เชื่อไปเลยได้ไหมว่ารูแนามขันธ์มีเกิดดับจะเร็วขึ้นไหมฮับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 21 กุมภาพันธ์ 2019.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    เชื่อไปเล้ยที่พระพุทธเจ้าตรัสรูปนามขันธ์ 5
    เกิดดับทั้งหมด( รูป เวทนา สัญญา สังขาร
    วิญญาณ)
    ไม่ต้องไปเสียเวลาพิสูจน์
    แค่เลิกยึดติดไปให้หมดอยู่กับความไม่มีอะไรใจว่างๆ ไปเลย
    เพราะท่านพิสูจน์มาหมดแล้ว
    จึงมาสอนให้เราเลิกยึด เเต่เพราะเราไม่เชื่อ
    เลยยุ่งเลยเหนื่อยถูกไหมฮับ
     
  2. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ถะ ถะ ถูก ถูก.......ถูกต้องแล้วคร๊าบบบบบบบบบบบ
    ท่านบอกที่ง่ายๆ เพราะท่านพิสูจน์มาแล้วทั้งหมด
    แต่..เพราะอวิชชาในตัวคน จึงไม่พากันเชื่อง่ายๆ

    ก็เลย...ต้อง พิสูจน์เอง..แล้วก็เอามาเถียงกัน อีก วุ่นวาย..
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    งั้นก็ต้องเข้าใจต่อไปว่า
    กิจวัตรต่อไปคือวางสิ่งที่เกิดขึ้น
    กับจิตทุกอย่างโดยไม่ต้องเอาตัวเราหรือตัวใคร
    ไปใช้ความพยายามปล่อยวาง
    เพราะทุกอย่างมันเกิดดับ เกิดดับ
    แม้ร่างกายที่หลงว่าเป็นเรามันก็มีเกิดมีดับ
    ตลอดเวลา ท่านสอนให่วางให้ปล่อย
    ไม่ให้ยึดไม่ให้ไปคิดว่ามันจะยืนยาว
    ( คนละเรื่องกับปล่อยให้โทรมซีดเซียวนะฮับ)
    ตรงนี้ท่านวรณ์นิต้องเสริมช่วยให้ชัดเจน
    ขึ้นด้วยฮับ
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    พูดเอง ก็ขยายความ เองสิครับ จะมายกให้ผมดื้อๆ ได้ไง

    เอาย่อๆ ว่า พระองค์ท่าน สรุปลงมาที่สามข้อ
    การไม่ทำบาปทั้งปวง (ละชั่ว)...ศีล
    การทำกุศลให้ถึงพร้อม (เพื่อลืม ละ ความชั่ว)...สมาธิ
    ชำระจิตของตนให้ขาวรอบ (เพื่อความเป็นปกติของกายใจ)..ปัญญา

    แต่คนเรามัน เคยทำ เคยตัว ลืมไม่ได้ อดกลั้นไม่ได้..ตามคำสอน
    เพราะเชื่อง่ายๆไม่เป็น ต้องลอง ต้องพิสูจน์ เพราะไม่เชื่อใจคนอื่นง่ายๆ
    แม้ตนเองมันยังไม่เชื่อใจ ไม่แน่ใจในตนเอง

    สิบปากว่า ก็ว่า ไม่เท่าตาเห็น
    สองตาตนเองเห็น ยังต้องของลองจับ
    ลองจับแล้ว ยังต้องลองกิน
    พอกินแล้ว ใจใครใจมัน...ก็เถียงกันอีก
    จะเอาอะไรกับ อวิชชา..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2019
  5. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าท่านสอนก็คือ...ให้หมดความยึดมั่นถือมั่นในธรรมชาติทั้งหลาย....แค่นี้เอง..ทำกันได้มั้ยล่ะ.?
     
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ที่พากัน หมด ความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้..ติดที่ตัวเดียว เท่านั้นแหล่ะ..อวิชชาไง

    อวิชชา...ความไม่รู้...ไม่รู้อะไร.?

    ก็ไม่รู้ว่า มันคือเหตุแห่งทุกข์ ไง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2019
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    เหมือนตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านยกตัวอย่าง
    เรื่อง เชือกที่ไกล้ไฟ มันจะหดตัวหนีไฟเอง เพราะมันกลัวโดนไฟไหม้

    แต่คนเรานี่สิ...ไม่ยักกะกลัวความชั่ว ความผิด ความไม่ถูกต้อง...ก็โดนกันไง
     
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ข้าฯขยายได้อย่างมีขีดจำกัด
    จึงวอนท่านช่วยเสริมจะเกี่ยงงอนทำหยัง
    แต่ท่านมา
    เต็มที่แล้วมันก็ยังไม่อาจทำให้หลายคนเสทือน
    ใจหรือปล่า??
    เพราะยังสั้นไปอยู่ดี
    ถ้าใครสนใจขยายความแบบไร้ขีดจำกัด
    ข้าฯชี้แนะไปพบคำสอนจากหลวงตาฯ
    ที่ไม่มีอาการ
    ฉุนเฉียวเกี่ยงงอนมาเจือปน
    บางทีฟังแล้วน้ำตาไหล
    เพราะความโล่งโปร่งเบามันเกิดขึ้นฉับพลัน
    ทันทีฮับ
    ขอเชิญหลังไมค์มาเลยฮับ ใจท่านต้องเสทือน
    และเบาลง
    อย่างแน่นอนฮับ
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา....สิ่งไม่เที่ยงทั้งหลายเป็นทุกข์....เชื่อมั้ยล่ะ
    แล้วในธรรมชาติ มีอะไรเที่ยงบ้างล่ะ ไม่มี...เชื่อมั้ยล่ะ

    นิพพานมันก็ไม่เที่ยง..เพราะอะไร เพราะตัวเราไม่เที่ยงไง..
    นิพพานคือสัจธรรมความจริง...ความจริงของความไม่เที่ยงทั้งหลาย
    ยังจะพากัน เอานิพพาน เอานิพพาน..ใครสอนให้ไปเอานิพพาน
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ไช่.ผมไม่ไช่หลวงตา
    ผมลิงแสม....ผู้น่ารัก...ตาย
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ถ้านิพพานเป็นสภาวะที่ยังเกิดได้ ดับได้
    ก็ไม่มีใครสนใจ
    แต่เพราะมันเป็นสภาวะปรมัง สุญญัง
    จึงน่าเข้าถึงด้วยการหยุดยึด
    ทุกอย่างที่เกิดๆดับๆ
    ที่สุดของศาสนาพุทธคือนิพพาน
    แต่จะเข้า
    ถึงได้ต้องหยุดไขว่คว้าฮับ
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    หลวงปู่ดูลย์ได้กล่าวไว้ว่าในเรื่อง จิต คือ พุทธะ "เขาไม่รู้ว่า
    ถ้าเขาเอง เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหา(ตัณหา) เสียเท่านั้น พุทธะก็ปรากฎตรงหน้าเขา เพราะว่า จิต นี้คือ พุทธะ นั่นเอง และพุทธะ คือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง และสิ่งๆนี้
    เมื่อปรากฎอยู่ที่สามัญสัตว์ จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฎอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่"

    การหยุดคิดปรุงแต่ง ก็เพื่อเป็นการปฏิบัติไม่ให้เกิดเวทนา..อันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา..อันเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน..อันเป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส(เป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง), หมดความกระวนกระวายเพราะความแสวงหา(ตัณหา)

    นิพพานจึงไม่ต้องทําให้เกิดขึ้น
    หรือสร้างขึ้นแต่อย่างใด เ
    พราะไม่ได้เกิดแต่เหตุปัจจัย เพียงแต่เป็นการนําเหตุปัจจัยอันทําให้จิตหม่นหมองนั้นออกไป หมายถึงจิตเดิมแท้ๆนั้นบริสุทธิ์อยู่แล้ว
    การนําออกและละเสียซึ่งกิเลสตัณหาไม่ใช่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดนิพพาน
    เพราะดังที่กล่าวนิพพานไม่ได้เกิดแต่เหตุปัจจัย แต่เป็นเพียงคําอธิบายแนวทางปฏิบัติให้พบจิตเดิมแท้อันขุ่นมัวเศร้าหมองเพราะเหตุปัจจัยจากภายนอก เช่นการความคิดนึกปรุงแต่งอันเป็นเหตุปัจจัยภายนอก
    อันเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา,อันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา..อุปาทาน..ภพ..อุปาทานทุกข์..และกิเลสตามลําดับตามวงจรปฏิจจสมุปบาท
    อันต่างล้วนจริงๆแล้วเป็นเหตุปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบสัมผัสกับจิตเดิมแท้ที่ปภัสสรแล้วเกิดการคิดนึกปรุงแต่งต่างๆนาๆ

    การปฏิบัติใดๆที่เป็นการก่อ หรือสร้างสมสิ่งหนึ่งสิ่งใดเช่นสมาธิ ฌาน ถือศีล หรือทําบุญ อิทธิฤทธิ์ ทรมานกาย
    จึงยังไม่ใช่หนทางการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง บางข้อเป็นเพียงบาทฐานหรือขุมกําลังหรือเป็นขั้นบันไดในการสนับสนุนการปฏิบัติในขั้นปัญญาเท่านั้น,
    อันควรจักต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องด้วย อันจักต้องเป็นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดนิพพิทาเพื่อการนำออกสิ่งที่ทำให้เกิดการขุ่นมัวออกไปเท่านั้น

    จักต้องเป็นการปฏิบัติในขั้นปัญญาเท่านั้น อันมีบาทฐานของศีล สติ สมาธิเป็นเครื่องส่งเสริม เพื่อนําออกและละเสียซึ่งความคิดนึกปรุงแต่งอันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกิเลส ตัณหาอันล้วนเป็นปัจจัยที่ยังให้เกิดอุปาทาน,
    ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสิ่งปรุงแต่งต่อจิตพุทธะหรือจิตเดิมทั้งสิ้น, จึงเป็นหนทางพ้นทุกข์อย่างแท้จริงและถาวร
    จึงมิใช่การปฏิบัติโดยการเมาบุญหรือฌานสมาธิแต่ฝ่ายเดียว

    ดังนั้นเมื่อ นําออก และ ละเสีย ซึ่ง กิเลส, ตัณหา และอุปาทาน ซึ่งย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้ดับความทุกข์หรืออุปาทานขันธ์๕ ตามมา เมื่อนั้น

    "นิพพานอันเป็นสุข ที่ถูกบดบังซ่อนเร้นอยู่ในจิตเดิมหรือธรรมชาติ ก็จักปรากฏขึ้น"
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ขอกด...ไม่เห็นด้วย...อินฟินิตี้ครั้ง..ครับ เพื่อบูชาแด่พระธรรม

    ไม่เคยได้อ่าน ไม่เคยได้ยิน มาก่อนเลยว่า..จิตคือพุทธะ
    พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน.น่าจะหมายถึง ความเป็นมนุษย์ ที่มีกายใจ เป็นพุทธะ...มีชีวิตเป็นพุทธะ....นี่แค่น้ำจิ้ม เดี๋ยวจะแย้งเป็นข้อๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2019
  14. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    1.เพียงแค่หยุดความคิดปรุงแต่ง ....
    หยุดยังไง ถ้ายังไม่ตาย.?...

    2.แล้วถ้าหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหา(ตัณหา)..พุทธะก็อยู่ตรงหน้า.....
    หยุดการแสวงหาเท่านั้นหรือ หยุดยังไง.?

    3.การหยุดความคิดปรุงแต่งเพื่อไม่ให้เกิดเวทนา ไม่เกิดกิเลสตัณหา อุปทาน ก็จะหมดความกระวนกระวายเพราะหมดตัณหา นิพพานจึงไม่ต้องทำให้เกิดขึ้นหรือสร้างขึ้นแต่อย่างใด เพราะนิพพานไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัย แค่นำเหตุปัจจัยที่ทำให้จิตมัวหมองนั้นออกไป จิตเดิมแท้ๆมันก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว

    พุดเหมือนกันกับพวก ดับห่วงโซ่ตรงไหนก็ได้ แล้ววงจรจะดับลง
    มันมาแปลกตรงที่ให้หยุดความคิดปรุงแต่ง...

    ใครคิด..? แล้วจะหยุดตัวที่คิดปรุงแต่งนี้ยังไง.?
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    4.การนำออกและละเสียซึ่งกิเลสตัณหา ไม่ไช่เหตุปัจจัยให้เกิดนิพพาน

    คำสอนตรงนี้ ขัดแย้งกับ อริยสัจสี่โดยชัดเจน..เพราะ ในอริยสัจ ตัณหา คือสิ่งที่ต้องละวางหนีทิ้ง มันไป

    5.นิพพานถูกทำให้มัวหมองเพราะปัจจัยภายนอก จึงทำให้เกิดวงจรปฏิจจสมุปบาท ทำให้จิตเดิมแท้ มัวหมอง

    ตกลงที่ว่ามาคือ นิพพานมัวหมอง.? หรือจิตเดิมแท้มัวหมอง.?
    ตกลงว่า จิตเดิมแท้คือ นิพพาน งั้นหรือ.? (ตลกมวกๆ)
     
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    6.การปฏิบัติใดๆที่เป็นการก่อ สร้าง สะสมสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น สมาธิ ฌาณ ถือศีล ทำบุญ อิทธิริด ทรมานกาย(ทานข้าวมื้อเดียวด้วยมั้ย.?) จึงไม่ไช่หนทางการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง บางข้อเป็นเพียงบาทฐาน เพื่อสนับสนุนในขั้นปัญญาเท่านั้น

    โห...นี่มัน โพดแท้ๆๆๆๆๆ...ตรงที่ว่ามันไม่ไช่หนทางการดับทุกข์ที่แท้จริง
    สงสัยจะมาสายเดียวกันกับพวก ก่อนจะตายให้นึกว่า...จะไปนิพพานๆๆๆๆ...ก็ได้ไปง่ายๆ เอางี้สิ...ขายตั๋ววีไอพีเลย ห้องแอร์ น้ำร้อนน้ำเย็น
    ไม่ต้องถือศีล ไม่ต้องฝึกสติปัฏฐานสี่ ไม่ต้องสนอริยสัจสี่ ไม่ต้องสนมรรคแปด
    แค่....หยุดความคิดปรุงแต่ง (ตายงั้นเหรอ คนตายไช่มั้ยที่หยุดคิดปรุงแต่ง)
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    เฮ้ ท่านกล้วยสุก...นี่เป็นคำสอนของ...ท่านคนนี้จริงๆหรือ...ถ้าสอนแบบนี้ นี่มัน
    สาวก แก้ไขพระธรรม สอนธรรมโดยขัดแย้งกับพระศาสดาเลยเชียวนา..หูย..ยังมีคนเชื่อเนาะ

    คือถ้าอย่างนั้นก็สรุปว่า
    รักษาศีลไปทำไมกัน
    ทำสมาธิ ไปทำไมกัน
    บวชเป็นพระ อดข้าว โกนหัวไปทำไมกัน
    เดินจงกรม เดินธุดง ให้ลำบากไปทำไมกัน

    สรุปเจ๋งๆว่า....แล้วจะมาหยุดความคิด ไปทำไมกัน.?
     
  18. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    7.ดังนั้นเมื่อนำออกและละเสียซึ่งกิเลสตัณหา อุปทาน ย่อมเป็นเหตุให้ดับทุกข์หรืออุปทานขันธ์ห้าตามมา เมื่อนั้น..นิพพานอันเป็นสุขที่ถูกบดบังซ่อนเร้นอยู่ในจิตเดิมหรือธรรมชาติ ก็จักปรากฏขึ้น

    อืม...หยุดความคิดปรุงแตง เพื่อไม่ให้เกิดเวทนา ..ที่รูปนามสินะ.?
    แค่หยุดความคิดปรุงแต่ง ก็ดับทุกข์ หรือดับอุปทานขันธ์ห้าได้เลยงั้นสิ.?
    เมื่อนั้นนิพพานที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตเดิมแท้ จักปรากฏ..มิน่าล่ะ นางจิตยิ้ม เขาเลยไปพบกับจิตเดิมแท้ อันเป็น องค์ธรรมโลกุตร ไปพบกับจิตจักรวาล..ไปโน่น...
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    พูดก็พูดนะ..นิพพานไม่เคยถูกซ่อนเร้น...เลยสักนิด
    และนิพพานก็ไม่ได้เป็นจิตเดิมแท้บ้าบออะไรด้วย

    แล้วตรงไหนที่บอกว่าเป็นการหมดซึ่ง ความยึดมั่นถือมั่นล่ะ ตรงไหน.?
    นิพพานมันมีอยู่ก่อน โลกเสียอีก โลก และวัฏสงสารต่างหาก ที่มันมาเกิด แทรกในนิพพาน ..นิพพานคือการไม่มีอัตตา...การเกิดจิต เกิดโลก เกิดวัฏสงสารคือการเกิดของอัตตา เกิดอัตตาบนความอนัตตาของ นิพพาน ต่างหาก

    เออ..สอนแบบนี้ก็มีด้วย มิน่า นางจิตยิ้มจึงเพี้ยน ไปพบองค์จิตจักรวาล
     
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ว่าแต่ท่านกล้วยสุก...ทดลองหยุดความคิดปรุงแต่งได้นานแค่ไหนอ่ะ
    แปลว่าท่านหยุดผัสสะใจ..ได้นานแค่ไหน...?

    สอนกันแบบนี้สิน่า...แล้วแบบนี้ พระไตรปิฏ จะมีไว้ทำไม.?
    คำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง อริยสัจสี่ จะมีไว้ทำไม.?
    อวิชชา ก็ไม่ต้องไปดับมันแล้ว. ละชั่ว ทำกุศล ก็ไม่ต้องงั้นสิ.?

    แค่หยุดความคิดปรุงแต่ง...ก็เป็นการชำระจิตให้ผ่องแผ้ว...พบนิพพานในจิตแล้ว...เย้ๆๆๆๆ.....จิตเดิมแท้...เย้ๆๆๆๆ จิตจักรวาล...เย้ๆๆๆๆๆนิพพานในจิต

    แอ่ะ...คำเดียวพอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...