เข้าสู่แดนนิพพาน : หลวงตาพระมหาบัว

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 17 พฤษภาคม 2011.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    รู้อสุภะ รู้อย่างไร

    ใครก้าวเข้ามาวัดก็ว่าเขาเลื่อมใสศรัทธา อนุโลมผ่อนผันไปจนลืมเนื้อลืมตัวลืมธรรมลืมวินัย ลืมกฎระเบียบอันดีงามของวัดของพระของเณรไปหมด จนกลายเป็นการทำลายตนเองและวัดวาศาสนาให้เสียไปวันละเล็กละน้อย และกลายเป็นตมเป็นโคลนไปหมด ทั้งชาววัดชาวบ้านหาที่ยึดเป็นหลักเกณฑ์ไม่ได้ พระเต็มไปด้วยมูตรด้วยคูถคือสิ่งเหลวไหลภายในวัดในตัวพระเณร
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ด้วยเหตุนี้เราทุกคนผู้บวชในพระศาสนา จงสำนึกในข้อเหล่านี้ไว้ให้มาก อย่าเห็นสิ่งใดมีคุณค่าเหนือธรรมเหนือวินัย อันเป็นหลักใหญ่สำหรับรวมจิตใจของโลกชาวพุทธให้ได้รับความมั่นใจ ศรัทธาและร่มเย็น ถ้าหลักธรรมหลักวินัยได้ขาดหรือด้อยไปเสีย ประโยชน์ของประชาชนชาวพุทธที่จะพึงได้รับก็ต้องด้อยไปตาม จนถึงกับหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ศาสนามีเต็มคัมภีร์ใบลาน มีอยู่ทุกแห่งทุกหน พระไตรปิฎกไม่อดไม่อั้น เต็มอยู่ทุกวัดทุกวา แต่สาระสำคัญที่จะนำมาประพฤติปฏิบัติ ให้ประชาชนทั้งหลายได้รับความเชื่อความเลื่อมใส ยึดเป็นหลักจิตหลักใจไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อเป็นประโยชน์หรือเป็นสิริมงคลแก่ตนนั้นกลับไม่มี ทั้ง ๆ ที่ศาสนายังมีอยู่ เราก็เห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้วเวลานี้
    <o:p></o:p>
    หลักใหญ่ที่จะทำให้ศาสนาเจริญรุ่งเรือง และเป็นสักขีพยานแก่ประชาชนผู้เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อหวังบุญและสิริมงคลทั้งหลายกับวัด ก็คือพระเณร ถ้าพระเณรตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ นั้นแลคือ ผู้รักษาไว้ซึ่งแบบฉบับอันดีงามแห่งพระศาสนาและมรรคผลนิพพานไม่สงสัย เขาจะยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้ เพราะคนในโลกนี้คนฉลาดยังมีอยู่มาก ส่วนคนโง่แม้มีมากจนล้นโลกก็หาประมาณไม่ได้ เมื่อถูกใจเขาเขาก็ชมเชย การชมเชยนั้นก็ชมเชยแบบความโง่ของเขา ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าไม่พอใจก็ตำหนิติเตียน ความตำหนิติเตียนนั้น ก็ไม่เกิดประโยชน์แก่ทั้งเขาและเราด้วย แต่ผู้เฉลียวฉลาดชมเชยนั้นยึดเป็นหลักจิตใจได้ แก่เขาด้วยแก่เราด้วย เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ชมเชยพระสงฆ์ก็ชมเชยด้วยหลักความจริงความฉลาด พระสงฆ์ผู้ตระหนักในเหตุผลก็สามารถทำตนให้เป็นเนื้อนาบุญของเขาได้ด้วย เขาก็ได้รับประโยชน์ด้วย แม้ตำหนิก็มีเหตุผลที่ควรยึดเป็นคติได้ ด้วยเหตุนี้เราผู้ปฏิบัติพึงตระหนักในข้อนี้ให้ดี
    <o:p></o:p>
    ไปที่ไหนอย่าลืมเนื้อลืมตัวว่าตนเป็นนักปฏิบัติ เป็นองค์แทนพระศาสดาในการดำเนินพระศาสนา และประกาศพระศาสนาด้วยการปฏิบัติ โดยไม่ถึงกับต้องประกาศสั่งสอนประชาชนให้เข้าใจในอรรถในธรรมโดยถ่ายเดียว แม้เพียงข้อวัตรปฏิบัติที่ตนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้น ก็เป็นทัศนียภาพอันดีงามให้ประชาชนเกิดความเชื่อความเลื่อมใสได้ เพราะการได้เห็นได้ยินของตนอยู่แล้ว ยิ่งได้มีการแสดงอรรถธรรม ให้ถูกต้องตามหลักของการปฏิบัติโดยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นการประกาศพระศาสนาโดยถูกต้องดีงาม ให้สาธุชนได้ยึดเป็นหลักใจ ศาสนาก็มีความเจริญรุ่งเรืองไปโดยลำดับในหัวใจชาวพุทธ
    <o:p></o:p>
    อยู่ที่ใดไปที่ใดอย่าลืมหลักสำคัญคือศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นหลักงานสำคัญของพระ นี้แลคือหลักงานสำคัญของพระเราทุกรูป ที่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสปรากฏในพระพุทธศาสนาว่าเป็นลูกศิษย์พระตถาคต เป็นอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ได้เป็นอยู่เพียงโกนผม โกนคิ้วนุ่งเหลืองห่มเหลืองเท่านั้น อันนั้นใครทำเอาก็ได้ไม่สำคัญ สำคัญที่การประพฤติปฏิบัติตามหน้าที่ของตน ศีลพยายามระมัดระวังรักษาอย่าให้ขาดให้ด่างพร้อย มีความระเวียงระวังอยู่ทุกอิริยาบถด้วยสติปัญญาของเรา อะไรจะขาดตกบกพร่องไปก็ตาม ศีลอย่าให้ขาดตกบกพร่อง เพราะเป็นสมบัติอันสำคัญประจำกับเพศของตน หวังพึ่งเป็นพึ่งตายกับศีลของตนโดยแท้
    <o:p></o:p>
    สมาธิที่ยังไม่เกิดก็พยายามฝึกฝนอบรมดัดแปลงจิตใจ ฝ่าฝืนทรมานจิตใจตัวพยศเพราะอำนาจของกิเลสนั้น ให้เข้าสู่เงื้อมมือของความเพียร มีสติปัญญาเป็นเครื่องสกัดลัดกั้นความคะนองของใจ ให้เข้าสู่ความสงบเย็นใจจนได้ นี่ก็เป็นสมาธิสมบัติสำหรับพระเรา ปัญญาคือความฉลาด ปัญญาจะใช้ได้ในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อ ไม่ว่ากิจการภายนอกภายในให้นำปัญญาออกใช้เสมอ ยิ่งเข้าสู่ภายในคือการพิจารณากิเลสอาสวะประเภทต่าง ๆ ด้วยแล้ว ปัญญายิ่งเป็นของสำคัญมาก ปัญญากับสตินี้แยกกันไม่ออก จะต้องทำหน้าที่ไปพร้อม ๆ กัน สติเป็นผู้ควบคุมงานคือปัญญาที่กำลังทำงาน หากสติได้เผลอไปเมื่อไรงานนั้นก็ไม่สำเร็จเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะฉะนั้นสติจึงเป็นธรรมจำเป็นที่จะต้องแนบนำในงานของตนอยู่เสมอ นี่คืองานของพระ ให้ท่านทั้งหลายจำไว้อย่างถึงใจตลอดไป อย่าชินชา จะกลายเป็นพระหน้าด้านไปโดยที่โลกเขาเคารพกราบไหว้ทุกวันเวลา<o:p></o:p>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    รู้อสุภะ รู้อย่างไร

    ออกพรรษานี้ต่างองค์ต่างก็จะต้องพลัดพรากจากกันไป ตามหน้าที่และความจำเป็น และกฎคือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ห้ามไม่อยู่ เพราะเป็นคติธรรมดา เป็นเรื่องใหญ่ แม้ตัวผมเองก็ไม่ได้แน่ใจว่าจะอยู่กับท่านทั้งหลายไปนานสักเท่าไร เพราะอยู่ใต้กฎอนิจฺจํเหมือนกัน ในขณะที่อยู่ด้วยกัน พึงตั้งใจสำเหนียกศึกษาให้ถึงใจ สมกับเรามาศึกษาอบรมและประพฤติปฏิบัติ
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    คำว่าปัญญาดังที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ คือการพิจารณาคลี่คลายดูส่วนต่าง ๆ ที่มาเกี่ยวข้องทั้งภายนอกภายใน (ต้องขออภัยท่านนักธรรมะด้วยกันทั้งหญิงทั้งชายที่ตกอยู่ในสภาพอย่างเดียวกัน กรุณาพิจารณาเป็นธรรม) รูป ส่วนมากก็เป็นรูปหญิง-ชาย ในหลักธรรมท่านกล่าวไว้ว่า ไม่มีรูปใดที่จะเป็นข้าศึกแก่เพศสมณะเรายิ่งกว่ารูปหญิง-ชาย เสียงหญิง-ชาย กลิ่นหญิง-ชาย รสของหญิง-ชาย เครื่องสัมผัสถูกต้องของหญิง-ชาย นี้เป็นเอกที่จะให้เป็นโทษเป็นภัยแก่สมณะ ให้พึงสำรวมระวังให้มากยิ่งกว่าการสำรวมระวังในเรื่องอื่น ๆ สติปัญญาก็ให้คลี่คลายจุดที่สำคัญนี้มากยิ่งกว่าคลี่คลายการงานอย่างอื่น ๆ
    <o:p></o:p>
    รูป ก็แยกแยะดูด้วยปัญญาให้เห็นชัดเจน คำว่ารูปหญิง-ชายนั้นให้ชื่อตามสมมุติ ความจริงแล้วไม่ใช่หญิง-ชาย เป็นรูปธรรมดาเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ มีหนังหุ้มห่อทั่วสรรพางค์ร่างกาย เข้าไปภายในก็มีเนื้อมีหนังมีเอ็นมีกระดูก เต็มไปด้วยของปฏิกูลโสโครกด้วยกัน ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดอาการใดที่ผิดแปลกจากรูปของเราไปเลย เป็นแต่เพียงว่าความสำคัญของใจนั้นมันว่าเป็นหญิง-ชาย คำว่าเป็นหญิง-ชายนั้น มันสลักลงไปภายในจิตใจอย่างลึกซึ้งด้วยความสำคัญของใจเอง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เป็นความสำคัญต่างหาก
    <o:p></o:p>
    เสียงก็เหมือนกัน เสียงก็เป็นเสียงธรรมดา แต่เราหมายไปว่าเป็นเสียงวิสภาค เพราะฉะนั้นจึงทิ่มแทงเข้าในหัวใจบุรุษอย่างฝังลึก เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชเรา และแทงทะลุเข้าไปจนลืมเนื้อลืมตัว ขั้วหัวใจขาดสะบั้นทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ขั้วหัวใจขาดเปื่อยเน่าเฟะแต่ไม่ตาย เจ้าตัวกลับเพลินฟังเพลงเสียงขั้วหัวใจขาดอย่างไม่มีวันจืดจางอิ่มพอ
    <o:p></o:p>
    กลิ่น ก็กลิ่นธรรมดาเหมือนเรานี่เพราะเป็นกลิ่นคน ถึงจะเอาน้ำอบน้ำหอมจากเมืองเทพเมืองพรหมที่ไหนมาประมาชโลม ก็เป็นกลิ่นของอันนั้นต่างหาก ไม่ใช่กลิ่นของหญิง-ชายแท้แม้นิดเดียวเลย จงพิจารณาแยกแยะออกดูให้ละเอียดถี่ถ้วน
    <o:p></o:p>
    รสก็เพียงความสัมผัสกัน การสัมผัสก็ไม่เห็นผิดแปลกอะไรกับอวัยวะเราสัมผัสอวัยวะเราเอง อวัยวะนั้น ๆ ก็เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกกัน แน่ะ เราต้องพิจารณาให้ชัดเจนอย่างนี้ แล้วก็พิจารณาตนเทียบเคียงกับรูป, เสียง, กลิ่น, รส, เครื่องสัมผัส ของคำว่าหญิง-ชายนั้น เข้ามาเทียบเคียงกับรูปเสียงกลิ่นรส ของเรา ก็ไม่มีอะไรผิดแปลกกันโดยหลักธรรมชาติโดยหลักความจริง นอกจากความเสกสรรปั้นยอของใจที่มันคิดไปเสกสรรไปเท่านั้น
    <o:p></o:p>
    ด้วยเหตุนี้จึงต้องอาศัยปัญญาพิจารณาคลี่คลาย อย่าให้ความสำคัญในแง่ใดแง่หนึ่งที่จะเป็นข้าศึกแก่ตนเข้ามาแทรกสิงหรือทำลายจิตใจของตนได้ ให้สลัดปัดทิ้ง ด้วยปัญญาอันเป็นความจริง ลงสู่ความจริงว่า สักแต่ว่ารูป สักแต่ว่าเสียง สักแต่ว่ากลิ่น สักแต่ว่ารส สักแต่ว่าเครื่องสัมผัส ที่ผ่านแล้วหายไป ๆ ทั้งมวล เช่นเดียวกับสิ่งอื่น ๆ นี่คือการพิจารณาถูกต้อง และสามารถถอดถอนความยึดมั่นสำคัญผิดกับสิ่งนั้น ๆ ได้โดยลำดับไม่สงสัย
    <o:p></o:p>
    จะพิจารณาไปในวัตถุสิ่งใดก็ตามในโลกนี้ มันเต็มอยู่ด้วยกองอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หาความจีรังถาวรไม่ได้ อาศัยสิ่งใดสิ่งนั้นก็จะพังลงไป วัตถุสิ่งใดก็ตาม ขึ้นชื่อว่ามีอยู่ในโลกนี้ล้วนแล้วแต่สิ่งที่จะต้องพังทลาย เขาไม่พังเราก็พัง เขาไม่แตกเราก็แตก เขาไม่พลัดพรากเราก็พลัดพราก เขาไม่จากเราก็จาก เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยความจากความพลัดพรากกันอยู่แล้วโดยหลักธรรมชาติ ให้พิจารณาอย่างนี้ด้วยปัญญาให้ชัดเจนก่อนหน้าที่สิ่งเหล่านั้นจะพลัดพรากจากเรา หรือเราจะพลัดพรากจากสิ่งเหล่านั้น แล้วปล่อยวางไว้ตามเป็นจริง เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตใจก็มีความสุข นี่พูดถึงขั้นปัญญาในการพิจารณารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่าง ๆ ทั้งข้างนอกข้างใน ทั้งส่วนหยาบ ส่วนละเอียด ย่อมพิจารณาในลักษณะเหล่านี้ทั้งสิ้น <o:p></o:p>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    รู้อสุภะ รู้อย่างไร

    สมาธิก็อธิบายบ้างแล้ว คำว่าสมาธิคือความแน่นหนามั่นคงของใจ เริ่มตั้งแต่ความสงบสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของใจขึ้นไปจนถึงความสงบสุขละเอียดมั่นคง ใจถ้าไม่ได้ฝึกหัด ไม่ได้ดัดแปลง ไม่ได้บังคับทรมานด้วยอุบายต่าง ๆ มี สติ, ปัญญา, ศรัทธา, ความเพียร เป็นเครื่องหนุนหลังแล้ว จะหาความสงบไม่ได้จนกระทั่งวันตาย ตายก็ตายไปเปล่า ๆ ตายด้วยความฟุ้งซ่านวุ่นวายส่ายแส่กับอารมณ์ร้อยแปด ไม่มีสติรู้สึกตัว ตายด้วยความไม่มีหลักมีเกณฑ์เป็นที่ยึดอาศัย ตายแบบว่าวเชือกขาดอยู่บนอากาศ ตามแต่จะถูกลมพาพัดไปไหน แม้ยังอยู่ก็อยู่ด้วยความไม่มีหลักมีเกณฑ์ เพราะความลืมตัวประมาทหาเหตุผลเป็นเครื่องดำเนินไม่ได้ อยู่แบบเลื่อนลอย คนเราทั้งคนถ้าอยู่แบบเลื่อนลอยไม่หาหลักที่ดียึด ก็ต้องไปแบบเลื่อนลอย จะเกิดผลประโยชน์อะไร หาความดีความแน่ใจในคติของตนที่ไหนได้ เพราะฉะนั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่รู้ ๆ อยู่อย่างนี้ จงสร้างความแน่นอนขึ้นที่ใจของเรา ด้วยความเป็นผู้หนักแน่นในสารคุณทั้งหลาย จะแน่ตัวเองทั้งยังอยู่ทั้งเวลาตายไป ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวกับความเป็นความตาย ความพลัดพรากจากสัตว์แลสังขารที่ใคร ๆ ต้องเผชิญด้วยกัน เพราะมีอยู่กับทุกคน
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ปัญญาไม่ใช่จะเกิดขึ้นในลำดับที่สมาธิคือความสงบใจเกิดขึ้นแล้ว แต่ต้องอาศัยความฝึกหัดคิดค้นคว้าความพินิจพิจารณา ปัญญาจึงจะเกิดขึ้น โดยอาศัยสมาธิเป็นเครื่องหนุนอยู่แล้ว ลำพังสมาธินั้นจะไม่กลายเป็นปัญญาขึ้นมาได้ ต้องเป็นสมาธิอยู่ โดยดี ถ้าไม่ใช้ปัญญาพิจารณาต่างหาก สมาธิเพียงทำให้จิตมีความเอิบอิ่มมีความสงบตัว มีความพอใจกับอารมณ์คือสมถธรรม ไม่หิวโหยในความคิดโน้นคิดนี้ ไม่วุ่นวายส่ายแส่เท่านั้น เพราะจิตที่มีความสงบย่อมมีความเย็น ย่อมเอิบอิ่มในธรรมตามฐานแห่งความสงบของตน แล้วนำจิตที่มีความอิ่มในสมถธรรมนั้นออกพิจารณา คลี่คลายดูสิ่งต่าง ๆ ด้วยปัญญา ซึ่งในโลกนี้ไม่มีอันใดจะเหนือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไปได้ มันเต็มไปด้วยสภาพเดียวกัน จงใช้ปัญญาพินิจพิจารณา จะเป็นแง่ใดก็ตาม ตามแต่จริตนิสัยที่ชอบพอกับการพิจารณาในแง่นั้น ๆ โดยยกสิ่งนั้นขึ้นมาพิจารณาคลี่คลายด้วยความสนใจ ใคร่รู้ใคร่เห็นตามความจริงของมันจริง ๆ อย่าสักแต่พิจารณาโดยปราศจากเจตนาปราศจากสติกำกับ
    <o:p></o:p>
    เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอสุภะกับจิตที่เต็มไปด้วยราคะความกำหนัดยินดี นี้เป็นคู่ปรับหรือคู่แก้กันได้ดีและดีมาก จิตมีราคะมากเพียงไรให้พิจารณาอสุภะอสุภังมากเพียงนั้นหนักเพียงนั้น จนกลายเป็นป่าช้าผีดิบขึ้นให้เห็นประจักษ์ใจในร่างกายของเขาของเราทั่วโลกดินแดน ราคะตัณหานั้นจะกำเริบขึ้นไม่ได้เมื่อปัญญาหยั่งรู้ว่ามีแต่ปฏิกูลเต็มตัว ใครจะไปกำหนัดยินดีในปฏิกูล ใครจะไปกำหนัดยินดีในสิ่งที่ไม่สวยไม่งาม ในสิ่งที่อิดหนาระอาใจ นี่เป็นยาระงับอสุภะอสุภังประการหนึ่ง เป็นยาแก้โรคราคะตัณหาขนานเอกขนานหนึ่ง เมื่อพิจารณาสมบูรณ์เต็มที่แล้วให้จิตสงบตัวลงไปในวงแคบ
    <o:p></o:p>
    เมื่อจิตได้พิจารณาอสุภะอสุภังหลายครั้งหลายหน จนเกิดความชำนิชำนาญ พิจารณาคล่องแคล่วว่องไวทั้งรูปภายนอกทั้งรูปภายใน จะพิจารณาให้เป็นอย่างไรก็เป็นได้อย่างรวดเร็ว แล้วจิตก็จะรวมตัวเข้ามาสู่อสุภะภายใน และจะเห็นโทษแห่งอสุภะที่ตนวาดภาพไว้นั้นว่า เป็นเรื่องมายาประเภทหนึ่ง แล้วปล่อยวางทั้งสองเงื่อน คือเงื่อนอสุภะและเงื่อนสุภะ<o:p></o:p>
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    รู้อสุภะ รู้อย่างไร

    ทั้งสุภะทั้งอสุภะสองประเภทนี้ เป็นสัญญาคู่เคียงกันกับเรื่องของราคะ เมื่อพิจารณาเข้าใจทั้งสองเงื่อนนี้เต็มที่แล้ว คำว่าสุภะก็สลายตัวลงไปหาความหมายไม่ได้ คำว่าอสุภะก็สลายตัวลงไปหาความหมายไม่ได้ ผู้ที่ให้ความหมายว่าเป็นสุภะก็ดีอสุภะก็ดีก็คือใจ ก็คือสัญญา สัญญาก็รู้เท่าแล้วว่าเป็นตัวหมาย เห็นโทษแห่งตัวหมายนี้แล้ว ตัวหมายนี้ก็ไม่สามารถที่จะหมายออกไปให้ใจติดและยึดถือได้อีก นั่น เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตก็ปล่อยวางทั้งสุภะทั้งอสุภะคือทั้งสวยงามทั้งไม่สวยงาม โดยเห็นเป็นเพียงตุ๊กตา เครื่องฝึกซ้อมของใจของปัญญาในขณะที่จิตยังยึด และปัญญาพิจารณาเพื่อถอดถอนยังไม่ชำนาญเท่านั้น
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เมื่อจิตชำนาญ รู้เหตุผลทั้งสองประการคือ สุภะอสุภะนี้แล้ว ยังสามารถย้อนมาทราบเรื่องความหมายของตนที่ออกไปปรุงแต่งว่า นั้นเป็นสุภะนั่นเป็นอสุภะอีกด้วย เมื่อทราบความหมายนี้อย่างชัดเจนแล้ว ความหมายนี้ก็ดับลงไป และเห็นโทษแห่งความหมายนี้อย่างชัดเจนว่านี้คือตัวโทษ อสุภะไม่ใช่ตัวโทษ สุภะไม่ใช่ตัวโทษ ความสำคัญว่าเป็นสุภะอสุภะต่างหากเป็นตัวโทษ เป็นตัวหลอกลวงเป็นตัวให้ยึดถือ นั่นมันย่นเข้ามา นี่การพิจารณาย่นเข้ามาอย่างนี้และปล่อยวางโดยลำดับ
    <o:p></o:p>
    เมื่อจิตเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะกำหนดสุภะหรืออสุภะก็ปรากฏขึ้นอยู่ที่จิต โดยไม่ต้องไปแสดงภาพภายนอกเป็นเครื่องฝึกซ้อมอีกต่อไป เช่นเดียวกับเราเดินทางและผ่านสายทางไปโดยลำดับฉะนั้น นิมิตเห็นปรากฏอยู่ภายในจิต ในขณะที่ปรากฏอยู่ภายในจิตนั้นก็ทราบแล้วว่า สัญญาตัวนี้หมายขึ้นมาได้แค่นี้ ไม่สามารถออกไปหมายข้างนอกได้ แม้จะปรากฏขึ้นมาภายในจิตก็ทราบได้ชัดว่า สภาพที่ปรากฏเป็นสุภะอสุภะนี้ก็เกิดขึ้นจากตัวสัญญาอีกเช่นเดียวกัน รู้ทั้งภาพที่ปรากฏขึ้นอยู่ภายในใจ รู้ทั้งสัญญาที่หมายตัวขึ้นมาเป็นภาพภายในใจอีกด้วย สุดท้ายภาพภายในใจนี้ก็หายไป สัญญาคือความสำคัญความหมายขึ้นมานั้นก็ดับไป รู้ได้ชัดว่าเมื่อสัญญาตัวเคยหลอกลวงว่าเป็นสุภะอสุภะ และเป็นอะไรต่ออะไรไม่มีประมาณ หลอกให้หลงทั้งสองเงื่อนนี้ ดับไปแล้ว สัญญาก็ดับไปด้วย ไม่มีอะไรจะมาหลอกใจอีก นี่การพิจารณาอสุภะ พิจารณาอย่างนี้ตามหลักปฏิบัติ แต่เราจะไปหาในคัมภีร์หาที่ไหนก็ไม่เจอ นอกจากหาความจริงในหลักธรรมชาติที่มีอยู่กับกายกับใจ อันเป็นที่สถิตแห่งสัจธรรมและสติปัฏฐานสี่เป็นต้น และสรุปลงในคัมภีร์ที่ใจนี้ จะเจอดังที่อธิบายมานี้
    <o:p></o:p>
    นี่เป็นรูป รูปกายก็ทราบได้ชัดว่า กายของเราทุกส่วนนี้ก็เป็นรูป มีอะไรบ้างในรูปนี้ อวัยวะทุกส่วนเป็นรูปทั้งนั้น ไม่ว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ปอด พังผืด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ล้วนแล้วแต่เป็นรูป เป็นสิ่งหนึ่งต่างหากจากใจ จะพิจารณาเป็นอสุภะ มันก็ตัวอสุภะอยู่แล้วตั้งแต่เรายังไม่ได้พิจารณา และคำที่ว่าสิ่งนี้เป็นสุภะสิ่งนั้นเป็นอสุภะ ใครเป็นผู้ไปให้ความหมาย สิ่งเหล่านี้เขาหมายตัวของเขาเองเมื่อไร เขาบอกว่าเขาเป็นสุภะ เขาบอกว่าเขาเป็นอสุภะเมื่อไร เขาไม่ได้หมายไม่ได้บอกว่าอย่างไรทั้งสิ้น อันใดจริงอยู่อย่างไรมันก็จริงอยู่ตามสภาพของเขาอย่างนั้นมาดั้งเดิม และเขาเองก็ไม่ทราบความหมายของเขา ผู้ไปทราบความหมายในเขาก็คือสัญญา ผู้หลงความหมายในเขาก็คือสัญญาเอง ซึ่งออกจากใจตัวหลง ๆ เมื่อมารู้เท่าสัญญาอันนี้แล้ว สิ่งเหล่านี้ก็หายไปอีก ต่างอันก็ต่างจริง นี่คือความรู้เท่าหรือการรู้เท่าเป็นอย่างนี้<o:p></o:p>
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    รู้อสุภะ รู้อย่างไร

    เวทนาคือความสุข ความทุกข์ เฉย ๆ ที่เกิดขึ้นจากร่างกาย กายก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งซึ่งมีอยู่ตั้งแต่ทุกข์ยังไม่เกิด ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป กายก็เป็นกาย ทุกข์ก็เป็นทุกข์ ต่างอันต่างจริง พิจารณาแยกแยะให้เห็นตามความจริง สักแต่ว่าเวทนา สักแต่ว่ากาย ไม่นิยมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา เป็นเขา เป็นของเราเป็นของเขา หรือของใคร เวทนาก็ไม่ใช่เรา ไม่เป็นของเรา ไม่เป็นของเขา ไม่เป็นของใคร เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาชั่วขณะแล้วดับไปชั่วกาลเท่านั้นตามสภาพของเขา ความจริงเป็นอย่างนี้
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    สัญญาคือความจำได้ จำได้เท่าไรไม่ว่าจำได้ใกล้ได้ไกล จำได้ทั้งอดีตอนาคต ปัจจุบัน จำได้เท่าไรความดับก็ไปพร้อม ๆ กัน ดับไป ๆ เกิดแล้วดับ ๆ จะมาถือว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลที่ไหน นี่หมายถึงปัญญาขั้นละเอียดพิจารณาหยั่งทราบเข้าไปตามความจริง ประจักษ์ใจตัวเองโดยไม่ต้องไปถามใคร
    <o:p></o:p>
    สังขารคือความคิดความปรุง ปรุงดีปรุงชั่วปรุงกลาง ๆ ปรุงเรื่องอะไรก็มีแต่เรื่องเกิดเรื่องดับ ๆ หาสาระอะไรจากความปรุงนี้ไม่ได้ ถ้าสัญญาไม่รับช่วงไปให้เกิดเรื่องเกิดราว สัญญาก็ทราบชัดเจนแล้ว อะไรจะไปปรุงไปรับช่วงไปยึดไปถือให้เป็นเรื่องยืดยาวต่อไปเล่า ก็มีแต่ความเกิดความดับภายในจิตเท่านั้น นี่คือสังขารมันเป็นความจริงอันหนึ่ง อันนี้ท่านเรียกว่าสังขารขันธ์ ขันธ แปลว่ากอง แปลว่าหมวด รูปขันธ์ แปลว่ากองแห่งรูป สัญญาขันธ์ แปลว่ากองแห่งสัญญา หมวดแห่งสัญญา สังขารขันธ์ คือกองแห่งสังขาร หมวดแห่งสังขาร
    <o:p></o:p>
    วิญญาณขันธ์ คือหมวดหรือกองแห่งวิญญาณที่รับทราบในขณะสิ่งภายนอกเข้ามาสัมผัส เช่น ตาสัมผัสรูป เป็นต้น เกิดความรู้ขึ้น พอสิ่งนั้นผ่านไปความรับรู้นี้ก็ดับไป ไม่ว่าจะรับรู้สิ่งใดย่อมพร้อมที่จะดับด้วยกันทั้งนั้น จะหาสาระแก่นสารและสำคัญว่าเป็นเราเป็นของเราที่ไหนได้กับขันธ์ทั้งห้านี้
    <o:p></o:p>
    เรื่องของขันธ์ทั้งห้านี้เป็นอย่างนี้ มีอย่างนี้ปรากฏอย่างนี้ และเกิดขึ้นดับไป ๆ สืบต่อกันอยู่เรื่อย ๆ อย่างนี้ตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ หาสาระอะไรจากเขาไม่ได้เลย นอกจากจิตใจไปสำคัญมั่นหมาย แล้วยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นตนเป็นของตน แล้วแบกให้หนักยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกขึ้นมาภายในใจเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องตอบรับหรือเป็นเครื่องสนอง ความสนองก็คือสนองความทุกข์นั้นเอง เพราะความหลงของตนพาให้สนอง
    <o:p></o:p>
    เมื่อจิตได้พิจารณาเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน ด้วยปัญญาอันแหลมคมแล้วนั้น รูปก็จริงตามรูปโดยหลักธรรมชาติประจักษ์ด้วยปัญญา เวทนา สุข ทุกข์ เฉย ๆ ในส่วนร่างกายก็รู้ชัดตามเป็นจริงของมัน เวทนาทางใจคือความสุข ความทุกข์ เฉย ๆ ที่เกิดขึ้น ภายในใจ นั่นเป็นสาเหตุให้จิตสนใจพินิจพิจารณา แม้จะยังไม่รู้เท่าทันสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็ยังต้องเป็นเครื่องเตือนจิตให้พิจารณาอยู่เสมอ เพราะขั้นนี้ยังไม่สามารถที่จะรู้เท่าทันเวทนาภายในจิตได้ คือ สุข ทุกข์ เฉย ๆ ภายในจิตโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับเวทนาทางกาย
    <o:p></o:p>
    วิญญาณก็สักแต่ว่าต่างอันต่างจริง นี่ชัดแล้วตามความเป็นจริง จิตหายสงสัยที่จะยึดจะถือสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นตนอีกต่อไป เพราะต่างอันต่างจริงแม้จะอยู่ด้วยกัน ก็เช่นเดียวกับผลไม้หรือไข่เราวางลงในภาชนะ ภาชนะก็ต้องเป็นภาชนะ ไข่ที่อยู่ในนั้นก็เป็นไข่ ไม่ใช่อันเดียวกัน จิตก็เป็นจิตซึ่งอยู่ในภาชนะ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอันนี้ แต่ไม่ใช่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หากเป็นจิตล้วน ๆ อยู่ภายในนั้น นี่เวลาแยกชัดเจนแล้วระหว่างขันธ์กับจิตเป็นอย่างนั้น<o:p></o:p>
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    รู้อสุภะ รู้อย่างไร

    ทีนี้เมื่อจิตได้เข้าใจในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างชัดเจนหาที่สงสัยไม่ได้แล้ว ก็จะมีแต่ความกระดิกพลิกแพลงความกระเพื่อมภายในจิตโดยเฉพาะ ๆ ความกระเพื่อมนั้นก็คือสังขารอันละเอียดที่กระเพื่อมอยู่ภายในจิต สุขอันละเอียดที่ปรากฏขึ้นภายในจิต ทุกข์อันละเอียดที่ปรากฏภายในจิต สัญญาอันละเอียดที่ปรากฏขึ้นภายในจิตมีอยู่เพียงเท่านั้น จิตจะพิจารณาแยกแยะกันอยู่ตลอดเวลาด้วยสติปัญญาอัตโนมัติ คือจิตขั้นนี้เป็นจิตที่ละเอียดมาก ปล่อยวางสิ่งทั้งหลายหมดแล้ว ขึ้นชื่อว่าขันธ์ห้าไม่มีเหลือเลย แต่ยังไม่ปล่อยวางตัวเองคือความรู้ แต่ความรู้นั้นยังเคลือบแฝงด้วยอวิชชา
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    นั่นแหละท่านว่าอวิชชารวมตัว รวมอยู่ที่จิต หาทางออกไม่ได้ ทางเดินของอวิชชาก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อไปสู่รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เมื่อสติปัญญาสามารถตัดขาดสิ่งเหล่านี้เข้าไปได้โดยลำดับ ๆ แล้ว อวิชชาไม่มีทางเดิน ไม่มีบริษัทบริวาร จึงยุบ ๆ ยิบ ๆ หรือกระดุบกระดิบอยู่ภายในตัวเอง โดยอาศัยจิตเป็นที่ยึดที่เกาะโดยเฉพาะ เพราะหาทางออกไม่ได้ แสดงออกเป็นสุขเวทนาอย่างละเอียดบ้าง ทุกขเวทนาอย่างละเอียดบ้าง แสดงเป็นความผ่องใสซึ่งแปลกประหลาดอัศจรรย์อย่างยิ่งในเมื่อปัญญายังไม่รอบและทำลายยังไม่ได้บ้าง จิตก็พิจารณาอยู่ที่ตรงนั้น
    <o:p></o:p>
    แม้จะเป็นความผ่องใสและสง่าผ่าเผยเพียงไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าสมมุติจะละเอียดขนาดไหนก็จะต้องแสดงอาการอันใดอันหนึ่งขึ้นมาให้เป็นที่สะดุดจิต พอจะให้คิดอ่าน หาทางแก้ไขจนได้ เพราะฉะนั้น สุขก็ดีทุกข์ก็ดีอันเป็นของละเอียดเกิดขึ้นภายในจิตโดยเฉพาะ ตลอดความอัศจรรย์ ความสว่างไสวซึ่งมีอวิชชาเป็นตัวการ แต่เพราะความไม่เคยรู้เคยเห็น เมื่อพิจารณาเข้าไปถึงจุดนั้นจึงหลงยึด และจึงถูกอวิชชากล่อมเอาอย่างหลับสนิท โดยหลงยึดถือความผ่องใสเป็นต้นนั้นว่าเป็นเรา ความสุขนั้นก็เป็นเรา ความอัศจรรย์นั้นก็เป็นเรา ความสง่าผ่าเผยที่เกิดขึ้นจากอวิชชาซึ่งฝังอยู่ภายในจิตนั้นก็เป็นเรา เลยถือจิตทั้งอวิชชาเป็นเราโดยไม่รู้สึกตัวเสียทั้งดวง
    <o:p></o:p>
    แต่ก็ไม่นาน เพราะอำนาจของมหาสติมหาปัญญาอันเป็นธรรมไม่นอนใจอยู่แล้ว คอยสอดคอยส่องคอยพินิจพิจารณาแยกแยะไปมาอยู่อย่างนั้น ตามนิสัยของสติปัญญาขั้นนี้ กาลหนึ่งเวลาหนึ่งต้องทราบได้แน่นอน โดยทราบถึงเรื่องสุขที่แสดงขึ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ อันเป็นเรื่องผิดปกติ ทุกข์แสดงขึ้นนิด ๆ หน่อย ๆ อย่างละเอียด ตามขั้นของจิตก็ตาม ก็พอเป็นเครื่องสะดุดจิตให้ทราบได้ว่า เอ๊ะ ทำไมจิตจึงมีอาการเป็นอย่างนี้ ไม่คงเส้นคงวา ความสง่าผ่าเผยที่แสดงอยู่ภายในจิต ความอัศจรรย์ที่แสดงอยู่ภายในจิต ก็แสดงความวิปริตผิดจากปกติขึ้นมาเล็ก ๆ น้อย ๆ พอให้สติปัญญาขั้นนี้จับได้อยู่นั่นเอง
    <o:p></o:p>
    เมื่อจับได้ก็ไม่ไว้ใจและกลายเป็นจุดที่ควรพิจารณาขึ้นมาในขณะนั้น จึงตั้งจิตคือความรู้ประเภทนี้เป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณา เมื่อสติปัญญาขั้นนี้ได้จ่อลงไปถึงจุดนี้ว่านี้คืออะไร สิ่งทั้งหลายได้พิจารณามาแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจนสามารถถอดถอนมันได้เป็นขั้น ๆ แต่ธรรมชาติที่รู้ ๆ ที่สว่างไสวที่อัศจรรย์นี้คืออะไร อันนี้มันคืออะไรกันแน่ สติปัญญาจ่อลงไปพิจารณาลงไป จุดนี้จึงเป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณาอย่างเต็มที่ และจุดนี้จึงกลายเป็นสนามรบของสติปัญญาอัตโนมัติขึ้นมาในขณะนั้น ไม่นานนักก็สามารถทำลายจิตอวิชชาดวงประเสริฐ ดวงอัศจรรย์สง่าผ่าเผยตามหลักอวิชชาให้แตกกระจายออกไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีสิ่งใดเหลือค้างอยู่ภายในใจแม้ปรมาณูอีกต่อไป<o:p></o:p>
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    รู้อสุภะ รู้อย่างไร

    เมื่อธรรมชาติที่เคยเสกสรรโดยไม่รู้ตัวว่าเป็นของประเสริฐอัศจรรย์เป็นต้น ได้สลายตัวลงไปแล้ว สิ่งที่ไม่ต้องเสกสรรปั้นยอว่าเป็นของประเสริฐ หรือไม่ประเสริฐ ก็ปรากฏขึ้นอย่างเต็มที่ ธรรมชาตินั้นคือความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์นั้นเมื่อเทียบกับ จิตอวิชชาที่ว่าเป็นของประเสริฐเลิศเลอแล้ว จิตอวิชชานั้นจึงเป็นเหมือนกองขี้ควายกองหนึ่งดี ๆ นี่เอง ธรรมชาติที่อยู่ใต้อวิชชาซึ่งหุ้มห่ออยู่นั้น เมื่อเปิดเผยตัวขึ้นมาแล้ว จึงเป็นเหมือนทองคำธรรมชาติ ทองคำธรรมชาติกับกองขี้ควายเหลว ๆ นั้น อันไหนมีคุณค่ากว่ากันเล่า แม้แต่เด็กอมมือก็ตอบได้ อย่าว่าแต่จะมามัวเทียบเคียงให้เสียเวลาและขายความโง่อยู่เลย
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    นี่ละการพิจารณาจิต เมื่อถึงขั้นนี้แล้วเป็นขั้นที่ตัดขาดจากภพจากชาติซึ่งมีอยู่กับจิต ตัดขาดจากอวิชชาตัณหาทั้งมวล อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ตัดขาดไปเป็นอวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธาสงฺขารนิโรโธ สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ…. เป็นต้น จนกระทั่ง เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส, นิโรโธ โหติ เมื่ออวิชชาดับแล้ว สังขารสมุทัยก็ดับและดับตาม ๆ กันไปดังท่านแสดงไว้นั่นแล สังขารที่ปรุงประจำขันธ์ก็กลายเป็นสังขารล้วน ๆ ไปไม่เป็นสมุทัย วิญญาณที่ปรากฏขึ้นภายในจิตก็เป็นวิญญาณล้วน ๆ ไม่เป็นวิญญาณสมุทัย วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ, สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส อะไรที่เป็นรูปเป็นนาม เป็นสฬายตนะสัมผัสต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นหลักธรรมชาติของมันเอง ไม่ทำความกำเริบให้แก่จิตใจดวงเสร็จสิ้นไปแล้วนั้น จนกระทั่งถึง เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส, นิโรโธ โหติ. คำว่า เอวเมตสฺส เกวลสฺส สิ่งทั้งมวลที่กล่าวมานั้นได้ดับลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง เรียกว่า นิโรธเต็มภูมิ
    <o:p></o:p>
    การดับกิเลสตัณหาอวิชชา ดับโลกดับสงสารจะดับที่ไหน ถ้าไม่ดับที่ตัวจิตซึ่งเป็นตัวโลกตัวสงสาร ตัวอวิชชาตัวเกิดแก่เจ็บตาย เชื้อของความให้เกิดแก่เจ็บตายก็ได้แก่ ราคะตัณหามีอวิชชาเป็นตัวสำคัญ มีอยู่ที่จิตดวงนี้เท่านั้น เมื่อดับอันนี้ให้ขาดกระเด็นออกไปจากจิตใจหมดแล้วก็ นิโรโธ โหติ เท่านั้น นี่แหละงานแห่งการประพฤติปฏิบัติตามหลักศาสนาของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้คงเส้นคงวา ไม่มีที่ใดยิ่งหย่อนในบรรดาหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว ว่าจะไม่ทันกลมายาของกิเลสประเภทต่าง ๆ เป็นไม่มี จึงเรียกว่าเป็น มัชฌิมาปฏิปทา เป็นธรรมที่เหมาะสมกับการแก้กิเลสทุกประเภทตลอดไป จนกิเลสไม่มีเหลือหลอด้วยอำนาจแห่งมัชฌิมาปฏิปทานี้ จงพากันเข้าใจอย่างนี้
    <o:p></o:p>
    การปฏิบัติตนให้ถือธรรมข้อนี้ เพราะความพ้นทุกข์เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเหนือโลกทั้งสาม เราเห็นโลกทั้งสามนี้ว่าอะไรเป็นสิ่งวิเศษวิโสกว่าความหลุดพ้นแห่งใจจากทุกข์ทั้งมวลเล่า เมื่อทราบชัดด้วยเหตุผลแล้ว ความเพียรก็จะได้คืบหน้ากล้าตายต่อสงคราม ตายก็ตายไปเถอะ ตายด้วยการรบการพุ่งชิงชัยกับกิเลสอาสวะ ซึ่งเคยครอบงำหัวใจเรามานาน ไม่มีธรรมบทใด ไม่มีเครื่องมือใดที่จะสามารถฟาดฟันหั่นแหลกกิเลสนี้ให้จมลงไปได้ เหมือนมัชฌิมาปฏิปทาที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้เลย
    <o:p></o:p>
    ฉะนั้นคำว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ จึงเป็นที่อบอุ่นใจ เป็นที่แน่ใจเป็นที่สนิทใจว่าได้ทรงบำเพ็ญทั้งเหตุทั้งผล ทุกสิ่งทุกอย่างมาโดยสมบูรณ์ จึงได้นำธรรมมาสอนโลก สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ก็ตรัสไว้ชอบแล้วด้วยความรู้ยิ่งเห็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง คือตรัสไว้ชอบทุกแง่ทุกมุมแล้ว สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ พระสงฆ์สาวกท่านดำเนินตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าโดยไม่ย่อหย่อนอ่อนกำลัง จนสามารถคว่ำกิเลสออกจากใจ กลายเป็นใจที่เลิศประเสริฐขึ้นมาเป็นสรณะของพวกเรา ก็ไม่พ้นจากการปฏิบัติตามหลักปฏิปทานี้เลย ด้วยเหตุนี้ขอให้เราทั้งหลายจงฟังให้ถึงใจ อย่าสนใจใฝ่หาเรื่องหลอกเรื่องลวง เรื่องปลอมแปลงทั้งหลายซึ่งมีเต็มโลกเต็มสงสาร ให้สนใจใฝ่ธรรมของจริงปฏิบัติของจริง เราจะเห็นของจริงขึ้นกับใจไปเรื่อย ๆ ในท่ามกลางแห่งของปลอมซึ่งมีอยู่ภายในใจและมีอยู่เต็มโลก อย่าพากันสงสัยจะเป็นความอาลัยเสียดายกิเลสไม่มีที่สิ้นสุด<o:p></o:p>
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    รู้อสุภะ รู้อย่างไร

    การปฏิบัติธรรมให้มุ่งทางด้านนามธรรม คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสำคัญยิ่งกว่าด้านวัตถุ ด้านวัตถุนั้นพอเป็นพอไปเพียงได้อาศัยก็พอแล้ว อยู่สถานที่ใด คนเราเกิดมาจากมนุษย์ มาเป็นพระก็มาจากคน คนเขามีบ้านมีเรือน พระก็จำต้องมีที่พักที่อาศัยพอบรรเทาเป็นธรรมดาควรทำพอได้อาศัยเท่านั้น อย่าทำให้หรูหรา อย่าทำแข่งโลกแข่งสงสารมันเป็นการสั่งสมกิเลสขึ้นมา ปรากฏชื่อลือนามไปในทางโลก ไปในทางกิเลสหัวเราะเยาะ ให้ปรากฏชื่อลือนามด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ศรัทธา ความเพียร ให้ปรากฏชื่อลือนามในการบำเพ็ญแก้หรือถอดถอนตน ให้พ้นจากกิเลสกองทุกข์ในวัฏสงสาร นี้ชื่อว่าเป็นผู้เพิ่มอำนาจวาสนาของตนโดยตรงอย่างแท้จริง อย่าได้ละความพากเพียรของตน จงเอาให้ตลอดรอดฝั่งแห่งวัฏวนวัฏวุ่นให้ได้ในชีวิตอัตภาพนี้ ซึ่งเป็นที่แน่ใจกว่ากาลสถานที่และอัตภาพอื่นใด
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    และอย่าลืมเวลาไปที่ไหน ๆ อย่าเป็นบ้าการก่อสร้าง ไปที่ไหนก่อสร้างยุ่งไปหมด และเป็นบ้าก่อสร้างทั่วไปหมดน่าอิดหนาระอาใจ พอมองเห็นหน้ากัน เป็นยังไงศาลา เป็นยังไงโรงเรียนจวนเสร็จแล้วยัง สิ้นเงินเท่าไร เวลาจะมีงานทีไรและมีงานอะไร ๆ กว้านบ้านกว้านเมืองกวนบ้านกวนเมืองเขา ให้ต้องมาสิ้นเปลืองวุ่นวายด้วยอยู่ไม่หยุดหย่อน ให้เขาพอมีเงินและผ่อนเงินทองเข้าถุงบ้าง เขาเสาะแสวงหามาแทบล้มแทบตาย เพียงได้ห้าได้สิบมาแทนที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงหลานเลี้ยงเหลนและสิ่งจำเป็นอื่น ๆ บ้าง และทำบุญให้ทานตามอัธยาศัยบ้าง กลับกลายเก็บกวาดเอามาช่วยพระเพราะการเรี่ยไรรบกวน จนหมดไม้หมดมือและยุ่งไปตาม ๆ กัน นี้มันเป็นศาสนากวนบ้านกวนเมือง ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่พาทำและไม่สั่งสอนให้ทำอย่างนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจเอาไว้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้พาทำอย่างนี้ นี่มันศาสนวัตถุ ศาสนเงิน มิใช่ศาสนธรรมตามเยี่ยงอย่างของศาสดา
    <o:p></o:p>
    เราดูซิ กุฏิของพระหลังเท่าภูเขาอินทนนท์นี่ หลังหนึ่งมีกี่ชั้น สูงจรดฟ้าโน่น หรูหราขนาดไหน มันน่าสลดสังเวชขนาดไหน แม้แต่กุฏิผมนี้ผมก็ยังอดละอายไม่ได้เหมือนกันทั้ง ๆ ที่ผมก็จำใจอยู่ ผมต้องทนละอายหน้าด้านเอาบ้าง เพราะเขาส่งเงินมาให้ทำโดยไม่บอกไว้ล่วงหน้าก่อน ละอายตัวเองที่ขอทานเขามากินประจำชีวิต แต่กุฏิหอปราสาทในแดนสวรรค์สู้ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เขาผู้ให้ทานอยู่กระต๊อบหลังเท่ากำปั้นนี่ ที่ถูกที่เหมาะสมกับพระผู้เห็นภัยเป็นนิสัย ที่พักที่อยู่ อยู่ที่ไหนอยู่เถอะ พอหลวมตัวนอนได้นั่งได้แล้วอยู่ไปเถอะ แต่เรื่องการทำความพากเพียรนั้นขอให้มีความหนักแน่นมั่นคง มีความขยันหมั่นเพียรบึกบึน
    <o:p></o:p>
    อย่าให้เสียเวลาเพราะงานใด ๆ มาเป็นอุปสรรคได้ เพราะงานนอกนั้นส่วนมาก มันเป็นงานทำลายงานจิตตภาวนาเพื่อฆ่ากิเลสทำลายกิเลส ซึ่งเป็นงานใหญ่โตประจำตัว ประจำใจของพระผู้มุ่งต่อแดนหลุดพ้น ไม่เยื่อใยในการกลับมาเกิดมาตายเพื่อแบกหามกองทุกข์น้อยใหญ่ในภพชาตินั้น ๆ อีกต่อไป ภัยใดไม่เท่าภัยที่กิเลสครอบหัวใจ บังคับถูไถให้เป็นไปได้ทุกอย่างที่ธรรมไม่พึงประสงค์ ทุกข์ใดไม่เท่าทุกข์ของคนมีกิเลสกดคอ ไม่สู้กับกิเลสคราวบวชนี้จะสู้เวลาตายแล้วได้หรือ ความเป็นอยู่ของชีวิต ธาตุขันธ์นั้นพออดพอทนได้ แต่ขออย่าทนให้กิเลสกดคอต่อไป เป็นความไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับพระลูกศิษย์ตถาคต
    <o:p></o:p>
    อะไร ๆ จะพอเป็นพอไปหรือขาดแคลนขนาดไหน ขอให้เล็งพระตถาคตเป็นสรณะอยู่เสมอ อย่าให้สิ่งไม่จำเป็นสำหรับพระหรูหรามากเกินเหตุเกินผล เช่น สร้างอะไรก็สร้างเสียจนแข่งโลกแข่งสงสารเขา จนกลายเป็นบ้าชื่อเสียงเกียรติยศแบบลม ๆ แล้ง ๆ แต่ธรรมหากรอกใจพอฟื้นจากสลบไสลบ้างไม่สนใจสร้างกัน โลกเขาอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ เพียงไอจามก็จะล้ม อยู่กระท่อมห้อมหอ ได้อะไรมาก็อุตส่าห์แย่งปากแย่งท้องแย่งลูกหลานมาทำบุญให้ทานกับพระ แต่พระอยู่ตึกอยู่ร้านกี่ชั้น หรูหราโอ่อ่ายิ่งกว่าพระมาจากแดนสวรรค์ เหมือนไม่ใช่คนที่เคยอยู่บ้านกับพ่อ-แม่หลังเล็ก ๆ มาก่อนไปบวชเป็นพระเลย ทั้งไม่ทราบว่ามีอะไรเป็นเครื่องประดับประดาตกแต่งแข่งกับโลกเขา มันน่าละอายโลกเขายิ่งกว่าลูกสะใภ้ละอายย่าขณะจาม เผลอผายลมทางทวารล่างหลุดออกอย่างแรงแทบสลบไป ทั้ง ๆ ที่ศีรษะโล้น ๆ ไม่ได้คิดถึงศีรษะตนบ้างเลย มิใช่มันด้านเกินไปแล้วหรือพวกเราน่ะ นั่นไม่ใช่หลักของศาสนาที่สอนให้นักบวชแก้กิเลสเพราะความเห็นภัยในสิ่งประโลมโลก รกรุงรังแก่ศาสนาและหัวใจพระเรา จึงขออย่าพากันคิดกันทำ จงทำความรู้สึกตัวไว้เสมอ นี้ไม่ใช่หลักธรรมเพื่อแก้กิเลสให้เห็นประจักษ์ใจ แต่เป็นเครื่องส่งเสริมให้พระลืมตัวเมามัวมั่วสุมกับเรื่องของกิเลส ซึ่งไม่ใช่เรื่องของพระ<o:p></o:p>
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    รู้อสุภะ รู้อย่างไร

    หลักธรรมของพระแท้อันดับหนึ่ง รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา. ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาแล้วให้เธอทั้งหลาย เที่ยวอยู่ตามรุกขมูล ร่มไม้ ชายป่าชายเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา ที่แจ้ง ลอมฟาง อันเป็นสถานที่เหมาะสมแก่การฆ่ากิเลสทำลายกิเลสให้สิ้นซากไปจากใจเถิด จงอุตส่าห์พยายามทำอย่างนี้จนตลอดชีวิตนะ นอกนั้นเป็นสิ่งเหลือเฟือ ดังที่ว่า อติเรกลาโภ เป็นต้น เป็นสิ่งนอกจากความจำเป็นอันดับแรก
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    งานที่ทรงให้ทำก็ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา นอกจากนั้นก็ว่าไปถึงอาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ปอด พังผืด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ซึ่งมีอยู่กับตัวเรา ท่านทั้งหลายจงพยายามคลี่คลายสิ่งเหล่านี้ให้เห็นแจ้งชัดเจนตามหลักความจริง ที่มันมีอยู่เป็นอยู่ด้วยปัญญา ท่านทั้งหลายเมื่อได้ทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยสติปัญญาอันเต็มภูมิของวีรบุรุษแล้ว ความหลุดพ้นจากทุกข์อันเป็นสมบัติมหาศาลนั้น จะเป็นของท่านทั้งหลายเอง นั่นฟังซิ มันห่างไกลกันไหมกับพวกเราที่ชอบสะดวกสบายกับของเศษ ๆ เดน ๆ ที่ท่านสอนให้ละให้ทิ้งด้วยธรรมทุกบททุกบาททุกปิฎกน่ะ
    <o:p></o:p>
    พวกเรานี่มันเป็นคู่แข่งศาสนธรรมเสียเอง อะไรที่ธรรมตำหนิมันกลับหรูหราไปหมด ประชาชนญาติโยมสู้ไม่ได้ของดิบของดีเขาเอามาทำบุญให้ทาน เขากินอะไรใช้อะไรก็พอทำเนา ขอให้ได้ของดีมาทำบุญให้ทานพระก็เป็นที่พอใจตามนิสัยของนักแสวงบุญ แต่พระเรากลับเป็นนักหรูหรา กุฏิก็อยู่ดี ๆ เครื่องใช้ไม้สอยก็มีแต่ของดิบของดี นอกจากนั้นยังมีวิทยุ ยังมีเทวทัตโทรทัศน์ และยังมีรถยนต์กลไกแถมเข้าไปอีก ดูตามหลักธรรมวินัยของพระเราแล้วน่าสลดสังเวชเหลือประมาณ ทำไมพากันคิดฆ่าพระพุทธเจ้าแบบสด ๆ ร้อน ๆ ได้ลงคอ ด้วยความโอ่อ่าท่าใหญ่ของพระ อันเป็นความดื้อด้านไม่ยอมรู้สึกตัวเลย มันน่าละอายที่สุด<o:p></o:p>
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    รู้อสุภะ รู้อย่างไร

    ทุกท่านขอให้คำนึงเรื่องเหล่านี้ให้มาก ถ้าเราบวชเพื่ออุทิศต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ มิใช่บวชมาเพื่อเป็นคู่กรรมคู่เวรต่อศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ขอให้คำนึงถึงอรรถถึงธรรม ถึงการดำเนินของพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าเรื่องใด ๆ สมัยใดก็ตามไม่มีเยี่ยมยิ่งกว่าพุทธสมัย ธรรมสมัย สังฆสมัย ที่พาดำเนินมา อันนี้เป็นหลักใหญ่โตมาก ให้ท่านทั้งหลายจงประพฤติปฏิบัติตามหลักพุทธสมัยเถิด ผลอันชุ่มเย็นพึงใจจะเป็นที่ยอมรับกับหลักแห่งสวากขาตธรรม นิยยานิกธรรม ไม่มีทางสงสัย
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    นี่ก็ได้ปฏิบัติมาพอสมควร เป็นผู้น้อยผมก็เคยได้เป็น ไปศึกษาอบรมกับครูบาอาจารย์ เฉพาะอย่างยิ่งท่านอาจารย์มั่น ฟังจริง ๆ ฟังท่านพูด ท่านจะพูดทีเล่นทีจริง เป็นธรรมดาของลูกศิษย์กับอาจารย์ เราจะไม่มีฟังเล่น จะมีแต่ฟังจริงอย่างฝังใจตลอดมา มีความเคารพรักความเลื่อมใส ความกลัวท่านมากที่สุด ยึดเอาทุกแง่ทุกมุม ที่จะพึงประพฤติปฏิบัติได้ ได้มาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหานี้ก็เพราะอำนาจครูบาอาจารย์ที่ท่านให้การสั่งสอนมา
    <o:p></o:p>
    เพราะฉะนั้นการปฏิบัติในวัดของเรานี้ แม้จะผิดแผกแตกต่างกับวัดทั้งหลายบ้าง ผมก็แน่ใจตามหลักเหตุผลและหลักธรรมวินัย จึงไม่สะทกสะท้าน ผมไม่ได้คิดว่าเป็นการทำผิด เพราะมีแบบมีฉบับที่ได้รับมาจากศาสนธรรม และจากครูบาอาจารย์ทุกสิ่งทุกอย่าง อันเป็นแบบฉบับมาดั้งเดิมอยู่แล้ว จึงได้พาหมู่เพื่อนดำเนินเรื่อยมาอย่างนี้ ผิดถูกประการใดจะต้องพูดกันตามหลักเหตุผล ความเกรงอกเกรงใจกันนั้นเป็นเรื่องของโลกเป็นเรื่องของบุคคล ไม่ใช่เรื่องของธรรมของวินัยอันเป็นหลักดำเนินตายตัวด้วยกัน การพูดกันโดยอรรถโดยธรรมเพื่อให้เป็นที่เข้าใจและปฏิบัติถูกนั้นเป็นธรรมแท้ เพราะฉะนั้น คำว่า ลูบหน้าปะจมูกจึงไม่มีในธรรมทั้งหลายของผู้มุ่งต่อธรรมด้วยกัน

    <o:p></o:p>

    การแสดงธรรมก็เห็นสมควรขอยุติเพียงแค่นี้<o:p></o:p>​
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยาแก้กิเลส

    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด


    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>


    เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๒



    <o:p></o:p>


    ยาแก้กิเลส


    <o:p></o:p>

    <o:p></o:p>
    ผู้ใคร่ในธรรมปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงดังครั้งพุทธกาล สมัยนี้มีน้อยร่อยหรอเต็มที ดังที่เห็นกันอยู่นี้แล แต่ผู้ใคร่ในการปฏิบัติความสงบสุขจะมีมากกว่ากัน เพราะศาสนธรรมเป็นธรรมที่สอนโลกเพื่อความสงบสุขโดยถูกต้อง พระพุทธเจ้าก่อนจะสั่งสอนโลก ก็ทรงทำพระองค์ให้มีความสงบสุขอย่างเต็มภูมิมาก่อน แล้วจึงได้ประกาศสอนธรรมทั้งเหตุที่ทรงดำเนินมา ทั้งผลที่ทรงได้รับคือความสงบสุขเต็มภูมินั้น ว่าเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับสัตว์โลกมากมายเพียงไร พระองค์ได้นำทั้งเหตุทั้งผลออกแสดงโดยพระองค์เป็นผู้รับประกันในคุณธรรมทั้งหลาย
    <o:p></o:p>
    เมื่อเริ่มประกาศสอนธรรม ผู้ได้รับความเชื่อความนับถือตามหลักความจริงที่พระองค์ทรงดำเนินและทรงรู้เห็นมาแล้ว ก็ได้ประพฤติปฏิบัติตามในทันทีทันใด เช่น พระเบญจวัคคีย์ทั้งห้า นั่นคือการปฏิบัติตามทางด้านจิตใจ ในขณะที่กำลังสดับธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และแสดงอนัตตลักขณสูตรให้ฟัง จิตคล้อยตามหลักความจริงของธรรม และได้บรรลุธรรมเป็นขั้น ๆ ไป จนถึงขั้นอรหัตภูมิซึ่งเป็นขั้นที่สงบอย่างเต็มภูมิ
    <o:p></o:p>
    จากนั้นต่างองค์ก็ต่างประกาศศาสนาแก่โลก ด้วยความเมตตาสุดส่วนไม่มีโลกามิสแม้น้อยเจือปน ทั้งนี้มีพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระเมตตาองค์เอกในโลกไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นผู้นำพระศาสนา และมีพระสาวกเป็นผู้สนองกตัญญูกตเวทิตาคุณ ช่วยพุทธภาระในการประกาศพระศาสนาแก่หมู่ชน ให้กว้างขวางออกไปอย่างรวดเร็ว ศาสนาจึงได้กระจายไปสู่จิตใจของประชาชนอย่างกว้างขวางไม่มีประมาณ
    <o:p></o:p>
    กิริยาอาการแห่งการเสาะแสวงของประชาชน ซึ่งกำลังไขว่คว้าหาหลักเกณฑ์ หาที่ยึดเหนี่ยวอยู่เเล้วอย่างเต็มใจ เมื่อได้ทราบของจริงที่เข้าสัมผัสใจเช่นนั้นต่างก็น้อมรับและยึดถือ พร้อมทั้งการปฏิบัติตามเป็นลำดับไม่ท้อถอยปล่อยวาง และได้สำเร็จมรรคผลเป็นที่พอใจตามลำดับภูมิความสามารถวาสนาของตน ในเวลาที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่สี่สิบห้าพระพรรษา ทรงประกาศพระศาสนาแผ่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง ประชาชนได้รับความสงบสุขมากมาย<o:p></o:p>
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยาแก้กิเลส

    ศาสนธรรมที่ทรงสั่งสอนโลกล้วนแต่เป็นสันติธรรม ผู้นำธรรมออกประกาศ สอนโลกก็เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งสันติธรรมโดยสมบูรณ์ในพระทัย คือ พระพุทธเจ้า ธรรมที่สั่งสอนโลกก็เพื่อสันติ คือความสงบเย็นเป็นที่ตั้ง
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    โรคในกายถ้ากำเริบย่อมทำให้คนไข้ระส่ำระสายกระวนกระวาย ในอิริยาบถทั้งสี่ไม่มีเวลาตั้งตัวสงบได้ เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ราวกับโลกสงสารมารวมเป็นไฟทั้งกองเผาลนเราคนเดียว หาที่ผ่อนคลายไม่ได้เลย
    <o:p></o:p>
    เมื่อโรคสงบลงเพราะถูกยา คนไข้ก็ได้หลับนอน ได้พักผ่อนตัวสะดวกสบายเท่าที่ควร เมื่อหมอหรือผู้มาเยี่ยมคนไข้ถามว่าเป็นอย่างไร เมื่อคืนนี้ได้พักบ้างหรือเปล่า บอกว่าเมื่อคืนนี้ได้พักสบายบ้าง ได้พักเป็นครั้งคราวบ้าง บางรายไม่ได้พักเลย นั่นหมายว่าโรคไม่สงบ คนก็ไม่สงบ เมื่อโรคสงบคนไข้ก็สงบ สงบมากน้อยคนไข้ก็มีความสงบสบาย ถึงกับหายจากโรคไปเพราะอำนาจแห่งยาถูกกับโรค
    <o:p></o:p>
    โรคของจิตแห่งสัตว์โลกก็ย่อมเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน โรคอันนี้ปราชญ์ท่านเรียกว่า “โรคเรื้อรัง”เคยฝังใจมาเป็นเวลานาน ไม่อาจนับต้นสายปลายเหตุได้ ว่าเป็นมาแต่เมื่อไร ถ้าเป็นรากแก้วก็ทะลุดินที่หนาแสนหนาไปแล้ว เพราะฝังลึกแสนลึก หยั่งลงพื้นพิภพ ฝังรากฝังฐานภายในจิตใจสัตว์โลกให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ไม่ทราบว่าภพน้อยภพใหญ่ ภพไหนต่อภพไหนแล้ว เพราะความเกิดตายซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่นเดียวกับตามรอยโคในคอก ไม่อาจทราบได้เลยว่ารอยโคในคอกไปยังไงมายังไง เพราะเหยียบย่ำวนไปเวียนมาแหลกไปหมด นี่เพราะความเป็นมาแห่งภพชาติ ซึ่งเนื่องมาจากกิเลสตัวก่อเหตุตัวผลักดันให้เป็นไปเป็นมาอยู่อย่างนั้นไม่มีคำว่าจบสิ้น ถ้าไม่ชำระหรือฆ่าเชื้อวัฏวนออกจากใจเสีย ต้องทำจิตใจของสัตว์โลกให้ทุกข์ร้อนนอนครางหาเวลาว่างจากทุกข์ไม่ได้ เมื่อตั้งภพตั้งชาติขึ้นมาแล้ว เพราะอำนาจของกิเลสประเภทหนึ่ง ๆ ส่วนประเภทที่ฝังอยู่ภายในจิตใจนั้นก็ก่อกวนวุ่นวายอยู่เสมอ จึงทำให้สัตว์โลกทั้งหลายได้รับความวุ่นวายเดือดร้อน หาความสงบเย็นใจไม่ได้ เพราะกิเลสก่อกวน ไม่มีสิ่งใดก่อกวนทำลายนอกจากกิเลสอย่างเดียว
    <o:p></o:p>
    กิเลสมีหลายประเภท ถ้าเรียกว่าโรคก็โรคหลายชนิดภายในใจของคนแต่ละคน ไม่เหมือนคนไข้ที่ไปรักษาตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งบางคนก็มีโรคเดียว บางคนก็มีหลายโรค แต่ภายในจิตใจของสัตว์โลกมีโรคหลายชนิดมากทีเดียว
    <o:p></o:p>
    โรคใหญ่ ๆ ที่ตั้งรากตั้งฐานให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ โรคแห่งความโลภ โรคแห่งความโกรธ โรคแห่งความหลง โรคแห่งราคะตัณหา สามสี่ประเภทนี้เป็นเเม่ทัพใหญ่ และมีใจเป็นสถานที่อยู่ มีใจเป็นสถานที่ทำงาน มีใจเป็นพื้นฐานของโรคคือกิเลสชนิดนั้น ๆ อยู่ตลอดเวลา<o:p></o:p>
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยาแก้กิเลส

    เมื่อจิตใจมีแต่โรคชนิดที่จะทำความกำเริบแก่ใจอยู่เสมอ โดยเจ้าของไม่นำพา ไม่เหลียวแลเยียวยารักษาบ้าง หรือไม่รู้วิธีรักษาเลยนั้น ใจดวงใดก็ตามจะหาความสงบสุขไม่ได้เพราะโรคชนิดนี้เสียดแทงอยู่ตลอดเวลา และผู้ใดที่จะมีความสามารถฉลาดรู้ หาโอสถอันสำคัญมาแก้โรคชนิดนี้ให้เบาบางและหมดสิ้นไปจากใจได้ ในสามโลกธาตุนี้จึงมีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ที่ทรงสามารถฉลาดแหลมคม ทันกลมายาของโรคคือกิเลสประเภทต่าง ๆ และปราบให้หายซากจากพระทัยได้ แต่ขณะที่พระองค์ทรงบำเพ็ญเพื่อวิชาปราบกิเลสตัวข้าศึกอยู่นั้น ไม่มีครูมีอาจารย์แนะนำสั่งสอน พยายามดำเนินตะเกียกตะกายไปตามพระกำลังความสามารถ จนได้ตรัสรู้ธรรมทั้งหลายแล้ว จึงได้นำธรรมนี้ออกมาสั่งสอนโลกให้กว้างขวางออกไปโดยลำดับลำดา
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ผู้ที่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ก็ได้ระงับดับโรคชนิดต่าง ๆ ไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งเป็นใจที่บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากโรคชนิดนี้โดยประการทั้งปวง เมื่อตัวเหตุอันจะพาให้เกิดแก่เจ็บตายและสั่งสมกองทุกข์ขึ้นมามาก ๆ สิ้นไปจากใจแล้ว ใจก็หมดทุกข์หมดความลำบากทรมานต่าง ๆ หมดการจับจองป่าช้า ตายสถานที่นั่น เกิดสถานที่นี่ วกเวียนไปมาจนหาต้นหาปลายไม่ได้ก็ลบล้างไปหมด เพราะลบล้างตัวสำคัญคือกิเลส อันเป็นตัวพาให้เกิดแก่เจ็บตายภายในจิตใจได้โดยสิ้นเชิง
    <o:p></o:p>
    ธรรมโอสถเหล่านี้พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงค้นพบด้วยสยัมภู ทรงรู้เองเห็นเองทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผล นอกนั้นไม่มีใครสามารถจึงเรียกว่าสาวก สาวะกะ แปลว่า ผู้สดับตรับฟังเสียก่อน ก่อนที่จะได้ประพฤติปฏิบัติตนให้ถึงธรรมขั้นต่าง ๆ จนถึงความบริสุทธิ์วิมุตติพระนิพพาน ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟังมาทั้งนั้น ไม่จากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าโดยตรง ก็จากครูจากอาจารย์ที่เป็นพระสาวกองค์ใดองค์หนึ่งเรื่อยมาเป็นลำดับลำดา ดังที่เราทั้งหลายได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์มาโดยลำดับเช่นนี้
    <o:p></o:p>
    ธรรมนี้คือโอสถเครื่องแก้กิเลส เครื่องระงับหรือเครื่องปราบปรามกิเลสทั้งมวล จึงเป็นสิ่งที่หาได้ยาก และยากที่บุคคลจะสามารถค้นคว้ามาทำประโยชน์เต็มภูมิได้ ทั้งนี้เพราะกิเลสอย่างเดียวนั่นแลขัดขวางน่ะ จะมีอะไรที่ไหนมาขัดขวาง
    <o:p></o:p>
    เมื่อใจได้รับการเหลียวแลด้วยอรรถธรรม ประพฤติปฏิบัติมีธรรมเป็นหลักเกณฑ์ คือ มีเหตุมีผลเป็นเครื่องประพฤติเป็นเครื่องดำเนินอยู่โดยสม่ำเสมอ ชื่อว่าผู้มีศาสนา ความมีศาสนานั้นคือความมีสิ่งอารักขาภายในจิตใจ มีเครื่องประกันตัวอยู่ภายในใจ จิตใจย่อมมีความสงบ แม้กิเลสยังมีอยู่ก็ยังมีขอบเขต ไม่ผาดโผนโลดเต้นเสียจนเลยเหตุเลยผล ถึงขนาดที่ว่าดูไม่ได้<o:p></o:p>
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยาแก้กิเลส

    ดังสมัยทุกวันนี้เห็นไหม ความเคลื่อนไหวของคนยุคปัจจุบันเป็นอย่างไร ดูเอา ไม่ต้องเดาก็พูดถูก ทั้งนี้เพราะความห่างเหินยา คือธรรม กิเลสจึงได้กำเริบเสิบสาน พาคนให้เสียคนอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ไม่กระดากอาย ดังเขาออกทางหนังสือพิมพ์แทบไม่เว้นแต่ละฉบับแต่ละวัน เพราะภาพชนิดนั้น เรื่องราวชนิดนั้น สัตว์โลกที่มีโรคชนิดเหล่านี้เป็นเชื้ออยู่แล้ว มันติดได้ง่ายกำเริบได้เร็ว เหมือนกับไฟที่มีเชื้อไฟอยู่ภายในเตา แล้วโยนฟืนเข้าไปมันก็ติดและส่งเปลวขึ้นทันทีไม่ชักช้า
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    มันมีมากมายอย่างที่เราไม่เคยพบเคยเห็นก็มีขึ้นแล้วเวลานี้ กำลังเรียนวิชาสัตว์กันมากมาย วิชามนุษย์ก็เคยเรียนมา วิชาธรรมก็เคยเรียนมา แต่เวลานี้มักจะเป็นวิชาสัตว์เสียมาก ถือเป็นแฟชั่นแฟเชิ่น ถือเป็นศิลโปะศิลปะไป พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงพูดเอาตามเพลงของกิเลสเจ้าราคะตัณหา เจ้าตาหัน ตามองไม่เบื่อและอิ่มพอ มันแต่งให้ขับร้องตามเนื้อเพลงของมัน ถ้าเป็นศิลปะก็คือวิชาและเนื้อเพลงของกิเลสนั่นแล เนื้อเพลงนั้นมันจะผิดอะไรกับเนื้อเพลงของ…….ที่เขาหอน “เอ๊ย”เขาร้องในฤดูที่เขาคึกคะนอง เด็ก ๆ ดู-ฟังก็ยังเข้าใจ ทำไมโลกและธรรมจะไม่เข้าใจ
    <o:p></o:p>
    ตาดูก็รู้ หูฟังก็ชัด เพราะหูนี้เป็นหูมนุษย์ ตาเป็นตามนุษย์ มันแสลงหูแสลงตามนุษย์ มนุษย์ทำไมจะไม่ทราบ แสลงใจมนุษย์ มนุษย์ทำไมจะไม่ทราบ ถ้าไม่เป็นเรื่องหยาบโลนของผู้มีกิเลสอันหนาแน่นหรืออันหยาบทรามนั้น คุ้ยเขี่ยขุดค้นขึ้นมาประจานตัวเอง และทำให้โลกเสียหายไปตาม ๆ กันเป็นจำนวนมากนับประมาณไม่ได้เท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรที่จะเป็นข้อยกเว้น ว่าเป็นศิลปะบ้าง เป็นแฟชั่นแฟเชิ่นอะไรบ้าง นี้เราเห็นกันทุกวัน นี้เป็นสิ่งที่ทำโลกให้เสียหายเสื่อมทรามได้มากมาย เสียทางด้านจิตใจเสียด้วย ถ้าเป็นต้นไม้ก็โค่นรากแก้วของมันเลย ไม่ต้องไปตัดกิ่งตัดก้านของมัน เมื่อต้นไม้ที่ถูกโค่นรากแก้วแล้ว มันจะทนได้เหรอ ต้องล้มครืนลงไปโดยไม่ต้องสงสัย
    <o:p></o:p>
    คนเราสำคัญอยู่ที่จิตใจ อะไรจะเอนเอียงไปบ้าง ขาดตกบกพร่องไปบ้าง เจริญบ้างเสื่อมบ้างภายนอก ไม่สำคัญเท่าจิตใจที่เสื่อมไป ถ้าจิตใจมีหลักธรรมเป็นที่ยึดเหนี่ยวบ้าง โลกจะไม่แสดงกิริยาอาการที่น่าทุเรศแบบนั้น และใจก็มีหลักยึด คือ เบญจศีล เบญจธรรม เป็นต้น สำหรับโลกที่มีกิเลส การแสดงออกก็พองามตาไม่แสลงแทงใจจนเลยขอบเขตเหตุผลของมนุษย์ ใจที่มีหลักธรรมยึดย่อมทรงตัวได้ ไม่เสื่อมโทรมจนน่าเวทนา สิ่งใดขาดตกบกพร่องไปบ้าง ได้บ้างเสียบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้างก็พออดพอทน
    <o:p></o:p>
    ถ้าใจหาหลักไม่ได้แล้วล้มเหลว เหมือนกับรากแก้วที่ถูกถอนพรวดขึ้นมาแล้ว ต้นไม้นั้นก็มีแต่ตายท่าเดียว จิตใจถ้าลงสิ่งเหล่านี้ได้ขุดรากแก้วขึ้นมาแล้ว ก็มีแต่วันจะแหลกลาญไปเท่านั้นเอง เพราะเหตุใด เพราะความห่างเหินศีลธรรมจึงเป็นอย่างนั้น มีแต่กิเลสตัณหาอาสวะล้อมรุมสุมใจอยู่ตลอดเวลา หลับตื่นลืมตามีแต่เรื่องอันเดียว กลุ้มรุมอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ทุกรูปทุกนามทุกเพศทุกวัย สับสนปนเปคละเคล้ากันอยู่ด้วยเรื่องอย่างนี้ มีแต่เอาเรื่องนี้มาโปะกันเข้า ๆ แล้วมันจะทนได้อย่างไร นัดหนึ่งไม่ตายนัดที่สองมันก็ตายได้ เพราะมันเป็นยาพิษอยู่แล้ว นี่เราพูดภายนอกเพื่อเป็นเครื่องเทียบเคียงภายในของผู้ปฏิบัติ นี่โลก ๆ เป็นอย่างนั้นให้เราดูเอา และดูตามสภาพความจริงเพื่อปลงตก อย่าดูอย่าฟังเพื่อพกมาเผาหัวใจ จะกลายเป็นไฟทั้งกองขึ้นมาที่หัวอก ตกเป็นทาสของมันตลอดไปไม่มีวันฟื้นตัว<o:p></o:p>
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยาแก้กิเลส

    ภายในจิตจะคิดออกไปในแง่ใดจะเป็นการทำลายสังหารตน แม้จะไม่แสดงออกมาทางกิริยาอาการก็ตาม แต่พึงทราบว่า นั้นกำลังพยายามโค่นรากแก้วของตนอยู่แล้วโดยไม่ต้องสงสัย ต้องพยายามระมัดระวัง ความคิดเป็นสิ่งสำคัญมาก และใจเป็นสมบัติอันล้ำค่าเสียด้วย ถ้าไม่ใช้สติปัญญาระมัดระวังพินิจพิจารณาจริง ๆ แล้ว เราจะไม่ได้ครองจิตที่เป็นสมบัติอันล้ำค่านี้ด้วยอรรถด้วยธรรมเลย แต่จะเป็นเรื่องความพินาศฉิบหาย ร้ายกาจที่สุด เลวทรามที่สุด เพราะใจดวงถูกทำลายจากกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ ขอให้พากันพิจารณาให้ดี ระมัดระวังให้มากตลอดเวลาอิริยาบถ อย่าได้ชินชาชะล่าใจกับกิเลสตัวใดว่าไม่เป็นภัยต่อจิตใจ แต่มันคือข้าศึกทั้งมวล นับแต่ลูกเต้าหลานเหลนขึ้นไปถึงปู่ย่าตาทวดของกิเลส
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ความสงบสุขของใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเสาะแสวง ต้องรักต้องสงวน เช่นเดียวกับความไม่สงบ เป็นภัยอันหนึ่งที่เราจะต้องระมัดระวัง เพราะมีน้ำหนักเท่ากัน ความเห็นภัยกับความเห็นคุณ ให้เห็นอย่างถึงใจเท่า ๆ กัน จงละจงถอดถอนด้วยความเห็นโทษอย่างถึงใจ ขณะเดียวกันจงพยายามเพื่อสมาธิธรรม ปัญญาธรรม วิมุตติธรรม ด้วยความเห็นคุณอย่างถึงใจเช่นเดียวกัน
    <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าสอนไว้ทุกแง่ทุกมุมตามหลักธรรมหลักวินัย ล้วนแล้วแต่เป็นอุบายวิธีป้องกันตัวและรักษาตัว วิธีหลบหลีกปลีกตัวจากสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลาย ด้วยพระปัญญาสามารถทั้งสิ้นไม่มีที่ต้องติ เพราะพระองค์เคยได้รบราฆ่าฟันกับกิเลสมาแล้วอย่างโชกโชน ไม่มีใครที่จะเกินพระองค์ไปได้ถ้าพูดถึงเรื่องความสมบุกสมบัน ความทุกข์ความทรมานด้วยการประกอบความเพียร เพื่อห้ำหั่นกับกิเลสทั้งหลายให้พังพินาศไปจากพระทัย
    <o:p></o:p>
    โลกร่ำลือกันทั่วดินแดนว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์หนึ่งที่ทรหดอดทนไม่มีใครเสมอเหมือน จึงทรงทราบทุกอุบายวิธีที่เคยต่อสู้กับกิเลสประเภทต่าง ๆ ด้วยกลเม็ดเด็ดพรายใด หรือด้วยธรรมาวุธประเภทใดว่าเป็นธรรมเหมาะสม จึงทรงนำธรรมเหล่านั้นมาสั่งสอนพวกเรา ท่านทรงสอนไว้แง่ใดมุมใด ขอให้ยึดมาเป็นหลักเกณฑ์เป็นเครื่องป้องกันตัวรักษาตัว และต่อสู้กับกิเลสเพื่อชัยชนะในอวสานสุดท้าย
    <o:p></o:p>
    ในอิริยาบถต่าง ๆ อย่าให้เผลอสติเป็นความชอบธรรม สมกับเป็นนักปฏิบัติเพื่อธรรมทั้งหลาย และสมกับเป็นนักปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสออกจากใจจนไม่มีเหลือ ใจกลายเป็นสันติธรรมอย่างเต็มภูมิขึ้นมาด้วยความพากเพียร ตนเองจะเป็นที่ชมเชยตนเอง โดยไม่ต้องหาผู้อื่นใดมาชมเชย
    <o:p></o:p>
    การได้รับความชมเชยจากลมปากของคนนั้น มันไม่ผิดอะไรกับลมโชยไม้พัดไปพัดมา ไม่ว่าจะเป็นความนินทา ความสรรเสริญ มันก็เหมือนกับลมพัดผ่านหูไปครู่เดียวยามเดียวเท่านั้นก็หายไป ไม่เหมือนเราตำหนิติเตียนเราและชมเชยเราด้วยความสนใจใคร่ต่อเหตุต่อผล การตำหนิก็ตำหนิด้วยเหตุผล แล้วชำระแก้ไขดัดแปลงตนเองด้วยเหตุผล การชมก็ชมด้วยเหตุผลอรรถธรรมไม่ลำเอียงไปทางกิเลส อันเป็นการเข้ากับตัว ผู้เช่นนี้เป็นผู้มีเจตนาเป็นธรรมอย่างเต็มภูมิ ที่จะกำจัดกิเลสเพื่ออรรถเพื่อธรรมทั้งหลาย และมีวันที่จะผ่านพ้นจากทุกข์ภายในใจไปได้เพราะกิเลสราบคาบลงไป ด้วยการปราบปรามของผู้มีความเพียรกล้า สติไม่ลดละในอิริยาบถต่าง ๆ
    <o:p></o:p>
    ฉะนั้นจงเป็นผู้หนักแน่นสมกับเราเป็นนักปฏิบัติ พึงเป็นผู้หนักแน่นทุกแง่ทุกมุม อย่าได้อ่อนแอท้อถอย ทำกิจนอกการในใด ๆ ก็ตามให้พึงทราบว่าเรากำลังทำ คำว่าเรานี้เป็นตัวตั้งเป็นตัวประธานแล้ว ทำเพื่อใครก็คือทำเพื่อเรา ทำไม่ดีเราดีไหม ถ้าทำไม่ดีเราก็ไม่ดี แสดงไปจากเรานี่ไม่ดีจึงทำไม่ดี ทำแบบขอไปที เราก็เป็นคนเพียงขอไปที เป็นเศษคนเศษพระเศษเณร ไม่ได้เป็นคนเป็นพระเป็นเณรเต็มเม็ดเต็มหน่วย เป็นแบบเพียงขอไปที เรียกว่าเป็นเหมือนกับเศษพระเศษเณรเคลื่อนที่เท่านั้น <o:p></o:p>
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยาแก้กิเลส

    ด้วยเหตุนี้จึงสำคัญที่ว่า ทำอะไรก็ตามให้ถือคำว่าเราเป็นหลักใจไว้เสมอ ทำอะไรก็เราเป็นผู้ทำ เพื่ออะไร ก็ทำเพื่อเรา เมื่อทำเพื่อเราแล้วสิ่งใด ๆ ก็เพื่อเรา เราต้องเป็นผู้จดจ่อต่อเนื่องด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติปัญญา ตั้งจิตตั้งใจทำสิ่งนั้นให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยความมีเหตุผล ด้วยความมีเจตนา ด้วยความเรียบร้อยสมบูรณ์จากสิ่งนั้นจริง ๆ เมื่อย้อนเข้ามาสู่ภายในใจ คือ การประกอบความพากเพียรภายในใจ ก็สิ่งเหล่านั้นแหละซึ่งเป็นนิสัยของเรา ที่เคยฝึกหัดดัดแปลงด้วยดีมาแล้วกับหน้าที่การงานภายนอก ประมวลเข้ามาสู่งานภายในก็เอาจริงเอาจัง มีเหตุมีผลมีสติสตัง ปัญญาใคร่ครวญจนทะลุปรุโปร่งไปได้ ด้วยคำว่าเราทำเพื่อเรา
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    หลักนิสัยเป็นสำคัญมาก ขอให้พยายามฝึกหัดนิสัยให้เป็นคนจริงจัง อย่าอ่อนแอเหลาะแหละ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลส เป็นเศษเป็นเดนของกิเลส เราไม่ใช่พระเศษพระเดนอย่านำเข้ามาดื่มมาคละเคล้าใจ ให้จิตใจดื่มหรือคลุกเคล้ากับความอ่อนแอท้อแท้ เพราะนี่เป็นเศษเป็นเดนของกิเลสประเภทต่าง ๆ เราไม่ใช่เป็นคน เป็นพระเป็นเณรเศษเดน ต้องกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปให้พ้น อย่าสนิทติดจมกับมันถ้าไม่อยากจมดิ่งไม่มีวันโผล่หัวน่ะ
    <o:p></o:p>
    สมาธิภาวนาท่านเขียนไว้ตามตำรับตำราเกลื่อนไปหมด อธิบายไว้เสียจนเป็นคุ้งเป็นแคว สมาธิเป็นอย่างนั้นสมาธิเป็นอย่างนี้ เรามาปฏิบัติให้เห็นองค์ของสมาธิจริง ๆ จะอยู่ที่ไหนแน่พระพุทธเจ้าทรงชี้เข้ามาในหัวใจนี่เเล สมาธิคือความสงบเย็นใจ ความตั้งมั่นของใจ ถ้าใจไม่มีสมาธิทำอะไรอันเป็นฝ่ายเหตุก็ไม่จริงไม่จัง ผลที่จะเป็นความตั้งมั่นขึ้นมาให้มีความสงบเย็นใจก็เป็นไปไม่ได้ เมื่อมีความสนใจใคร่ต่อสมาธิจริง ๆ หรือทำให้ถึงเหตุถึงผลตามหลักที่ท่านสอนไว้จริง ๆ แล้ว คำว่าสมาธิซึ่งเราเคยได้ยินแต่ชื่อได้อ่านแต่ในตำรับตำรา ก็จะมาเห็นภายในจิตใจของเราเอง เพราะสมาธิแท้อยู่ที่ใจผู้ตั้งมั่น
    <o:p></o:p>
    อย่าเข้าใจว่ามรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน นอกไปจากใจดวงที่กำลังไฟโลภโกรธหลงครอบงำอยู่นี้เผาอยู่เวลานี้ จงแก้เสียให้ได้ ดับไฟเหล่านี้ลงได้ด้วยตปธรรม เอาไฟดับไฟ ตปธรรมคือความแผดเผากิเลส กิเลสเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจร้อน ตปธรรมก็คือความแผดเผากิเลส ร้อนต่อร้อนเผากัน เป็นข้าศึกกัน เมื่อกิเลสดับแล้วก็กลายเป็นความเย็นขึ้นมา คำว่า ตปะ คือความแผดเผากิเลสด้วยอำนาจแห่งความเพียรนั่นแล
    <o:p></o:p>
    วิริยะ เพียรเสมอ เพียรไม่ถอยจนกระทั่งกิเลสมันราบไป
    <o:p></o:p>
    ขันติ อดทน ฟังดูซิ ขันติคือความอดความทนต่อหน้าที่การงานของตน ไม่ได้อดทนต่ออะไรละ ทนต่อสู้กับกิเลสที่เป็นข้าศึกต่อหัวใจเราต่างหาก
    <o:p></o:p>
    จิตตะ มีความรักใคร่ใฝ่ใจในความเพียรอยู่เสมอไม่ห่างเหินจากงานของตน
    <o:p></o:p>
    วิมังสา ความใคร่ครวญ เป็นเรื่องของปัญญา อย่าลดละ ให้นำมาใช้เสมอในกิจนอกการในไม่ละเว้น
    <o:p></o:p>
    นี่คือผู้ที่จะทรงสมาธิ จะเป็นเจ้าของของสมาธิภายในใจ จะเป็นเจ้าของของปัญญาภายในใจ จะเป็นเจ้าของของวิมุตติหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายภายในใจตัวเอง จะเป็นเจ้าของแห่งมหาสมบัติ คือ นิพพานสมบัติภายในใจโดยไม่ต้องไปถามผู้อื่นผู้ใดเลย ขอแต่ได้เปิดสิ่งที่ปิดบังหุ้มห่อจิตใจนี้ออกให้หมด ความเตียนโล่งของใจที่ไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องยุ่งกวนได้เลย จะแสดงตัวอย่างเต็มที่ในขณะนั้น<o:p></o:p>
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยาแก้กิเลส

    เท่าที่จิตแสดงตัวไม่ได้ก็เพราะถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำไว้หมด จนมืดมิดปิดตาหาทางออกไม่ได้ ฉายแสงออกมานิดหนึ่งก็ไม่ได้ แสงเบื้องต้นก็คือสมาธิความสงบใจ แสงที่สองก็คือปัญญา เริ่มแสดงออกมาเรื่อย ๆ ตามขั้นของปัญญา ฉายแสงไปเรื่อยจนกระทั่งรอบจิต ชำระกิเลสออกหมดเพราะอำนาจของปัญญาที่ทันสมัยแล้ว จิตก็สว่างกระจ่างแจ้งออกมาโดยหลักธรรมชาติ เพราะโดยปกติจิตเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงสิ่งที่มืดมิดปิดตานั้นมันไปครอบจิต ก็เลยกลายเป็นจิตมืดจิตดำไปเสีย จิตโง่เขลาเบาปัญญา เลยกลายเป็นจิตต่ำทรามไปเสีย ทั้ง ๆ ที่จิตแท้ไม่ได้ต่ำทรามอย่างนั้น ไม่ได้ต่ำไม่ได้เลว ซึ่งที่เลวนั้นแหละเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันกับจิตเลยกลายเป็นจิตเลวไปได้ เมื่อชำระออกด้วยความพากเพียรแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ค่อยจางหายไป ๆ ใจมีความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยลำดับ จนรอบตัวในที่สุด กลายเป็นวิมุตติหลุดพ้นขึ้นมาที่ตรงนั้น
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    นั่นแหละคือผู้ทรงคุณสมบัติที่ท่านเขียนไว้แต่ชื่อในตำรับตำรา ว่าศีล ว่าสมาธิ ว่าปัญญา ว่านิพพาน วิมุตติหลุดพ้น เขียนไว้นั้นมีแต่ชื่อในคัมภีร์ ตำราต่าง ๆ อันแท้จริงตัวจริงแล้วก็คืออยู่ที่จิต สมาธิก็อยู่ที่จิต ปัญญาก็อยู่ที่จิต วิมุตติหลุดพ้นก็หลุดพ้นที่จิต พ้นไปที่จิต ไม่พ้นไปจากจิตนี้ได้
    <o:p></o:p>
    จิตจึงเป็นจุดรวม รวมทั้งกิเลสทุกประเภทในเมื่อแก้ยังไม่ได้ รวมทั้งมรรคผลนิพพานทุกประเภท เมื่อแก้หรือถอดถอนได้แล้วด้วยอำนาจของความเพียร มรรคผลนิพพานจึงมีอยู่ที่ตรงนี้เท่านั้น ไม่มีอยู่กับกาลเวลาช้านานกาลใด ๆ ไม่มีอยู่กับสถานที่โน่นที่นี่ มีอยู่กับใจนี้ จึงต้องให้จ่อสติลงไปที่ใจ ความเพียรลงสู่ใจตามที่ท่านสอนไว้จะไม่ผิดหวัง เอาให้จริงให้จังก็แล้วกัน อย่าพากันมาเป็นผีหลอกเพศของตนและหลอกศาสนาให้บอบช้ำมัวหมอง เพราะโลกชาวพุทธที่หวังพึ่งศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างถึงใจฝากเป็นฝากตายยังมีอยู่มาก
    <o:p></o:p>
    จงพยายามฝึกหัดสติให้ดีอย่าให้เผลอ เคยพิจารณาอย่างไรก็ให้มีสติติดตาม อย่างน้อยก็ให้เป็นสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวอยู่ในขณะทำงาน คือรู้สึกอยู่ในตัว ไม่ได้จำเพาะเจาะจงในจุดใดจุดหนึ่งแห่งร่างกาย หรือแห่งอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง มีความรู้สึกตัวประจำอยู่ ท่านเรียกว่าสัมปชัญญะ เมื่อจ่อเข้าไปตรงจุดใดจุดหนึ่งเรียกว่าสติ
    <o:p></o:p>
    ทีนี้เมื่อสติมีความชำนิชำนาญขึ้นไป ก็กลายเป็นสัมปชัญญะอีกทีหนึ่ง แล้วกลายเป็นมหาสติกลายเป็นมหาปัญญา ขึ้นจากสติขึ้นจากปัญญาที่เคยล้มลุกคลุกคลานนั่นแหละไม่ไปจากไหน เมื่อฝึกหลายครั้งหลายหน ฝึกจนเกรียงไกรแล้วก็ชำนิชำนาญคล่องแคล่วแกล้วกล้า สามารถปราบปรามกิเลสได้ทุกประเภท ไม่ว่ากิเลสประเภทไหนเหนือสติปัญญานี้ไปไม่ได้ เพราะสติปัญญาเป็นต้นนี้ พระพุทธเจ้าแลพระสาวกทั้งหลายเคยใช้ปราบกิเลสให้หมอบราบคาบ ได้ผลเป็นที่พอพระทัยและใจมาแล้วจนสะเทือนโลกธาตุ จึงไม่ประสงค์ให้ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายมานอนขึ้นเขียง คอยให้กิเลสประเภทต่าง ๆ สับยำแบบไม่เป็นท่าหาทางต่อสู้ไม่ได้ดังที่เป็นอยู่ โดยลักษณะแพ้มัน ในทางสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร ไม่มีอะไรเข้มแข็งพอ จึงขอได้พยายามฟิต สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม เป็นต้น ขึ้นให้พอกับความจำเป็น ผลที่พึงหวังจะได้ครองในวันหนึ่งแน่นอนไม่สงสัย

    <o:p></o:p>

    จึงขอยุติ<o:p></o:p>
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คนจริงย่อมถึงธรรมของจริง

    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด



    เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒





    คนจริงย่อมถึงธรรมของจริง




    นี้พูดถึงสาเหตุที่เราจะออกบวชซึ่งไม่เคยคาดฝันมาก่อนคือ เย็นวันหนึ่ง ครอบครัวเรามีพ่อแม่และลูกชายหญิงหลายคนร่วมรับประทานกันอยู่อย่างเงียบๆ ขณะนั้นพ่อพูดขึ้นชนิดไม่มีอะไรเป็นต้นเหตุเลยว่า เรามีลูกหลายคนทั้งหญิงทั้งชาย แต่ก็ไม่พ้นความวิตกกังวลในเวลาเราจะตาย เพราะจะไม่มีลูกคนใดใจเป็นผู้ชาย คิดบวชให้พอเราได้เห็นผ้าเหลืองก่อนตาย ได้คลายความกังวลใจในเวลานั้น แล้วตายไปอย่างเป็นสุขหายห่วง
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    “ลูกเหล่านั้นกูก็ไม่ว่ามันแหละ หมายถึงลูกผู้ชาย ส่วนลูกผู้หญิงกูก็ไม่เกี่ยวข้องมัน ลูกผู้ชายกูก็มีหลายคน แต่นอกนั้นกูก็ไม่สนใจอะไรพอจะอาศัยมันได้ แต่ไอ้บัว (หมายถึงเรา) นี่ซิ ที่กูอาศัยมันได้น่ะ”ปกติพ่อไม่เคยชมเรา อะไรๆ ก็ไม่เคยชมมีแต่กดลงเรื่อยๆ นิสัยพ่อกับแม่เราเป็นอย่างนั้น “ไอ้นี่ลงมันได้ทำการทำงานอะไรแล้ว กูไว้ใจมันได้ทุกอย่าง กูทำยังสู้มันไม่ได้ ลูกคนนี้กูไว้ใจที่สุด ว่าอย่างนั้น ถ้าลงมันได้ทำอะไรแล้วต้องเรียบไปหมด ไม่มีที่น่าตำหนิติเตียน กูยังสู้มันไม่ได้ ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าที่การงานแล้วมันเก่งจริง กูยกให้ ลูกกูทั้งหมดก็มีไอ้นี่แหละเป็นคนสำคัญ เรื่องการงานต่างๆ นั้นกูไว้ใจมันได้
    <o:p></o:p>
    แต่ที่สำคัญตอนกูขอให้มันบวชให้ทีไร มันไม่เคยตอบไม่เคยพูดเลยเหมือนไม่มีหู ไม่มีปากนั่นเอง บทเวลากูตายแล้ว จะไม่มีใครลากกูขึ้นจากหม้อนรกเลยแม้คนเดียว เลี้ยงลูกไว้หลายคนเท่าไรกูพอจะได้อาศัยมันก็ไม่ได้เรื่อง ถ้ากูอาศัยไอ้บัวนี้ไม่ได้แล้ว กูก็หมดหวังเพราะลูกชายหลายคนกูหวังใจอาศัยไอ้นี่เท่านั้น”
    <o:p></o:p>
    พอว่าอย่างนั้น โฮ้ย น้ำตาพ่อร่วงปุบปับๆ เรามองไปเห็น แม่เองพอมองไปเห็นพ่อน้ำตาร่วง แม่ก็เลยน้ำตาร่วงเข้าอีกคน เราเห็นอาการสะเทือนใจทนดูอยู่ไม่ได้ ก็โดดออกจากที่รับประทาน ปุ๊บปั๊บหนีไปเลย นั่นแหละเป็นต้นเหตุให้เราตัดสินใจบวช มันมีเหตุอย่างนั้น
    <o:p></o:p>
    นำไปคิดอยู่ตั้งสามวัน ไม่หยุด ไม่ยอมมารับประทานร่วมพ่อแม่อีกเลยในสามวันนั้น แต่ก็คิดไม่หยุดไม่ถอย คิดเทียบเคียงถึงเพื่อนฝูงที่เขาบวชกัน ตลอดถึงครูบาอาจารย์ที่บวชเป็นจำนวนมาก ท่านยังบวชกันได้ทั่วโลกเมืองไทย
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คนจริงย่อมถึงธรรมของจริง

    การบวชนี่ก็ไม่เหมือนการติดคุกติดตะราง แม้เขาติดคุกติดตะราง เช่นติดตลอดชีวิต เขาก็ยังพ้นโทษออกมาได้ เราไม่ใช่ติดคุกติดตะรางนี่ หมู่เพื่อนบวชเขายังบวชได้ เขาเป็นคนเหมือนกัน และครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านบวชจนเป็นสมภารเจ้าวัด ท่านยังอยู่ได้ เหตุใดเราเป็นคนทั้งคน พ่อแม่เลี้ยงมาเหมือนคนทั้งหลาย อย่างอื่นๆ เรายังอดได้ทนได้ แต่การบวชนี่มันเหมือนติดคุกติดตะรางเชียวเหรอ เราถึงจะบวชไม่ได้ทนไม่ได้ เราทำไมถึงจะด้อยเอาเสียนักหนา ต่ำช้าเอานักหนา กว่าเพื่อนฝูงทั้งหลาย ถึงขนาดพ่อแม่ต้องน้ำตาร่วงเพราะเรานี่ ไม่สมควรอย่างยิ่ง
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    คิดวกไปเวียนมาอยู่นั้นได้สามวัน เอาละที่นี่ ตัดสินใจปุ๊บ เอา ทำไม จะบวชไม่ได้ ตายก็ตายไปซิ เขาบวชกันมาไม่เห็นตาย พ่อแม่ก็ไม่ได้บอกให้บวชจนถึงวันตาย หรือบอกให้บวชถึงปีสองปี พ่อแม่ก็ไม่เห็นว่านี่ แล้วทำไมถึงจะบวชไม่ได้ล่ะ เราก็ คนๆ หนึ่งแท้ๆ เอ้า ต้องบวช
    <o:p></o:p>
    เมื่อพิจารณาเป็นที่ลงใจแล้ว จึงได้มาบอกกับแม่ว่า เรื่องการบวชจะบวชให้ แต่ว่าใครจะมาบังคับไม่ให้สึกไม่ได้นะ บวชแล้วจะสึกเมื่อไรก็สึก ใครจะมาบังคับว่าต้องเท่านั้นปีเท่านี้เดือน ไม่ได้นะ มันหาทางออกไว้แล้วนั่น ดูซิ ทิฐิมานะของมันน่ะ แต่แม่ฉลาดกว่าลูกนี่ “โถ แม่ไม่ว่าหรอก ขอให้ลูกไปบวชให้แม่เห็นต่อหน้าต่อตาแม่ทีเถอะ แล้วสึกออกมาทั้งๆ ที่คนที่ไปบวชยังไม่กลับบ้านก็ตาม สึกต่อหน้าต่อตาคนมากๆ นั้นแม่ก็ไม่ว่า”แม่ใส่เข้าไปอย่างนี้เลย ก็ใครจะเป็นพระหน้าด้านมาสึกต่อหน้าต่อตาคนมากๆ ที่ไปบวชเราได้ ไม่บวชเสียมันดีกว่า เมื่อบวชแล้วมาสึกต่อหน้าต่อตาคน มันยิ่งขายขี้หน้ากว่าอะไรเสียอีก นั่น เมื่อติดปัญหาแม่แล้วก็เลยไปบวช
    <o:p></o:p>
    แต่ว่าเรามันนิสัยจริงจังแต่เป็นฆราวาสมาแล้ว เวลาบวชก็ตั้งใจบวชเอาบุญเอากุศลจริงๆ และพร่ำสอนตัวเองว่า บัดนี้เราบวชแล้ว พ่อแม่ไม่ได้มาคอยติดสอยห้อยตาม คอยตักคอยเตือนเราอีกเหมือนแต่ก่อนแล้วนะ แม้เวลานอนหลับก็ไม่มีใครมาปลุกนะ แต่บัดนั้นมาก็ทำความเข้าใจกับตัวเองราวกับว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ นะ อย่างนั้นแหละ
    <o:p></o:p>
    แต่ก่อนเราจะไปไหนแต่เช้าๆ ส่วนมากมีแต่บอกแม่ให้ปลุกว่า พรุ่งนี้เช้าจะออกไปธุระแต่เช้า แม่ก็ปลุกแต่เช้าแล้วก็ไป แล้วก็ล้มนอนตูมเหมือนตาย ทอดอาลัยหมด เพราะคิดแล้วว่าแม่จะปลุก ไม่สนใจเรื่องการตื่นนอน พอถึงเวลาแม่ก็ปลุกเอง ทีนี้แม่คงจะเห็นอย่างนั้นจึงเป็นห่วงในเวลาไปบวช เพราะผิดกันกับพี่ชาย สำหรับพี่ชายว่าพรุ่งนี้เช้าให้แม่ปลุก แต่แม่ยังไม่ได้ปลุกเขากลับตื่นเสียก่อน ไปก่อนแล้ว
    <o:p></o:p>
    แม่ว่า “ไอ้ลูกกูคนนั้นมันก็ดีแบบหนึ่ง แต่ลูกกูคนนี้เรื่องการงานอะไรแล้วยกให้ไม่มีใครสู้ในลูกทั้งหลาย แต่เวลานอนมันเหมือนตายนี่ซิ จึงคิดหนักอกหนักใจกับมัน เวลาไปเป็นพระใครจะไปปลุกมันนา นี่แหละกูหนักใจตรงนี้ ไม่มีทีไรละว่ามันจะตื่นขึ้นมาก่อนแล้วไปเลยโดยเราไม่ได้ปลุก ถ้าลงมันได้บอกว่าจะไปงานโน้นงานนี้ ต้องได้ปลุกทุกทีลูกคนนี้ นี่ซิเป็นข้อหนักใจ”แม่เอาไปวิพากษ์วิจารณ์กับคนอื่น แต่เราก็ไม่พูด เราได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟัง เราไม่ค้าน แม่ว่า “เราอยากให้มันเป็นผู้หญิงเสียเองแม่จะได้เบามือ นี่พ่อแสนสบายเพราะมีคนช่วยให้เบามือ ส่วนเราทุกข์จะตาย”
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คนจริงย่อมถึงธรรมของจริง

    พอก้าวออกจากบ้านเข้าวัด ก็เตือนตัวเองทันที เอาละนะที่นี่ ไม่มีใครจะตามแนะนำตักเตือนเรา ตลอดถึงการหลับการตื่นไม่มีใครปลุกละนะ เราต้องเป็นเราเต็มตัวตั้งแต่บัดนี้ไป ไม่หวังพึ่งพ่อแม่ดังแต่ก่อนอีกแล้ว เรียนหนังสือตีสองบ้าง ตีสามบ้าง เป็นประจำ ตีห้าบ้างเป็นบางคืน ตีห้าก็สว่าง เดือนมิถุนายน กรกฎาคม พอสว่างก็ลงทำวัตรแต่เช้าก่อนแล้วจึงค่อยออกบิณฑบาต มันตื่นทัน ดูซิ ผมก็แปลกเหมือนกันนะ มันตั้งท่าของมันอย่างจริงจังไม่เคยพลาดเลย จะนอนตีสองตีสามตีสี่ เรื่องทำวัตรนั้นในเวลาพรรษานี้ตั้งสัจอธิษฐานไว้เลย ว่าจะไม่ให้ขาดทั้งเช้าทั้งเย็นการทำวัตร และกราบเรียนท่านพระครูไว้ด้วย หากว่าท่านสั่งให้เราไปในที่นิมนต์ ว่าให้ท่านรอจนเรากลับมาถึงค่อยทำวัตร เราขอท่านไว้อย่างนั้น นี่หมายถึงทำวัตรส่วนรวม ส่วนที่กุฏิเราทำอีกทีหนึ่ง นี่เราอธิษฐานไว้เป็นส่วนรวม ทำวัตรส่วนรวมไม่ให้ขาดทั้งเช้าและเย็นในพรรษา
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เวลาบวชแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ นี่เล่าเป็นคติให้หมู่เพื่อนฟังเรื่องความจริงจัง เรียนๆ จริงๆ ไม่ถอย แต่สำคัญที่เรียนธรรมะไปตรงไหนมันสะดุดใจ เอ๊ะๆ ชอบกลๆ เข้าไปเรื่อยๆ ธรรมก็เข้ากับเราซึ่งเป็นคนจริงอยู่แล้วได้ง่าย ธรรมะเป็นของจริงอยู่แล้ว กับนิสัยจริงก็เลยเข้ากันได้สนิท เอ๊ะ ชอบกลๆ
    <o:p></o:p>
    เวลาอ่านพุทธประวัติและอ่านสาวกประวัติเข้าไปอีก โอ้โฮ ทีนี้ใจหมุนติ้วๆ นั่นแลเรื่องที่จะอยู่ไปได้ เรื่องภายนอกก็ค่อยจืดไปจางไปๆ เรื่องธรรมะก็หมุนติ้วๆ ดูดดื่มเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ตั้งสัจอธิษฐานเวลาเรียนหนังสือว่าจบเปรียญสามประโยคแล้ว เราจะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่มีข้อแม้ไม่มีเงื่อนไข เพราะอยากพ้นทุกข์เหลือกำลัง พูดง่ายๆ อยากเป็นพระอรหันต์นั่นเอง เห็นพระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ สาวกทั้งหลายออกมาจากสกุลต่างๆ สกุลพระราชา มหาเศรษฐี กุฎุมพี พ่อค้า ประชาชน ตลอดคนธรรมดา องค์ไหนออกมาจากสกุลใดก็ไปบำเพ็ญในป่าในเขา หลังจากได้รับพระโอวาทจากพระพุทธเจ้าแล้ว เดี๋ยวองค์นั้นสำเร็จพระอรหันต์อยู่ที่นั่น องค์นั้นสำเร็จอยู่ป่านั้น อยู่ในเขาลูกนั้น อยู่ในทำเลนี้ มีแต่ที่สงบสงัด
    <o:p></o:p>
    การประกอบความพากเพียรของท่านทำอย่างเอาจริงเอาจัง เป็นเนื้อเป็นหนัง เอาเป็นเอาตายเข้าว่าจริงๆ ท่านไม่ทำเหลาะๆ แหละๆ เล่นๆ ลูบๆ คลำๆ เหมือนอย่างเราทั้งหลายทำกัน ผลของท่านแสดงออกมาเป็นความอัศจรรย์ เป็นพระอรหันต์วิเศษๆ นี่ละมันถึงใจ<o:p></o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...