสเย็นๆ

    +++ ทุกอนุภาคที่พุ่งออกจากตัวคุณ สามารถสังเกตุทิศทางการพุ่งของมันได้ ด้วยอาการคล้าย ๆ ใยไหมสีรุ้งเล็กละเอียดที่แสดงถึงแนวแรงของทิศทางการพุ่ง ใช่หรือไม่

    น่ามองจนทําให้ดิฉันหยุดตะลึงอยู่พักใหญ่ พวงมันค่อยๆเคลื่อนไหวกันอย่างช้าๆ ลอยกันไปมาสวยงามมากๆ เหมือนรู้สึกว่าเวลาหยุดนิ่ง

    +++ ตรงนี้คือ ล้วนพุ่งออกจากตัวคุณทั้งสิ้น ไม่มีขอบเขต ต่อเนื่องไม่หยุดยั้งขาดตอน มีทิศทางชัดเจน มีแต่ลอยไปอย่างเดียว ไม่มีลอยกลับมา ใช่หรือไม่

    อารมณ์คล้ายดิฉันกําลังดู the matrix อย่างไงอย่างงั้นค่ะ ทุกอย่างจบตรงที่จิตยํ้าว่านี้ที่ไหนและลมหายใจกับร่างกายหายไปแล้วจะไปไงต่อ แค่คิดแค่นั้นก็กลับมาเป็นปกติค่ะ ดิฉันได้เกลาความรู้สึกออกมาได้แค่นี้นะค่ะ เพราะเห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเอง อย่างไงรบกวนคุณธรรมชาติทวนสอบสิ่งนี้ให้หน่อยนะค่ะว่าคืออะไร ควรทําอย่างไรต่อค่ะ

    +++ หากคำศัพท์ที่ผมใช้ตามข้างบนนั้น ถูกต้องตรงกับอาการของคุณที่เกิดในขณะนั้น ผมเรียกมันว่า จิตเปล่งรังสี หรือตามที่ครูบาอาจารย์ท่านเรียกมันว่า จิตเดิมแท้เป็นประกายประภัสสร หรือจะเรียกได้ว่า จิตในขณะนั้น เป็น อาภัสสระพรหม นั่นเอง ลองตรวจดูนะครับว่า ที่ผมกล่าวมานั้น ตรงกับอาการของคุณหรือเปล่า
     
  9. Ohchan

    Ohchan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +47
    +++ หากจะใช้คำศัพท์ว่า อวกาศ น่าจะตรงกับอาการมากกว่าหรือไม่
    @ จริงๆก็ตงนแรกก็อยากจะเขียนว่าจักรวาลหรืออวกาศอะไรทํานองนั้น แต่กลัวคนอ่านจะหาว่าบ้าหรือดูเพ้อเจ้อไปหรือเปล่า มันยากที่คนอ่านแล้วจะจะเชื่อนะค่ะ

    +++ พวยพุ่งไปทั่ว คือ ล้วนพุ่งออกจากตัวคุณทั้งสิ้น ไม่มีขอบเขต พุ่งออก 360 องศา ต่อเนื่องไม่หยุดยั้งขาดตอน ใช่หรือไม่
    @ ใช่ค่ะ มันพวยพุ่งอยู่ทั่วรอบๆตัวดิฉัน มีอยู่เยอะมากๆนับไม่ถ้วน และอีกทั้งยังมีความระยิบระยับหลากสีกับสิ่งที่คล้ายๆเพชรพลอยปะปนอยู่ทั่วไปด้วยค่ะ

    +++ ทุกอนุภาคที่พุ่งออกจากตัวคุณ สามารถสังเกตุทิศทางการพุ่งของมันได้ ด้วยอาการคล้าย ๆ ใยไหมสีรุ้งเล็กละเอียดที่แสดงถึงแนวแรงของทิศทางการพุ่ง ใช่หรือไม่
    @ ใช่ค่ะ ตามที่คุณธรรมชาติอธิบายเลยค่ะ มันคล้ายเส้นใยไหมเล็กละเอียดเป็นเส้นสายเดียวและไม่ได้มีแค่เส้นเดี่ยวแต่มีหลายเส้นเยอะมากค่ะ

    +++ ตรงนี้คือ ล้วนพุ่งออกจากตัวคุณทั้งสิ้น ไม่มีขอบเขต ต่อเนื่องไม่หยุดยั้งขาดตอน มีทิศทางชัดเจน มีแต่ลอยไปอย่างเดียว ไม่มีลอยกลับมา ใช่หรือไม่
    @ ใช่ค่ะ เส้นใยทั้หมดมีลักษณะการเคลื่อนตัวไปในแนวเดียวกันไม่สะเปะสะปะ ต่อเนื่องไม่มีเว้น และทั้งหมดล้วนพุ่งออกจากดิฉันทั้งนั้นค่ะ ไม่มีการลอยกลับมาหา

    +++ หากคำศัพท์ที่ผมใช้ตามข้างบนนั้น ถูกต้องตรงกับอาการของคุณที่เกิดในขณะนั้น ผมเรียกมันว่า จิตเปล่งรังสี หรือตามที่ครูบาอาจารย์ท่านเรียกมันว่า จิตเดิมแท้เป็นประกายประภัสสร หรือจะเรียกได้ว่า จิตในขณะนั้น เป็น อาภัสสระพรหม นั่นเอง ลองตรวจดูนะครับว่า ที่ผมกล่าวมานั้น ตรงกับอาการของคุณหรือเปล่า
    @ มันใช่ทุกอย่างที่คุณธรรมชาติกล่าวมาทั้งหมดเลยค่ะ แปลกจังทําไหมคุณธรรมชาติทราบอาการเหล่านั้นค่ะ ขั้นตอนนี้ทุกคนต้องเจอใช้ไหม จริงๆเรื่องอาการจากการนั่งสมาธิซึ่งดิฉันเคยพบมาเจอนั้น นี้เป็นเรื่องแรกที่ดิฉันได้รับความกระจ่างและเข้าใจนะค่ะ

    - ขอถามเพิ่มนะค่ะ จริงๆก่อนหน้าที่จะเกิดอาการแบบข้างบนนั้น มีครั้งหนึ่งขณะนั่งสมาธิ อยู่ ดิฉันก็เห็นดาวดวงเล็กๆดวงหนึ่งที่เหมือนดาวศุกร์บนท้องฟ้าบ้านเราเลยค่ะ ซึ่งเขาแอบอยู่ในมุมซอกหนึ่งในความมืดที่ดิฉันเห็นในจิตขณะนั้น ดิฉันก็แอบมองเขาอยู่นานต่อจากนั้น ก็ไม่สนใจและก็ภาวนาต่อไปจนถอดสมาธิ แต่ก็เก็บความสงสัยไว้จนมีครูในจิตมาเฉลยให้ฟังว่า สิ่งที่ดิฉันเห็น คือจิตประภัสสร และพื้นหลังที่มืดและดําคือกิเลสตัญหา ซึ่งเนื้อแท้จิตของมนุษย์สุกใสดังจิตที่แต่มันถูกปกคลุมด้วยกิเสลตัญหานั้น นับเป็นเรื่องที่ปาฎิหารย์มากๆกับการหยั่งรู้ของจิตที่มาสอนดิฉัน เพียงสิ่งเดียวที่ท่านต้องการคือให้ดิฉันเชื่อและศรัทธาในการบําเพ็ญบารมีต่อไป คือแบบช่วงๆแรกก็ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไรค่ะ ท่านเลยต้องมาแสดงปาฎิหารย์ให้ดูบ้าง  ดิฉันมีความเห็นว่า เป็นไปได้ไหมค่ะว่าอาการแบบจักรวาลที่เกิดขึ้นนั้น มันอยู่ในจิตประภัสสรหรือดาวศุกร์ที่ดิฉันเห็นตอนแรกใช้ไหมค่ะ แบบว่าจากที่เห็นมันภายนอกแต่ตอนนี้ดิฉันเข้ามาอยู่ภายในดวงจิตแล้วหรือไม่ค่ะ

    - ขอถามอีกอาการหนึ่งนะค่ะ เมื่อก่อนดิฉันชอบนึกสนุกเล่นๆ เวลานั่งสมาธิ จะปิดไฟให้ห้องมืดสนิท และเมื่อนั่งสมาธิจนจิตรวมได้ที่จนเกิดดวงแสงสีเหลืองทองออกมา ดิฉันจะลืมตาและตั้งจิตให้มันขยายโตขึ้นจนครอบตัวและขยายแผ่ไปทั่วห้อง แล้วดิฉันก็มองดูไปทั่วห้องตอนเปล่งแสงนั้น ทําให้ห้องที่มืดอยู่นั้นสว่างและดิฉันเห็นข้าวของต่างๆในห้องชัดเจน อาการนั้นอยู่ในข่าย จิตเปล่งแสง หรือ กสินที่คนชอบฝึกกันค่ะ แค่อยากรู้ในเชิงวิชาการจากคุณธรรมชาติอีกค่ะ และหวังว่าคุณธรรมชาติจะไม่เบื่อซะก่อนนะค่ะ ขอขอบคุณค่ะ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    @ มันใช่ทุกอย่างที่คุณธรรมชาติกล่าวมาทั้งหมดเลยค่ะ แปลกจังทําไหมคุณธรรมชาติทราบอาการเหล่านั้นค่ะ ขั้นตอนนี้ทุกคนต้องเจอใช้ไหม จริงๆเรื่องอาการจากการนั่งสมาธิซึ่งดิฉันเคยพบมาเจอนั้น นี้เป็นเรื่องแรกที่ดิฉันได้รับความกระจ่างและเข้าใจนะค่ะ

    +++ อาการของจิตเดิมแท้เป็นประกายประภัสสรนั้น เป็นบทฝึกหลัก ๆ บทหนึ่งที่ผู้ที่ฝึกกรรมฐานกับผมแบบต่อหน้า จำเป็นต้องผ่าน เพราะเปรียบเหมือนกับรถที่เติมน้ำมันเต็มถัง ย่อมไม่พะวงกับระยะทางที่จะไปต่อทางจิต และถือได้ว่าเป็นจุดสิ้นสุดของ สมถะกรรมฐาน เพราะกิจอื่นในสมถะที่สมควรยิ่งกว่านี้เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น ดังนั้นจึงเปรียบเหมือนกับเส้นทางที่เดินอยู่เป็นประจำนั่นแหละครับ การเดินจิตเข้าสู่จิตเดิมแท้นี้ มีนักปฏิบัติเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ทำได้ เท่าที่ทราบมาว่า ครูบาอาจารย์ในสายหลวงปู่มั่นที่ผ่านจุดนี้มาแล้ว และต่อยอดเข้าสู่ วิปัสสนาญาณทัศนะ สามารถจบกิจจนเป็นพระธาตุได้ทุกท่าน ไม่มีอะไรมากครับ

    - ขอถามเพิ่มนะค่ะ จริงๆก่อนหน้าที่จะเกิดอาการแบบข้างบนนั้น มีครั้งหนึ่งขณะนั่งสมาธิ อยู่ ดิฉันก็เห็นดาวดวงเล็กๆดวงหนึ่งที่เหมือนดาวศุกร์บนท้องฟ้าบ้านเราเลยค่ะ ซึ่งเขาแอบอยู่ในมุมซอกหนึ่งในความมืดที่ดิฉันเห็นในจิตขณะนั้น ดิฉันก็แอบมองเขาอยู่นานต่อจากนั้น ก็ไม่สนใจและก็ภาวนาต่อไปจนถอดสมาธิ แต่ก็เก็บความสงสัยไว้จนมีครูในจิตมาเฉลยให้ฟังว่า สิ่งที่ดิฉันเห็น คือจิตประภัสสร

    +++ เรื่องของจิตประภัสสรนั้น จะ "เห็น" ไม่ได้ ต้อง "เป็น" เท่านั้นจึงใช่นะครับ และต้อง "เป็น" เช่นเดียวกันกับที่คุณ "เป็น" ในขณะนั้นนั่นแหละ ส่วนดาวดวงนั้น คือ "อาโลกะกสิณ" ที่เป็นของเก่าของคุณที่ติดตามมาในชาตินี้ จะอยู่ในย่อหน้าสุดท้ายของคุณนะครับ

    และพื้นหลังที่มืดและดําคือกิเลสตัญหา ซึ่งเนื้อแท้จิตของมนุษย์สุกใสดังจิตที่แต่มันถูกปกคลุมด้วยกิเสลตัญหานั้น นับเป็นเรื่องที่ปาฎิหารย์มากๆกับการหยั่งรู้ของจิตที่มาสอนดิฉัน เพียงสิ่งเดียวที่ท่านต้องการคือให้ดิฉันเชื่อและศรัทธาในการบําเพ็ญบารมีต่อไป คือแบบช่วงๆแรกก็ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไรค่ะ ท่านเลยต้องมาแสดงปาฎิหารย์ให้ดูบ้าง ดิฉันมีความเห็นว่า เป็นไปได้ไหมค่ะว่าอาการแบบจักรวาลที่เกิดขึ้นนั้น มันอยู่ในจิตประภัสสรหรือดาวศุกร์ที่ดิฉันเห็นตอนแรกใช้ไหมค่ะ แบบว่าจากที่เห็นมันภายนอกแต่ตอนนี้ดิฉันเข้ามาอยู่ภายในดวงจิตแล้วหรือไม่ค่ะ

    +++ เรื่องครูในจิตนั้น ขอให้ยับยั้งชั่งใจไว้ก่อน จนกว่าคุณจะชัดเจนในเรื่องของ จิตตนและจิตท่าน แล้วนะครับ ส่วนพื้นหลังที่ดำมืดนั้นจริง ๆ แล้วมันคือ ธรรมารมณ์ที่เป็นแหล่งพลังงานของจิตโลกียะ จนกว่าคุณจะเปลี่ยนฐานจากธรรมารมณ์มาเป็นสติ หรือ สภาวะรู้ จากนั้นคุณจะทราบได้เอง

    +++ เรื่องของจิตประภัสสรนั้น ยังเป็น สังขตะธรรม หรือ dynamic stage คือยังเป็น โลกียะอยู่ คุณเคยผ่านประสพการณ์นี้มาด้วยตนเองแล้ว คงทราบดีนะครับ

    - ขอถามอีกอาการหนึ่งนะค่ะ เมื่อก่อนดิฉันชอบนึกสนุกเล่นๆ เวลานั่งสมาธิ จะปิดไฟให้ห้องมืดสนิท และเมื่อนั่งสมาธิจนจิตรวมได้ที่จนเกิดดวงแสงสีเหลืองทองออกมา ดิฉันจะลืมตาและตั้งจิตให้มันขยายโตขึ้นจนครอบตัวและขยายแผ่ไปทั่วห้อง แล้วดิฉันก็มองดูไปทั่วห้องตอนเปล่งแสงนั้น ทําให้ห้องที่มืดอยู่นั้นสว่างและดิฉันเห็นข้าวของต่างๆในห้องชัดเจน อาการนั้นอยู่ในข่าย จิตเปล่งแสง หรือ กสินที่คนชอบฝึกกันค่ะ แค่อยากรู้ในเชิงวิชาการจากคุณธรรมชาติอีกค่ะ และหวังว่าคุณธรรมชาติจะไม่เบื่อซะก่อนนะค่ะ ขอขอบคุณค่ะ

    +++ ดาวศุกร์ของคุณ คือ อาโลกะกสิณที่เป็นของเก่าของคุณ หากคุณเอามันมาแทน ดวงสีเหลืองและทำแบบเดียวกันได้ ความสว่างจะชัดเจนกว่าเดิม เหมือนกับเห็นในเวลาพระจันทร์เต็มดวง แล้วมาเทียบกับ เห็นในเวลาพระอาทิตย์เที่ยงวัน อย่างไรอย่างนั้นนะครับ
     
  11. Ohchan

    Ohchan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +47
    +++ อาการของจิตเดิมแท้เป็นประกายประภัสสรนั้น เป็นบทฝึกหลัก ๆ บทหนึ่งที่ผู้ที่ฝึกกรรมฐานกับผมแบบต่อหน้า จำเป็นต้องผ่าน เพราะเปรียบเหมือนกับรถที่เติมน้ำมันเต็มถัง ย่อมไม่พะวงกับระยะทางที่จะไปต่อทางจิต และถือได้ว่าเป็นจุดสิ้นสุดของ สมถะกรรมฐาน เพราะกิจอื่นในสมถะที่สมควรยิ่งกว่านี้เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น ดังนั้นจึงเปรียบเหมือนกับเส้นทางที่เดินอยู่เป็นประจำนั่นแหละครับ การเดินจิตเข้าสู่จิตเดิมแท้นี้ มีนักปฏิบัติเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ทำได้ เท่าที่ทราบมาว่า ครูบาอาจารย์ในสายหลวงปู่มั่นที่ผ่านจุดนี้มาแล้ว และต่อยอดเข้าสู่ วิปัสสนาญาณทัศนะ สามารถจบกิจจนเป็นพระธาตุได้ทุกท่าน ไม่มีอะไรมากครับ
    @ แล้วเราจะต่อยอดเข้าสู่ วิปัสสนาญาณ ยังไงค่ะ ในเมื่อจุดนั่นไม่มีสังขารให้เล่นแลคําภานาก็หายไป คร่านั้นเมื่อสติของฉันคิดได้ว่า จงรู้ตัวว่ากําลังนั่งสมาธิให้ละสิ่งทีเห็น ทําเฉยๆ แล้วก็เลยตั้งคําภาวนาพุธโธเหมือนเดิม จากนั้นปุ๊ปก็กลับมารับรู้ลมจริงๆอีกครั้ง ถ้าในความคิดดิฉัน ถ้าจบสมถะแล้วเราต้องกลับเข้ามาดูจิต พิจาณากายในใช้ไหมค่ะ มันถึงสามารถเข้าวิปัสสนาได้ ที่คนเค้าพูดว่า ให้ถอยออกมาลงสู่การพิจารณาไตรลักษณ์ใช้ไหมค่ะ

    +++ เรื่องของจิตประภัสสรนั้น จะ "เห็น" ไม่ได้ ต้อง "เป็น" เท่านั้นจึงใช่นะครับ และต้อง "เป็น" เช่นเดียวกันกับที่คุณ "เป็น" ในขณะนั้นนั่นแหละ ส่วนดาวดวงนั้น คือ "อาโลกะกสิณ" ที่เป็นของเก่าของคุณที่ติดตามมาในชาตินี้ จะอยู่ในย่อหน้าสุดท้ายของคุณนะครับ
    @ อ๋อ..เข้าใจแหละค่ะ

    +++ เรื่องครูในจิตนั้น ขอให้ยับยั้งชั่งใจไว้ก่อน จนกว่าคุณจะชัดเจนในเรื่องของ จิตตนและจิตท่าน แล้วนะครับ ส่วนพื้นหลังที่ดำมืดนั้นจริง ๆ แล้วมันคือ ธรรมารมณ์ที่เป็นแหล่งพลังงานของจิตโลกียะ จนกว่าคุณจะเปลี่ยนฐานจากธรรมารมณ์มาเป็นสติ หรือ สภาวะรู้ จากนั้นคุณจะทราบได้เอง
    @ ดิฉันก็อยากจะบอกให้ลึกซึ้งกว่านี้นะค่ะเกี่ยวกับครูในจิต เรียกว่าเทพองค์หนึ่งละกันค่ะ ดิฉันโชคดีมีโอกาสได้เสวนาธรรมกับท่าน ถึงแม้ท่านจะเป็นเทพใหญ่ในศาสนาแต่คําแนะนําที่ท่านให้ไม่ได้มีการแบ่งแยกเชกเช่นความเข้าใจของมนุษย์ค่ะ เพียงแต่ท่านยินดีและปรารถนาให้มนุษย์เห็นธรรมจนหลุดพ้นตามแบบอย่างองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ครูดีเพราะมีวาสนากันเก่าก่อนแต่ตัวนักเรียนก็ต้องรู้จักพัฒนาเองเช่นกัน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้นแล

    +++ เรื่องของจิตประภัสสรนั้น ยังเป็น สังขตะธรรม หรือ dynamic stage คือยังเป็น โลกียะอยู่ คุณเคยผ่านประสพการณ์นี้มาด้วยตนเองแล้ว คงทราบดีนะครับ 
    @ ค่ะ มันได้แต่สุข เราไม่สามารถพิจารณาธรรมได้

    +++ ดาวศุกร์ของคุณ คือ อาโลกะกสิณที่เป็นของเก่าของคุณ หากคุณเอามันมาแทน ดวงสีเหลืองและทำแบบเดียวกันได้ ความสว่างจะชัดเจนกว่าเดิม เหมือนกับเห็นในเวลาพระจันทร์เต็มดวง แล้วมาเทียบกับ เห็นในเวลาพระอาทิตย์เที่ยงวัน อย่างไรอย่างนั้นนะครับ
    @ ก็คงจริงค่ะ ว่ามันเป็นของเก่าที่ติดมาเพราะวันแรกที่ดิฉันเริ่มนั่งสมาธินั้น เจอแสงอาทิตย์ส่องเข้าหน้าอยู่พักใหญ่แต่มันไม่ได้แช่ค้างอยู่นะ แต่จะยิงมาเป็นระลอกๆค่ะ ก็พอถอนสมาธิออกมาราวตีหนึ่ง ไม่รู้การมองของดิฉันเป็นอะไรไม่ทราบค่ะ รู้สึกมองไปทางไหนก็สว่าง สดใส ตาเป็นประกาย ไม่ง่วงแต่จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนได้ชาร์ตแบต ก็ตกใจอยู่เหมือนกันเพราะเพิ่งหัดนั่งเป็นครั้งแรกค่ะ 
    ก็ทั้งหมดเป็นประสบการณ์เก่าๆของดิฉันที่มาเล่าสู้กันฟังนะค่ะ และถ้าได้คําแนะนําจากคุณธรรมชาติเกี่ยวกับการต่อยอดเข้าวิปัสสนาญาณแล้ว ดิฉันจะได้เดินทางต่อไปค่ะ 
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ อาการของจิตเดิมแท้เป็นประกายประภัสสรนั้น เป็นบทฝึกหลัก ๆ บทหนึ่งที่ผู้ที่ฝึกกรรมฐานกับผมแบบต่อหน้า จำเป็นต้องผ่าน เพราะเปรียบเหมือนกับรถที่เติมน้ำมันเต็มถัง ย่อมไม่พะวงกับระยะทางที่จะไปต่อทางจิต และถือได้ว่าเป็นจุดสิ้นสุดของ สมถะกรรมฐาน เพราะกิจอื่นในสมถะที่สมควรยิ่งกว่านี้เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น

    @ แล้วเราจะต่อยอดเข้าสู่ วิปัสสนาญาณ ยังไงค่ะ ในเมื่อจุดนั่นไม่มีสังขารให้เล่นแลคําภานาก็หายไป คร่านั้นเมื่อสติของฉันคิดได้ว่า จงรู้ตัวว่ากําลังนั่งสมาธิให้ละสิ่งทีเห็น ทําเฉยๆ แล้วก็เลยตั้งคําภาวนาพุธโธเหมือนเดิม จากนั้นปุ๊ปก็กลับมารับรู้ลมจริงๆอีกครั้ง ถ้าในความคิดดิฉัน ถ้าจบสมถะแล้วเราต้องกลับเข้ามาดูจิต พิจาณากายในใช้ไหมค่ะ มันถึงสามารถเข้าวิปัสสนาได้ ที่คนเค้าพูดว่า ให้ถอยออกมาลงสู่การพิจารณาไตรลักษณ์ใช้ไหมค่ะ

    +++ การเข้าสู่ วิปัสสนาญาณทัศนะ นั้นจะต้องปูพื้นฐานของ มหาสติ ให้แน่นและคล่องเสียก่อน ให้ลองอ่านเอาจากกระทู้ "ตามรอยพระพุทธบาท-ท่าเท้าพระพุทธองค์" ในโพสท์ที่ 3 ของหน้าแรกก่อนนะครับ
     
  13. Ohchan

    Ohchan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +47
    เมื่อดิฉันอ่านโพสนั้นตามที่คุณธรรมชาติ ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะ ขอขอบคุณมากนะค่ะ
     
  14. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    ประสบการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่กับดิฉันอีกแล้วค่ะ คือนั่งสมาธิแล้วกำหนดให้สติรู้อยู่กับร่างกาย คล้ายๆกับการสแกนน่ะค่ะ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ชักชินพอหลับตาก็สแกนความรู้สึกตัวได้เลยโดยไม่ต้องตั้งหลักนานเหมือนตอนแรกๆ และก็นั่งได้นานขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนั่งนาน นิ่งได้นานก็ชักแปลกๆ ขณะที่กำหนดรู้อยู่กับร่างกายไปมา ก็สแกนไม่ได้ขึ้นมาเฉยๆคือมันว่างๆนิ่งๆ ก็อ่ะไม่เป็นไรไม่สแกนก็ได้ หันมากำหนดลมหายใจแทน ซักพัก ก็รู้สึกเห็น( ต้องใช้คำว่า"รู้สึกเห็น"นะคะเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไรถูก )เหมือนเป็นคลื่นสีขาว มีมวลหนาแน่น ให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มม้วนเป็นคลื่นออกมาจากรอบๆตัวเราช้าๆ ให้ความรูสึกนุ่มนวลค่ะ ที่ขอบของคลื่นสีขาวเหล่านี้เห็นเป็นหลายๆสีซ้อนกันอย่าง กับรัศมีของพระอาทิตย์ทรงกลดอย่างเราเคยเห็นน่ะค่ะ ไม่ได้เกิดความรู้สึกอึดอัดรึแสบตาเลย กลับทำให้ความรู้อบอุ่นดีซะอีก ก็เลยกำหนดรู้อยู่กับอารมณ์นิ่งๆนุ่มๆนั้นต่อไปซักพักแล้วก็ถอนสมาธิออกเพราะรู้สึกว่านั่งนานแล้วนานกว่าทุกวันที่นั่งประจำค่ะ
     
  15. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    เป็นปิตินะโยมเป็นโอภาส เกิดใน วิปัสสนาญาณสาม เพราะลักษณะการนั่งพิจารณากายเป็นการเจริญวิปัสสนาญาณ เริ่มจากพิจารณารูป(กาย)นาม(จิต) และพิจารณาเหตุและผล เช่น ตาเห็นรูปเป็นเหตุ ใจรู้นามเป็นผล พบหลุดจากตรงนี้ แล้วจะเกิดรู้เหตุผล ผิดถูก คนเกเรพอถึงตรงนี้จะกลับตัว ญาณรู้เหตุผลเกิดแล้ว เข้าสู่การพิจารณาเกิดดับ มันก็ดับให้เห็น ปิติก็เกิด ต่อไปก็พิจารณาให้เห็นเกิดดับก็จะได้ อุทยัพพยญาณ

    ป.ล.แต่ถ้าไม่ได้พิจารณาอย่างข้างต้นที่อาตมาบอก ก็น่าจะเป็นการเผลอหลุดเข้าสมถนิ่งแล้วเกิดปิติโอภาส สรุปก็โอภาสนั้นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2013
  16. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    พิจารณาอย่างที่ท่านกล่าวมาเลยค่ะ ยึดกฎที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เพื่อไม่ให้หลง จะเตือนตัวเองอยู่เสมอค่ะว่าไม่มีอะไรคงทนถาวร เพราะงั้นสิ่งที่พบระหว่างนั่งสมาธิก็จะกำหนดรู้เพียงเท่านั้น แล้วก็ปล่อยผ่านไป จึงเกิดประสบการณ์ใหม่เข้ามา ประสบการณ์ต่างๆก็คิดเพียงว่าเป็นหลักกิโลเมตร เพื่อให้รูว่าเราเดินทางมาถึงไหนแล้วบนทางสายนี้ เดินหน้ารึว่าถอยหลัง แต่จะรู้ว่าก้าวหน้ารึว่าถอยหลังก็ต้องอาศัยท่านที่รู้ที่ผ่านประสบกาณ์นั้นมาแล้วมาช่วยชี้แนะค่ะ เพราะถ้าคิดเอาเองเราก็จะเข้าข้างตัวเองว่าเราก้าวหน้านั้นมันอาจผิด ไม่ใช่ รึหลงทางก็ได้ เลยอาจจะรบกวนเพื่อน พี่ ท่านทั้งหลายบ่อยๆค่ะ ขอบคุณไว้ตรงนี้เลยนะคะที่ทุกท่านช่วยบอกทาง ขอบคุณค่ะ สาธุ!!!
     
  17. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    สวัสดีค่ะ

    ดิฉันมีคำถามใหม่
    เมื่อวันก่อนกำลังสวดมนต์อยู่ สวดได้พักหนึ่งที่คาถาหนึ่ง
    เห็นวงกลมสีม่วงอยู่ระหว่างคิ้ว(อยากถามด้วยว่าทำไมต้องสีม่วง มีคืนหนึ่งที่สวดมนต์อยู่ที่เดียวกันมองออกไปก็เห็นแสงสีม่วงขนาดใหญ่เกือบเท่าคนนั่งด้วย) วงกลงนี้มีรัศมีสีเหลือง เหมือนเวลาดูสุริยุปราคาค่ะ
    เห็นเป็นลักษณะวงกลมนี้วิ่งออกไปข้างหน้าแล้วก็มีมาใหม่แล้ววิ่งไปอีก
    ขญะวิ่งรัศมีสีเหลืองจะเข้ามาแทนทีทีละนิดๆเมื่อวิ่งไปไกลก็จะเหลือแต่จุดสีเหลืองเล็กๆแล้วหายไป จากนั้นจะเป็นวงกลมวงใหญ่อีก

    เมื่อเห็นทำให้ไม่มีสมาธิสวดมนต์ ไม่ทราบว่าจะสนใจอะไรดี ระหว่าง สวดมนต์หรือวงกลมนี้

    ขอบคุณนะคะ
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ผมเพิ่งกลับจากธุระ ตจว เลยตอบช้าไปหน่อยครับ

    +++ อธิบายคำศัพท์บางตัวที่จำเป็นสำหรับคุณ jjustdream
    ------------------------------------------------------------------------------------------------------
    สมาธิ = ความตั้งมั่น
    ขณิกะสมาธิ = ความตั้งมั่น พอจะเรียกได้ว่ามี แต่ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ "เหมือนกับเด็กหัดตั้งไข่ก่อนเดิน"
    อุปจาระสมาธิ = ความตั้งมั่น ในระดับที่ทรงตัวแล้ว แต่ยังไม่แข็งแรงพอที่จะอยู่ใน อารมณ์ของจิตได้ (มักจะตกภวังค์ หลงนิมิต)
    อัปปนาสมาธิ = ความตั้งมั่น ที่แข็งแรงจนพอที่จะอยู่ใน อารมณ์ของจิตได้ (ภวังค์และนิมิต ไม่อาจเกิดขึ้นได้) ข้ามพ้นความ ชอบและไม่ชอบ ความฟุ้งซ่านและลังเล รวมทั้ง ความง่วงซึมหรือหดหู่ ต่าง ๆ

    สมาบัติ ฌาน = ประเภทและอาการต่าง ๆ ภายใน อัปปนาสมาธิ
    รูปฌาน = อัปปนาสมาธิ ที่ยังรู้ว่าร่างกายยังมีอยู่
    อรูปฌาน = อัปปนาสมาธิ ที่วางร่างกายจนหายไปแล้ว
    เอกัคคตารมณ์ = อารมณ์ หรือ สภาวะที่โดดเด่นเป็นเอก

    สมถะสมาธิ = ความตั้งมั่นที่จิต (สภาวะดู-เห็น) หากอยู่ใน อัปปนาสมาธิ ผลลัพธ์จะเป็น ฌานสมาบัติ
    วิปัสสนาสมาธิ = ความตั้งมั่นที่ สติ (สภาวะรู้-เห็น) หากอยู่ใน อัปปนาสมาธิ ผลลัพธ์จะเป็น วิปัสสนาญาณทัศนะ

    วิปัสสนาญาณทัศนะ (มีเฉพาะในพุทธศาสนาเท่านั้น) = มาจากคำว่า ญาณ ซึ่งแปลว่า รู้ และ ทัศนะ ซึ่งแปลว่า เห็น รวมกันออกมาเรียกว่า "ญาณทัศนะ" ก็คือการที่ สภาวะรู้ (สติ) ที่ตั้งมั่นจนกลายเป็นสภาวะที่กลายเป็นเห็นนั่นเอง วิธีนี้เรียกว่า "วิปัสสนา" ดังนั้น "การฝึกวิปัสสนา" คือการตั้ง สติมั่น (ญาณ) จนถึงขั้น สติเห็น (ทัศนะ) จึงเรียกว่า วิปัสสนาญาณทัศนะ ภาษาของพระป่าสายหลวงปู่มั่น ท่านเรียกมันว่า "ตาสติ" ที่ไม่ใช่ "ตามนุษย์ และ ตานึก ตาคิด" และต่างกันอย่างสิ้นเชิง
    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ของคุณ jjustdream ประสบการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่กับดิฉันอีกแล้วค่ะ คือนั่งสมาธิแล้วกำหนดให้สติรู้อยู่กับร่างกาย คล้ายๆกับการสแกนน่ะค่ะ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ชักชินพอหลับตาก็สแกนความรู้สึกตัวได้เลยโดยไม่ต้องตั้งหลักนานเหมือนตอนแรกๆ และก็นั่งได้นานขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนั่งนาน นิ่งได้นานก็ชักแปลกๆ ขณะที่กำหนดรู้อยู่กับร่างกายไปมา ก็สแกนไม่ได้ขึ้นมาเฉยๆคือมันว่างๆนิ่งๆ

    +++ จริง ๆ แล้วในขณะนั้น เป็นอาการ รู้อยู่ ว่างอยู่ เฉยอยู่ เป็น 3 อาการในขณะนั้น ในระดับ "สติครองฐานธรรมารมณ์" หากสามารถ "เลือก อยู่" ในอาการหนึ่งใด ก็จะเข้าสู่ อรูปฌาน ได้โดยไม่ยาก หากเลือก รู้อยู่ ก็จะตรงกับบาลีที่เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ หากเลือก ว่างอยู่ ก็จะตรงกับบาลีที่เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ส่วนอาการ เฉยอยู่ ในขณะนั้นเป็น อุเบกขา หากเลือกได้ ก็จะเป็น เอกัคคตา ซึ่งแปลว่า "โดดเด่นเป็นเอก"

    +++ หากเลือก รู้อยู่ (วิญญาณัญจายตนะ) หรือ ว่างอยู่ (อากิญจัญญายตนะ) ให้เป็นสภาวะเด่นอารมณ์เดียว (เอกัคคตา) ก็จะตกเข้าสู่อรูปฌาน (อัปปนาสมาธิที่ไม่มีร่างกาย) ในเวลาไม่นาน แต่ถ้าหากเลือก เฉยอยู่ ให้เป็นสภาวะเด่น ก็จะมีโอกาสเข้าสู่ สภาวะจิตเปล่งรังสี ได้โดยไม่ยาก

    ก็อ่ะไม่เป็นไรไม่สแกนก็ได้ หันมากำหนดลมหายใจแทน

    +++ สติถอยกลับมาสู่ อุปจาระสมาธิ (ระดับต่ำกว่า ฌาน)

    ซักพัก ก็รู้สึกเห็น( ต้องใช้คำว่า"รู้สึกเห็น"นะคะเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไรถูก )

    +++ ตรงนี้ กลับเข้าสู่ รูปฌาน (อัปปนาสมาธิที่ยังมีร่างกาย) และมี "ญาณทัศนะ" ที่ทรงตัวได้แล้ว

    +++ ใช้คำศัพท์ได้ใกล้เคียงแล้วครับ อาการจริง ๆ คือ จากรู้กลายเป็นเห็น คำว่ารู้ ภาษาบาลีคือ ญาณ ส่วนคำว่าเห็น ภาษาบาลีคือ ทัศนะ ดังนั้น สภาวะรู้ที่กลายเป็นเห็น จึงถูกต้องตรงตามภาษาบาลีที่เรียกว่า "ญาณทัศนะ" นั่นเอง โดยมีเหตุเกิดจาก การที่ สติ สามารถตั้งมั่นจนเป็นสมาธิได้ จึงเป็นอาการของ "วิปัสสนาญาณทัศนะ" นั่นเอง

    เหมือนเป็นคลื่นสีขาว มีมวลหนาแน่น ให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มม้วนเป็นคลื่นออกมาจากรอบๆตัวเราช้าๆ ให้ความรูสึกนุ่มนวลค่ะ ที่ขอบของคลื่นสีขาวเหล่านี้เห็นเป็นหลายๆสีซ้อนกันอย่าง กับรัศมีของพระอาทิตย์ทรงกลดอย่างเราเคยเห็นน่ะค่ะ ไม่ได้เกิดความรู้สึกอึดอัดรึแสบตาเลย กลับทำให้ความรู้อบอุ่นดีซะอีก ก็เลยกำหนดรู้อยู่กับอารมณ์นิ่งๆนุ่มๆนั้นต่อไปซักพักแล้วก็ถอนสมาธิออกเพราะรู้สึกว่านั่งนานแล้วนานกว่าทุกวันที่นั่งประจำค่ะ

    +++ อาการตรงนี้ของคุณ jjustdream จะเป็นเหมือนกับ "พระในครอบแก้ว" และเป็น "จิตเปล่งรังสี ในระดับ รูปฌาน" เพราะยังรู้ว่ามีร่างกายอยู่ ที่ขอบของคลื่นสีขาว คือ รอยต่อของมิติ ระหว่าง ภายนอกกับภายใน หากยามใดที่สามารถ วางร่างกายจนไม่ปรากฏได้แล้ว ก็จะเป็น "จิตเปล่งรังสี" แบบเต็มใบ แบบ อรูปฌาน นั่นเองครับ

    +++ อาการนี้ไม่ใช่การ "เห็น" แต่ตัวคุณ jjustdream "เป็น" สภาวะนี้ด้วยตัวคุณเองนะครับ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ในขณะที่คุณกำลังสวดมนต์ แต่มีสิ่งอื่นเข้ามาแทรกแซงเพื่อเบี่ยงเบนสมาธิ ทำให้การสวดล้มเหลว ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม คุณควรสวดมนต์ให้จบเสียก่อน (ตั้งสมาธิในการสวด) เมื่อสวดเสร็จแล้ว จึงนั่งสังเกตุการทำงานของจิตตนเอง โดยไม่นำเอาความคิดใด ๆ มาแทรกแซงการสังเกตุนั้น

    +++ ให้ทำความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา หากสิ่งใดปรากฏขึ้น ก็ให้ "อยู่" กับความรู้สึกตัวก่อน แล้วจึงสังเกตุปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่อยู่กับความรู้สึกตัว หากทำได้ ทุกอย่างจะค่อย ๆ เข้าใจไปได้เอง นะครับ
     
  20. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    ขอความช่วยเหลือหน่อยค่ะ คือบางครั้งนั่งสมาธิมันนิ่งๆว่างๆ แล้วก็เงีียบ เฉยไป เหมือนหลับ แต่รู้สึกตัวอยู่นะคะว่านั่งสมาธิอยู่ สักพักก็ดึงสติกลับมา แล้วตั้งหลักใหม่ ก็เป็นอีก เงียบๆว่างๆเหมือนหลับไป แต่ยืนยันนะคะว่าไม่ได้หลับ รู้สึึกตัวอยู่ว่านั่งอยู่ จะทำอย่างไรดี แก้ไขอย่างไรดีคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...