เครื่องกั้นหรือเครื่องขัดขวาง ฌาน มรรค ผล นิพพาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 16 สิงหาคม 2012.

  1. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    นิวรณ ๖
    ฌาทิกํ นิวาเรนฺตีติ นิวรณานิ ฯ ธรรมเหล่าใดที่ขัดขวางกุศลธรรม มีฌาน เป็นต้น ไม่ให้เกิดขึ้น
    ธรรมเหล่านั้นชื่อว่านิวรณเป็นเครื่องขัดขวางในการกระทำความดี เป็นเครื่องกั้น
    เครื่องห้ามไม่ให้ ฌาน มัคค ผล อภิญญา สมาบัติ เกิดขึ้นได้
    นิวรณ มี ๖ ประการ คือ
    ๑. กามฉันทนิวรณ ขัดขวางไว้เพราะความชอบใจอยากได้ในกามคุณอารมณ์
    เมื่อชอบใจและต้องการแต่ใกมคุณอารมณ์แล้ว ก็ย่อมขาดสมาธิในอันที่จะทำความดี
    มีฌานและมัคคเป็นต้น องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภมูลจิต ๘
    ๒. พยาปาทนิวรณ์ ขัดขวางไว้เพราะความไม่ชอบใจในอารมณ์เมื่อจิตใจ
    มีแต่ความขุ่นเคืองไม่ชอบใจแล้ว ก็ย่อมขาดปีติความเอิบอิ่มในการกระทำความดี มีฌาน เป็นต้น
    องค์ธรรมได้แก่ โทสเจตสิก ที่ในโทสมูลจิต ๒
    ๓. ถีนมิทธนิวรณ ขัดขวางไว้เพราะความหดหู่ท้อถอยในอารมณ์ เมื่อจิตหดหู่ท้อถอยเสียแล้ว
    ก็ย่อมขาดวิตก คือไม่มีแก่ใจที่จะคิดให้ติดอยู่ในอารมณ์ที่จะกระทำความดี
    องค์ธรรมได้แก่ ถีนเจตสิก มิทธเจตสิก ที่ในอกุศลสสังขาริกจิต ๕
    ๔. อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ ขัดขวางไว้เพราะความคิดฟุ้งซ่าน รำคาญใจเมื่อจิตใจเป็นดังนี้เป็นต้น
    ก็ย่อมขาดความสุขใจในอันที่จะกระทำความดี องค์ธรรมได้แก่ อุทธัจจเจตสิก กุกกุจจเจตสิก ที่ในอกุศลจิต ๑๒
    ๕. วิจิกิจฉานิวรณ ขัดขวางไว้เพราะความสงสัย ลังเลใจ เมื่อจิตใจเกิดความลังเลสงสัยเสียแล้ว
    ก็ย่อมไม่คิดที่พิจารณาในการกระทำความดี องค์ธรรมได้แก่ วิจิกิจฉาเจตสิก ที่ในวิจิกิจฉาสหคตจิต ๑
    ๖. อวิชชานิวรณ ขัดขวางไว้เพราะความไม่รู้ มีการกระทำให้หลงลืมก็ย่อมขาดสติ ไม่ระลึกถึงความดีที่ตนกระทำ
    องค์ธรรมได้แก่ โมหะเจตสิก ที่ในอกุศลจิต ๑๒

    รวม นิวรณ์ มี ๖ แต่องค์ธรรมมี ๘ คือ โลภะ. โทสะ. ถีนะ. มิทธะ.อุทธัจจะ. กุกกุจจะ. วิจิกิจฉา และ โมหเจตสิก.

    ถีนมิทธนิวรณนี้ เป็นเจตสิก ๒ ดวง คือ ถีนะเจตสิก ดวงหนึ่ง และ มิทธะเจตสิก อีกดวงหนึ่ง
    แต่เมื่อจัดเป็นนิวรณนับเป็นนิวรณเดียว ทั้งนี้ก็เพราะว่า ถีนะก็ดี มิทธะก็ดี เมื่อว่าโดยกิจ คือทำหน้าที่การงาน
    ก็มีหน้าที่ทำให้จิตหดหู่ท้อถอยต่ออารมณ์ ไม่จับอารมณ์ ไม่ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ เมื่อว่าโดยอาการคือเหตุ
    ก็เป็นเหตุให้เกียจคร้าน เมื่อโดยวิโรธิปัจจัย คือข้าศึก ก็เป็นปฏิปักษ์กับวิริยะเหมือนๆ กัน ดังนั้นจึงจัดเป็นนิวรณเดียว

    อุทธัจจะ และ กุกกุจจะ ที่จัดเป็นนิวรณเดียว ก็ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกัน กล่าวคือ ว่าโดยกิจ ก็ทำให้สงบ
    ว่าโดยอาการ ก็เพราะเหตุที่คิดถึง พยสนะ ๕ ประการ ว่าโดยวิโรธิปัจจัย ก็เป็นศัตรูกับความสุข
    ต่อเมื่อสงบก็เป็นสุข เมื่อมีสุขเวทนาก็เป็นเหตุใกล้ให้เกิด เอกัคคตา คือการตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว
    การตั้งมั่นในอารมณ์เดียวอย่างแน่แน่วก็เรียกว่าสมาธิ

    ในการเจริญสมถภาวนา ข่มนิวรณเพียง ๕ ประการ คือ ๑-๕ ไว้ได้ โดยวิกขัมภนประหาน ก็สามารถถึงฌานได้
    ส่วนการเจริญวิปัสสนาภาวนา ต้องประหานนิวรณทั้ง ๖ ประการ โดยสมุทเฉทประหาน จึงจะบรรลุมัคคผล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 สิงหาคม 2012
  2. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ธรรมที่เป็นเครื่องกั้นความดี หรือเครื่องกั้นการกระทำความดี ชื่อว่านิวรณ์
    นิวรณ์นั้น มี ๖ อย่างคือ
    ๑. กามฉันทนิวรณ์
    ๒. พยาปาทนิวรณ์
    ๓. ถีนมิทธนิวรณ์
    ๔. อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์
    ๕. วิจิกิจฉานิวรณ์
    ๖. อวิชชานิวรณ์
    ธรรมที่ประหารอกุศลธรรมเหล่านี้ได้โดยวิกขัมภณะนั้น ได้แก่องค์ฌาณ ๕ คือ
    วิตก ประหารถีนมิทธนิวรณ์
    วิจาร ประหาร วิจิกิจฉานิวรณ์
    ปีติ ประหาร พยาปาทนิวรณ์
    สุข ประหาร อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์
    เอกัคคตา ประหารกามฉันทนิวรณ์
    ส่วนอวิชชานิวรณ์นั้นองค์ฌานไม่สามารถประหารได้โดยตรง เมื่อองค์ฌาน ๕ นั้นประหารนิวรณ์อื่นๆนั้น อวิชชานิวรณ์ก็อ่อนกำลังลง
    ไม่สามารถที่จะเป็นเครื่องกั้นฌานอภิญญาได้เหมือนนักรบกำลังขาดกองกำลังลงนั่นเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประหารโดยสิ้นเชิง
    ธรรมที่ประหารเป็นสมุทเฉทหรือประหารโดยสิ้นเชิงนั้นต้องมรรคจิต ๔ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน
    แนวทางสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม โดยมรรคจิต ๔

    มรรคจิต ๔ ประหารนิวรณ์ได้เป็นสมุทเฉท ได้แก่
    โสดาปัตติมรรคจิต ประหาร วิจิกิจฉานิวรณ์
    สกทาคามิมรรคจิต ประหาร นิวรณ์ที่เหลือให้เบาบางลง
    อนาคามิมรรคจิต ประหาร กามฉันทนิวรณ์. พยาปาทนิวรณ์. กุกกุจจนิวรณ์.
    อรหันตมรรคจิต ประหาร ถีนมิทธนิวรณ์. อุทธัจจนิวรณ์. อวิชชานิวรณ์. ดังนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 สิงหาคม 2012
  3. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    สาธุค่ะลุง
    <li class="rg_li" data-row="1" style="width:186px;height:144px">[​IMG]
     
  4. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    สอบถาม ลุงหมาน นะครับ...

    นิวรณ์ธรรม ข้อ ที่ 6 นั้น...มีที่อ้างอิงมั้ยครับ ผม คงอ่านมาน้อย ขอความกรุณา ช่วยชี้ชัด หน่อยครับ..ว่า หาได้ที่ไหน ที่จะไปอ่านทำความเข้าใจครับ

    ผม อาจเรียนไม่ถึง นะครับ..ช่วย แจงให้ทราบหน่อยครับ ขอบคุณครับ
     
  5. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ในพระอภิธรรมมี ๖ ค่ะ เชิญอ่านที่ลิงค์นี้นะคะ

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka3/v.php?B=34&A=6572&Z=6694

    ลุงหมานไปแล้วค่ะ
    พรุ่งนี้มาค่ะ

    ขอตัวไปอีกคนนะคะ
    ขออนุโมทนาบุญทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2012
  6. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    ขอบคุณ ที่ แบ่งปันครับ....
     
  7. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    เฮ้อ...หนอนตำรา ขออภัยนะขอรับ อ่านตำราแล้วก็ไม่ได้ใช้สมองสติปัญญาคิดพิจารณาให้เป็นไปตามลักษณะของตัวเองหรือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย รู้แต่ตำรา ก็โง่อยู่ในตำรานั่นแหละ ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่า พระไตรปิฎกความจริงแล้วเป้นภาษาอะไร อยากจะสอนอยากจะแนะนำเหมือนกันนะ แต่ไม่สอนดีกว่า
    เพราะถ้าสอน พวกผู้ดูแลจะคิดว่าข้าพเจ้าปรามาส พระไตรปิฎก
    เพราะมันล่อแหลมจริง เฮ้อ.....
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    .................ผมอยากรู้ ครับ น้า กรุณาอธิบาย ต่อ ครับ ขอบคุณ:cool:
     
  9. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    ใจ เป็นสภาวะเดิม ชื่อว่ามโน ,จิตตะก็ว่าได้ ,ภูตะก็ว่าได้ หรือพรหมะก็ใช่ใจอันเป็น ของเดิมนี้แล เป็นธรรมชาติผ่องใส มีปกติผ่อง มีรัศมี มีความใสสว่าง แต่เศร้าหมองแล้วเพราะอารมณ์ และสรรพกิเลสที่จรเข้ามา อริยสาวกของพระตถาคตเจ้า ได้สดับแล้ว ย่อมทำจิตแยกใจ ของตนปล่อยวางความคิดให้หลุดพ้นจากอารมภ์ และกิเลสทั้งหลายที่จรเข้ามานั้นได้ ให้ใจใสเป็นประดุจน้ำนิ่งบริสุทธิ์สะอาด หลุดพ้นตะกอนที่ขุ่นมัว เป็นพุทโธที่รอคอยเราๆท่านๆอยู่ฝั่งอมตะนิพพาน ใจคือพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ไม่ตาย เมื่อแยกตัวออกจากอารมภ์แล้ว ใจก็อยู่เหนือสังขารโลก พ้นสิ่งที่เกิดดับไม่ต้องอาศัยอะไรอยู่ เหมือนฟ้าไม่ต้องอาศัยดินอยู่ รู้แล้ววาง วางแล้วว่าง ว่างแล้วอยู่ อยู่แล้วพุทธะ

    ท่านพระคุณเจ้า ดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต.com
     
  10. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    อย่าเพิ่งท้อแท้ใจครับ หายากินก่อนก็ได้ครับ
    มาอีกคนแล้วพวกนอกครูนอกตำรานี่เยอะจัง พวกสอนยาก
    <TABLE id=post1252 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->telwada<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1252", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2004
    สถานที่: Chiengrai
    ข้อความ: 2,009
    Groans: 1
    Groaned at 342 Times in 135 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 1
    ได้รับอนุโมทนา 2,366 ครั้ง ใน 928 โพส
    พลังการให้คะแนน: 370 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_1252 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->คุณเวบสโนว์ ข้าพเจ้าเองก็ต้องขอบอกคุณตามความสัจจริงว่า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าข้าพเจ้าคือ พระศรีอริยเมตไตย

    แต่ทว่า ข้าพเจ้ามีเหตุผล หลายประการที่รู้ว่า ขอใช้คำว่า รู้ว่า นะขอรับ ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้าคือ พระศรีอริยเมตไตย องค์เดียวกับที่พวกคุณคิดว่า พระสมณ โคดมทำนายไว้ นั้นแหละคุณ

    เริ่มแรกทีเดียว ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าพเจ้าเป็นใคร กล่าวคือรู้แต่ว่า ข้าพเจ้าชื่อ เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์ มี บิดา มารดา และน้องๆ อีก 6 คน มีภรรยา มีลูกสาว ก็ยังไม่รู้

    แต่เมื่อประมาณปี 2524-2526 ตัวของข้าพเจ้าก็ประสบกับเหตุการณ์ประหลาดๆ อันเกิดกับตัวข้าพเจ้า ความว่าเหตุการณ์ประหลาดๆนั้น ความจริงแล้ว ข้าพเจ้ามีความประหลาดติดตัวข้าพเจ้ามาตั้งแต่จำความได้ เช่น ข้าพเจ้าสามารถมองเห็นภายในสรีระร่างกายของผู้อื่น กล่าวคือ มองเห็นเส้นเลือด หรืออวัยวะภายในของผู้อื่นอยู่เนืองๆ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยสนใจ เพราะเป็นวัยเด็กไม่คิดอะไรมาก อีกประการหนึ่ง ข้าพเจ้ามีพลังงานพิเศษ มีแรงมากเกินวัย กระโดดได้สูงและไกลเกินกว่าเด็กธรรมดาจะทำได้ และยังมีอีกหลายๆอย่าง

    เมื่อมาถึงประมาณปี 2524 - 2526 ความคิดของข้าพเจ้าเริ่มหมุนกลับ ถึงกับรู้สึกว่าตัวเอง เป็นลูกของพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อไปพบจิตแพทย์ ก็ได้รับคำตอบว่า ผมอยู่ในภาวะสับสน เมื่อรู้แล้ว ผมจึงได้หายคิดบ้าๆแบบนั้น

    แต่อยู่มา ข้าพเจ้า ก็ค้นพบวิชชา 3 วิชชา 8 ซึ่งข้าพเจ้าเอง จำเป็นต้องค้นหา เพราะเมื่อได้เริ่มฝึกฝน พบความลำบากมากมาย ไม่ฝึกก็ไม่ได้ เหมือนมีใครคอยคุมอยู่ ไม่ฝึกก็จะเหตุต่างๆอันไม่ดีเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ไม่ฝึกก็จะมีอาการคล้ายกับคนบ้าเดี๋ยวดีเดี๊ยวร้าย สับสน ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าได้หลักการหรือธรรมะจนครบและรู้วิธีการฝึกตนแล้ว ข้าพเจ้าก็มองเห็นสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็น พระพิฆเณศน์ พระศิวะ พระพรหม นางฟ้า ที่ว่าเห็นนี้ไม่ใช่หลับฝันนะคุณ เห็นจะจะตา ไม่ใช่ภาพหลอนด้วย โดยเฉพาะเทพผู้มีเศียรเป็นช้าง ข้าพเจ้าขึ้นไปนั่งบนตักของพระองค์เลยละคุณ
    อีกทั้งเวลาคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้ใกล้ชิด พูดอะไร ก็เกิดเหตุการณ์อย่างนั้น เช่น เรียกพระภุมิเจ้าที่ เรียกรุกขเทวา เรียกผี ที่ยังไม่ไปเกิด(เขาเรียกว่าอะไรนะ)

    และอีกหลายๆอย่าง
    ในชั้นแรกข้าพเจ้าคิดว่า ใช้คำว่าคิดว่า นะขอรับ เพราะตอนนั้นคิดว่าตัวเอง น่าจะเป็นพระมาลัย แต่ข้าพเจ้าก็พบพระมาลัย ลอยมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเริ่มสงสัยในตัวเองแล้วว่า ตัวเองเป็นใครนอกเหนือจากที่เป็นอยู่ปกติ ข้าพเจ้าตรวจสอบลายนิ้วมือ ทุกนิ้ว ลายนิ้วเท้าทุกนิ้ว ตรวจดูลายเท้าทั้งสองเท้า ลายเท้าข้างหนึ่ง คล้ายคันไถ อีกข้างหนึ่ง เป็นคล้ายดาว ซึ่งมันก็เกี่ยวโยงไปถึงการเหาะด้วย

    ช่วงเวลานั้น ก็มีใครก็ไม่รู้อยู่ที่สันกำแพง เขียนป้ายโฆษณาว่า เป็นศรีอริยเมตไตย ข้าพเจ้าก็นิ่งเฉยไว้ เพราะยังไม่รู้แน่ชัดว่าตัวเองเป็นใครนอกเหนือจากที่เป็นอยู่ปกติ จนในที่สุด ตำรวจก็ได้ไปขอร้องให้เขาที่โฆษณาว่าเป็นศรีอริยเมตไตยนั้น เอาป้ายโฆษณาออก จากนั้นมา ข้าพเจ้าก็วิจัยค้นคว้ามาเรื่อยๆ จนได้ข้อยุติว่า ข้าพเจ้าคือ ศรีอริยเมตไตย ด้วยเหตุผล

    1.ข้าพเจ้าสามารถศึกษาค้นคว้าและวิจัย จนพบหลักการหรือธรรม ที่สามารถทำให้บุคคลบรรลุสู่ นิพพานได้ และรู้อีกว่า นิพพานมีลักษณะอาการอย่างไร และคำว่านิพพานนี้ แม้จะเป็นการหยิบยืมเอาคำที่มีอยู่เดิมมาใช้ ก็เพราะเห็นว่า หลักการหลายข้อ เฉพาะที่เป็นวิชาการ ข้าพเจ้าได้นำมาจากพุทธศาสนา แต่หลักการของข้าพเจ้ามิได้มีแต่เพียงของศาสนาพุทธเท่านั้น หลักการหรือธรรมรวมไปถึงวิธีการฝึกตนของข้าพเจ้า มีหลักการหรือธรรมะของศาสนาทุกศาสนาที่มีอยู่บนโลกใบนี้

    2. มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หากข้าพเจ้า อ้าปากโลกทั้งหมด ก็จะเข้ามาอยู่ในปากของข้าพเจ้า

    3. ข้าพเจ้า มีฉัพพรรณรังสี อันเกิดจากการขจัดอาสวะ

    นี้เป็นเหตุผลคร่าวๆ อันทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้า คือ ศรีอริยเมตไตย องค์ที่ 5 แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า ข้าพเจ้ามีหน้าที่เพียง ทำศาสนาทุกศาสนาให้เจริ_รุ่งเรือง ไม่ใช่มาตั้งตัวเป็นศาสดา และข้าพเจ้าจะเป็นผู้มาไขความลับให้รู้ว่า ศาสนาที่แท้จริงเกิดจากไหนจากใครศาสนาไหนที่เป็นต้นตอแห่งศาสนาทั้งปวง ในที่นี้หมายถึง หลักการและธรรม และวิธีการ ฉะนี้<!-- google_ad_section_end -->


    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2>[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("1252")</SCRIPT> [​IMG] </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt1 align=right>[​IMG] [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center><THEAD><TR><TD background=images/gradients/bg_p.gif>[​IMG] สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "ไม่เห็นด้วย" กับข้อความของ คุณ telwada ที่เขียนไว้ทางด้านบน

    ผมคงไม่ต้องตอบอะไรหละมั้ง มีเหตุผลอยู่ในตัวแล้ว

    </TD></TR></THEAD><TBODY></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 สิงหาคม 2012
  11. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
     
  12. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,499
    เมื่อข้าพเจ้าได้ค้นพบความจริงแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ลูกศิษย์อีก แต่เป็นปรมาจารย์

    ขอโทษทีนะครับ ลุงหมาน ผมว่า ถ้ามาแบบข้างบนนี้ คงจะต้องปล่อยเค้าไปแล้วล่ะครับ
    ยิ่งเถียงก็ยิ่งยาว เกรงว่าอาจจะสร้างวิบากกรรมให้แก่ตัวเขามากขึ้นน่ะครับ
     
  13. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    ความรู้ที่เกิดจากการการศึกษาเล่าเรียนนั้นเราเรียกว่าความรู้นั้นว่าความรู้จากสัญญา

    อันหาใช่ความรู้อันแท้จริงที่จะทำให้หลุดพ้นไม่ซึ่งยังไม่ตรงตามพุทธประสงค์ของพระ

    พุทธเจ้า พระพุทธประสงค์ที่แท้จริงคือความรู้จากวิปัสนาญาณที่สามารถหลุดพ้นจาก

    การเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นนิวรณ์ธรรมจะมี ๕ ข้อก็ดีหรือ ๖ ข้อก็ตามมิใช่สาระที่สำคัญ

    ที่สำคัญจะทำอย่างไรให้นิวรณ์ธรรมหมดจากจิตจากใจของเราให้ได้นี้จึงจะเป็นสาระ

    จขกท ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าอารมณ์แห่งปฐมฌานนั้นเป็นคู่ปรับกับนิวรณ์ทั้ง ๕ และครู

    บาอาจารย์ทั้งหลายก็สอนตามแนวนี้ก็ตรงตามแนวที่พระพุทธเจ้าสอนไม่เห็นจะต้องมาคัด

    ค้านอะไรถ้าเห็นผิดจากนี้ก็แสดงว่าท่านคัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้า
     
  14. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
     
  15. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ขอบคุณครับ
    แค่นี้ก็กู่ไม่กลับแล้ว อยู่นอกวิสัยเขต ไกลเกินกว่าที่พระพุทธเจ้าจะไปโปรด
     
  16. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    แสดงว่าอ่านแล้วไม่เข้าใจ
    และยังคงไม่เข้าใจเรื่องปัญญา และ เหตุเกิดของปัญญา จึงเหมาเอาว่าเป็นสัญญา (ไม่ขออธิบายมันยาว)
    .........
    การเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นนิวรณ์ธรรมจะมี ๕ ข้อก็ดีหรือ ๖ ข้อก็ตามมิใช่สาระที่สำคัญ

    คุณเคยได้อ่านที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ใบไม้ในกำมือไหม?
    สิ่งใดไม่มีประโยชน์ไม่เป็นสาระ สิ่งนั้นพระองค์จะไม่นำมากล่าวไว้จริงไหม?
    ตรงสีแดงนั้นพระองค์นำมากล่าวไว้จริงไหม?
    เพราะเหตุอันใดจึงจะไปตัดทอนออกเสียเล่า กลับไปเห็นว่าไม่มีประโยชน์เสียล่ะ ?
    อย่างนี้เรียกว่าทำลายคำสอน

    คุณรู้จักคำว่าเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกลและคงอยู่ไหม ?
     
  17. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    มันยังไม่ได้หลุดพ้นง่ายๆ หรอกค่ะ
    แต่การเดินไปทางสายเอก เรียนแล้วก็ไม่ได้หลงง่ายๆ

    คุณรู้สาเหตุหรือไม่ทำไมคนเค้าถึงเรียนพระอภิธรรมกัน
    คุณไปดูสิ เก้าอี้แทบไม่พอให้นั่งเลยนะ

    คนปฏิบัติมาแล้วเป็นปีเยอะแยะที่มาเรียน
    คนเรียนไปแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่เรียนคิดว่าเรียนแค่นี้พอ
    ไปปฏิบัติดีกว่า ไปปฏิบัติอยู่ 2 ปี
    ต้องกลับมาเรียนจนจบ ก็ยังมีเลยนะ

    พระพุทธเจ้ายังต้องเรียนมาทุกชาติ จนพระชาติสุดท้ายท่านไม่เรียนจากใคร
    พระองค์จึงตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง

    พระอาจารย์วัดป่าที่ท่านภาวนาเก่งๆ ได้ฌานได้อภิญญา
    ท่านเกิดมาเป็นติเหตุ ท่านสะสมมาด้วยปัญญา บารมีท่านเยอะ
    ท่านถึงได้ฌาน คนธรรมดาก็ไปทำตัวเลียนแบบท่านแค่ในชาตินี้
    แต่ในชาติที่ผ่านมาสะสมมาแบบท่านหรือเปล่า นี่สิคือปัญหาล่ะ
    เอะอะ อะไรก็เลียนแบบท่านไว้ เด๋วได้ดีเอง
    มันได้ดีเฉพาะคนที่สะสมเหตุมาแบบพระวัดป่าท่านที่ได้ฌานอภิญญา
    ส่วนคนที่ไม่ได้สะสมมา ทำให้ตาย มันก็ไม่ได้ฌาน
    ถึงจะปฏิบัติด้วยความตั้งใจจริง ก็ไม่ได้ถ้าไม่ได้สร้างเหตุมาแบบท่าน
    ก็ตายฟรี แถมพกมิฉาทิฏฐิติิดตัวไปอีก

    เค้าถึงไปเรียนกันไง เค้าสร้างปัญญา เค้าสร้างเหตุไว้
    เพราะรู้ว่า คนจำนวนน้อยมากที่มีเหตุครบ ทำฌานได้
    เปรียบเหมือนคนถูกรางวัลในล๊อกเตอรี่ทุกรางวัล
    ที่เห็นในเรียงเบอร์ มี 5 รางวัล มีคนถูกแค่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น
    แต่คนอีกเยอะทั่วประเทศ ไม่ได้ถูกรางวัล

    คนธรรมดาอย่างเราไม่ได้สะสมมาแบบท่านวัดป่าท่าน
    อยู่ดีๆ นั่งปฏิบัติไป บอกว่าเด๋วก็ได้ฌานได้อภิญญาแบบพระป่า
    มันก็มีสิทธินะ แล้วได้จริงๆ ด้วย ถ้าสะสมมาเป็น ติเหตุแบบท่าน
    แต่ส่วนใหญ่นั่งไปจนตายก็ไม่เคยได้ฌาน
    ถึงดูเหมือนจะได้ฌานแต่ก็เป็นมิจฉา ไม่ใช่ฌานจริง
    ที่นี้แหล่ะ ... เวลาทำสมาธิ คนเรียนพระอภิธรรม เค้าจะแยกออกแหล่ะ
    อันไหนของจริง ของปลอม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2012
  18. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    เรียนด้วยความเคารพ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ค่อยๆอ่านค่อยๆพิจารณา ไม่ต้องรีบแย้งก็ได้นะครับ
     
  19. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    เป็นหลักธรรมที่นำมาจากบาลีพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฏก
    สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ณ ป่าไม้ประดู่ลาย เขตเมืองโกสัมพี ครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงใช้ฝ่าพระหัตถ์ถือเอาใบประดู่ลาย แล้วทรงตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่า ใบประดู่ลายในฝ่าพระหัตถ์กับที่อยู่บนต้น อย่างไหนมีมากกว่ากัน พระภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลว่า ใบประดู่ลายที่อยู่บนต้นนั้นมีมากกว่า

    พระพุทธองค์ทรงตรัสอธิบายว่า ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงหยั่งทราบด้วยพระปัญญาอันยิ่งนั้น มีมากกว่าธรรมที่พระองค์ทรงประกาศ เปรียบดังใบประดู่ลายที่อยู่บนต้นนั้น มีมากกว่าในฝ่าพระหัตถ์ แล้วพระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุผลว่า เพราะเหตุใดจึงไม่ทรงแสดงธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งเปรียบดังใบประดู่ลายบนต้นนั่นก็เพราะธรรมเหล่านั้น ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับทุกข์ ความสงบ ระงับ ความรู้ยิ่ง การตรัสรู้ และพระนิพพาน

     
  20. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ตามนัยแห่งพระอภิธรรม จำแนกประเภทของฌานไว้ 5 ฌาน เรียกชื่อว่า ฌานปัญจกนัย ฌานทั้ง 5 นี้ได้แก่
    ปฐมฌาน มีองค์ฌาน 5 คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา มีเจตสิกประกอบ 35
    ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก 13 โสภณสาธารณเจตสิก 22 (เว้น วีระตี 3 )

    ทุติยฌาน มีองค์ฌาน 4 " - วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา มีเจตสิกประกอบ 34
    ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก 12 (เว้นวิตก) โสภณสาธารณเจตสิก 22 (เว้น วีระตี 3 )

    ตติยฌาน มีองค์ฌาน 3 " - - ปีติ สุข เอกัคคตา มีเจตสิกประกอบ 33
    ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก 11 (เว้นวิตก.วิจาร) โสภณสาธารณเจตสิก 22 (เว้น วีระตี 3 )

    จตุตถฌาน มีองค์ฌาน 2 " - - - สุข เอกัคคตา มีเจตสิกประกอบ 32
    ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก 10 (เว้น วิตก. วิจาร. ปิติ) โสภณสาธารณเจตสิก 22 (เว้น วีระตี 3 )

    ปัญจมฌาน มีองค์ฌาน 2 " - - - อุเบกขา เอกัคคตา มีเจตสิกประกอบ 30

    ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก 10 (เว้น วิตก.วิจาร. ปิติ.) โสภณสาธารณเจตสิก 20 (เว้น วีระตี 3. อัปปมัญญา2.)​

    แต่ตามนัยแห่งพระสุตตันตปิฎก คือตามแนวแห่งพระสูตร จำแนกประเภทแห่งฌานออกเป็นฌาน 4 เรียกว่า ฌานจตุกนัย ดังนี้
    ปฐมฌาน มีองค์ฌาน 5 คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา มีเจตสิกประกอบ 35
    ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก 13 โสภณสาธารณเจตสิก 22 (เว้น วีระตี 3 )​

    ทุติยฌาน มีองค์ฌาน 4 " - วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา มีเจตสิกประกอบ 33
    ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก 11 (เว้นวิตก.วิจาร) โสภณสาธารณเจตสิก 22 (เว้น วีระตี 3 )​

    ตติยฌาน มีองค์ฌาน 3 " - - ปีติ สุข เอกัคคตา มีเจตสิกประกอบ 32
    ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก 10 (เว้น วิตก. วิจาร. ปิติ) โสภณสาธารณเจตสิก 22 (เว้น วีระตี 3 )​

    จตุตถฌาน มีองค์ฌาน 2 " - - - อุเบกขา เอกัคคตา มีเจตสิกประกอบ 30
    ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก 10 (เว้น วิตก.วิจาร. ปิติ.) โสภณสาธารณเจตสิก 20 (เว้น วีระตี 3. อัปปมัญญา2.)​

    เหตุที่ทุติยฌาน ตามนัยแห่งพระอภิธรรม ละวิตกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งต่างจากทุติยฌาน ตามนัย แห่งพระสุตตันตปิฎก ที่ละวิตกและวิจารได้พร้อมๆ กัน เป็นเพราะว่า การละวิตก และวิจารได้ในเวลาเดียวกัน สามารถกระทำได้เฉพาะ ผู้ปฏิบัติที่เป็นติกขบุคคล (ผู้รู้เร็ว) เท่านั้น​

    เหตุนี้ทางพระสูตร จึงแสดงว่า รูปฌานมี 4 อรูปฌานมี 4 รวมเป็นฌาน 8 และเมื่อกล่าวโดยการเข้าฌานสมาบัติ จะเรียกว่า สมาบัติ 8
    ทางพระอภิธรรม แสดงว่า รูปฌานมี 5 อรูปฌานมี 4 รวมเป็น ฌาน 9 หรือ สมาบัติ 9​

    ปฐมฌานจะเกิดขึ้นได้ จะต้องมีองค์ฌานคือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ครบทั้ง 5 เพื่อข่มนิวรณ์ทั้ง 5 ให้สงบราบคาบ แต่หลังจาก ที่เข้าปฐมฌานได้อย่างชำนิชำนาญแล้ว นิวรณ์ทั้ง 5 ที่เคยเป็นปฏิปักษ์กับฌานจิต ก็จะอ่อนกำลังลง จนไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้ เพราะถูกข่มไว้ ด้วยอำนาจของปฐมฌานจิต เมื่อมาถึงตอนนี้ หากผู้ปฏิบัติต้องการได้ฌานที่สูงขึ้นไป ก็จะต้องละองค์ฌานเบื้องต่ำ อันได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ สุข ตามลำดับ ฌานจิตก็จะเลื่อนสูงขึ้น ตามลำดับเช่นกัน ​
     

แชร์หน้านี้

Loading...