เชิญร่วมพิธีถวายกรรมและทอดกฐินสามัคคีที่สำนักสงฆ์ถ้ำรัตนบุปผา อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี

ในห้อง 'กฐิน - ผ้าป่า - งานวัด' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 24 กันยายน 2009.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    กำหนดการ
    วันเสาร์ที่10ต.ค.2552 18.00น. สวดมนต์และทำพิธีถวายกรรม
    โดยหลวงพ่อสุรพงษ์ อภิวังโส เจ้าอาวาส
    ศิษย์ หลวงพ่อคง วัดเขาสมโภชน์(กรรมฐานเปิดโลก)
    วันอาทิตย์ที่11ต.ค.2552 11.30น. ทอดกฐิน
    ทุกๆวันเสาร์และอาทิตย์มีการนั่งกรรมฐานเปิดโลกเวลา13.00น.-14.00น.
    สอบถามรายละเอียดได้ที่หลวงพ่อสุรพงษ์ 0850431535
    มีที่พักและอาหารโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
     
  2. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ความเป็นมาของกรรมฐานธรรมะเปิดโลก

    ความ เป็นมาของกรรมฐานธรรมะเปิดโลก คือ กาลครั้งหนึ่งสมัยที่สมเด็จพระบวรนาถสมณโคดมยังทรงพระชนม์อยู่ ในกาลนั้นได้เสด็จขึ้นสู่ดาวดึงส์เทวสถานเพื่อโปรดพระพุทธมารดา ในวันที่เสด็จกลับจากดาวดึงส์ ได้มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากคอยรับเสด็จอยู่ ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงใช้พุทธานุภาพแสดงโลกทั้งสามให้ปรากฏ แก่พสกนิกรผู้เป็นศานุศิษย์ของพระพุทธชินสีห์ ประชาชนที่มารับเสด็จในวันนั้น ต่างก็ได้รับทิพยจักขุญาณ เห็นเทวโลก มนุษยโลก และอบายโลก พร้อมกัน กล่าวคือ เทวดาทั้งหลายก็เห็นมนุษย์และสัตว์ในอบาย มนุษย์ทั้งหลายก็เห็นเทวดาและสัตว์ในอบาย สัตว์ในอบายทั้งหลายก็เห็นทั้งมนุษย์และเหล่าเทวดา เรียกว่าทั้งสามโลกมองเห็นกันทะลุปรุโปร่ง

    ในวันนี้พระพุทธคุณนั้น เป็นอานุภาพที่ไร้ขอบเขต ทรงฤทธานุภาพสูงสุดในจักรวาล ในวันนั้นเทวดามนุษย์และสัตว์เดรัจฉานทั้งปวงต่างๆ ก็ได้พบพ่อแม่ พี่น้อง ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย และบริวารเก่าๆ ที่กำลังเสวยผลกรรมอยู่ในภพต่างๆ กัน เป็นทุกขเวทนาบ้าง สุขเวทนาบ้าง จึงเกิดเมตตาจิต อธิษฐานอโหสิกรรมผู้ที่ได้เคยกระทำชั่วต่อกันมาให้ได้พ้นจากบาป กรรมเวรเหล่านั้น

    ในวันนั้นเอง มีผู้มีปัญญาเกิดความเบื่อหน่ายคลายความยินดีในภพชาติ หลุดพ้นจากอาสวะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก จากนั้นมาธรรมะเปิดโลกก็มิได้ปรากฏในพระประวัติพระพุทธศาสนาอีกเลย จนกระทั่งเมื่อหลวงพ่อคง จตฺตมโล พุทธสาวกสมัยพุทธกาลนี้ ได้ถือเนกขัมมะวัตรเป็นบรรพชิตบำเพ็ญเพียรด้วยวิริยะอันแรงกล้า วิรัติแล้วจากการเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ทั้งโดยตรงและโดยทางอ้อม ตั้งแต่อยู่ในฆราวาสวิสัย ดำริมั่นที่จะออกจากกาม ได้จาริกเพื่อเจริญวิมุติญาณเข้าสู่โลกกุตระสภาวะมาโดยลำดับ

    จน กระทั่งลุถึง ถ้ำอรหันต์ เขาสมโภชน์ ลพบุรี ท่านได้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นอุกฤษฏ์ จนบังเกิดความตึงเครียดในทุกส่วนของประสาท ก็ยังไม่สำเร็จผลดังหวัง ทำให้รู้สึกท้อแท้ ท่านจึงน้อมจิตอธิษฐานว่า หากคุณพระพุทธเจ้ามีจริง ขอทรงมาโปรดให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรมด้วยเถิด ในครั้งนี้เอง ก็มีปรากฏการณ์บังเกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ท่านได้พบพระวิสุทธิสัมมาสัมพุทธเทพ และได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติกรรมฐาน อาศัยบุญบารมีเก่าที่หลวงพ่อคงเคยเป็นหลวงพ่อร่วง ผู้รจนาคัมภีร์ไตรภูมิกถาไว้สั่งสอนปวงชนมาก่อน พระพุทธองค์จึงทรงประทานธรรมะเปิดโลกให้ เมื่อหลวงพ่อใช้กำลังสติปัญญาเข้าพิจารณาภูมิอันเป็นอาสวะแห่งงวัฏฏะแล้ว เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จิตใจมุ่งเข้าสู่ความบริสุทธิ์ สำเร็จวิสุทธิญาณในวันนั้นเอง

    จากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าบรมโลกเชษฐ์ได้ทรงประทาน พุทธานุญาตให้หลวงพ่อคงโปรดแสดงธรรมะเปิดโลกแก่พสกนิกรพุทธบริษัทได้ โดยอาราธนาพระพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ และอริยสังฆานุภาพ มาเป็นอำนาจเปิดโลก เพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจแจ้งเรื่องกรรมและกลไกของกรรมโดยถ่องแท้

    กรรมฐานธรรมะเปิดโลก จึงได้รับการถ่ายทอดสาธิตจากหลวงพ่อคงนับตั้งแต่นั้นมา

    หลักการฝึกจิตแบบธรรมะเปิดโลก

    ธรรม เปิดโลกเป็นอานุภาพที่พระพุทธเจ้าทรงใช้สมัยเสด็จลงจากดาวดึงส์ โดยใช้พุทธานุภาพเปิดโลกทั้งสามให้มนุษย์ เทวดา และเปรต นรก เห็นกันได้หมด จากนั้นก็ไม่มีปรากฏการณ์ทำนองนี้อีกเลยในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา

    จน กระทั่งหลวงพ่อคงท่านปฏิบัติมหาสติปัฏฐานอยู่ที่ถ้ำอรหันต์ ลพบุรี หวังหลุดพ้นแต่ยังไม่หลุดพ้นสักที ท่านจึงอธิษฐานว่าหากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจริงขอให้โปรดท่านให้มีดวงตาเห็นธรรมะและหลุดพ้นด้วยเถิด

    และ ในที่สุดท่านก็ปฏิญาณว่าท่านได้พบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง และถึงฝั่งอรหันตภูมิแล้ว จึงประกาศธรรมะเปิดโลก แต่กำลังพระอรหันต์ไม่เท่าพระพุทธเจ้าที่จะสามารถทำให้เห็นด้วยตาเปล่าได้ แต่ทำให้เห็นด้วยญาณ และปรากฏการณ์ทางกายและจิตใจได้

    ด้วยกายนี้ เป็นที่ตั้งแห่งกรรมชรูป และจิตชรูป กรรมกิเลส ตัณหา และอวิชชามากมาย โดยมีจิตและเจตสิกเป็นผู้ทำงานร่วมพร้อมด้วยตลอดเวลา จึงให้ใช้กายเป็นฐานในการบำเพ็ญจิต เพื่อคลายอาสวะเหล่านั้นแห่งเจตสิกออกมา

    เมื่อมีการกระทบกันของกาย จิต เจตสิก ย่อมเกิดการเคลื่อนไหว และการคลายตัวตามธรรมชาติ คลายมลทินต่างๆ ที่ฝังแน่นในอัตตาออกมาในรูปของการสะท้อน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่อัดแน่นอยู่ในตัวตน และเพื่อให้ปลอดภัยและรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านให้ถวายกรรม ถวายเวรให้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน และให้อาราธนาพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพมาโปรดกำกับกระบวนการด้วย

    ก่อน อื่นผู้ประสงค์จะเจริญกรรมฐานธรรมะเปิดโลก จะต้องถวายกรรม ถวายเวรให้กับพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้าก่อน เพื่อเป็นการอาราธนาอำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ลงมาโปรด หากไม่อาราธนาแล้วท่านจะไม่มายุ่งด้วย เพราะถือว่าเจ้าของไม่อนุญาต แต่เมื่อาราธนาแล้ว น้อมธรรมะมาใส่ตัว อานุภาพของพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมเจ้าก็ดี พระสังฆเจ้าก็ดี จะลงมาโปรดเปิดโลกให้ได้รู้(
     
  3. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    วิธีภาวนา

    เมื่อ มอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ต่อไปก็น้อมรับอำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มาสถิตประสิทธิ์ประสาทในขันธสันดานของตน อำนาจวิสุทธิทิพย์จะเข้ามาเพื่อบุคคลน้อมเข้ามาใส่ตนเท่านั้น

    ผู้ ปฏิบัติพึงเฝ้าดูอาการของลมหายใจที่ลิ้นปี่ (ก้นปอด) ยามขยายตัวพองออกก็รู้แจ้งชัดว่าขยายพองตัวพองออก บริกรรมกำชับความรู้ตัวว่า “พองหนอ” เมื่อมันยุบแฟบลงก็รู้แจ้งชัดว่ายุบแฟบลง บริกรรมกำชับความรู้ตัวว่า “ยุบหนอ” นี่คืออานาปานสติฐานเดียว

    เมื่อทราบวิธีการแล้วจึงลงมือ ปฏิบัติได้ โดยนั่งคู้บัลลังก์ เท้าขวาทับขาซ้าย หรือเท้าซ้ายทับขาขวา ก็ได้ตามถนัด เอามือขวาทับมือซ้าย หรือมือซ้ายทับมือขวา หรือประสานกันไว้วางบนหน้าตัก ตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น

    มองไป ที่พระพุทธรูป บอกกับตัวเองว่า “บัดนี้ฉันได้ถวาย ร่างกายและชีวิตนี้ต่อพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้าแล้ว ต่อไปนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะปล่อยให้เป็นไปตามอำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บัดนี้ฉันจะเจริญสมาธิ ให้นิ่งอยู่ด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม ฉันจะไม่สนใจเรื่องภายนอก ฉันจะไม่ยินดียินร้ายกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่อาจมากระทบ จะสนใจเพียงประการเดียวคือความรู้ตัวอันบริสุทธิ์เท่านั้น” จากนั้นค่อยๆ หลับตาลง

    แล้วเริ่มสังเกตดูอาการของลมหายใจ เอาจิตจดจ่ออยู่ที่ลิ้นปี่ เฝ้าดูอาการของลมปราณอยู่อย่างปกติเฉย เมื่อมันพองออกก็บริกรรมว่า “พอง” เมื่อมันยุบก็บริกรรมว่า “ยุบ” ลมจะสั้นจะยาวจะช้าจะเร็ว อย่าเข้าไปบังคับมัน การเข้าไปบังคับลมหายใจจะทำให้ขาดความสมดุลในกระบวนการ อาจเกิดการอึดอัด เหนื่อยหอบ คอแห้ง เป็นต้น

    ด้วยอำนาจของสตินั้นจะทำให้จิตถอนตัว ออกจากขันธ์และอาการของขันธ์ เมื่อเราถอนจิตออกจากขันธ์ ขันธ์จะผ่อนคลาย และสงบเย็น สิ่งผิดปกติในขันธ์จะถูกกำจัดออกไปปรากฎเป็นอาการต่างๆ ก็ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ตามและไม่ต้าน เสมือนขณะที่เรากวาดฝุ่นละอองออกจากบ้าน ฝุ่นกระจายฟุ้งไปเราก็ไม่คว้าฝุ่นนั้นไว้ หรือไล่ตามฝุ่นไปฉันใด ในยามที่เราชำระขันธ์ ความเครียดของกรรมเก่าคลายออกไป เราก็ไม่ต้องไปคว้ากรรมนั้นมาไว้อีก หรือไหลตามกรรมนั้นไปฉันเดียวกัน ปล่อยให้มันคลายออกไปตามกลไกธรรมชาติ เราพึงทรงสติรู้ดูเฉยอยู่ ขันธ์จะกระตุกเต้นก็ปล่อยไป แต่จิตจะไม่เข้าไปเต้นกระตุกด้วย ให้ทรงสติรู้อยู่ ด้วยวิธีนี้จิตจะถอนออกไป เมื่อกรรมนั้นคลายออกไปหมดก็เป็นอันสิ้นกรรมตัดเวรนั้นๆ ขาดไป แต่หากมีกรรมใหญ่ที่ไม่อาจคลายได้หมด หรือกรรมที่ตัดไม่ขาดเพราะยังมีเจ้ากรรมนายเวรจองล้างจองผลาญอยู่ ก็ให้เชิญเจ้ากรรมนายเวรมาแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล และทำพิธีอโหสิกรรม ตัดเวร เพื่อเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรเสีย

    ((( วิชา ธรรมะเปิดโลก ))) - PaLungJit.com
     
  4. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    <table width="100%" border="0"><tbody><tr><td valign="middle" width="30">[​IMG]</td> <td valign="middle"> Re: กรรมฐานธรรมะเปิดโลก
    </td> <td style="font-size: smaller;" valign="bottom" align="right" height="20">
    </td> </tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" size="1" width="100%"> ชำระขันธ์เพิ่มพลังอำนาจ

    การ คลายกรรมและตัดกรรมออกไปด้วย จะทำให้ขันธ์ของท่านสะอาดโปร่งเบาขึ้น เมื่อใจสงบลง องค์ประกอบภายในอันได้แก่ กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็จะจัดเรียงตัวกันใหม่ให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้น นำมาซึ่งความมั่นคง แข็งแรง และมีพลังอำนาจ

    ความตึงเครียดทั้งหลายทั้งที่เครียดเพราะติดดี และติดเลว สามารถเอาออกจากขันธ์ได้โดยการลดความเร่าร้อนของจิตใจลง เมื่อใจสงบลงแล้ว อุณหภูมิของกายก็จะค่อยๆ ลดลง ขันธ์ต่างๆ ก็จะสงบลงระบบต่างๆ จะค่อยๆ จัดเรียงตัวกันใหม่ให้เป็นระเบียบ ช่วงนี้อาการเครียดอันแปลกปลอมอยู่ในร่างกายก็ดี ใจก็ดี จะเริ่มคลายออก ซึ่งอาจจะออกทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง

    ทางร่างกาย เช่น ชาตามมือตามเท้า เกร็งทั้งตัว สั่น แน่นหน้าอก รู้สึกเสียวไปทั่วสารพางค์กาย ปวดศีรษะ ปวดเอว เมื่อยหลัง ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากอำนาจผลกรรมของการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ประพฤติผิดในกาม และดื่มน้ำเมา เสพสิ่งเสพติด

    ทาง วาจา เช่น ร้องไห้ ร้องเพลง ส่งเสียงเอิ๊กอ๊าก ร้องด่าผู้อื่น โอดครวญคราง สารภาพผิด ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากอำนาจผลกรรมของการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ล้อเลียน

    ทางใจ เช่น รู้สึกอึดอัด มือตื้อ รู้สึกวาบหวิวเหมือนตกจากที่สูง ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากอำนาจผลกรรมทางใจที่โลภ โกรธ และหลงใหล งมงาย ขาดปัญญา

    เมื่อจิตเริ่มเป็นสมาธิ อาการเหล่านี้จะเริ่มคลายออกมา หากมีอาการใดเกิดขึ้น นักปฏิบัติไม่ต้องตกใจ ปล่อยให้มันเกิด ไม่ตาม ไม่ต้าน ทรงสติมั่นรู้อยู่ เข้าใจอยู่ว่านั่นสักแต่ว่าเป็นผลกรรม ไม่เป็นตน เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เรารู้แล้วว่าทำชั่วได้ชั่วจริง ต่อไปนี้ชีวิตเราจะไม่ทำกรรมชั่วอีกแม้แต่น้อย ตั้งใจให้แน่วแน่เด็ดเดี่ยวแล้วอาการจะค่อยๆ หายไปเอง ที่สำคัญอย่าออกจากสมาธิในขณะที่มีอาการเพราะจะทำให้อาการนั้นค้างอยู่ใน ชีวิต ควรนั่งต่อไปจนอาการนั้นหายไปจึงค่อยออกจากสมาธิ

    สมาธิควบคู่กับการงาน

    การ ประกอบการงานเป็นกุศโลบายที่สำคัญมากที่จะประคองสมาธิไว้กับจิตใจให้ ตั้งมั่นตลอดเวลา นำพลังอำนาจของสมาธิมาใช้ประกอบการงานทำให้ผลงานมีประสิทธิภาพ นำพลังอำนาจของสมาธิมาใช้ประกอบการงานทำให้ผลงานมีประสิทธิภาพ ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างราบรื่นมีความเจริญทั้งในทางโลก และทางธรรม การเจริญสมาธิควบคู่กับการงานจึงเป็นตบะที่ทุกคนควรต้องฝึกหัดบำเพ็ญให้ เป็นที่ยิ่ง

    การเจริญสมาธิควบคู่กับการงานนั้นควรบำเพ็ญสลับ ระหว่างนั่งกรรมฐาน และการออกสู่การงาน โดยนำอำนาจจิตที่เจริญขึ้นในระหว่างการภาวนานั้น มาใช้ประกอบการงานสรรค์สร้างความผาสุกให้กับสังคม เริ่มด้วยการออกจากกรรมฐานอย่างสำรวมระวัง รักษาสติอยู่เสมอในทุกๆ อิริยาบถที่เคลื่อนไหวไป อำนาจสมาธิก็จะตั้งมั่นแนบแน่นอยู่ในจิตใจ ด้วยการฝึกกรรมฐานแล้วออกมาผประกอบการงานนั้น เสมือนหนึ่งการย้อมผ้า เมื่อเรานำผ้าไปจุ่มสีแล้วก็เอาขึ้นมาตากแดด เมื่อตากแดดแรกสีย่อมจางไปบ้าง จึงเอาไปจุ่มสีอีก ตากแดดที่สองก็จางลงอีกเล็กน้อย จึงเอาไปจุ่มสีอีก จุ่มอีกตากแล้ว ตากแล้วจุ่มอีกเช่นนี้ จนสีแนบแน่นติดเนื้อผ้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน ครานี้แม้จะนำผ้าไปตากแดดสักเท่าใดสีก็ไม่เสียไป

    การฝึกกรรมฐาน แล้วออกมาประกอบการงานก็เช่นกัน เมื่อมากระทบกับปัญหาในการทำงานครั้งแรกอาจจะรู้สึกว่าจิตหวั่นไหวเสีย สมาธิไปบ้าง ก็เข้ากรรมฐานอีก เข้ากรรมฐานแล้วออกมาทำงานอีกเช่นนี้ตลอดไปในที่สุด จิตใจก็จะมั่นคงในทุกขณะของชีวิต แม้ระหว่างประกอบการงานหรือเผชิญคลื่นปัญหาที่รุนแรงเพียงใดก็ไม่ไหวหวั่น ที่สำคัญคือเมื่อออกจากกรรมฐานให้ประคองสติสัมปชัญญะไว้ด้วยความสำรวมระวัง และประกอบการงานหรือเผชิญคลื่นปัญหาที่รุนแรงเพียงใดก็ไม่ไหวหวั่น

    การ จะพัฒนาจิตใจให้ก้าวหน้าไปสู่ความสมบูรณ์ได้นั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า จะต้องบำเพ็ญเป็นที่สม่ำเสมอ ดังนั้นจะหายใจทิ้งไปทำไมเปล่าๆ เล่า ควรเจริญสติ สมาธิ ไปด้วยทุกลมหายใจดีกว่าจะได้คุณประโยชน์อันเป็นอเนกอนันต์

    ยามคิด คิดด้วยความสุขุม เปี่ยมด้วยเจตนาดีต่อสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งปวงโดยส่วนรวม
    ยามพูด พูดด้วยใจอันอ่อนโยน การุณย์
    ยามกระทำ ก็ทำด้วยใจดี มีปัญญาใคร่ครวญในทุกกิจที่กระทำ

    เมื่อ ปฏิบัติด้วยดีแล้ว การงานทั้งหมดจะสำเร็จด้วยใจ มีใจเป็นใหญ่ขับเคลื่อนอำนาจสู่การกระทำ เพื่อสร้างสรรค์งานให้สำเร็จลุล่วงด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์

    นัก ปฏิบัติควรฝึกหัดกระทำดังนี้เสมอๆ ก็จะพบความมหัศจรรย์ของชีวิต พบคุณค่าแท้จริงของจิตใจ มีอำนาจภายในตั้งมั่นอยู่อย่างไม่เสื่อมสลาย
     
  5. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072

แชร์หน้านี้

Loading...