เคล็ด(ไม่)ลับอาหาร เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย paang, 30 พฤศจิกายน 2005.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="100%"><TBODY><TR><TD>

    </TD><TD vAlign=top align=right>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ภัยคุกคามต่อสุขภาพและอนามัยในยุคนี้อาจไม่ใช่โรคเอดส์อีกต่อไปแล้วเพราะภัยเงียบที่แฝงตัวเข้ามากับวิถีชีวิตของผู้คนที่เร่งรีบและนิสัยการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไปทำให้ "เบาหวาน" ขึ้นแท่นเป็นโรคที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่าเอดส์เสียอีก เพราะมีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานปีละ 3.2 ล้านคน ขณะที่โรคเอดส์เสียชีวิต 3 ล้านคนต่อปี

    จากสถิติขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า ปี 2546-2548 มีประชากรโลกป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 71 โดยทั่วโลกจะมีผู้ป่วยโรคนี้ 344 ล้านคน

    องค์การอนามัยโลกยังประกาศว่าโรคเบาหวานเป็นโรคที่อันตรายสูงสุดเทียบชั้นโรคเอดส์เลยทีเดียว

    ผู้ที่ยังไม่เป็นเบาหวานก็ควรหลีกเลี่ยงจากอาหารหวานๆ เค็มๆ มันๆ ผู้ป่วยเบาหวานทุกคนจึงต้องใจแข็ง ตัดใจจากอาหารแบบเดิมๆ ที่เคยชอบรับประทานแล้วหันมาดูแลสุขภาพตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ก็จะมีชีวิตที่เป็นสุขได้และเพื่อให้ผู้ป่วยรู้จักวิธีการดูแลตนเอง

    ทางบริษัท ไทยโอซูก้า จำกัด จึงจัดการสัมมนา "ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานอย่างไรให้มีความสุข" ที่โรงแรมโนโวเทล สยามสแควร์ เมื่อเร็วๆ นี้ โดย น.พ.เพชร รอดอารีย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคเบาหวาน หน่วยต่อมไร้ท่อ วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานคร และวชิรพยาบาล บอกว่า 4 ทหารเสือที่มักจะจับมือมาด้วยกัน คือ เบาหวาน เก๊าต์ ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และที่จะตามมาอีกหนึ่งคือ โรคหัวใจ ดังนั้น จึงต้องควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย การกินยาหรือใช้ยาหรืออินซูลิน

    ด้าน ดร.สุนาฏ เตชางาม นายกสมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย แนะนำว่า อาหารที่คนเป็นเบาหวานควรระวัง คือ กลุ่มแป้ง ข้าว เพราะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในเลือดได้ร้อยละ 100 ภายใน 2 ชั่วโมง

    จากการศึกษาพบว่าคาร์โบไฮเดรตทำให้น้ำตาลในเลือดสูงถึงร้อยละ 50 และถ้ารับประทานโปรตีนมากก็จะทำให้ไตทำงานหนัก ยิ่งถ้ารับประทานเค็มด้วยก็ยิ่งทำให้ไตทำงานหนักมากขึ้น อีกทั้งต้องระวังน้ำมันและไขมันที่มากับเนื้อสัตว์ด้วย ส่วนผักและผลไม้รับประทานได้มากๆเพราะมีวิตามิน เกลือแร่ ใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

    การควบคุมอาหาร ไม่เพียงแต่ชนิดของอาหารเท่านั้นที่ต้องระมัดระวัง แต่ปริมาณที่รับประทานก็ต้องระวังด้วย

    ดร.ชนิดา ปโชติการ รองนายกสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า ต้องแบ่งสัดส่วนของอาหารที่จะรับประทานให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัว เช่น ผู้ที่มีน้ำหนัก 50 ก.ก. ส่วนใหญ่ต้องการพลังงาน 1,500 กิโลแคลอรีต่อวัน หรือเท่ากับข้าว 9 ทัพพี เนื้อสัตว์ 12 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช 3 ช้อนชา เป็นต้น แต่สามารถแปลงสัดส่วนของอาหารแต่ละชนิดได้ เช่น ข้าวสวย 1 ทัพพีจะเท่ากับข้าวเหนียวครึ่งทัพพีหรือขนมปัง 1 แผ่น เนื้อสัตว์ 1 ส่วนก็จะเท่ากับไข่ 1 ฟอง หรือปลาตัวเล็ก 1 ตัว หรือกุ้ง 4-5 ตัวหรือลูกชิ้น 4 ลูก

    เวลาไปเลือกซื้ออาหารก็ต้องรู้หลักด้วย จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อโฆษณา รศ.ดร.ปรียา ลีฬหกุล สำนักงานวิจัย คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี บอกว่าคนส่วนใหญ่ปรุงอาหารด้วยน้ำมันถั่วเหลืองเพราะมีไขมันอิ่มตัวน้อยและน้ำมันพืชและกะทิไม่มีคอเลสเตอรอล ขณะที่น้ำมันปาล์มและน้ำมันหมูมีไขมันอิ่มตัวสูง เดี๋ยวนี้มีกะทิธัญพืชเป็นทางเลือกสำหรับผู้รักสุขภาพ แต่ต้องสังเกตฉลากข้างขวดที่เป็นข้อมูลโภชนาการด้วยว่าหากมีเปอร์เซ็นต์ไขมันอิ่มตัวสูงเกินร้อยละ 10 ก็ไม่ควรซื้อ และให้เลี่ยงไปใช้นมพร่องไขมันแทนสำหรับทำกับข้าวทั้งคาวและหวาน

    ข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่อ้วนและไม่อ้วนทั้งหลาย คือ ตื่นมาแล้วหลังจากปัสสาวะให้ชั่งน้ำหนักทุกวัน หากวันไหนน้ำหนักขึ้น 1 ขีดก็ให้รีบลดน้ำหนัก เช่น ปกติรับประทานมื้อเช้าเป็นข้าว 3 ทัพพีก็ให้ลดลง ถ้าดื่มกาแฟใส่น้ำตาลทรายและครีมเทียมก็ให้เปลี่ยนมาใช้สารให้ความหวานและนมพร่องไขมัน

    ส่วนมื้อกลางวันเปลี่ยนจากข้าวมันไก่เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำแทน และมื้อเย็นก็ลองรับประทานข้าวต้มแทนข้าวสวย พร้อมทั้งออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย

    หลักง่ายๆ ของผู้ป่วยเบาหวานควรกินอย่างไร

    กินอาหารให้ตรงเวลา, ไม่อดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง ไม่กินจุกจิก, กินอาหารครบ 5 หมู่, เพิ่มการกินผักและผลไม้ที่รสไม่หวานมาก, กินเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น ปลา ไก่ ลูกชิ้น, ลดอาหารไขมันสูง เช่น อาหารทอด อาหารชุบแป้งทอด อาหารที่มีกะทิ หนังเป็ด หนังไก่ หมูสามชั้น มันหมู, กินอาหารประเภทแป้งในปริมาณที่กำหนด และลดขนม ลูกอม ท็อฟฟี่ น้ำหวาน น้ำอัดลม

    เมื่อรู้หลักและวิธิปฏิบัติแล้ว ผู้ป่วยเบาหวานและคนใกล้ชิดอย่าลืมนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า


    ที่มา http://www.matichon.co.th/khaosod/
     
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,291
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    ขอบคุณครับ เยี่ยมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...