เคาะโลง สอนใจ..

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย danetkung, 31 ตุลาคม 2013.

  1. danetkung

    danetkung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,063
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +15,273
    เคาะโลง

    [​IMG]

    เสียงเคาะโลง มีเสียงพูดเบา ๆ จากผู้เคาะว่า “รับศีลนะ ทานข้าวนะ ฟังพระสวดนะ” ทำไปเพื่ออะไร หรือเพียงแค่เคยทำตามกันมา หรือว่า “เคาะประชดคนเป็น”

    ในยามมีชีวิตอยู่เตือนแค่ไหนก็เตือนเถิด ดูเหมือนไม่สนใจกับสิ่งเหล่านี้ ในยามนี้เตือนไปก็คงไร้ความหมาย คนตายจะไปรับรู้อะไร เคาะเตือนคนเป็น ให้เห็นถึงความจริงว่า “สิ่งที่ดีเร่งขวนขวาย” วัว ควาย ช้าง ม้า ยามมรณายังประโยชน์ได้ มนุษย์นี่สิเน่าเปื่อยสูญเปล่าไป เหลือเพียงดีชั่วที่ทำไว้ให้โลกเห็น
     
  2. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ความตาย

    มนุษย์คนใดที่มีบุญ มนุษย์คนนั้นจะมีอายุยืนยาว
    มนุษย์คนใดที่มีบาปมาก มนุษย์คนนั้นจะมีอายุสั้น

    มนุษย์ทุกคนไม่มีใครหนีพ้น ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะมันคือที่มาแห่งความทุกข์ ความตายเป็นความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่เจ็บปวดที่สุด ทั้งผู้ที่อยู่เบื้องหลังและผู้ที่จากไป หากใครไม่รู้เท่าทันผู้นั้นย่อมตกอยู่ในความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กับผู้ที่ยังอยู่ก็ไม่อยากให้บุคคลอันเป็นที่รักต้องตายไปและผู้ที่ตายก็ไม่อยากตาย

    ส่วนผู้ที่เตรียมตัวตายมีน้อยนัก กรรมดี กรรมชั่ว ที่ทำไว้ทั้งชีวิต ในวาระสุดท้ายของชีวิตที่กำลังจะดับหากใครที่สะสมอารมณ์ที่ดี หรือ อารมณ์ที่เป็นบุญกุศลไว้มาก เช่น ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา วาระจิตสุดท้ายก็จะได้ไปเกิดภพภูมิที่ดี แต่ถ้าใครสะสมอารมณ์ที่เป็นกรรมชั่วบาปอกุศลไว้มาก วาระจิตสุดท้ายที่จิตดับจิตนึกถึงสภาวะใด สภาวะนั้นจะพาไปเกิดในภพภูมินั้น

    แล้วเมื่อเราสะสมอารมณ์บาปอกุศลไว้มาก คือ กิเลส โลภ โกรธ หลง ความยึดมั่นถือมั่น ในบุคคล ทรัพย์สินต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอและเป็นประจำไม่ได้ฝึกใจเพื่อละและปล่อยวาง หรือหมั่นสร้างกุศลกรรมความดีไว้ เพราะช่วงที่ระหว่างกำลังจะตายนั้น เราจะต้องต่อสู้กับทุกขเวทนา ที่ธาตุขันธ์กำลังจะแตกดับอย่างทุกข์แสนสาหัสแล้ว ถ้าไม่ฝึกไว้ดีแล้ว หรือ สะสมความดีเอาไว้ จะเอาสติที่ไหนมาระลึกถึงบุญกุศล และสำนึกสุดท้ายก็จะบอกกับตัวเอง

    ว่า “เสียดายที่เกิดมาแล้วไม่ดีทำดี หากได้รับโอกาสอีกอยากแก้ตัวใหม่” แต่ทุกอย่างก็สายเสียแล้ว หากจิตผู้ใดทำชั่วบาปอกุศลไว้มาก ตอนสุดท้ายของชีวิตจะรู้ว่าตัวเองต้องรับชะตากรรมอย่างไร จึงดิ้นรนหนีความตายไม่อยากตาย จึงเป็นเพราะว่าทำไมคนส่วนใหญ่จึง กลัวความตาย นั่นเอง
     
  3. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ข้าพเจ้าขอนำพระธรรมคำสอนของ หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ จากหนังสือ เพชรน้ำหนึ่ง มาให้พิจารณา ซึ่งมีประโยชน์มาก เกี่ยวกับเรื่องความเจ็บและความตาย ท่านกล่าวไว้ดังนี้ คือ

    **“คนที่ไม่เข้าหาธรรมมะ คนที่ไม่ปฏิบัติธรรม เวลาแก่แล้วไม่มีความสงบ เจ็บแล้วไม่มีความสงบ เพราะว่าเขาไม่มีหลักสติ เมื่อสติไม่มี ก็ไม่มีสติควบคุมตนเอง ไม่มีการฝึกสติก็ปล่อยให้ชีวิตหลงไปตามเวทนา สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ ก็ลืมตัว เมื่อมีสติเหนือเวทนาก็เป็นคนเย็นสงบไม่ถูกเวทนาครอบงำ จิตที่เพลิดเพลินไปกับ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ดับลงสู้เวทนาไม่ได้ ถ้าประมาทไม่ควบคุมอารมณ์ตกอยู่ในอำนาจของอารมณ์เหล่านี้หมด เจ็บให้ยอมรับความจริง ฝึกจิตจนอยู่เหนือเวทนา

    ความตายโดยมาก คนเราตายแล้วลมหายใจหยาบ หายใจฟืดฟาดเพราะไม่อยากตาย ไหนจะกลัวเจ็บกำลังทรมานจนแยกจิตตัวเองไม่ออก แยกขันธ์ ๕ ตัวเองไม่ออก เวทนาถูกกดดัน ถูกครอบงำเหมือนใครมาจับกดน้ำ ทุรนทุรายกระสับกระส่าย เหมือนใครเอาไฟมาเผาร้อนทั้งตัว เมื่อตัวเองไม่มีสมาธิ ก็ทุรนทุรายกระสับกระส่าย จิตไม่มีความสุข เพราะไม่เคยเข้าสมาธิ หายใจแรง ๆ เข้าก็ขาดใจ ทุกข์ทรมานไปด้วยความทุกข์ ส่วนมากเป็นอย่างนี้ ๙๕% ผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะค่อย ๆ ไป ค่อย ๆดับไปทีละน้อยจนลมค่อยหมดไป จิตก็อยู่เหนือเวทนา คอยดูตัวเองว่าจะดับเมื่อไร ไม่พยายามฝืนความเจ็บปวด เป็นแค่กายใจ ผู้ฝึกสมาธิก็จะมีความรู้ มีความเข้าใจ ฉลาดไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของความเจ็บปวด ความเจ็บปวดเป็นเรื่องของร่างกาย หนีไม่พ้น ตามดูจิตตัวเอง ตามดูเวทนาตัวเอง จิตก็ปล่อยวางเรื่อย ๆ แล้วละเอียดลง ๆ เบาลง ๆ ก็ดับ บางคนมีคนนั่งเฝ้ายังไม่รู้เลยว่าดับตอนไหน นั่นแหละดับไปแบบเป็นสุข

    มันต้องฝึกอย่างมาก ฝึกอย่างนี้เรายังทนกันไม่ได้นั่งเดี๋ยวเดียวก็ปวด เดี๋ยวเดียวก็เมื่อย เป็นโน่นเป็นนี่ กระสับกระส่าย ไม่ทันเจ็บมากเลย ก็ลุกก็เลิก แค่นั่งสมาธินี้เป็นเครื่องทดสอบ เราก็ยังทนไม่ไหว แต่เมื่อมันถึงเวลาที่สุดแห่งทุกข์แล้ว เราต้องทนอีกหลายร้อยพันเท่าทวี ต้องเข้าสมาธิให้ได้ ต้องฝึกสติให้ได้ ฝึกให้ชำนาญ จึงเอาตัวรอดได้ จึงมีที่พึ่งทางใจเป็นที่สุด เป็นทางที่ออกจากทุกข์ได้ เดินตามรอยพระพุทธเจ้า พระอริยะเจ้า ไม่อย่างนั้นจะไม่มีอะไรช่วยตัวเองได้เลย ทำให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อให้เห็นความจริงในเวทนา ผู้ที่ไม่เคยเห็นเพราะสมาธิยังไม่พอ ปัญญาไม่เกิด ฝึกใจตัวเองให้หยุดเฉยไม่ได้ การปฏิบัติจะรู้จะเห็น จิตมันต้องว่าง จึงต้องให้มันสงบ จึงจะได้เห็น การปฏิบัติต้องทำให้ผ่านเวทนาไปก่อน ผ่านความเจ็บปวด ผ่านความเมื่อย ผ่านการง่วงเหงาหาวนอนไปก่อน ผ่านการขี้เกียจขี้คร้าน ผ่านความฟุ้งซ่าน หดหู่ท้อถอย ผ่านอดีต ผ่านอนาคต ไปจนมีอารมณ์ปัจจุบันเดียว จึงทำให้ถึงสมาธิ เข้าถึงความรู้ความดับ จึงจะรู้เห็นได้ ข้ามนิวรณ์ไปให้หมดทุกขั้นตอนไปก่อน เจ็บแค่กายแต่ไม่เจ็บใจ ตายแค่กาย ใจไม่ตาย คนเราชอบนั่งปุ๊บแล้วได้ปั๊บ ไม่ยอมเจอความทุกข์ ให้ผ่านความทุกข์ ผ่านเวทนาไปก่อน ไม่ผ่านก็เลยกลายเป็นคนท้อถอย การปฏิบัติคือ การศึกษาใจตนเอง เปิดประตูดูใจตนเอง

    ความตายแยกให้เห็นระหว่างผู้ฝึกตน (รู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น มั่นใจในความดีของตน) กับผู้ไม่ฝึกตน (หลงตาย จิตซัดส่าย ตายไม่ดี) ทุกคนต้องเผชิญกับเวทนา ต่อความเจ็บปวด ต่อความตาย กับจิตดวงสุดท้ายที่จะพาไปเกิด ตัวรู้มันมี สมาธิเกิด วางเฉยดูการเกิดดับ ขันธ์ห้าไม่ใช่ของเรา ต้องยอมรับความจริง เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าเราห่วงเรายิ่งทุกข์ใหญ่ ฝึกผ่านเวทนาให้ได้ ฝึกสติให้ดี สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเราผ่านแล้วผ่านไปเลย ไม่มีอะไรตั้งอยู่นาน ความทุกข์มันก็ตั้งอยู่ไม่นาน ความสุขก็ตั้งอยู่ไม่นาน อย่าโง่กว่ามัน อย่ายึด เวทนาที่เกิดขึ้นกับเรา เราอดทนกับมันได้หรือยัง มันเจ็บปวดทรมานแค่ไหนมันต้องอดทน ฝึกผ่านเวทนาให้ได้ สตินี้สำคัญมาก ต้องฝึก ฝึกน้อยก็มีน้อย ฝึกมากสติก็มาก ไม่หลงทาง เราต้องฝึกของเราไว้ จิตของเราฝึกให้เห็นนิสัยของเรา จนเรากลายเป็นคนอดทน เป็นคนเข้มแข็ง เป็นคนต่อสู้อารมณ์กับตัวเองได้ ใครมาทำให้เราโกรธเราก็อภัยได้ เราก็เฉยได้ เพราะเราเคยหัดเฉยได้จะมีหลักของตัวเอง ถ้าเราไม่เคยฝึกเลย พอเจอเวทนาปุ๊บถูกครอบงำหมด ก็หลงตาย หลงตายไม่ดี”

    ** (เพชรน้ำหนึ่ง :หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...