เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

คำถามจากคุณ คอสมิคเซลส์

ความเชื่อของการเข้าไปถึงจิตใต้สำนึกโดยวิธีการต่างๆ เช่น การสะกดจิต การ ทำสมาธิ แล้วป้อนข้อมูลในจิต เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องทาง ด้านร่างกาย ปัญหาทางจิตใจ และเรื่องอื่นๆ พี่นักเขียนมีความเห็น กับความเชื่อข้างต้น อย่างไรบ้างครับ

คำตอบจากพี่นักเขียน

ก่อนอื่นพี่นักเขียนขอทบทวน คำจำกัดความของคำว่า "จิตใต้สำนึก"ของท่าน อจ.อนาลัย จิตใต้สำนึก หมายถึง คุณสมบัติของจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นอิสระจากเครื่องพราง ในขณะที่บางส่วนของจิตใต้สำนึกต้องรับมือกับเครื่องพราง ส่วนลึกของจิตใต้สำนึกเชื่อมต่อกับพื้นฐานของจักรวาลโดยตรง

จิตใต้สำนึกบรรจุด้วยข้อมูลของจิตวิญญาณที่ ปราศจากการบิดเบือน. ปราศจากเครื่องพราง และทำหน้าที่ระหว่างมิติโดยปราศจากการแบ่งแยกพรมแดน ปราศการแบ่งแยกการเป็นตัวตนเรา-เขา

จิตใต้สำนึก จึงเป็นภาวะจิตที่เป็น"ของกลาง" ซึ่งเชื่อมบุคคลตัวตนทั้งหลาย ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน - ตามธรรมชาติที่แท้จริงของต้นกำเนิดของเรา หรือตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ

พรจากท่านอจ.อนาลัย เตือนใจให้เราใช้จิตใต้สำนึกในการดำเนินชีวิต เพราะ จิตใต้สำนึกทำให้เราตระหนักได้ถึงการปราศจาก การแบ่งแยกตัวตนเรา-เขา
จิตใต้สำนึกจะทำให้เรามีความรักอันปราศจากเงื่อนไข และเต็มไปด้วยความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ด้วยการ ตระหนักได้อย่างแท้จริงในระดับจิตวิญญาณว่า เราคือ ส่วนหนึ่งของเขา และ เขา คือส่วนหนึ่งของเรา เช่น เดียวกับที่พี่นักเขียนยกตัวอย่างของการใช้ จิตใต้สำนึกของพ่อแม่ต่อลูก ที่เป็นไปตามธรรมชาติ และทำให้พ่อแม่ สามารถ"ร่วมรู้สึก"กับลูก ได้ทุกทิศทาง ไม่ใช่"ควบคุม"ลูกได้ทุกทิศทาง

แต่คำว่า จิตใต้สำนึก ที่คนจำนวนมากกล่าวถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชิง จิตวิทยา มักทำให้เราเชื่อว่า จิตใต้สำนึกเป็นภาวะจิตที่ซ่อนเร้นอยู่ ใต้จิตสำนึก
เรามักเชื่อกันว่า จิตสำนึกเป็นภาวะจิตที่เราควบคุมได้ด้วยสติสัมปชัญญะ แต่จิตใต้สำนึก เป็นภาวะที่นอกเหนือการควบคุมของสติสัมปชัญญะ. หรืออยู่ลึก
เกินกว่าที่เราจะควบคุมได้ ลึกเกินกว่าที่เราจะรู้เห็นได้ว่า เรารู้ อะไร? เห็นอะไร?

บางคนเข้าใจไปว่า จิตใต้สำนึก คือ ภาวะเดียวกันกับสัญชาติญาณใน
การอยู่รอดที่ช่วยให้เราพ้นภัย และเชื่อต่อไปอีกว่า หากเราเชื่อจิตใต้สำนึกที่เตือนให้เราระแวดระวัง หรือ"ระแวง"ผู้อื่น. เราจะปลอดภัย หรือ "รู้เท่าทัน"ผู้อื่นที่หวังร้ายต่อเรา

ในทางตรงกันข้าม ท่าน อจ.อนาลัยกล่าวว่า จิตใต้สำนึก เป็นภาวะตามธรรมชาติที่ปราศจากการแบ่งแยก หากเราใช้จิตใต้สำนึกในการดำเนินชีวิต เราจะปราศจากความระแวง แต่เต็มไปด้วยความเชื่อถือในธรรมชาติ เชื่อถือในแก่นแท้ของจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง ทุกบุคคลตัวตน พบเห็นผู้ใด-ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่กลับเป็นเสมือนญาติสนิทมิตรสหายที่ไว้ใจได้ เชื่อถือได้ และทำให้เรา รู้สึกยินดีกับความสุข ความสำเร็จของญาติมิตรทางจิตวิญญาณทุกคน เพราะความสุขความสำเร็จของเขา ก็คือของเรา

จิตใต้สำนึกจะเข้าถึง"การร่วมรู้สึก"ในนัยนี้เสมอ

คำกล่าวของท่าน อจ.อนาลัย ที่ว่า"เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วย ความเชื่อของตนเอง". จึงเป็นคำกล่าวที่เตือนใจให้เราสร้างโลกที่สมบูรณ์พูนสุข และเต็มไปด้วยความ รักอันปราศจากเงื่อนไข ด้วยการใช้จิตใต้สำนึก สร้างโลกทางกายภาพ เช่น เดียวกับที่จิตวิญญาณใช้ จิตใต้สำนึกสร้างโลกทาง จินตภาพที่ปราศจากขีดจำกัดทั้งปวง


ต่อคำถามข้างต้น พี่นักเขียนต้องขอแยกคำถามเป็นสองส่วน

ส่วนที่1: การสะกดจิต เป็นภาวะที่บุคคล"ขาดสติสัมปชัญญะ"อันคมชัด จนไม่สามารถควบคุมและรู้ตัวได้ว่า ตนเองกำลังเป็นไปอย่างไร

ส่วนที่2: การทำสมาธิ เป็นภาวะที่บุคคล"มีสติสัมปชัญญะ"อันคมชัด จนสามารถควบคุมและดำเนินการทางกาย-ทางจิต ให้เป็นไปได้ดังปรารถนา

การป้อนข้อมูลทางจิต เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องทางด้านร่างกาย ปัญหาทาง
จิตใจ และเรื่องอื่นๆเป็นไปได้ด้วยวิธีการทั้งสอง

วิธีการแรก ผู้สะกดจิตใช้ สติสัมปชัญญะอันคมชัด จนสามารถควบคุมและดำเนินการทางกาย-ทางจิต ให้เป็นไปได้ดังปรารถนา แทนผู้ถูกสะกด ซึ่ง ต้อง"ยินยอม"และ"คล้อยตาม" จึงจะสัมฤทธิ์ผล

วิธีการที่สอง ผู้ทำสมาธิ ใช้สติสัมปชัญญะ"อนคมชัด จนสามารถควบคุมและดำเนินการทางกาย-ทางจิต ให้เป็นไปได้ดังปรารถนา-ด้วยตนเอง

ความแตกต่างของวิธีการทั้งสองคือ

ผู้ที่ใช้วิธีการแรกอาจ หายป่วย แต่มักกลับไปป่วยอีก. เนื่องจากขาดความเชื่อ
ถือในพลังธรรมชาติภายในตนเอง และต้องพึ่งพาพลังภายนอกต่อไปไม่รู้จบ

ผู้ที่ใช้วิธีการที่สอง มักหายขาด เพราะตระหนักได้ในพลังธรรมชาติภายในตนเอง แม้จะป่วยลงด้วยอาการอื่นๆ ก็มักจะรักษาตนเองได้จนกลายเป็นธรรมชาติที่รักษาตนเองได้เสมอ

บางคนถามพี่นักเขียนว่า คำจำกัดความของท่าน อจ.อนาลัย แตกต่างไปจากคำจำกัดความอื่นๆที่เรารู้จัก ทำให้สับสน หรือ เข้าใจในสาระของท่านได้ยาก

พี่นักเขียนขอนำคำกล่าวของท่าน มาแนะนำว่า การทำความเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่าง จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ เราปลิดเอาความเชื่อเดิมๆทิ้งไปเสียก่อนว่า เรา"รู้"อะไร และเปิดใจให้กว้างว่า เรากำลังจะได้"เรียนรู้"อะไรต่อไป

สิ่งที่เราเคยเรียก ว่า"ความรู้เดิม". อาจกลายเป็นเพียง"ความเชื่อเดิม"ไปโดยปริยาย

ด้วยรักและปรารถนาดี
พี่นักเขียน

 

คำถามจากคุณ cell

วิธีการ ที่มีการสอนเรื่อง จิตใต้สำนึก ที่เน้นถึงผลสำเร็จ
โดยใช้วิธีการต่างๆในการเข้าถึง เพื่อควบคุมสถานการณ์ต่างๆให้เป็นดังใจผู้ฝึกนั้น
พี่นักเขียนคิดว่า สามารถทำได้จริงหรือไม่ครับ
เช่น โปรแกรมจิตให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง ให้ไม่รู้สึกกลัว ให้ประสบความสำเร็จ ให้ความจำดี เป็นต้น


แล้วตามนัยยะของท่านอาจารย์อนาลัย
การทำสมาธิเพื่อเข้าถึงจิตใต้สำนึกนั้น เป็นอย่างไรครับ



---
ตามธรรมชาติทางกายภาพ-ของโลกภายนอกที่เรารู้จัก เราเรียนรู้และฝึกฝนที่จะรับข้อมูลด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ความรู้และทักษะที่เราได้จากโลกภายนอก ทำให้เรามีความรู้และทักษะที่อยู่ในสติสัมปชัญญะอันคมชัดต่อสิ่งต่างๆอย่างเป็นอัตโนมัติ หรือเรียกว่า-มี"จิตสำนึก" เช่น เมื่อเราทำให้ผู้อื่นเจ็บหรือกระทบกระเทือนทางกาย-ทางใจ เรา"เรียนรู้"ที่จะแสดงความรู้สึกผิดและขออภัยจากผู้อื่นด้วยการขอโทษ เมื่อเราพัฒนา"ความรู้และทักษะ"ที่จะแสดงออกในทิศทางนี้แล้ว การขอโทษจะเป็นไปอย่างเป็นอัตโนมัติเสมอ เพราะความรู้และทักษะนั้นได้อยู่ใน"จิตสำนึก"หรืออยู่ในสติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอกเสมอ


ตามธรรมชาติทางจินตภาพ-ของโลกภายในที่เรายังไม่รู้จักและไม่คุ้นเคย เรา"มีความรู้และทักษะ"อยู่แล้วตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ ที่สามารถรับข้อมูลด้วยประสาทสัมผัสภายใน ความรู้และทักษะที่เรามีในโลกภายใน ทำให้เรามีความรู้และทักษะที่อยู่ในสติสัมปชัญญะอันคมชัดต่อสิ่งต่างๆหรือเรียกว่า-มี"จิตใต้สำนึก" แต่มันไม่ได้เป็นไปอย่างเป็นอัตโนมัติอีกต่อไป เพราะมันถูกครอบงำด้วยความเชื่อและสติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอก


"จิตใต้สำนึก"ซึ่งมีความรู้และทักษะอัน"ควร"จะเป็นอัตโนมัติ จึงไม่เป็นอัตโนมัติอีกต่อไป เราสามารถ"เรียนรู้และพัฒนาทักษะ"ได้อีกครั้งหนึ่งด้วยการฝึกฝน ที่จะทำให้การใช้ประสาทสัมผัสภายในเป็นไปอย่างเป็นอัตโนมัติได้ตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ เพราะความรู้และทักษะนั้นยังคงอยู่ใน"จิตใต้สำนึก"หรืออยู่ในสติสัมปชัญญะของตัวตนภายในเสมอมาและตลอดไป


"จิตใต้สำนึก" แสดงออกซึ่งแก่นแท้ของจิตวิญญาณเสมอ คือ แสดงออกซึ่งความรักอันปราศจากเงื่อนไข และความเป็นหนึ่งเดียว


เมื่อกล่าวถึงการฝึกฝน "จิตใต้สำนึก" เพื่อการบรรลุความสำเร็จ คนจำนวนมากมักนำความสำเร็จในโลกภายนอกเป็นเป้าหมาย เช่นที่คุณ Cell กล่าวถึงว่า ฝึกเพื่อควบคุมสถานการณ์ต่างๆให้เป็นดังใจผู้ฝึก โปรแกรมจิตให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง ให้ไม่รู้สึกกลัว ให้ประสบความสำเร็จ ให้ความจำดี ฯลฯ


"จิตใต้สำนึก"เป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณซึ่งเป็นอิสระจากเครื่องพรางของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ซึ่งหมายความว่า. การเรียนรู้และพัฒนาทักษะในระดับจิตวิญญาณไม่ต้องใช้เวลาและสถานที่หรือการกระทำที่ต้องเป็นไปในช่องว่างทางกายภาพ แต่เป็นไปได้อย่างฉับพลันด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด อันคมชัดและมุ่งมั่น


การฝึกฝนที่จะเข้าถึง "จิตใต้สำนึก"เพื่อบรรลุความสำเร็จทั้งหลาย เป็นได้จริง ทำได้จริง เพราะ"จิตใต้สำนึก"แสดงออกหรือปฏิบัติการด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด อันคมชัดและมุ่งมั่นจากสติสัมปชัญญะอันคมชัดของตัวตนภายใน ทำให้การบรรลุความสำเร็จเป็นไปได้เร็วและสมบูรณ์


แต่เนื่องจากเราดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้มิติของโลกทางกายภาพที่มีช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาเป็นเครื่องพราง การบรรลุความสำเร็จจึงต้องใช้เวลาและการกระทำ แต่หากเราเข้าถึงการบรรลุความสำเร็จในระดับ"จิตใต้สำนึก". เราจะรู้สึกเป็นสุขอย่างฉับพลันราวกับว่า เราได้บรรลุผลสำเร็จนั้นแล้วจริงๆ แม้ว่าเราจะต้องใช้เวลาและการกระทำต่อไปก็ตาม มันก็จะดูเสมือนว่า ใช้เวลาน้อยแต่ทำได้มากจนเหลือเชื่อ


แต่การบรรลุความสำเร็จต่างๆด้วยการใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด อันคมชัดและมุ่งมั่นของจิตใต้สำนึกของจิตวิญญาณจะเป็นไปได้ ก็ต่อเมื่อ"เป้าหมายหรือเจตนา"ตั้งอยู่บนรากฐานของความรักอันปราศจากเงื่อนไข-เท่านั้น-ไม่มีข้อยกเว้น


กล่าวคือ เราสามารถจะ มี-ได้-เป็น. ได้ดังปรารถนา เมื่อ"เป้าหมายและเจตนา"ของเราเพื่อประโยชน์สุขของตนเองและผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตนเองหรือคนรักคนใกล้ตัวหรือเพื่อพวกพ้องแต่ถ่ายเดียว โดยไม่เห็นแก่ทุกข์-สุขหรือผลกระทบต่อผู้อื่น เพราะจิตวิญญาณตระหนักดีถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน และสร้างสรรค์ทุกส่ิงทุกอย่างด้วย"จิตใต้สำนึก" - ที่สำนึกในความรักอันปราศจากเงื่อนไข สำนึกในการเป็นหนึ่งเดียวกัน สำนึกเราเป็นเขา-เขาเป็นเรา เอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือสรวมจิตวิญญาณและร่วมรู้สึกกับผู้อื่นอย่างลุ่มลึกเสมอ


ท่านอจ.อนาลัยได้สอนให้เราฝึกฝนเพื่อเข้าถึงจิตใต้สำนึกด้วยการทำสมาธิ. หรือที่ท่านเรียกว่า "การศึกษาและวินิจฉัยสติสัมปชัญญะของตนเอง" : 1. ด้วยการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ. 2.ด้วยการใช้สติสัมปชัญญะหลากหลายวิธีการที่สุดที่จะทำได้ และ
3.ด้วยการฝึกฝนใช้ประสาทสัมผัสภายใน


ทั้ง3ข้อนี้พี่นักเขียนเพียงแยกออกให้เห็นทีละส่วน แต่เวลาฝึกสมาธิตามแนวของท่านอจ.อนาลัย. ทั้ง 3 ส่วนนี้เป็นไปพร้อมกันหมดด้วยการฝึกฝนใช้ประสาทสัมผัสภายใน. ซึ่งรายละเอียดมีปรากฎในหนังสือ "ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ"-บทที่ 4 -ประสาทสัมผัสภายใน


การฝึกสมาธิในแนวของท่านอจ.อนาลัย รวมถึงการฝึกฝันอย่างมีสติ ซึ่งช่วยให้เรารู้จักตนเอง และรู้ถึงสัมพันธภาพของเรากับผู้อื่นและสรรพสิ่งทั้งหลายในระดับจิตวิญญาณ ในที่นี้ครอบคลุมถึงการรู้จักตัวตนอื่นๆของเราในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลาย-ในความฝันด้วย ซึ่งเราสามารถถ่ายทอดความรู้ความสามารถ-ในระดับจิตใต้สำนึกมาสู่ตัวตนของเรายามตื่นได้. ทำให้รู้เขา-รู้เรา รู้นอก-รู้ใน ด้วยความเชื่อใจ เชื่อถือ และมั่นใจในการให้-การรับ อันปราศจากขีดจำกัดหรือเงื่อนไขใดๆ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงปราศจากหนทางตัน และเป็นไปได้เสมอ


คำถามของคุณ Cell สั้นเพียงสามบรรทัด
แต่คำตอบทั้งหมดอาจยาวเท่ากับการสัมมนาสามวัน. ส่วนการฝึกฝนอาจจะยาวนานสามวัน-สามสัปดาห์-สามเดือน-สามปี หรือกว่านั้น. แต่เป็นสาระที่เราทุกคนควรจะลงทุนกาย-ใจฝึกฝน เพราะเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เราบรรลุผลสำเร็จในชีวิต โดยที่เราอาจจะไม่เคยตระหนักได้เลยว่า เราเคยบรรลุผลสำเร็จนั้นได้ด้วยอะไร และจะทำเช่นนั้นกับทุกเป้าหมายในชีวิตได้อย่างไร?


มีหลายท่านเสนอให้จัดสัมมนา-ร่วมฝึกสมาธิและฝึกฝันในหัวข้อ -"การเป็นอิสระแห่งความปรารถนา." ซึ่งครอบคลุมสาระและประเด็นข้างต้นนี้


หากผู้ใดสนใจเข้าร่วม กรุณา e-mail มาให้พี่นักเขียนทราบจำนวนคร่าวๆ เพื่อซาวเสียงและเตรียมแผนงาน-กำหนดวัน-เวลา


สถานที่ที่จะรองรับความเป็นไปได้นี้คือที่-เขาใหญ่ ห่างจากใจกลางกรุงเทพฯเพียง 2 ชม.


กำหนดเวลา คือ หมดฝน ซึ่งน่าจะเป็นช่วงหลังปลายเดือน พฤศจิกายน. หรือต้นธันวาคม เป็นต้นไป


ใครต้องการมาเช้า-เย็นกลับวันเสาร์หรืออาทิตย์ วันธรรมดา หรือ long-weekend


ใครต้องการค้างแรม เริ่มวันศุกร์เที่ยงตรง-จบอาทิตย์เที่ยงตรง


ใครพอใจนอนห้องพัก ห้องละ 2-4 คน


ใครพอใจนอนห้องพักรวม 6-8 คน(แยกชาย-หญิง)


ใครพอใจนอนเต๊นท์ท่ามกลางธรรมชาติ(ที่ปลอดภัย และมีห้องน้ำสะอาด-สะดวกสบาย-มีน้ำร้อนอาบ)


ขอ e-mail มาซาวเสียงกันเพื่อสร้างเส้นทางแห่่งความเป็นไปได้ร่วมกันค่ะ


การจัดสัมมนาและ workshop ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อใดๆ จะประกอบด้วย:
1. การฝึกสมาธิเป็นหลัก
2. การแสดงออกด้วยสมองซีกขวา เช่น การวาดภาพเหมือน การสร้างสรรค์งานศิลปะอื่นๆ เช่น การวาดภาพบนแก้ว บนผ้าไหม การ piant ภาพด้วยกาแฟ การปิดทองสูตรโบราณ การเต้นรำ การแต่งเพลง การเล่นดนตรี ฯลฯ เป็นวิธีการวัดผลสมาธิจิต
3. อาหารสุขภาพ
4. ธรรมชาติบำบัด


เป้าหมายหลักของการจัดสัมมนาและ workshop คือ การเติมเต็ม กาย-ใจ-จิตวิญญาณ ด้วยข้อมูลความรู้และทักษะที่เอื้ออำนวยให้ดำเนินชีวิตได้อย่างสมบูรณ์-พูนสุข เข้าถึงการมี-ได้-เป็น ที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความรักอันปราศจากเงื่อนไข


ใครมีข้อเสนอหรือหัวข้อที่อยากให้จัดสัมมนาหรือ workshop หรือมีข้อเสนอแนะอื่นๆ เชิญเสนอแนะได้เสมอค่ะ. พี่นักเขียนยินดีรับฟัง และขอขอบคุณล่วงหน้า


ด้วยรักและปรารถนาดี
พี่นักเขียน

(k)

 

workshop น่าสนใจมากๆครับ
ถ้าหากสะดวกในวันเวลาดังกล่าว
จะขอร่วมไปด้วยแน่นอน

 

เมื่อวานนี้โทรไปสอบถามพี่นักเขียนมาครับ
ขอประชาสัมพันธ์คร่าวๆไว้หน่อยนะครับ
เร็วๆนี้เราจะมีการจัด First workshop กันที่เขาใหญ่
อาจจะ 2 วัน 1 คืน หรือ 3 วัน 2 คืน (ที่ตรงกับวันศุกร์-เสา-อาทิตย์)
ซึ่งมีน้องเพื่อนๆที่ sound เสียงกันส่วนใหญ่พร้อมกันในช่วง กลางเดือนธันวา
พี่นักเขียนได้ไปสร้างบ้านและสถานที่เอาไว้แล้วในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ซึ่งตอนนี้ใกล้จะเสร็จแล้ว สามารถรองรับสมาชิกที่แวะเวียนผ่านไปผ่านมาได้ครับ
เราก็ถือโอกาสนี้ร่วมกันไป "ขึ้นบ้านใหม่" พี่นักเขียนซะเลยนะครับ


ในเบื้องต้นนี้ก็ขออาสารวบรวมรายชื่อเอาไว้ก่อน เพื่อทราบจำนวนนะครับ
การเดินทางก็ไปกันแบบง่ายๆ สบายๆ ขับรถไปเอง
ใครสนใจเข้าร่วมกิจกรรม workshop ในแบบกันเองๆก็เชิญมาลงชื่อได้นะครับ


1.Mead
2.ขจรวรรณ 3 ที่
3.Veggy Guy
4.น้องกฤติกา
5.คุณ Nut (ทีมนี้ตกลงไปแน่...)

6.Kindred
7.Falkman
8.น้องลูกเกด
9. คุณกุ้ง (ทีมนี้คงไม่พลาด---)

10.คุณเซลล์..... (เหมือนว่าจะไปได้)
11.คุณจินตวดี.... (อยากไปมากกก ใกล้ๆจะบอก)

12. Zipper......
13 Axzon....
14.คูณธรรมจิตต์
15.พี่ประสงค์
16. น้องปาล์ม
17. Deep listening (กลุ่มนี้ไส่ชื่อไว้ก่อน )

18. คุณ sarissa สองที่
19.คุณแม่นายมล
20. Dalink กับ เปิ้ล

ขอบคุณคุณ Axzon ด้วยครับมาส่งข่าวในกระทู้ให้ตลอดครับ งานนี้ไปได้รึป่าวครับ?

 

สองที่ค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ

 

คร๊าบ จองทีนั่งพิเศษไว้ให้แล้วครับคุณริสา

 

ขจรวรรณ 3 คน ( ชาย 1, หญิง 2 )
คุณประสงค์ไปไม่ได้ค่ะคุณ Mead
ไปเต้นรำกัน เหอเหอ
pig_balletpig_balletpig_ballet

 

หุหุหุ ขอสละสิทธิ์ครับ ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่

แต่ไม่เป็นไรครับเดี่ยวจะย่องไปเรียนในฝันละกัน อันนี้ไม่สละสิทธิ์แต่นอน ขอจองทุกรอบเลยครับ

ขอบคุณ คุณมีดด้วยครับ

 

หวัดดีครับคุณขจรวรรณ สบายดีนะครับ
สงสัยพี่ประสงค์จะไปค้างแรมไม่ได้...ต้องย่องไปลักพาตัวซะแล้ว อิอิ

 

ขอติดไป workshop เขาใหญ่ ด้วยคนได้รึเปล่าคะ please

 

ท่าทางท่านจะรู้มากและรู้ดีนะ ขอบคุณที่ตอบให้เข้าใจ พอดีว่าขี้สงสัยน่ะ ไม่มีอะไรมาก

 

When You Give...,Then You Get...
Open your smile, Open your inner mind.
Pick up The Grace Feeling, You'll Get all Of Love.

 

ยินดีครับ ไปรับที่เดิมนะครับ คุณสามแอมป์ ...*-*
ครั้งก่อนหาไม่เจอ ไม่รู้จะไปรับที่มิติไหนดี

มีเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ ส่งข่าวมาว่าสนใจที่จะไปร่วมกิจกรรมแบบนี้มากๆ
ถ้ากลับบ้านมาเมือไหร่ก็หาโอกาสแวะเวียนไปได้ทุกเมื่อครับ
พี่นักเขียนฯ และอนาลัยนคร ยินดีต้อนรับทุกท่านเสมอ

ช่วงนี้เมืองไทยอ่วมหน่อย เพราะเจอกับสภาพน้ำท่วมในหลายพื้นที่
ภูมิอากาศของโลกกำลังปรับสมดุลครั้งใหญ่เลยนะครับ
ทางนาซ๋าก็ออกมาเตือนว่าปีนี้อากาศจะหนาวเย็นสุดๆเป็นประวัติการณ์ด้วย
ยังไงก็ถนอมรักษาสุขภาพกันไว้ดีๆครับ

 

วันก่อนคุณเบิ้ม VeggieGuy ส่งเพลงนี้มาให้ฟัง (บอกว่ามีความหลัง)
เพลงกำลังดังแบบเงียบๆ ทำงานไปฟังไปสบายๆ เพราะดีครับ

<EMBED height=385 type=application/x-shockwave-flash width=480 src=http://www.youtube.com/v/hg1uPng8F1M?fs=1&hl=en_US allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

 

โอ้ววว ความหลังของผมโดนสะกิดโดยคุณ Mead ซะแล้ว 555
วันก่อนที่พี่จุ้ยมาขอนแก่นก็ร้องเพลงนี้แหละครับ (แทนที่จะร้องเพลงขอนแก่นเนาะ)
แต่ฟังสดๆ ที่งานได้อารมณ์มาก ระบบแสง สี เสียงดีมาก เกือบน้ำตาร่วง แค่ซึมๆ อิอิ

 

สบายดีค่ะคุณ Mead ยังอ้วนปุ๊กเหมือนเดิม ฮี่ฮี่^_^

เอ.. ตอนนี้แถวบ้านพี่นักเขียนน้ำท่วมรึเปล่าน้อ?
เห็นเพื่อนที่ปักธงชัยบอกว่าน้ำท่วมถึงชั้น 2 ของ Seven เรยอ่ะ:boo:

 

มีใครยังอยู่ในกระทู้นี้มั้งเอ่ยยย
ผมงงกับมิติความฝัน
ไม่รู้จักปรึกษาใคร

 

ผมเข้าไปอ่านหนังสือไม่ได้ครับ เว็บไปไหนแล้ว

 

หวัดดีครับ นานมากเลยไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดของผมแห่งนี้ คงสบายดีกันทุกคนนะครับ แล้วเจอกันที่อนาลัยนครนะครับ
รักและคิดถึงเสมอนะครับ (kiss)

 

โผล่หน้าเข้ามาพบกับความว่างเปล่า