เข้าสู่แดนนิพพาน : หลวงตาพระมหาบัว

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 17 พฤษภาคม 2011.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยึดแบบฉบับของผู้เห็นภัย

    วิญญาณก็รู้แย็บๆ ขณะที่สัมผัสกับสิ่งภายนอก พอรับรู้แล้วก็ดับไปขณะที่สิ่งภายนอกดับไป และดับไปพร้อมๆ เหมือนแสงหิ่งห้อยหรือแสงฟ้าแลบ คิดไปพิจารณาไปทวนไปทวนมา ทวนกระแส พลิกหน้าย้อนหลังด้วยอุบายของปัญญาเพราะความไม่ไว้ใจในสิ่งเหล่านี้ เพื่อทราบความจริงของสิ่งเหล่านี้ด้วยความสนใจ พิจารณาไม่หยุดก็รู้จนได้ เมื่อรู้แล้วก็เป็นขันธ์ห้าอยู่อย่างนั้นแหละ เราไม่รู้มันก็เป็นของมันอยู่นั้น แต่มันเป็นเรื่องของสมุทัยถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะมันออกมาจากใจสมุทัยโน่น สมุทัยแท้ๆ กิเลสแท้ๆ อยู่ที่ใจ



    การพิจารณาธรรมขั้นนี้เป็นความเพียรอัตโนมัติ คือหมุนตัวไปเองไม่ต้องบังคับเหมือนขั้นเริ่มแรกที่กำลังล้มลุกคลุกคลาน เพราะกิเลสมีกำลังมากมันฉุดลากเอาไว้ไม่ให้พากเพียร พอมาถึงขั้นกิเลสตาย ที่ยังเหลือก็หมอบและซ่อนตัว สติปัญญามีกำลังมากจึงหมุนตัวไปเองโดยไม่มีกิเลสตัวใดมาคัดค้านต้านทาน สติปัญญาพิจารณาเข้าไปตีตะล่อมเข้าไป เข้มงวดกวดขันเข้าไปโดยลำดับๆ จนเข้าใจเป็นระยะๆ เป็นวรรคเป็นตอน กิเลสก็แคบ งานก็มีวงแคบเข้าไปตามๆ กันและแคบเข้าไปๆ สุดท้ายกิเลสที่เหลือก็รวมตัวเข้าไปกองอยู่ในหัวใจดวงเดียว แย็บออกมาก็รู้ว่ามันออกจากใจนั้นเสีย ออกไปทางด้านสัญญาก็ไปไม่ได้ ออกไปทางด้านสังขารเป็นเรื่องเป็นราวก็ไปไม่ได้ เพราะสติปัญญาทันอยู่ทุกระยะ พอปรุงแย็บออกมาเหมือนแสงหิ่งห้อยมันก็ดับไปพร้อม เมื่อสติทันแล้วเรื่องราวก็ไม่สืบต่อกันไปยืดยาว สติรู้ทันก็ดับของมันรู้ทันกับรู้เท่าพร้อมอยู่ด้วย สติปัญญาก็ฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไปตรงนั้น สุดท้ายก็เหลือแต่อวิชชา


    อวิชชากับจิตมันเป็นอันเดียวกัน ถ้าสงวนจิตก็สงวนอวิชชาด้วยนั่นแล เพราะกำลังกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน รักจิตสงวนจิตก็รักอวิชชาสงวนอวิชชา ติดจิตก็ติดอวิชชา หลงจิตก็หลงอวิชชาเพราะมันอยู่ด้วยกัน ถึงขั้นนี้แล้วสติปัญญาทำงานไม่ต้องบังคับ นอกจากรั้งเอาไว้ให้อยู่ในความพอดีและให้เข้าพักสงบในสมาธิตามเวลาที่ควรไม่ให้บุกงานจนเกินไป จิตขั้นนี้มีแต่จะไปท่าเดียว มีแต่จะเอาให้ทะลุท่าเดียว ที่จะถอยย้อนไปข้างหลังไม่มีเลย เป็น อกุปฺปฯๆ มาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงจุดพอตัวแล้วก็ลงนิวเคลียร์หรือปรมาณูซิ ปัญญาขั้นนิวเคลียร์ขั้นปรมาณูตูมลงไปตรงนั้น อวิชชาก็แหลกแตกกระจายไปหมดราวกับโลกธาตุหวั่นไหว (ความจริงโลกธาตุภายในจิตถนัดกว่าที่อื่นๆ)


    ทีนี้หมดละ เชื้อที่เคยเกิดเคยตายมากี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์ ก็เห็นได้อย่างประจักษ์ ว่าบัดนี้ไม่มีอีกแล้วเรื่องความเกิดความตายต่อไป เพราะเชื้อที่จะพาให้เกิดให้ตายคือ อวิชชานี้ได้ถูกทำลายโดยสิ้นเชิงแล้ว นั่นแลที่ท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ,เสร็จงานที่แสนลำบากแสนตะเกียกตะกาย แทบจะไปจะอยู่ สิ้นเสร็จในขณะอวิชชาตกบัลลังก์จากใจ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ญาณความรู้แจ้งชัดว่า จิตหลุดพ้นแล้วย่อมปรากฏขึ้นในขณะนั้น นี่งานของพระเราสิ้นสุดลงที่ตรงนี้ ไม่สิ้นสุดที่ตรงไหน สิ้นสุดตรงนี้เอง อวิชชาแตกกระจายลงไปแล้วก็เรียกว่าข้าศึกที่รบกันนั้นหมดฤทธิ์และตายเกลี้ยงไม่มีเหลือแล้ว สติปัญญาที่หมุนตัวเป็นเกลียวก็หมดภาระไปเอง หมดปัญหาไปเองเพราะไม่ได้ฆ่ากิเลสตัวใดอีกแล้ว กิเลสตัวไหนจะมาให้ฆ่าอีก เพราะมันฉิบหายหมดแล้ว จอมวัฏจักรสิ้นสุดลงไปแล้วก็หมดเท่านั้น


    ผลแห่งงานของเราที่ทำมามากน้อยหนักเบาขนาดไหนเป็นธรรมเกินค่า เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วหมดอดีตอนาคตไม่สำคัญมั่นหมาย ปัจจุบันก็รู้เท่าชัดเจนทุกอย่างแล้ว หมดทั้งอดีตทั้งอนาคตทั้งปัจจุบัน ปัญหาไม่มี แม้ยังมีชีวิตอยู่ท่านก็ไม่มีปัญหา ตายท่านก็ไม่มีปัญหาสำหรับท่านที่รู้อย่างนั้นแล้ว จะตายด้วยเหตุผลกลไกอะไรก็ตามไม่มีปัญหา เมื่อถึงขั้นหมดปัญหาแล้วไม่มีปัญหาทั้งนั้นสำหรับพระอรหันต์ท่านตาย ด้วยเหตุนี้เองท่านจะยืนนิพพานก็ได้ เดินนิพพานก็ได้ นั่งนิพพานก็ได้ นอนนิพพานก็ได้ ตามอัธยาศัยแห่งความถนัดใจของท่านแต่ละองค์ๆ ที่ท่านจะทำในวาระสุดท้ายแห่งขันธ์จะแตกสลาย
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยึดแบบฉบับของผู้เห็นภัย

    ดังท่านอาจารย์มั่นท่านแสดงที่เราเขียนไว้ในประวัติท่านนั้น เพราะเหตุไร เพราะทุกขเวทนาอันเป็นสมมุติภายนอกนี้ ไม่สามารถเข้าไปเหยียบย่ำทำลายจิตใจของท่านให้กำเริบให้หวั่นไหวได้ แล้วทำไมท่านจะทำนิพพานตามอัธยาศัยของท่านไม่ได้ เพราะจิตท่านอยู่เหนือสมมุติแล้วนี่ เวทนาก็เป็นสมมุติ ทุกขเวทนามันมีอยู่เพียงร่างกายนี้เท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปทับถมจิตใจของท่านให้หวั่นไหวไปได้เลย ท่านทำไมจะทำตามอัธยาศัยของท่านไม่ได้ล่ะ นิพพานท่าไรก็เอาซิ ในวาระสุดท้ายกิเลสตัวใดจะมาขัดขวางท่านได้อีก เมื่อมันตายด้วย กุสลา ท่านปราบเรียบแล้ว พวกเรามันพวกตาบอดหูหนวก ใจห้องน้ำห้องส้วมที่แสนสกปรกโสมม ยังไปกล้าให้คะแนนท่านตัดคะแนนท่านว่าเป็นไปไม่ได้ ที่ถูกควรเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่อายตาบอดของตัวบ้างหรือที่กล้าไปจูงคนตาดีน่ะ


    ที่ได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนหมู่เพื่อนนี้ ผมเคยเป็นมาแล้ว ตอนที่จิตมันยังไม่ได้เรื่องได้ราว มันฝืนเราอย่างหนักทั้งๆ ที่จิตเราตั้งอกตั้งใจขนาดนั้นยังเป็นได้ กิเลสมันถอยใครเมื่อไร พอจากท่านอาจารย์มั่นไปได้ ๒-๓ วัน จิตมันดีดมันดิ้นหาเขียงสับยำเพื่อเป็นอาหารกิเลสอย่างเห็นได้ชัด ถึงทราบได้ชัดว่า อ๋อนี่มันกาจับภูเขาทอง.ว่าเจ้าของ อยู่กับครูบาอาจารย์จิตสงบร่มเย็น พอออกจากท่านมาแล้วไม่ได้เรื่องได้ราว ทำความเพียรก็เดินไปเฉยๆ ไม่มีอุบายอะไรที่จะแก้กิเลสได้สักตัวเดียว มีแต่ความฟุ้งซ่านภายในใจ นับวันรุนแรงขึ้นทุกวันๆ อยู่ห่างท่านไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ เรารู้แล้ว นี่หนีจากครูบาอาจารย์ไม่ได้เมื่อเป็นแบบนี้ เรารีบกลับคืนไปหาท่านทันที แต่เดชะบุญเวลากลับคืนไป ท่านไม่เคยตำหนิติเตียน ท่านไม่เคยขับไล่ไสส่งเลย ความจริงเราก็ไปภาวนา คิดว่าประมาณเดือนนั้นเดือนนี้ก็จะกลับมา แต่มันไม่ทันถึงเดือนนั้นเดือนนี้นี่นา ไฟนรกในใจมันเผาขึ้นมาก่อนนี่ ก็ต้องรีบกลับมา นี่ก็ได้เอาเรื่องที่เคยผ่านมาแล้วนี้แหละมาสอนหมู่เพื่อน เพราะจิตใจเราเหมือนๆ กัน



    เรื่องของกิเลสแล้วจะไม่เดินนอกลู่นอกทางของกิเลสไป จะต้องไปตามทางของกิเลสโดยตรง ใครอุบายทันก็ได้ ใครอุบายไม่ทันก็จมไปเพราะมัน อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ, อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ.ท่านถึงได้ว่าพึ่งตัวเองยังไม่ได้ต้องอาศัยครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งไปก่อน ๕ พรรษานั้นท่านพูดไว้พอประมาณ ถ้า ๕ พรรษา ล่วงแล้วยังเป็นไปไม่ได้ก็ต้องอยู่เพื่อศึกษาอบรมกับท่านผู้ดีกว่าตนต่อไป คิดดูซิ พระ ๖๐ พรรษาที่ยังไม่มีหลักเกณฑ์ก็ยังต้องมาขอนิสัยจากผู้ ๑๐ พรรษา แต่มีหลักจิตหลักธรรมวินัย ท่านบอกไว้แล้วในพระวินัยเพราะมันไม่สำคัญอยู่กับพรรษา แต่สำคัญที่ความทรงตัวได้หรือไม่ได้ สำคัญตรงนี้ต่างหาก



    อย่าเชื่อมันง่ายๆ กิเลส เราเคยเชื่อมันมานานแล้วได้ผลอะไรจากการเชื่อกิเลส นี้เราตั้งใจจะมาเชื่อธรรม การเชื่อธรรมต้องฝืนกิเลสถึงจะจัดว่าเชื่อธรรมและปฏิบัติตามธรรมได้ ถ้ายังไม่ฝืนกิเลสก็แสดงว่าเราเชื่อกิเลส ยอมจำนนต่อกิเลสร่ำไป ทั้งๆ ที่ว่าเราปฏิบัติธรรมนั้นแล เมื่อจิตยังตั้งหลักไม่ได้ต้องเป็นอย่างนั้นด้วยกันนักปฏิบัติเรา แม้ตั้งหลักได้แล้วก็ยังมีความจำเป็นโดยลำดับเกี่ยวกับครูบาอาจารย์ที่ตนจะต้องศึกษาต่อไป ไม่ใช่ว่าตั้งหลักได้แล้วจะไม่มีความจำเป็นกับครูอาจารย์ มันจำเป็นตามขั้นของจิตของธรรมนั่นแล



    เมื่อพูดตามความจริงแล้วมันหนีจากท่านไม่ได้ ยิ่งจำเป็นมากขึ้นตามขั้นของจิตของธรรมภายในใจ นี่ผมก็เคยเป็นมาแล้ว ในขั้นที่พอตั้งตัวได้ เช่น จิตมีความสงบเป็นสมาธิเป็นหลักเป็นเกณฑ์ในจิตใจ ไม่วุ่นวายส่ายแส่กับสิ่งภายนอก แต่เราหวังจะก้าวหน้าละซิจะทำยังไงจึงจะก้าวหน้า เพราะอุบายวิธีต่างๆ จะพิจารณามันไม่ค่อยได้ความอะไร ลำพังตนทำเองไม่มีผู้บอกแนะ มันต้องมาอาศัยท่านอีกนั่นแหละ บางทีพิจารณาทางด้านปัญญามันติดขัดอะไรต่ออะไร อุบายวิธีเจ้าของที่จะแก้ความติดขัดซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสนั้น มันไม่ทันมันไม่พอมันก็แก้ไม่ได้ เมื่อเวลามาเล่าถวายท่าน ท่านใส่ปุ๊บเดียวเท่านั่น ปัญหาข้อข้องใจนั้นๆ แตกกระจายไปในทันทีทันใดเลย นี่ก็กิเลสหลุดลอยไปเพราะท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เห็นคุณค่าในการอยู่กับท่านน่ะซิ จึงเป็นความจำเป็นไปเรื่อยๆ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยึดแบบฉบับของผู้เห็นภัย

    ดังที่ว่ากิเลสมันมารวมตัวอยู่ในจิตดวงเดียวนั้นถึง ๘ เดือน นี่ถ้าสมมุติว่าพ่อแม่ครูจารย์ยังมีชีวิตอยู่มันจะไม่ติดอยู่นานขนาดนั้นเลย โน่น มันจะพังทลายลงตั้งแต่ขณะที่เริ่มปรากฏอยู่ที่วัดดอยฯ โน่น วันเดือนสามแรม พอถวายเพลิงท่านเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นไปวัดดอยฯ ไปภาวนาอยู่นั่น ตอนนั้นจิตของเรามันสว่างไสว ก็อย่างว่านั่นแหละ คนเป็นบ้าอัศจรรย์ตัวเอง ไม่มีใครอัศจรรย์เท่าเจ้าของอัศจรรย์บ้าในตัวเอง ไม่ใช่อัศจรรย์ธรรมแต่เป็นอัศจรรย์บ้า ความหลงความยึดจิตอวิชชา มันจึงอัศจรรย์ตัวเอง เวลาเดินจงกรมอุทานออกมาในใจว่า แหมจิตเราทำไมสว่างเอานักหนานะ ร่างกายเรามองดูมันเห็นพอเป็นรางๆ เป็นเงาๆ เพราะความรู้ทะลุไปหมด สว่างไปหมดเลยก็อัศจรรย์ล่ะซิ เราถึงว่าอัศจรรย์บ้า วันนั้นเป็นวันจะฉันจังหัน


    ระยะนั้นไม่ได้อดอาหารมากนะเพราะท้องไม่ดีมาแล้ว อดเพียง ๓ วันมาฉันมันก็ถ่ายแล้ว นั่นก็อด ๓ วัน ตอนนั้นพรรษา ๑๖ เพราะเรื่องอดอาหารเราเริ่มสมบุกสมบันมาตั้งแต่เริ่มปฏิบัติอยู่แล้ว นิสัยของเราเองมันถูกกับการทรมานด้วยการอดอาหาร วันนั้นไม่ได้บิณฑบาต ท่านอาจารย์กงมาท่านอนุญาตให้ชาวบ้านมาใส่บาตรวันพระในวัดทุกๆ วันพระที่วัด วันนั้นพอดีเป็นวันที่จะฉัน พอได้อรุณแล้วก็ออกจากกุฏิไปเดินจงกรมทางด้านตะวันตก เดินอยู่จนกระทั่งถึงเวลาบิณฑบาต เดินไปเดินมาและรำพึงขึ้นมาว่า เอ.จิตนี่ทำไมอัศจรรย์นักหนานะ มันสว่างไสวเอามาก นี่ถ้าพ่อแม่ครูจารย์ยังอยู่ จิตอวิชชาดวงสว่างไสวมันจะพังทลายลงไปตั้งแต่ระยะนั้นแหละ มันจะขาดสะบั้นไปเลย นี่ก็เพราะอุบายเราไม่ทัน มิหนำยังติดยังยึดมันเข้าเสียอีก


    พอนึกว่าจิตอัศจรรย์นักหนาอย่างนั้น ขณะจิตหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างไม่คาดไม่ฝันว่า ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพเพียงเท่านี้เราเลยงงเป็นไก่ตาแตกไปเลย แทนที่จะได้อุบายจากอุบายนั้นเลยไม่ได้ ยังกลับเพิ่มความสงสัยเข้าไปอีก แหมเมื่อเรามาพิจารณาทีหลัง อุบายนี้ถูกต้องจริงๆ แต่ปัญญาเรามันโง่ต่างหากจึงไม่ทันกับอุบายที่ผุดขึ้นมาบอกนั้น เมื่อรำพึงถึงเรื่องความอัศจรรย์ของจิตพอหยุดลงเท่านั้น อุบายก็ผุดขึ้นมาเป็นคำๆ เป็นประโยคๆ ทีเดียวนะ (นี่ถ้าเป็นท่านผู้รู้ผู้ฉลาด ท่านก็ว่า ธรรมเกิดแต่เรามันโง่จึงไม่อาจคิดขึ้นได้) จากนั้นมาไม่ลืมเลยว่า ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ตรงไหน นั้นแลคือตัวภพว่าอย่างนี้เรางงเหมือนไก่ตาแตก แทนที่จะเข้าใจ ก็จุดสว่างไสวน่ะซิ มันมีจุดอยู่นั้นน่ะ นั่นแหละคือจุดคือต่อมแห่งผู้รู้ ก็มันอยู่ที่ผู้รู้นั่นเอง


    ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ตรงไหน นั้นแลคือตัวภพ นั่นบอกชัดๆ เลยนะ แต่เรามันงงเป็นไก่ตาแตกไปได้ เอจุดที่ไหน ต่อมที่ไหน เอาอีกแหละ ก็มองเห็นชัดๆ อยู่แล้วเพราะจุดสว่างมันเห็นเป็นดวงอยู่ในจิต สว่างจ้าอยู่ภายในจิตนี้ พูดง่ายๆ ก็เหมือนตะเกียงเจ้าพายุ มันสว่างจากไส้ตะเกียง นั่นตัวไส้มันละคือที่จุดที่สว่าง มันก็เห็นอยู่แล้ว นี้ก็เป็นอย่างนั้นมันสว่างจ้าอยู่กับจิต จุดแห่งความสว่างมันก็เห็นได้อย่างชัดๆ แต่มันไม่จี้เข้าตรงนี้ซิ กลับลูบคลำไปที่ไหนตามประสาความโง่นั่นแล อุบายผุดขึ้นมาขนาดนั้นแล้วน่าจะยึดได้ มันยังไม่เห็นยึดได้ โง่ขนาดไหนพระเราน่ะ


    ก็แบกปัญหานี้ไปคนเดียวทางอำเภอบ้านผือ ท่าบ่อ ในป่าในเขา ทีแรกท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ท่านไปด้วย เราก็จำเป็นให้ท่านไปด้วย แต่เวลาอยู่ด้วยกันเราก็คอยหลีกเลี่ยงท่านอยู่เรื่อย เพราะกลัวขาดการสืบต่อทางความเพียร ไม่ค่อยมาสนทนาธรรมกับท่านบ่อยนัก ท่านจึงได้ใส่ปัญหาเราว่า เธอเอ๊ย เรากลับไปแล้วเธอก็จะสบายหรอก เธอยุ่งเพราะเราท่านว่าอย่างนั้น คือเรามันไม่สะดวกจะอยู่ด้วยใครๆ เวลานั้น ท่านก็มีเรื่องจะพูดจะคุยอะไรกับเราอยู่เรื่อย ส่วนเรามันขาดความเพียรไม่อยากให้เสียเวลา เวลาพูดคุยกับท่านมันก็ชะงักไปบ้างในทางความเพียร พอออกจากท่านไปมันดีดผึงๆ


    จึงต้องกลับมาที่วัดดอยฯ อีก เดือนเมษายนมาบวชหลวงตาเริญ พอบวชแล้วก็ขึ้นวัดดอยฯ อีก จุดต่อมนี้มันถึงได้ไปเข้าใจกันที่ตรงนั้นแหละ ที่วัดเก่าวัดที่เกิดปัญหานั่นแล เป็นแต่เพียงคนละกุฎีเท่านั้น พอเข้าใจอันนี้แล้ว โฮ้ย คำว่าจุดว่าต่อมมันไม่มีปัญหาอะไรเล๊ย ถ้าสมมุติว่ามาเล่าถวายท่านอาจารย์มั่นตรงนี้ปั๊บ ถ้าพ่อแม่ครูจารย์ยังอยู่นะท่านจะใส่ผางมาทันที ทีนี้จะเข้าใจปุ๊บเดียวจุดนั้นก็พังทลายไปเลย นี่มันไม่เข้าใจ ปัญหาก็บอกชัดอยู่แล้ว นี่ซิถึงได้ว่าความจำเป็นมีอยู่ทุกระยะนา ยิ่งละเอียดลออเข้าไปถ้าจะพูดตามแบบโลกผมมันทิฐิสูงนี่นะ ใครจะมาสอนสุ่มสี่สุ่มห้าได้เหรอ สมมุติว่าเราเล่าให้ท่านผู้นั้นฟังตามความจริงแห่งจิตของเรานี้ ถ้าผู้ไม่เข้าใจก็จะมาสอนเราสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วประกาศภูมิให้เราเห็น หือ.ภูมิขนาดนี้มาสอนเราได้อย่างไร นั่นมันบอกในตัว ถ้าผู้สูงกว่านั้นท่านจี้ปั๊บเราเข้าใจทันที ยอมๆ ราบเลย เรื่องจิตนี่จึงสำคัญที่ครูที่อาจารย์ผู้ให้การอบรมสั่งสอน ผู้ที่ท่านรู้แล้วไม่ต้องพูดมากเลย ท่านใส่ปั๊บเดียวได้ความ ใครจะมาสุ่มครอบทั้งหนองทั้งบึงไม่ได้ จะโยนยาใส่กันทั้งตู้ทั้งหีบมันไม่ได้ เรื่องความจำเป็นกับครูอาจารย์มันจำเป็นอย่างนี้ไม่ว่าขั้นไหนๆ
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยึดแบบฉบับของผู้เห็นภัย

    แต่มันต่างกันที่เราจะออกไปอยู่คนเดียวที่หนึ่งที่ใดตามระยะกาล เมื่อมีข้อข้องใจอะไรจึงค่อยมาถามท่าน นี่ก็ได้ มันไม่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องโลกเมื่อจิตมีหลักแล้ว เป็นแต่เพียงว่าความก้าวหน้าของเรามันช้า.ผิดกัน ปัญหาบางอย่างแก้กันอยู่ ๒ วัน ๓ วันแก้กันยังไม่ตก นั่นซิมันจะตาย ไม่ตกมันก็ไม่ถอย จะต้องแก้ให้ตกจนได้ นี่ซิ มันจะตาย เพราะคำว่าแพ้นั้นมีไม่ได้ ถ้าจะแพ้ให้ตายเสียดีกว่า นอกจากต้องทะลุโดยถ่ายเดียว ถ้าไม่ทะลุก็ต้องเจาะกันอยู่อย่างนั้น หมุนติ้วๆ อยู่นั้น ปัญหาเหล่านี้พอเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟังท่านจี้ปั๊บเดียวเท่านั้นทะลุไปเลย ผมเคยได้อุบายจากท่านมาแล้ว



    ก็มีท่านอาจารย์ขาวองค์หนึ่งสามารถแก้ได้ตลอดทั่วถึงทางด้านจิตใจ เดี๋ยวนี้ท่านก็ไม่เอาเรื่องกับใครแล้ว ประการหนึ่งก็ไม่มีใครไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านขี้เกียจยุ่งกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ท่านก็อยู่สบายๆ ลองมีผู้มีภูมิจิตภูมิธรรมมีความรู้ความเห็นต่างๆ ทางด้านปฏิบัติไปเล่าให้ท่านฟังดูซิ ไม่ต้องสงสัยว่าเสียงท่านจะไม่ขึ้นปึ๋งปั๋งๆ เพราะท่านอยู่กับธรรมเท่านั้น ถึงไม่ติดธรรมท่านก็อยู่กับธรรม เป็นเครื่องรื่นเริงระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองตัวอยู่



    อย่างคราวที่แล้วผมเอาปัญหาไปแหย่หลวงปู่แหวน พอเราสอดปั๊บท่านก็ตอบผึงมาเลย เพราะปัญหานี้ไปหาในพระไตรปิฎกก็ไม่มีเพราะเป็นปัญหาป่า ถ้าผู้ไม่รู้ตอบไม่ได้ พอถามท่านปั๊บ ท่านตอบผึงมาเลย โฮ้ย.ท่านคึกคักตึงตังนะ ประมาณ ๑๐ นาทีจบ พอจบก็ถามท่านเข้าอีก คราวนี้ท่านก็ไปใหญ่เลยนานประมาณ ๔๕ นาที พอจบลงแล้วท่านพูดว่า เอ้า..ท่านมหาค้านนะ ถ้าผิดตรงไหนค้านนะกระผมไม่ค้าน กระผมหาฟังอย่างนี้แหละในขณะเดียวกันปัญหานี้ท่านก็ทราบถ้าไม่รู้ปัญหาป่าเอามาถามไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่จำเป็นต้องมาถามเราอีก



    นี่จึงทำให้เราเชื่อในหนังสือที่มีอยู่ในธรรมบทที่กล่าวว่า กัลยาณชนไม่สามารถตอบปัญหาของพระโสดาบันได้ พระโสดาฯ ไม่สามารถตอบปัญหาของพระสกิทาคามีได้ พระสกิทาคามีไม่สามารถตอบปัญหาของพระอนาคามีได้ พระอนาคามีไม่สามารถตอบปัญหาของพระอรหันต์ได้ แม้พระอรหันต์ก็ไม่สามารถตอบปัญหาของพระโมคคัลลาน์, สารีบุตรได้ ถึงพระสารีบุตร, โมคคัลลาน์ก็ไม่สามารถตอบปัญหาของพระพุทธเจ้าได้ คือความสามารถต่างกัน พอถึงขั้นอรหัตก็พอแล้ว ส่วนที่ว่าพระสารีบุตร, โมคคัลลาน์ไม่สามารถตอบปัญหาพระพุทธเจ้าได้นั้นหมายถึง ความกว้างแคบลึกตื้นแห่งความรู้นั้นต่างกัน นอกจากความบริสุทธิ์ไปแล้วยังมีความลึกตื้นต่างกัน กว้างแคบต่างกัน ภูมิของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธวิสัย ภูมิของพระสารีบุตร, โมคคัลลาน์เป็นสาวกวิสัย จึงต่างกัน สามัญวิสัยกับอริยวิสัยก็ผิดกัน แต่ละขั้นละภูมิมีเคล็ดลับประจำขั้นภูมินั้นๆ
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยึดแบบฉบับของผู้เห็นภัย

    แต่ก่อนเราก็ไม่รู้ไม่เข้าใจว่ามีเคล็ด ถามเคล็ดปั๊บก็ติด ดังพระเรียนจบพระไตรปิฎกครั้งพุทธกาล แต่ลืมเนื้อลืมตัวดูถูกเหยียดหยามพระปฏิบัติ หาว่านั่งหลับหูหลับตาไม่ทำประโยชน์อะไรให้แก่โลก เลยจะเอาปัญหามาถามพระปฏิบัติท่าน หาอุบายไล่พระปฏิบัตินั่นเอง พระพุทธเจ้าทรงทราบจึงเสด็จมาท่ามกลางสงฆ์ที่กำลังสันนิบาตนั้น ว่าพวกนี้กำลังจะมาทำลายลูกศิษย์เราตถาคต แล้วมันจะไปตกนรกกันทั้งหมด ท่านไม่ได้ว่ากลัวพระปฏิบัติจะเสีย ท่านว่าพวกนี้จะตกนรกกันทั้งหมด พอเสด็จถึง พระองค์ทรงตั้งปัญหาขึ้นปั๊บถามพวกใบลานเปล่า ตอบไม่ได้ รับสั่งถามพระปฏิบัติปุ๊บ ตอบได้ผึง ยกปัญหาขึ้นปั๊บถามพวกนั้น นิ่งเหมือนคนตายแล้ว ตอบไม่ได้ วกกลับมาถามพระปฏิบัติ ตอบได้ปุ๊บๆ ตลอด


    จากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมขนาบเสียอย่างเต็มที่ว่า พวกเธอนั้นน่ะเหมือนกับลูกจ้างเลี้ยงโคให้เขา ได้ค่าจ้างเพียงรายวันๆ เท่านั้น ไม่เหมือนลูกของเรา หมายถึงพระปฏิบัติซึ่งเป็นเจ้าของโค โคก็เป็นสมบัติของตัว น้ำนมโคก็ได้ดื่มเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามความต้องการ พูดถึงเรื่องธรรมก็เป็นเจ้าของธรรม เป็นธรรมสมบัติ เป็นมหาสมบัติ พวกเธอนี้เพียงแต่เรียนและจดจำมาเฉยๆ ธรรมสมบัติอันแท้จริงยังไม่เคยได้ดื่มบ้างเลย ส่วนลูกเราตถาคตทั้งได้ปฏิบัติทั้งได้ดื่มธรรมรสโดยสมบูรณ์ จึงไม่ควรประมาท


    ปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งถามเป็นปัญหาทางด้านจิต ถามพวกปริยัติไม่ได้เรื่อง พอมาถามพวกปฏิบัติตอบได้ผึงๆ เลย ปัญหาเราถามหลวงปู่แหวนเป็นปัญหาป่าต่างหาก ท่านไม่รู้ท่านไม่เคยอยู่ในป่าท่านจะตอบได้ยังไง เพราะพูดอย่างตรงไปตรงมาแบบคนโง่ๆ ก็ไปอ่านหัวใจกันนั่นเอง เราไปหลายหนแล้วพลาดมาทุกทีเพราะคนมาก ไปคราวนี้จึงจะให้พลาดไม่ได้ ท่านเองก็อยากทราบภูมิจิตภูมิธรรมของพระปฏิบัติของครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหมือนกัน จึงมีการถามถึงครูอาจารย์ทั้งหลายบ้าง


    เราอยากให้หมู่เพื่อนปฏิบัติให้รู้ภายในจิตใจแล้วมาเล่าให้ฟังนา ผลเป็นยังไง เราอยากรู้ผลแห่งการอบรมสั่งสอนหมู่เพื่อนและการปฏิบัติของหมู่เพื่อน มีแต่ผ้าเหลือง มีแต่รูปพระเฉยๆ ไม่มีอรรถมีธรรมในหัวใจไว้เป็นสมบัติของตนออกโชว์กันบ้าง มันน่ารื่นเริงน่าอนุโมทนาสาธุการที่ไหน ถ้าเอาจริงเอาจังมันต้องรู้ไม่ต้องสงสัย อย่างทุกวันนี้พูดจริงๆ ตามความรู้สึกโง่ๆ นี่แหละ มันไม่เคยไปหนักในอดีตอนาคตอะไรเลย เช่นครั้งพุทธกาลท่านเป็นอย่างนั้นๆ ครั้งนี้เป็นอย่างนี้ๆ ไม่เลย เพราะแน่ใจว่ามัชฌิมาปฏิปทานี้คงเส้นคงวาตลอดมา กิเลสก็เป็นตัวคงเส้นคงวาในหัวใจสัตว์นั่นเอง ถ้าไม่แก้ไม่ถอดถอนออกจากใจให้เบาบางและสิ้นไป


    มัชฌิมาปฏิปทา
    เป็นเครื่องปราบกิเลสทุกประเภทได้อย่างไม่มีปัญหา ถือเอาตรงนี้เชื่อตรงนี้เชื่อจริงๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นครั้งนั้นครั้งนี้จึงไม่มีปัญหา ขอให้มีความเพียรเถอะ กิเลสจะต้องพังทลายไม่สงสัย ไม่ว่าครั้งไหนไม่มีกิเลสตัวใดที่จะแปลกปลอมมาจากครั้งพุทธกาล พอจะมาเป็นตัวใหม่ที่จะแก้ด้วยมัชฌิมาปฏิปทานี้ไม่ได้ นี่เราเชื่อตรงนี้ ฉะนั้นจงเอาให้จริงให้จัง ดูจิตกับกิเลสที่ปกคลุมใจไม่มีกาลโน้นกาลนี้ การแก้การถอดถอนกิเลสจึงไม่ควรคิดให้นอกเหนือจากวงมัชฌิมา และนำมาปราบกิเลสที่มีอยู่ในจิตนี้ให้สิ้นซากไป นั่นแลที่สมหมายอยู่ตรงนั้นแต่ไหนแต่ไรมาจนถึงปัจจุบัน




    เอาละหยุดแค่นี้
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายแก้ความกลัว

    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด


    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>


    เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๒



    <o:p></o:p>


    อุบายแก้ความกลัว



    <o:p></o:p>

    <o:p></o:p>
    ศาสนาคือน้ำดับไฟ ไฟราคะ ไฟตัณหา หรือว่าไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ไหม้หัวใจสัตว์โลก ถ้าไม่มีน้ำ คือ ธรรมะเป็นเครื่องระงับดับกันบ้างเลย หัวใจดวงนั้นๆ จะเป็นเหมือนไฟทั้งกองเผาลนอยู่ตลอดเวลาหาความสงบสุขไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดๆ ไม่สำคัญที่สถานที่ แต่สำคัญที่ความรุ่มร้อนเผาลนจิตใจเพราะอำนาจแห่งกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่างๆ มันเผาลนอยู่ภายใน ไม่มีเวล่ำเวลา ไม่มีอิริยาบถใดพอที่จะว่างเว้น นอกจากมีธรรมเข้าไประงับดับกันเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ศาสนาจึงเป็นธรรมจำเป็นต่อมวลสัตว์อยู่มากทีเดียว
    <o:p></o:p>
    ผู้ต้องการหวังความสุขความเจริญ หวังหนีร้อนพึ่งเย็น ก็ต้องเห็นโทษแห่งไฟทั้งหลายที่สุมอยู่ภายในจิตใจ และเห็นคุณแห่งธรรมซึ่งเป็นเสมือนน้ำสำหรับดับไฟเหล่านี้ ให้พอลดหย่อนผ่อนคลายพอหายใจได้บ้าง หรือพอบรรเทาไม่รุ่มร้อนจนเกินเหตุเกินผล เกินประมาณที่จะทนได้ เกินสติกำลังความสามารถที่จะแก้ไขได้ บางรายถึงกับเป็นบ้าไป เพราะไฟเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อย ในโลกเราที่ปราศจากธรรมเป็นเครื่องเยียวยารักษา เพราะฉะนั้นธรรมจึงเป็นธรรมชาติที่จำเป็นอยู่มากจะขาดธรรมเสียมิได้ ถ้าไม่อยากเห็นโลกเป็นไฟทั้งกองแผดเผามวลสัตว์ไม่มีเวลาว่างเว้น
    <o:p></o:p>
    ราคะดับด้วยน้ำอันใด พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ดับด้วยธรรมซึ่งเป็นคู่ปรับของกันและกัน เช่น ให้ดับด้วยการพิจารณาอสุภะ ปฏิกูลโสโครก และ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งมีประจำอยู่กับสิ่งที่จิตใจไปพัวพันหรือรักชอบ เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอสุภะ เรื่องปฏิกูล เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อไฟประเภทนี้
    <o:p></o:p>
    โทสะเกิดขึ้น พึงระงับด้วยความเมตตาหนึ่ง ระงับด้วยการมองคนอื่นในแง่เหตุผลหนึ่ง มองกันในแง่ให้อภัยหนึ่ง มองกันในสมานัตตตา ไม่ถือตัวหนึ่ง พิจารณาเรื่องราวที่ให้เกิดโทสะนั้นด้วยเหตุผลหนึ่ง และย้อนเข้ามาดูตัวที่กำลังโกรธกำลังโมโหโทโสอยู่นั้น คือ ตัวพิษตัวภัยตัวไฟเผาลนจิตใจอยู่ในขณะนั้น ก่อนอื่นที่จะลุกลามไปไหม้ผู้อื่น ต้องไหม้ผู้โกรธผู้โมโหโทโสก่อนผู้อื่น นี่เป็นจุดสำคัญ ให้ดูที่จุดนี้ซึ่งเป็นจุดเกิดขึ้นแห่งภัย คือโทสะหรือความโกรธ เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นภัยก็ระงับดับกันที่ตรงนี้ด้วยอุบายวิธีการต่างๆ ที่จะระงับดับมันได้
    <o:p></o:p>
    เช่นเดียวกับเราคิดในทางผิดมันเกิดโทสะขึ้นมา ก็ให้เห็นว่าโทสะเป็นภัยแก่ตัวเราเอง แล้วรีบระงับดับที่ตรงมันเกิด คือ เกิดที่จิตนั้น ไม่ให้กระจายออกไปสู่ผู้อื่น<o:p></o:p>
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายแก้ความกลัว

    บางคราวคนอื่นไม่มีความผิด แต่เราไปเข้าใจเสียเองว่าผู้นั้นมีความผิด หรือผู้นั้นมีอะไรแก่ตนทั้งๆ ที่เขาไม่มีอะไรเลย ก็เพราะความสำคัญของใจหลอกลวงตนเองให้เกิดโทสะขึ้นมา เกิดความโกรธความแค้นขึ้นมาก็ได้ แม้จะมีผู้แสดงปฏิกิริยาอันเป็นความกระทบกระเทือน ให้เกิดความโกรธความไม่พอใจขึ้นมาก็ตาม ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรไปมองในแง่นั้น มองดูคนนั้น มองเรื่องนั้น คิดเรื่องนั้น ให้มากยิ่งกว่าการย้อนเข้ามาสู่จุดแห่งเหตุ คือ ตัวโทสะซึ่งเกิดขึ้นที่ใจ
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ค้นคว้าหาเหตุหาผลแห่งความโกรธ ถือความโกรธเป็นจุดหมายหรือเป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณา ถือตัวโกรธนั้นเป็นตัวโทษตัวภัยที่ทำลายตนเองอยู่ในขณะนั้น แล้วระงับกันด้วยอุบายวิธีการต่างๆ ไม่ยอมเคลื่อนคลาดจากจุดนั้นไปเลย ความโมโหโทโสหรือความโกรธจะลุกลามไปไม่ได้ เมื่อสติความระลึกรู้ย้อนเข้าสู่จุดแห่งเหตุนั้น ซึ่งเป็นจุดที่ถูกต้อง ด้วยการพิจารณาโดยทางปัญญาจนความโมโหโทโสระงับลงด้วยอุบายนั้นๆ คราวต่อไปก็จับจุดที่เคยปฏิบัติได้ผลมาแล้ว และพิจารณาระงับลงได้เรื่อยไป
    <o:p></o:p>
    ส่วนความหลงนั้นเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งละเอียดมาก มีแทรกอยู่กับกิเลสประเภทต่างๆ เต็มไปหมดไม่มีเว้น เพราะเป็นประเภทซึมซาบละเอียดลออ สามารถเข้าแทรกซึมได้ในกิเลสทุกประเภท เพราะฉะนั้น เราจะยกออกมาพูดเฉพาะโมหะเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เช่น ความโลภก็มีความหลงมาแทรก ความโกรธก็มีความหลงมาแทรก ความรักก็มีความหลงมาแทรก ความชังก็มีความหลงมาแทรกทั้งนั้น มันแทรกได้หมด จึงระงับดับกันด้วยสติปัญญาอันแหลมคมเท่านั้นที่จะให้โมหะนี้สิ้นสุดลงไปได้ อวิชชาได้สิ้นสุดลงไปจากจิตเมื่อใด พึงทราบว่าเมื่อนั้นแหละ โมหะอันสำคัญซึ่งเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งหลายจึงจะสิ้นลงไป หากอวิชชายังไม่สิ้นเมื่อไรโมหะก็ยังต้องมีอยู่นั่นแหละ รากแก้วจริงๆ ออกมาจากโมหะอวิชชา
    <o:p></o:p>
    เราเป็นนักปฏิบัติทำหน้าที่ของการบวชเต็มภูมิของเราทุกวันเวลาทุกอิริยาบถ ด้วยการชำระสะสางกิเลสประเภทต่างๆ ซึ่งมีอยู่กับใจและเกิดขึ้นที่ใจ และลุกลามไปสู่ภายนอก ต้องถือเป็นกิจเป็นงานสำคัญ อย่าเห็นงานอื่นๆ ว่าเป็นงานจำเป็นหรือหนักแน่นมีคุณค่ายิ่งกว่างาน คือ การชำระกิเลสประเภทต่างๆ ภายในใจ ด้วยความเพียรท่าต่างๆ อุบายวิธีต่างๆ อยู่โดยสม่ำเสมอ อย่าเสียดายเวล่ำเวลา อย่าเสียดายอารมณ์แห่งความคิดความปรุงของใจ ซึ่งเคยเป็นมาและเคยหลอกหลอนมาเป็นเวลานานแล้ว ที่ว่า สังขารขันธ์ หรือ สัญญาขันธ์ นี้ออกหน้าออกตาอยู่ตลอดเวลา ผู้มีสติเท่านั้นถึงจะทราบเรื่องของสังขารและเรื่องของสัญญาที่ออกหน้าออกตาอยู่ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอะไรมากระทบให้คิดให้ปรุงให้เกิดความสำคัญมั่นหมายก็ตาม แต่มันเกิดขึ้นมาโดยลำพังของมันได้อย่างคล่องตัว ไม่เหมือนกับวิญญาณที่คอยรับทราบสิ่งภายนอกที่มาสัมผัสจึงจะปรากฏขึ้นมา<o:p></o:p>
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายแก้ความกลัว

    การพิจารณาจึงต้องถือใจเป็นสำคัญ มีสติคอยระมัดระวังเสมอ อย่าไปคุ้นเคยกับความเพียรแบบโลกๆ ซึ่งเป็นพิธีการของกิเลสแต่งกลอนแต่งบทเพลงให้เดินตามจังหวะของมัน เช่น เคยเดินจงกรมแล้วก็เดินไปเฉยๆ นั่งไปเฉยๆ ไม่มีความจดจ่อต่อเนื่องด้วยสติสัมปชัญญะกำกับใจในประโยคแห่งความเพียร ไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะสิ่งที่จะให้เกิดประโยชน์ตามหลักแห่งความเพียรนั้น ต้องมีสติเป็นเครื่องจดจ่อต่อเนื่องกันกับงานที่ทำ เช่น ผู้บริกรรมก็มีสติกำกับการบริกรรมของตนสืบเนื่องกันไปโดยลำดับ
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ผู้พิจารณาทางด้านปัญญา สติเป็นของสำคัญไปตลอดสาย ไม่มีที่จะละเว้นสติเลย การยืน การเดินไปที่ไหนสติให้มีอยู่กับตัว ความมีสติอยู่กับตัวนั้นเหมือนกับมีเครื่องรับทราบ สติปัญญาท่าทางต่างๆ ที่จะระมัดระวังหรือต่อสู้ต้านทานกับสิ่งที่มาเกี่ยวข้องนั้น ย่อมทำหน้าที่ได้รวดเร็วกว่าคนไม่มีสติ ฉะนั้นจึงต้องฝึกสติ
    <o:p></o:p>
    ตั้งแต่พื้นๆ ภาวนา การอบรมเบื้องต้นก็อาศัยสติ จะเห็นได้ เช่น เวลาไปอยู่ในสถานที่น่ากลัวมาก ซึ่งได้เคยไปอยู่แล้วและได้เห็นเหตุเห็นผลกันกับเรื่องของสติได้ดี พอเป็นหลักฐานพยานยืนยัน และนำมาพูดให้หมู่เพื่อนฟังได้โดยไม่สงสัย คือ เราไปอยู่ในสถานที่น่ากลัว สติย่อมตั้งตัวอยู่เสมอ
    <o:p></o:p>
    การตั้งสติอยู่โดยสม่ำเสมอเพราะความระวังตัว ทั้งกลัวตายก็กลัว ทั้งกลัวจิตจะส่งออกไปสู่สิ่งที่กลัวนั้นก็กลัว จึงต้องระมัดระวังทั้งด้านอันตรายเกี่ยวกับสิ่งภายนอก เช่นเสือเป็นต้น ทั้งภายในกลัวสติจะเผลอตัวจากความเพียรนี้ก็ระวัง บังคับจิตไม่ให้เสียดายในอารมณ์ที่น่ากลัว เช่น คิดไปเรื่องเสือ เรื่องอันตรายต่างๆ ไม่ย่อมให้จิตเล็ดลอดออกไปคิดเป็นอันขาด บังคับให้คิดปรุงอยู่กับคำบริกรรมโดยเฉพาะเท่านั้น จิตปรุง พุทโธ ก็ให้อยู่กับ พุทโธ สืบเนื่องกันเป็นลำดับ สละทุกสิ่งทุกอย่างในความคิดภายนอก ให้สติกับจิตกลมกลืนกันเป็นอันเดียว
    <o:p></o:p>
    ทีนี้เมื่อสติมีความสืบต่อ งานของจิตที่กำลังภาวนาก็เป็นชิ้นเป็นอันเป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นมา สามารถสั่งสมพลังขึ้นมาได้ในขณะนั้น กลายเป็นจิตที่มีความสงบตัวแน่นหนามั่นคงขึ้น ทั้งๆ ที่เดินก็เดินได้อยู่ เดินจงกรมกลับไปกลับมาก็เดินได้ แต่จิตมีความเหนียวแน่นมั่นคงอยู่ภายในตัวเอง ด้วยความมีสติเป็นเครื่องระวังรักษาอยู่ตลอดเวลา อารมณ์ที่เคยกลัวก็หายเงียบไป ไม่อยากคิด ไม่เสียดายในความคิดเกี่ยวกับอารมณ์ประเภทนั้นๆ แม้จะคิดออกไปถึงอารมณ์ที่น่ากลัว จิตก็เลยไม่กลัว พอคิดออกไป ขณะเดียวก็ถอยกลับเข้ามาทันทีอยู่ด้วยความมั่นคงของใจ ใจเลยกลายเป็นใจที่กล้าหาญขึ้นมาในขณะนั้น<o:p></o:p>
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายแก้ความกลัว

    ทั้งๆ ที่ในเบื้องต้นเริ่มเดินจงกรมจิตกลัวมาก แต่พอได้หลักเลยกลายเป็นจิตที่กล้าหาญขึ้นมาในขณะนั้น จะเดินนานสักเท่าไรก็ได้ ไม่มีความสะท้านหวั่นไหวต่อเรื่องความกลัวใดๆ ทั้งสิ้น เวลาจิตมีความแน่นหนามั่นคงเต็มกำลังของตัวในภูมินั้นแล้ว อย่าว่าแต่ไม่กลัวเฉยๆ เลย แม้เสือจะเดินเข้ามาผ่านทางจงกรม ก็สามารถจะเดินเข้าไปลูบคลำหลังเสือได้อย่างมิตรสหายเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ด้วยจิตที่มีความอ่อนโยน ไม่คิดเลยว่าเสือนั้นจะทำอันตรายอะไรแก่ตนได้เลย
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    แต่ความจริงนั้นเสือจะทำได้หรือไม่ได้เป็นอีกแง่หนึ่ง แต่ความรู้สึกในขณะนั้นไม่มีกลัวอะไรทั้งสิ้น ขึ้นชื่อว่าอันตรายไม่มีความสะทกสะท้าน เพราะจิตมีความแน่นหนามั่นคงเต็มตัว เกินกว่าที่จะไปหมอบไปกลัวไปอ่อนน้อมต่อสิ่งนั้นว่าเป็นของน่ากลัวกลายเป็นจิตที่สง่าผ่าเผยองอาจกล้าหาญเต็มตัวขึ้นในเวลานั้น นี่ได้เห็นประจักษ์ใจกับตัวเองมาแล้ว
    <o:p></o:p>
    เพราะฉะนั้นการประกอบความพากเพียร แม้จะเป็นนิสัยขี้ขลาดหวาดกลัวของมนุษย์เราที่มีชีวิตอยู่เช่นสัตว์ทั้งหลายกลัวกันก็ตาม แต่ก็ต้องบังคับตนให้เข้าไปสู่สถานที่น่ากลัวนั้น เพื่อการประคองความเพียรได้ดีเสมอมา ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ชายป่า ชายเขา ที่เปลี่ยวๆ อันเป็นที่น่ากลัว พระองค์ทรงเห็นเหตุเห็นผลโดยสมบูรณ์แล้ว
    <o:p></o:p>
    เวลาไปอยู่สถานที่น่ากลัว ท่านก็แสดงให้เราได้เห็นได้อ่านอยู่แล้ว เช่น ธชัคคสูตร ว่าหากไปอยู่ในสถานที่น่ากลัว เกิดความเปลี่ยวเปล่าขึ้นภายในจิตใจ ใจว้าเหว่ ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ความกลัวนั้นจะหายไป หากระลึกถึงพระพุทธเจ้าความกลัวยังไม่หาย พึงระลึกถึงพระธรรมอันเป็นนิยยานิกธรรม แล้วความกลัวจะหายไป หากระลึกถึงพระธรรมความกลัวยังไม่หาย ให้ระลึกถึงพระสงฆ์ ความกลัวจะหายไป นี้แหละคือหลักประกันจิตไม่ให้กลัว คือหลักธรรม จะเป็นพุทธ ธรรม สงฆ์ บทใดก็ตามเป็นธรรมด้วยกันทั้งนั้น และเป็นหลักยึดของใจได้เป็นอย่างดีหายห่วง
    <o:p></o:p>
    เวลาเรานำมาประพฤติปฏิบัติตามที่ท่านสั่งสอนไว้ โดยไม่ให้จิตเล็ดลอดออกไปสู่สิ่งอื่นๆ ที่เป็นของน่ากลัวหรือไม่กลัวก็ตาม ให้จิตมีความกลมกลืนกันอยู่กับธรรมบทนั้นๆ จิตจะมีความแน่นหนามั่นคงขึ้นภายในตนโดยลำดับจนแน่ชัดภายในจิตใจ ว่าจิตนี้หาความสะทกสะท้านหวั่นไหวไม่ได้แล้ว เกี่ยวกับเรื่องความกลัวใดๆ ทั้งสิ้น ทีนี้เดินนานเท่าไรก็เดิน จะไปไหนก็ไปได้ ไม่มีความรู้สึกกลัว
    <o:p></o:p>
    ที่กล่าวนี้เป็นตามเวลา ไม่ใช่จะเป็นอยู่เสมอไป เมื่อจิตถอยออกมาจากนั้นแล้วมันก็มีความกลัวได้อีก แต่อย่างไรก็ตาม เราพอมีหลักฐานพยานเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเราเคยทำด้วยอุบายวิธีนั้นๆ จิตของเราได้รับความสงบร่มเย็น ได้รับความกล้าหาญ เราจะต้องทำอย่างนั้นไม่ทำอย่างอื่น เรียกว่า ได้หลักเกณฑ์ ไปไหนก็ใช้อุบายอย่างนั้นจริงๆ เป็นประจำ เป็นก็เป็นตายก็ตาย จิตจะไม่ยอมปล่อยวางจากหลักธรรมที่นำเข้ามากำกับใจนี้เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นผลก็ต้องปรากฏขึ้นมาดังที่เคยปรากฏแล้ว นี่ได้เคยปฏิบัติมาแล้ว<o:p></o:p>
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายแก้ความกลัว

    ตั้งแต่สมัยก่อนที่สัตว์เสือชุกชุมโน้น ผิดกับสมัยนี้อยู่มาก กาลเวลาผ่านกันมาไม่กี่ปี ความเปลี่ยนแปลงของโลกเปลี่ยนไปมาก เช่น ในป่า ในเขา แต่ก่อนมีแต่สัตว์แต่เสือมีแต่อันตราย ทุกวันนี้ป่าก็ถูกทำลายไปหมด ไปที่ไหนก็มีแต่ผู้แต่คน หาคำว่าสัตว์ว่าเสือชักจะไม่มี นานไปกว่านี้พูดเรื่องสัตว์เรื่องเสือ คนอาจจะไม่เชื่อก็ได้ ทั้งๆ ที่มันก็เคยมีเคยเป็นอยู่แล้ว
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย พึงถือสติเป็นสำคัญ ให้กำกับตัว ถือเป็นภาระหน้าที่ของตัว อย่าเสียดายความคิดความปรุงเกี่ยวกับโลกสงสารใดๆ เราเคยคิดเคยปรุงเคยสัมผัสสัมพันธ์มาแล้วได้ผลดีชั่วประการใด พอที่จะนำมาเทียบเคียงเลือกเฟ้นได้แล้ว ไม่ควรจะเสียดายในอารมณ์ที่เคยเป็นมา
    <o:p></o:p>
    แต่พึงทราบว่าขึ้นชื่อว่าเรื่องกิเลสแล้ว ไม่ว่าประเภทใดๆ ต้องเป็นเครื่องกล่อมใจสัตว์ให้เคลิบเคลิ้มหลับไหลได้เป็นอย่างดี อย่าลืมนี้เป็นสำคัญ เราผู้ปฏิบัติก็พ้นไปจากความเป็นสัตว์โลกที่ถูกกล่อมจากกิเลสประเภทต่างๆ ไม่ได้เหมือนกัน จึงพึงตั้งสติรอรับไว้เสมอ ว่ากิเลสทุกประเภทจะต้องมากล่อมที่ใจ ใจจะต้องต่อสู้กับกิเลสด้วยธรรมมีสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม เป็นสำคัญ
    <o:p></o:p>
    ขึ้นชื่อว่าธรรมต้องฝืนต้องต้านทานกับกิเลสเพราะการต่อสู้กัน อันใดฝืนอันนั้นมักเป็นธรรม อันใดที่ไม่ฝืนและเป็นความชอบพอ มักเป็นกิเลสเสมอในขั้นเริ่มแรกปฏิบัติ เว้นเสียแต่ธรรมะขั้นกลางถึงขั้นละเอียดแล้วนั้นเป็นอีกแง่หนึ่ง ผิดกัน นับตั้งแต่ธรรมขั้นกลางขึ้นไปแล้ว จิตใจมีความดูดดื่มในธรรม คลายโลกามิสทั้งหลายออกไปเป็นลำดับ สิ่งเหล่านั้นจึงไม่มีกำลังดึงดูดจิตใจให้อยู่ใต้อำนาจได้ ใจดูดดื่มและหนักแน่นในธรรม เพราะธรรมมีกำลังและมีรสชาติเหนือกว่าไปเป็นลำดับ
    <o:p></o:p>
    เฉพาะอย่างยิ่ง สติปัญญา ศรัทธา ความเพียร นับวันมีกำลังกล้าไปโดยลำดับ จนถึงธรรมขั้นละเอียดเพียงไร จิตยิ่งมีความเพลิดเพลินรื่นเริงในธรรมจนเกินความพอดีไปก็มีในบางครั้ง ท่านจึงเรียกอุทธัจจะในสังโยชน์เบื้องบนว่า ความฟุ้ง ความเพลินในการพิจารณา จนลืมเวล่ำเวลา ลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ซึ่งเป็นสังโยชน์เครื่องติดข้องประเภทหนึ่ง เพราะขัดต่อความพอดี คือ มัชฌิมา ความพอดีเหมาะสม
    <o:p></o:p>
    ดังที่มีในตำราที่พระท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกนั้น ถ้าความรู้สึกนึกคิดธรรมดาทั่วๆ ไปแล้ว ต้องว่าท่านฝึกท่านทรมานตนเอง บังคับตนเองให้เดินเสียจนฝ่าเท้าแตก ซึ่งทำให้ผู้เริ่มฝึกหัดปฏิบัติเกิดความท้อใจ อิดหนาระอาใจว่ายากเกินไปหนักเกินไป ไม่สามารถทำตามนั้นได้ แล้วหมดกำลังใจที่จะอุตส่าห์ขวนขวาย<o:p></o:p>
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายแก้ความกลัว

    แต่ถ้าคิดตามหลักปฏิบัติแล้ว ความเพียรขั้นนั้นหากเป็นอย่างนั้นเอง คือ เป็นความเพียรอยู่ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน เว้นแต่เวลาหลับอย่างเดียว นอกนั้นเป็นความเพียรทั้งสิ้น เช่น เดินจงกรมจิตใจหมุนติ้วอยู่กับธรรม ระหว่างธรรมกับกิเลสที่ต่อสู้กัน พัวพันฟัดเหวี่ยงกันอยู่ตลอดเวลา ไม่คิดถึง เดือน ปี นาที โมง เช้าสายบ่ายเย็น หิวกระหายใดๆ ทั้งสิ้น ระหว่างสติปัญญา ศรัทธา ความเพียรอัตโนมัติกับกิเลสเข้าตะลุมบอนกัน จะไปเผลอตัวได้อย่างไร นั่นแหละความเพียรที่ทำให้เพลิน เดินจงกรมจนกระทั่งฝ่าเท้าแตกไม่รู้สึกตัว เพราะไม่สนใจกับฝ่าเท้ายิ่งกว่าธรรม และเพราะพลังของจิตที่มีกำลังมาก เร่งต่อความพากเพียรเพื่อความหลุดพ้นฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสไม่มีคำว่าท้อถอยปล่อยวาง นอกจากให้ได้ชัยชนะหรือกิเลสหมอบราบไปหมด จนไม่มีกิเลสตัวใดเหลืออยู่ภายในใจเลย รอบๆ ตัวกลายเป็นซากกิเลสไปหมด นั้นแลเป็นที่พอใจของความเพียรประเภทนั้น
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ฉะนั้นการประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตกนั้น จึงเป็นฐานะที่เป็นไปได้ไม่สงสัยในธรรมขั้นนี้ นี่พูดทางภาคปฏิบัติ ต้องเอาความจริงมาพูดกันให้ถึงใจผู้ปฏิบัติบ้าง จะได้เป็นกำลังใจต่อสู้กับกิเลสตัวโลกทั้งหลายเกรงขาม
    <o:p></o:p>
    ทั้งนี้เพราะความเพลินในธรรมและความพากเพียร ไม่ใช่เป็นไปเพราะบังคับจิตเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ทั้งๆ ที่จิตก็เร่ร่อนวุ่นนั่นวุ่นนี่หาสาระอะไรยังไม่ได้ แล้วก็เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกนี้ คิดว่าจะเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้พอๆ กัน แต่ถ้าเพราะความเพียรเป็นเครื่องดึงดูด ทำความเพียรท่าต่างๆ จนลืมเวล่ำเวลาลืมเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจนฝ่าเท้าแตกนั้น เป็นไปได้โดยไม่สงสัย ในหลักปฏิบัติที่เคยผ่านมาเป็นอย่างนั้น
    <o:p></o:p>
    นับแต่ธรรมขั้นกลางไปถึงขั้นนั้น ซึ่งเป็นขั้นละเอียดไปโดยลำดับแล้ว กำลังของโลกภายในใจอ่อนลงโดยลำดับแทบไม่ปรากฏ แต่กำลังของธรรมมีมากขึ้นๆ จึงทำให้ความเพียรหรือการบำเพ็ญทุกๆ ประโยค หมุนเป็นธรรมจักรไปได้โดยไม่รู้สึกฝืนเลย
    <o:p></o:p>
    เมื่อถึงขั้นละเอียดยิ่งกว่านั้น ต้องได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาตัวกิเลส เพราะกิเลสหมอบกิเลสหลบซ่อนตามแบบฉลาดที่เคยครองไตรภพของมัน สติปัญญาทันสมัยเกรียงไกรเต็มที่ มีแต่ท่าจะฟาดฟันหั่นแหลกถ่ายเดียว หาคำว่าแพ้ไม่มี คำว่าท้อถอยไม่มี มีแต่ท่าจะเอาให้แหลกแตกกระจายไปจากใจ ไม่ให้มีเหลือเลยแม้แต่นิดหนึ่งขึ้นชื่อว่าสมมุติ เพราะฉะนั้นจิตขั้นนี้จึงหาความท้อถอยไม่ได้ หาความขี้เกียจไม่มี มีแต่ความขยันหมั่นเพียรและเป็นนักต่อสู้โดยถ่ายเดียว ต้องรั้งเอาไว้ คำว่ารั้ง คือ รั้งใจเข้าสู่ความสงบในสมาธิ เพื่อพักจากงานที่ชุลมุนวุ่นวายกันไม่มีเวล่ำเวลา ระหว่างธรรมกับกิเลสต่อสู้กัน ให้เข้าสู่สมาธิคือความสงบ เป็นกาลเป็นเวลาเพื่อสั่งสมกำลัง นี่เป็นความเหมาะสมสำหรับผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ควรถือเป็นแบบฉบับในการดำเนินสมถะและวิปัสสนาจนถึงจุดหมายปลายทาง<o:p></o:p>
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายแก้ความกลัว

    เมื่อพักงาน ตามธรรมดาของจิตขั้นนี้ต้องเสียดายงาน เสียดายการทำงาน ไม่อยากพักตัว แต่จำเป็นต้องบังคับที่เรียกว่ารั้งเอาไว้ เพื่อพักสงบในสมาธิ เมื่อพักสงบใจก็มีกำลัง หยุดปรุงแต่งโดยทางปัญญาที่เคยนำไปใช้กับกิเลสเสียในขณะนั้น เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ ทรงตัวอยู่ในความสงบพอสมควร เมื่อรู้สึกมีกำลังแล้วก็ถอยจิตออกเพื่อทำงานทางด้านปัญญาต่อไป
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    จิตนั้นพอถอยออกเท่านั้นจะวิ่งถึงงานทันที ไม่มีอะไรรวดเร็วยิ่งกว่าจิตขั้นนี้จากนั้นก็หมุนติ้วกับงานโดยลำดับๆ นั่น เมื่อถึงขั้นนี้แล้วไม่มีคำว่าขี้เกียจ นอกจากจะพูดว่าขั้นขยันเกินคาดเท่านั้น ซึ่งเป็นคำเหมาะสมกับจิตขั้นนี้ กิเลสหมอบ ต้องคุ้ยเขี่ยขุดค้นกันเสียจนเต็มที่เต็มฐาน ซึ่งก็เป็นงานอันหนึ่ง พอเจอกิเลสก็ต่อสู้กับกิเลส นี้ก็เป็นงานอันหนึ่ง
    <o:p></o:p>
    การคุ้ยเขี่ยหากิเลสก็เป็นงานประเภทหนึ่ง เวลาเจอกันแล้วต่อสู้กัน ก็เป็นงานอันหนึ่ง จิตขั้นนี้จึงไม่มีเวลาว่างงาน ดังที่โลกพูดกันว่า คนว่างงาน นั่นคือคนขี้เกียจทำงานนั่นเอง จนได้ชัยชนะ หมายความว่าเข้าใจเรื่องกิเลสแต่ละชนิด หลุดลอยออกไปจากใจ แน่ใจ เห็นประจักษ์ไปเป็นพักๆ แล้วคุ้ยเขี่ยไปอีก ขุดค้นอีก เจออีกสู้อีกอยู่อย่างนั้น นี่คือปัญญาขั้นอัตโนมัติ หมุนตัวไปเอง ผู้ปฏิบัติถ้าลงปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว ใจจะไม่มีเวลาว่างงาน งานจะเป็นไปอยู่ตลอดอิริยาบถ เว้นเสียแต่หลับ แม้แต่หลับก็ยังไม่อยากจะหลับ บางคืนตลอดรุ่งเอาเฉยๆ ไม่ยอมหลับเลย เพราะจิตยังทำงานอย่างเพลินตัวกลัวไม่หลุดพ้น
    <o:p></o:p>
    ด้วยเหตุนี้จึงต้องได้รั้งจิตยับยั้งจิตเข้าสู่สมาธิ เพื่อให้จิตมีความสงบ ขั้นนี้พูดตามธรรมะป่าเราเรียกว่าเพลินในความเพียร และเข้ากันได้กับคำว่าที่อุทธัจจะ ในสังโยชน์เบื้องบน คือ ความฟุ้ง ความเพลินในความเพียร วุ่นอยู่กับกิเลส ต่อสู้กับกิเลส พุ่งตัวออกไปต่อสู้กับกิเลสอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ฟุ้งซ่านแบบโลกๆ แล้วเกิดความรำคาญแบบโลกๆ อย่างนั้น ผิดกันคนละโลก นำมาเทียบกันไม่ได้
    <o:p></o:p>
    ฟุ้งในสถานที่นี้หมายถึงการออกต่อสู้กับกิเลสนั่นเอง จนลืมเนื้อลืมตัว ลืมเวล่ำเวลาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปหมด ลักษณะนี้ท่านว่าอุทธัจจะ เมื่อจิตผ่านไปแล้วถึงจะรู้ได้ว่า อ๋อ ตรงนั้นคือจุดนั้น ถ้ายังไม่ผ่านก็ยังไม่รู้ เช่น การพักจิตในเรือนสมาธิ เมื่อมันจะตายจริงๆ ก็มาพักเสียทีหนึ่ง ทั้งๆ ที่ไม่อยากพักก็ต้องจำใจพัก เพราะจิตมันเหนื่อยมากจริงๆ แต่ถึงจะเหนื่อยก็ไม่ถอยนี่ ถ้าเป็นสิ่งที่ตายไปได้มันก็ตายได้จริงๆ เพราะความเหน็ดเหนื่อยเต็มประดาเกินกว่าจะทนได้ แต่จิตไม่ใช่เป็นของตาย มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยความเพลียภายในจิตเท่านั้น จิตไม่ได้ตาย จึงต้องพาเข้าสู่สมาธิเพื่อพักสงบอารมณ์วิปัสสนา ให้มีกำลังด้านสมาธิ<o:p></o:p>
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายแก้ความกลัว

    พอถอนออกจากสมาธิแล้ว จิตใจจะรู้สึกมีกำลังขึงขังตึงตัง นี่เห็นคุณค่าของสมาธิเป็นเครื่องสนับสนุนปัญญาได้เป็นอย่างดี ท่านจึงกล่าวไว้ในอนุศาสน์นั้นว่าสมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาอันสมาธิอบรม อันสมาธิหนุนหลัง พูดง่ายๆ มีสมาธิเป็นเครื่องหนุนแล้ว ย่อมทำงานได้ผลเป็นที่พอใจไปโดยลำดับ นี่พูดเอาความเป็นอย่างนี้
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    สมาธิจึงมีความจำเป็นตลอดสาย จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย สมาธิจะละไปไม่ได้ ถึงกาลพักต้องพัก เช่นเดียวกับเราทำงาน เวลาทำงานก็ตั้งหน้าตั้งตาทำเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถึงเวลาพักก็ต้องพัก รับประทานอาหารพักผ่อนนอนหลับพักเอากำลังวังชา ถึงไม่ได้งานได้การอะไรจากการพัก แต่ก็ได้กำลังสำหรับดำเนินงานในกาลต่อไปได้โดยสะดวก สมาธิกับปัญญาจึงมีความเกี่ยวโยงกันอย่างแยกไม่ออก
    <o:p></o:p>
    ทีนี้ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ นั่น จิตอันปัญญาอบรมแล้ว จิตอันปัญญาซักฟอกแล้ว พูดตามความถนัดใจทางภาคปฏิบัติ ย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ เพราะฉะนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา จึงแยกกันไม่ออก พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้บัญญัติเองเพื่อส่วนรวมเป็นสาธารณะ คำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา มีความเกี่ยวโยงกันอย่างนี้
    <o:p></o:p>
    จะใช้แบบสมัยจรวดดาวเทียมตัดทอนเอาตามความต้องการ (ของกิเลส มิใช่ของธรรม) ย่อมไม่ได้ ต้องให้เป็นไปตามหลักความจริงที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว
    <o:p></o:p>
    แต่สมาธิของใครจะเด่นขนาดไหนนั้น เป็นไปตามจริตนิสัย เรื่องความสงบเพื่อจะเป็นบาทฐานแห่งปัญญานั้นมีความจำเป็นเสมอกัน ไม่ให้มีสมาธิเลยแต่จะให้เป็นปัญญาล้วนๆ ไปเลยนั้น เป็นไปได้ยาก หรืออาจเป็นไปไม่ได้ แม้แต่ขิปปาภิญญา ก็ยังมีความสงบแฝงอยู่ในระยะเดียวกัน
    <o:p></o:p>
    อย่างน้อยต้องให้มีจิตสงบ เมื่อจิตสงบแล้วก็เรียกว่าจิตอิ่มตัวพอประมาณ หรือจิตอิ่มตัว เหมือนกับเราได้รับประทานแล้ว แล้วตั้งหน้าทำงานให้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่เถลไถล ไม่คว้าโน้นคว้านี้เหมือนจิตที่ไม่มีความสงบ เต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านรำคาญ พิจารณาให้เป็นปัญญาก็กลายเป็นสัญญาอารมณ์ไปเสีย เพราะจิตไม่อิ่มตัว ฉะนั้นการอบรมสมาธิจึงมีความจำเป็นในขั้นเริ่มแรก<o:p></o:p>
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายแก้ความกลัว

    สมาธิขั้นใดก็ตามมีความจำเป็นต่อปัญญาขั้นนั้นๆ อย่าไปคิดว่าได้สมาธิเต็มที่แล้วจึงจะพิจารณาปัญญา นั้นเป็นความคิดผิด ความสงบขนาดใดก็ควรแก่ปัญญาขนาดนั้น บางครั้งปัญญายังต้องมาอบรมจิตให้เป็นสมาธิก็ยังมี ดังที่เขียนไว้แล้วนั้น นั้นเป็นชั่วระยะกาลที่เราจะนำมาใช้ ไม่ใช่เป็นธรรมพื้นเพเสมอไป เป็นธรรมเสมอไป เฉพาะสมาธิอบรมปัญญา ดังที่ท่านกล่าวไว้แล้วนั้น
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ที่กล่าวมาเหล่านี้ ได้เริ่มกล่าวตั้งแต่เรื่องความหนักใจ ความท้อถอยอ่อนแอเกี่ยวกับเรื่องการงาน ในเบื้องต้นเป็นการลำบาก ทำให้เกิดความท้อถอยน้อยใจ อาจคิดไปว่าตนไม่มีวาสนาบ้าง ตนมีวาสนาน้อยบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องให้เกิดอุปสรรคต่อการดำเนินไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
    <o:p></o:p>
    ความจริงเรามีอุปนิสัยวาสนามาด้วยกันทุกคน เวลานี้เราก็ได้เป็นพระตั้งหน้ามาบวชในพระพุทธศาสนาด้วยศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส กิเลสก็มีประเภทเดียวกันกับครั้งพุทธกาล ไม่ได้นอกเหนือไปจากนั้นเลย ธรรมะที่เป็นเครื่องปราบกิเลส คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น ก็เป็นธรรมะที่เคยปราบปรามกิเลสให้สิ้นซากมาแล้ว ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงสมัยนี้ ไม่มีคำว่าล้าสมัย ธรรมเหล่านี้แลเป็นธรรมที่ทันกับกิเลสทุกประเภท ขอให้นำมาใช้ เฉพาะอย่างยิ่งสติกับปัญญา ให้ถือเป็นธรรมจำเป็นอย่างยิ่ง มีความเพียรเป็นเครื่องหนุนหลัง เราจะเห็นแดนแห่งความพ้นทุกข์ขึ้นที่ใจโดยไม่สงสัยเพราะความพากเพียร
    <o:p></o:p>
    ใจที่เคยอัดอั้นภายในตัวเองเพราะอำนาจแห่งกิเลสบีบบังคับ เมื่อได้รับการบุกเบิกด้วยความเพียร มีสติปัญญาเป็นเครื่องมือแล้ว จิตใจจะค่อยเบิกกว้างและสิ่งเหล่านั้นจะเพิกถอนออกไป จิตใจจะเกิดความโล่งโถงสว่างไสวภายในตน มีความสะดวกสบาย อยู่ที่ไหนก็สบาย เพียงแต่ขั้นสงบเท่านั้นเราก็สบาย มีต้นทุนพอได้อาศัยบ้างแล้ว
    <o:p></o:p>
    จงพิจารณาทางด้านปัญญาดังที่เคยอธิบายให้ฟังแล้ว อุบายวิธีแห่งการพิจารณาทางด้านปัญญานั้น ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยของท่านผู้ใดจะควรคิดค้นขึ้นมา ให้เป็นความถนัดเหมาะสมกับจริตจิตใจของท่านผู้นั้น และเป็นสิ่งที่จะทำให้กิเลสหลุดลอยออกไปได้ นั้นเป็นอุบายที่ถูกต้องด้วยกัน อย่าคอยกวาดต้อนเอาตามแบบตามแผน ตามตำรับตำรามาแก้กิเลสโดยถ่ายเดียว จะไม่ทันกาลไม่ทันกับกิเลสที่นอกจากคัมภีร์มีเยอะแยะ ไม่ใช่ว่ากิเลสจะโง่ ไปนอนคอยตายกองกันอยู่ในคัมภีร์ ให้เราไปฟาดไปฟันมันด้วยมรรคซึ่งอยู่ในคัมภีร์เดียวกันนั้น ให้กิเลสฉิบหายตายไปหาได้ไม่
    <o:p></o:p>
    กิเลสมันอยู่นอกคัมภีร์ เข้ามาอยู่ในหัวใจเรานี้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นปัญญาจึงผลิตขึ้นให้ทันกัน เราได้เงื่อนได้หลักฐานมาจากการศึกษาเล่าเรียนพอประมาณแล้ว จงนำมาตีแผ่ออกแต่ละแขนงๆ ให้เป็นอุบายวิธีการของตนเอง นำมาใช้ฆ่ากิเลส ปราบกิเลสภายในใจ นี่ชื่อว่าเป็นผู้มีความแยบคายไปตามจริตนิสัยของแต่ละรายๆ ที่ควรนำมาใช้สำหรับตน ซึ่งถูกต้องด้วยกันทั้งนั้น<o:p></o:p>
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายแก้ความกลัว

    อิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน ขอให้มีสติอยู่โดยสม่ำเสมอ แม้จะไม่ได้พิจารณาอะไร ความรู้สึกตัวให้เป็นสัมปชัญญะ พยายามฝึกให้ดี เมื่อสติมีความสืบเนื่องอยู่กับตัว ท่านเรียก สัมปชัญญะ ถ้านึกรู้เป็นขณะๆ ไปเรียกว่า สติ ถ้าละเอียดเข้าไปจนถึงกับเป็นอัตโนมัติของสติของปัญญาแล้ว ท่านก็เรียก มหาสติ มหาปัญญา เพราะเป็นไปได้อย่างนั้นจริงๆ
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    สติเมื่อถึงขั้นแก่กล้าสามารถ ปัญญาเมื่อถึงขั้นฉลาดแหลมคมแล้ว คนเราไม่ได้โง่อยู่ตลอดเวลา มันฉลาดได้ด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งถึงคราวจนตรอกจนมุมด้วยแล้ว สติปัญญาจะหมุนรอบตัว ใครจะไปยอมจนตรอก ใครจะไปยอมตายเฉยๆ ทั้งๆ ที่สติปัญญาพอที่จะคิดค้นหามาแก้ไข พอเล็ดลอดไปได้ ยังมีอยู่ภายในหัวใจ ใครจะไปยอมตายเปล่าๆ แบบโง่ๆ ตอนนั้นละตอนสติปัญญาเกิดและพลิกแพลงแก้ไขเอาตัวเล็ดลอดไปได้ และได้หลักฐานพยานยืนยันอย่างองอาจกล้าหาญในวาระต่อไป ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจใช้หัวคิดปัญญาให้เกิดความฉลาด
    <o:p></o:p>
    ให้มีความห้าวหาญต่อแดนพ้นทุกข์ สิ่งอื่นๆ ก็เคยได้พบได้เห็นได้สัมผัสสัมพันธ์มาแล้วดังที่ได้พูดแล้วนั้นแล เรื่องของโลกไม่มีใครโกหกใครได้ เพราะต่างคนต่างเคยสัมผัสสัมพันธ์มาด้วยกัน โทษคุณขนาดไหนก็เห็นแล้วด้วยใจของเรา ส่วนธรรมนี้เรายังไม่เคยรู้เคยเห็น ท่านผู้วิเศษเสียด้วยเป็นผู้แสดงไว้ แต่เราก็ยังไม่เคยรู้เคยเห็นอย่างท่าน
    <o:p></o:p>
    ผู้วิเศษคือใคร ก็คือ พระพุทธเจ้า เป็นผู้ทรงค้นพบธรรมอัศจรรย์ ธรรมอัศจรรย์นี้ผู้จะรับทราบ ผู้จะรับรอง ผู้จะยืนยัน ผู้จะทรงรสชาติธรรมอัศจรรย์นั้นก็คือใจ คำว่าตรัสรู้ธรรมหรือบรรลุธรรมก็ตรัสรู้ที่ใจบรรลุที่ใจ ฆ่ากิเลสหมอบราบไปหมดแล้ว เหลือแต่ธรรมล้วนๆ เต็มพระทัยเต็มหัวใจ นั่นแหละที่เรียกว่า ศาสดาองค์วิเศษ สาวกองค์วิเศษ
    <o:p></o:p>
    ธรรมะที่กล่าวไว้ว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้นมีพอประมาณเท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไรเลย ถ้าตามภูมิของศาสดาแล้ว ทรงสั่งสอนโลกมากต่อมาก สอนอยู่ถึง ๔๕ พระพรรษาจึงเสด็จปรินิพพาน ธรรมจะมีเพียง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เท่านั้น จะทันกับโรคกิเลสตัณหาของสัตว์ทั้งสามโลกธาตุนี้ได้อย่างไร ถ้าธรรมไม่มากมายยิ่งกว่านั้นเป็นไหนๆ ธรรมต้องมีมากต่อมากสมภูมิศาสดานั่นแล จึงจะทันกับกิเลสของสัตว์ซึ่งมีมากต่อมากด้วยกัน คือ มีมากทั้งมวลสัตว์ มีมากทั้งกิเลสบนหัวใจสัตว์โลก การสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ซ้ำรอยกัน นอกจากจริตนิสัยของสัตว์โลกจะซ้ำรอย อุบายวิธีการแห่งธรรมที่ทรงแสดงออกจึงจะซ้ำกัน
    <o:p></o:p>
    วันคืนหนึ่งสัตว์โลกมาเกี่ยวข้องกับพระองค์มีมากต่อมากถึงสามโลกธาตุ นับแต่วันตรัสรู้แล้วทรงสั่งสอนโลกจนถึงวันเสด็จปรินิพพาน มีสัตว์โลกมาเกี่ยวข้องอย่างมหาศาล ธรรมต้องเป็นธรรมมหาศาลจึงจะสมดุลกัน การสั่งสอนก็สอนไปตามจริตนิสัยของนานาจิตตัง ธรรมจึงไม่อาจซ้ำกันได้ถ้าจริตไม่เหมือนกัน
    <o:p></o:p>
    ลงเป็นศาสดาสอนโลกแล้วต้องเป็นคลังแห่งธรรม สอนโลกอย่างไม่อัดไม่อั้น เต็มภูมิศาสดา สัตว์โลกจึงสนุกตักตวงผลประโยชน์จากคลังแห่งธรรมของศาสดา โดยสำเร็จเป็นพระโสดาบ้าง ไม่เป็นโสด้นโสเดาดังเราๆ ท่านๆ ที่เป็นกันอยู่ สำเร็จเป็นพระสกิทาคาบ้าง เป็นพระอนาคาบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง ไม่ขาดวรรคขาดตอนตลอดวันนิพพาน ธรรมเพื่อสัตว์โลกจำต้องมากพอแก่เหตุการณ์
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายแก้ความกลัว

    พวกเราเพียงตัวเท่าหนูนี้ก็ลองให้รู้ซิ รู้อรรถรู้ธรรมขึ้นภายในใจ ต้องพูดได้อย่างเต็มปากและอาจหาญ ควรที่จะนำธรรมมาอบรมสั่งสอนลึกตื้นกว้างแคบ หยาบละเอียด ต้องพูดได้เต็มปากไม่กระดากอาย เพราะได้รู้ได้เห็นทั้งเหตุทั้งผลเต็มภูมิของตนมาแล้วด้วยกัน ทำไมจะพูดจะแนะนำสั่งสอนกันไม่ได้ ต้องได้โดยไม่สงสัย ธรรมจริงภายในใจกับธรรมจดจำมาจากตำรา ความรวดเร็วทันเหตุการณ์ต่างกันอยู่มาก พูดก็สาธุ มิได้ประมาทการเรียนเพราะเราก็เคยเรียนมา พอด้นเดาได้บ้าง แต่จะยกภาษิตแต่ละบทออกแสดง กลับวิ่งเข้าตำราหมด สุดท้ายก็คว้าธรรมะป่า ออกมาด้นเดาตามประสีประสา พอผ่านรอดตัวไปเป็นคราวๆ นั่นแล
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เพียงเท่านี้ก็พอให้ทราบได้ว่า พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจอมศาสดานั้น ทรงแสดงธรรมแก่โลกมีธรรมประมาณเท่าไร ต้องมีขนาดครอบโลกธาตุน่ะซิ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ทันกับกิเลสของสัตว์ กิเลสก็จะหาเรื่องตำหนิเอาว่า ภูมิธรรมของศาสดาสู้ภูมิกิเลสของมารไม่ได้ เป็นศาสดาองค์บกพร่องในธรรมนโยบายการสั่งสอน แต่กิเลสหมอบราบทั้งสิ้นเพราะนโยบายแห่งธรรมของพระองค์ จึงแน่ใจว่า พระธรรมมีมากเต็มภูมิของศาสดาซึ่งนอกจาก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ออกไป
    <o:p></o:p>
    นี่ก็พยายามอบรมสั่งสอนหมู่เพื่อนเพื่อให้ได้หลักได้เกณฑ์ ผู้มาใหม่ก็มีผู้อยู่เก่าก็มี จงตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ อย่ามาแบบเถลไถล มาสักแต่มา อยู่สักแต่อยู่ ไปสักแต่ไปไม่ได้เรื่องได้ราว และมาเอาชื่อเอานามเอาเกียรติยศชื่อเสียง ว่าเคยไปอยู่กับอาจารย์นั้นเคยไปอยู่กับอาจารย์นี้ ไปจับจ่ายขายกิน อย่างนั้นก็ยิ่งเลวไปใหญ่ ไม่ตรงกับความมุ่งหมายของผู้รับและให้การอบรมเพื่ออรรถเพื่อธรรมด้วยความบริสุทธิ์ใจ แก่บรรดาท่านผู้มาอาศัย เพราะฉะนั้นจงเห็นใจ ได้พยายามแนะนำสั่งสอนเพื่อนฝูงมาเต็มสติปัญญากำลังความสามารถ ไม่ว่าธรรมะขั้นใดภูมิใด ไม่เคยมีการปิดบังลี้ลับไว้แม้แต่น้อยเลย เปิดเผยให้ฟังทุกแง่ทุกมุมเพื่อเป็นคติเพื่อเป็นอุบายเพื่อเป็นกำลังใจ และดำเนินตามหลักธรรมที่สอนด้วยความแน่ใจว่าได้สอนโดยถูกต้องแล้วทุกขั้นแห่งธรรม คำว่า พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา นั้นจงพลีชีพด้วยการปฏิบัติบูชาท่านจริงๆ ผลแห่งการพลีชีพนั้นจะเป็นธรรมอัศจรรย์ขึ้นที่ใจแทนศาสดา ประหนึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ประทับอยู่ตรงหน้าเราขณะนี้แล

    <o:p></o:p>

    จึงขอยุติเพียงเท่านี้<o:p></o:p>​
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การบวชเป็นของยาก

    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด


    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>


    เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒



    <o:p></o:p>


    การบวชเป็นของยาก



    <o:p></o:p>

    <o:p></o:p>
    การบวชท่านกล่าวไว้ว่าบวชได้ยาก บวชแล้วการประพฤติตามธรรมวินัย ก็เป็นของยาก การจะดำเนินทางด้านจิตใจของนักบวช เพื่อรู้แจ้งเห็นจริงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นของยาก ทำไมจึงเป็นของยาก เพราะกิเลสไม่ใช่ของง่ายดาย กิเลสเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นมั่นคงมาก การประพฤติปฏิบัติเพื่อถอดถอนหรือต่อสู้กับกิเลสจึงเป็นของยากทุกๆ ประโยคไป ความเป็นนักบวชก็คือความเป็นนักรบ เป็นนักต่อสู้กับสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่จิตใจของตน ไม่ว่าจะเป็นครั้งใดสมัยใดก็ตาม หลักความจริงมีมาอย่างนั้น
    <o:p></o:p>
    กิเลสไม่เคยมีความอ่อนแอท้อถอย พอที่จะชำระมันได้อย่างง่ายดาย กิเลสมีความขยัน มีความเข้มแข็ง มีความฉลาดแหลมคมมาก เวลาครอบหัวใจสัตว์ จึงทำให้สัตว์ขยันขันแข็ง และฉลาดไปตามเพลงขับกล่อมของมัน แต่ขี้เกียจอ่อนแอท้อแท้เหลวไหลและโง่เขลาในสิ่งที่เป็นธรรมเป็นสารประโยชน์ทั้งหลาย เพราะกิเลสเป็นข้าศึก เป็นคู่แข่งกับธรรม คือความดีงามทั้งหลายมาแต่กาลไหนๆ ไม่เคยลงรอยกันเลย กำลังทุกด้านของกิเลสมีมากไม่มีเวลาบกบาง จึงสามารถครองหัวใจสัตว์โลกเรื่อยมา
    <o:p></o:p>
    เรามุ่งหน้ามาบวชในพระพุทธศาสนา กว่าจะได้บวชก็เป็นของยาก บวชแล้วจะรักษาสิกขาบทวินัยซึ่งเป็นการขัดต่อนิสัยเดิมอันเป็นนิสัยของกิเลส ก็ต้องเป็นของยาก เพราะต้องต่อสู้กับกิเลสที่ฝังจมภายในใจ จนกลายเป็นนิสัยมานานแสนนาน ต้องระมัดระวังรักษากายวาจาใจที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่เป็นนิจศีลนิจธรรม ใจจึงจะเป็นธรรมขึ้นมาได้ตามใจหวัง แต่จะเพราะเหตุผลกลไกอะไรก็ตาม มักมีกิเลสแทรกอยู่เสมอ ภายในอาการของจิตอาการของกายที่แสดงออกมา เมื่อเป็นเช่นนี้การประพฤติปฏิบัติจึงเป็นของยาก และมักเปิดช่องให้ฝ่ายต่ำย่ำยีตีต่อยอยู่เสมอ
    <o:p></o:p>
    โลกที่ไม่รู้พิษภัยของกิเลสหรือไม่รู้กลไกของกิเลสที่ฝังอยู่ภายในใจ และยอมจำนนต่อสิ่งเหล่านี้โดยไม่รู้สึกตัวอยู่แล้ว จึงประพฤติปฏิบัติกันยาก เกือบร้อยทั้งร้อยมักท้อถอยอ่อนแอ การที่จะบึกบึนหรือตะเกียกตะกายเพื่อแก้และถอดถอนกิเลส เพื่อความหลุดพ้นนั้น เราพอทราบกันทุกองค์ เพราะได้เริ่มปฏิบัติมาด้วยกัน ว่าระหว่างกิเลสกับธรรมซึ่งมีอยู่ในใจดวงเดียวนี้ แก้และถอดถอนกันยากยิ่งกว่าถอดถอนหัวหนามออกจากฝ่าเท้าเสียอีก การฝึกฝนอบรมและทรมานตนก็คือการต่อสู้กับกิเลส ซึ่งเป็นผู้เคยเสี้ยมสอนใจให้เชื่อมันอย่างฝังจมมาเป็นเวลานาน จึงเป็นของยากลำบาก แต่อย่าลืมว่า ความเลิศแห่งธรรมมีคุณค่าและน้ำหนักมากกว่าความลำบากทางความเพียรเป็นไหนๆ <o:p></o:p>
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การบวชเป็นของยาก

    การอุตส่าห์พยายามประพฤติปฏิบัติธรรมทางด้านจิตใจ ที่เรียกว่าการแหวกว่ายจากกิเลสไปแต่ละขั้นละตอนนั้น ต้องเป็นของยากลำบากไปตามจังหวะแห่งการต่อสู้ เพราะกิเลสไม่ว่าประเภทใด ต้องเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นแก่นนักสู้ด้วยกัน มันเกาะอยู่กับจิตไม่ยอมปล่อยวางเอาง่ายๆ ถ้าอุบายวิธีและการปราบปรามมีกำลังไม่พอ ต้องยอมแพ้มันโดยไม่ต้องสงสัย นี่ท่านว่าการบวชก็ยาก บวชแล้วการประพฤติพรตพรหมจรรย์ให้เป็นไปตามสิกขาบทวินัยก็ยาก การจะตะเกียกตะกายตนให้หลุดพ้นไปตามทางสันติธรรมที่ท่านทรงสอนไว้ ก่อนที่จะหลุดพ้นไปได้ก็ต้องต่อสู้กับกิเลสอย่างเต็มสติกำลังความสามารถ ซึ่งก็พ้นจากความยากลำบากไปไม่ได้ เมื่อรวมความแล้วยากด้วยกันทั้งนั้น
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    แต่การยากของผู้เชื่อธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าก็ไม่ยากจนสุดวิสัย เพราะท่านผู้ได้ชัยชนะที่ผ่านไปแล้ว ส่วนมากล้วนผ่านไปด้วยความยากลำบากนั่นแล เพราะการปราบกิเลสทุกประเภทซึ่งเป็นสิ่งที่ปราบยาก ท่านก็เคยได้ปราบปรามมาแล้ว ทุกข์ขนาดไหนท่านก็เคยทุกข์มาก่อนแล้ว ทำให้เห็นประจักษ์พยานเป็นอย่างดี
    <o:p></o:p>
    ไม่ว่ากิเลสประเภทใด เกาะอยู่ในหัวใจใด จะต้องมีความเหนียวแน่นมั่นคง มีความฉลาดแหลมคมเกินกว่าจิตจะระลึกรู้ได้ว่าผิดหรือถูก ว่าเป็นโทษเป็นคุณประการใดบ้าง ถ้าไม่ใช้ธรรมมีสติและปัญญาธรรมเป็นต้นเข้าพิสูจน์ทดสอบกัน ซึ่งท่านก็พาดำเนินวิธีการเหล่านี้มาแล้ว
    <o:p></o:p>
    ขั้นจะทำจิตให้มีความสงบเป็นสมาธิก็ยาก ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อพยายามตามหลักธรรมจริงๆ แล้วก็ไม่ยากจนเกินกำลัง เพราะความต้องการ ความอยาก ความหวัง ความมุ่งมั่นแต่ละอย่างซึ่งเป็นกำลังใจมีอยู่ภายในใจเราแล้ว ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไปได้ทุกขั้นทุกภูมิของอรรถของธรรมและทุกประเภทของกิเลส ไม่นอกเหนือไปจากสติปัญญา ศรัทธา ความเพียรซึ่งเป็นอาวุธอันสำคัญนี้ไปได้เลย
    <o:p></o:p>
    ด้วยเหตุนี้จึงต้องพยายามเพื่อแหวกว่ายตนให้ออกจากวัฏวน คือหมุนไปเวียนมาด้วยการเกิดแก่เจ็บตาย ซึ่งล้วนเป็นเรื่องของกองทุกข์ โปรยไปตามระยะทางไม่ขาดวรรคขาดตอน เหมือนเขาโปรยข้าวตอกตามทางนั่นแล นี่แลเรื่องทุกข์ที่มันติดสอยห้อยตามไปในชาติความเกิด ชราความแก่ มรณะความตาย เป็นเช่นนี้
    <o:p></o:p>
    การฝึกฝนอบรมการทรมานนั้น ไม่มีการฝึกฝนการทรมานสัตว์ตัวใด ยากยิ่งกว่าการฝึกฝนทรมานมนุษย์คือเราแต่ละรายๆ นี่เลย พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าให้นามตามขั้นมนุษย์ตามศักดิ์ศรีของมนุษย์ตามเกียรติของมนุษย์ ก็ให้นามว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ แต่กิเลสมันไม่ได้นิยมว่าเป็นคนชั้นใด มันคงเป็นกิเลสและเหยียบย่ำทำลายหัวใจของคนของสัตว์ ทุกขั้นทุกภูมิทุกชาติชั้นวรรณะ โดยไม่สะทกสะท้านเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นจะไม่ยากไม่ลำบากได้อย่างไร ในการปลดเปลื้องกิเลสหรือสลัดกิเลสออกจากใจ เพราะมันเคยเกาะกินหัวใจมานานจนไม่อาจประมาณได้<o:p></o:p>
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การบวชเป็นของยาก

    ทั้งเบื้องต้นเบื้องปลายแห่งความเป็นมาของสัตว์ของบุคคลแต่ละราย เพราะความยืดยาวด้วยทุกข์เป็นสายยาวเหยียดมาด้วยกันกับชาติความเกิด ชราความแก่ พยาธิความเจ็บไข้ได้ป่วย ตลอดถึงความตาย นี่เรื่องของทุกข์ก็ติดสอยห้อยตามกันมา ไม่อาจกำหนดได้ว่าเป็นทุกข์มาแต่เมื่อไหร่ เคยเกิดเคยตายมาแต่เมื่อไหร่จนถึงปัจจุบันนี้
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ที่ยืดยาวที่สุดไม่มีอะไรเป็นคู่แข่งได้ ก็คือความหมุนเวียนเกิดตายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานของสัตว์ผู้มีกิเลสเป็นเจ้าอำนาจครอบงำใจนั่นแล เป็นเพียงเจ้าของไม่อาจจดจำความเป็นมาของตนได้เท่านั้น จึงไม่นึกขยะแขยงและกลัวกัน แม้ความระลึกไม่ได้นั้นก็คือกิเลสนั่นแลทำให้หลงลืมในความเป็นมาของตน มีความทุกข์ความลำบากยากจนเข็ญใจขนาดไหน กิเลสก็ปิดบังซ่อนไว้ไม่ให้เจ้าตัวรู้เห็น ต่างจึงทนทุกข์ทรมานกันมาด้วยความมืดบอดสุ่มเดา ไม่อาจมองเห็นจุดหมายปลายทางได้
    <o:p></o:p>
    ถ้าคนเราแต่ละรายๆ ทราบวิถีความเป็นมาของตนในเรื่องการท่องเที่ยว ได้แก่ความเกิดที่นั่นตายที่นี่ ซึ่งกลมกลืนไปกับความทุกข์ได้บ้าง ความทราบนั้นก็จะกระจายไปถึงเรื่องความทุกข์ความลำบากทั้งหลายที่ตนได้เคยประสบเคยรู้ เคยเห็นมา ก็พอจะมีแก่ใจอุตส่าห์พยายามแหวกว่าย ให้หลุดพ้นจากแหล่งแห่งวัฏวนอันนี้ไปได้เป็นรายๆ เป็นคณะๆ อันเป็นความรวดเร็วกว่าที่เป็นมาและเป็นอยู่นี้ไม่น้อยเลย เพราะความตื่นตัวกลัวทุกข์กลัวภัยเป็นสาเหตุให้ตะเกียกตะกายกัน
    <o:p></o:p>
    นี่ถึงเราไม่ทราบก็ตาม ผู้ที่เป็นสักขีพยานของเราก็คือองค์ศาสดา ธรรมที่ประกาศสอนไว้ก็ออกมาจากศาสดาองค์เอก ที่ทรงรู้ทรงเห็นตามความจริงทุกอย่างมาแล้ว ว่าสัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารไม่มีประมาณ ไม่นอกเหนือไปจากวัฏวนนี้ไปได้ เพราะเป็นที่อยู่ที่รวมของสัตว์ที่มีกิเลสพาให้เกิด-ตาย บรรดาสัตว์ที่มีกิเลสจะต้องเป็นอย่างนี้ด้วยกัน สิ่งตายตัวที่จะพาให้สัตว์เกิดและตาย ตลอดถึงได้รับความทุกข์ความลำบากต่างๆ ก็คือเรื่องอวิชชากิเลสประเภทละเอียด พาให้เป็นมาโดยลำดับลำดาไม่ขาดวรรคขาดตอนแห่งภพชาติ จนถึงปัจจุบันชาติที่กำลังเป็นอยู่เวลานี้
    <o:p></o:p>
    เราถือองค์ศาสดาและศาสนธรรมที่ท่านตรัสไว้นั้นมาเป็นสักขีพยาน ตาเราไม่สามารถมองเห็นเรื่องความเป็นมาของเรา หู ใจเราไม่สามารถรู้เรื่องรู้ราวความเป็นมาของตน ก็พึงยึดเอาหลักธรรมของท่านมาเป็นหูเป็นตา เป็นเครื่องประดับใจ เครื่องส่องใจเพื่อก้าวไปตามนั้น ย่อมจะเห็นทางออกจากวัฏทุกข์โดยลำดับไม่อับจน เรื่องเกิดตายก็จะไม่สงสัยเพราะเป็นความจริงอย่างตายตัว ไม่มีอะไรมาลบล้างได้ นอกจากธรรมคือวิวัฏธรรมเป็นต้น<o:p></o:p>
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การบวชเป็นของยาก

    การเกิดในภพน้อยภพใหญ่ เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเปรต เป็นผี เป็นยักษ์เป็นมาร เป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม ก็อยู่ในวงแห่งวัฏจักรของคนและสัตว์ที่มีกิเลสด้วยกัน ไม่นอกเหนือจากธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ไปได้เลย ฉะนั้นจงยึดธรรมมาเป็นหลักใจ เป็นเครื่องส่องทาง เป็นสักขีพยาน เป็นหูเป็นตาเป็นความรู้ความฉลาด เป็นหลักดำเนินอย่าได้ลดละปล่อยวาง
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านว่าอวิชชาคือความมืดบอดนั้นเองเป็นตัวการใหญ่ รู้ก็รู้แบบอวิชชาเห็นแบบอวิชชา อะไรๆ เป็นแบบของมันทั้งสิ้นไม่ได้เป็นแบบธรรม พอที่จะให้เกิดความสว่างกระจ่างแจ้งแก่จิตใจได้เลย มันจึงลำบากสำหรับมวลสัตว์ผู้มืดบอดด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทานฝังใจ
    <o:p></o:p>
    ด้วยเหตุนี้จึงต้องยึดเอาหลักธรรมมาเป็นสักขีพยาน มาเป็นเครื่องฝากเป็นฝากตายไว้กับใจ พยายามตะเกียกตะกายไปตามนี้ ทุกข์ก็พอทนได้เพราะเคยทนมาแล้ว ทุกข์ด้วยความพากเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสออกจากจิตใจ ไม่ใช่ทุกข์เพื่อความล่มจม พระพุทธเจ้าเป็นที่ยอมรับของพุทธบริษัททั่วโลกดินแดนแล้วว่า พระองค์เป็นทุกข์อันดับหนึ่งในวงพุทธศาสนา ในวงพุทธบริษัท เพราะการฝึกทรมานพระองค์ก่อนได้ตรัสรู้ธรรมมาแจกจ่ายสัตว์โลก เราเป็นศิษย์ตถาคตจำต้องเดินตามครู ครูพาเดินผ่านทุกข์ด้วยความพากเพียร ศิษย์ต้องเดินตามนั้นไม่ยอมถอย
    <o:p></o:p>
    ได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่าการฝึกฝนทรมานหรืออบรมตนนั้น ไม่มีอะไรยากยิ่งกว่าการฝึกฝนอบรมหรือทรมานมนุษย์ เพราะกิเลสพาให้ยาก กิเลสเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นมากยากที่จะถอดถอน ยากที่จะตัดจะฟันหรือปราบปรามให้หมดสิ้นไปได้ง่ายๆ จึงต้องใช้กำลังเต็มความสามารถ เพียงขั้นสมาธิเท่านั้นก็ต้องใช้กำลังให้เหมาะสมกับสมาธิที่ควรจะเกิดขึ้นได้
    <o:p></o:p>
    เอา….วันนี้ทำสมาธิไม่เกิดเพราะกำลังไม่พอ กำลังสติก็ไม่พอ กำลังความเพียรก็ไม่พอ จิตใจมีความท้อแท้อ่อนแอ ความสงบของใจเกิดไม่ได้ ต้องเพิ่มกำลังใหม่ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงใหม่ ต้องพลิกกันอยู่อย่างนี้จึงเรียกว่าปัญญา ความฉลาดในการต่อสู้ เอาจนสงบได้ ทำไมจะสงบไม่ได้ ธรรมท่านสอนเพื่อความสงบทั้งนั้น ไม่ได้สอนเพื่อความฟุ้งซ่านรำคาญ ไม่ได้สอนเพื่อความส่ายแส่ไปตามกระแสของโลกสงสาร นั่นเป็นเรื่องของกิเลสพาให้เป็นไปต่างหาก ไม่ใช่ธรรมพาให้เป็น กิเลสพาใจให้ฟุ้งซ่านขุ่นมัว ธรรมพาให้ใจสงบผ่องใส กิเลสกับธรรมเดินสวนทางกันไปคนละจุด
    <o:p></o:p>
    จิตใจที่เป็นไปตามกระแสของโลกเหมือนน้ำซับน้ำซึม โดยไม่มีสติเป็นเครื่องกั้นกางหวงห้ามต้านทานกันบ้างเลยนั้น ไม่ใช่เป็นการบำเพ็ญธรรม แต่เป็นการเสือกคลานตามกิเลสที่ฉุดลากไปต่างหาก เราควรจะทราบในแง่เหล่านี้ไว้ เพื่อความรู้สึกตัวและเข้มแข็งทางความพากเพียรขึ้นอีก ช่วยจิตได้มีความสงบ นี่ก็ยากขั้นหนึ่ง<o:p></o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...