เชื้อสายครุฑหรืออดีตสัตว์ในหิมพานต์ มาแลกเปลี่ยนเรื่องป่าหิมพานต์กันคะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ม่อนดอยด์, 11 มกราคม 2011.

  1. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    สำหรับเรื่องขอบริจาคเลือดเราอยู่เชียใหม่ กรุ๊ปโอ คงไปไม่ถึง แต่ว่าช่วยส่งเมล์ให้เพื่อนๆที่รู้จักไปบ้างแล้วนะคะ

    น้อง yayas วันนี้มาหลายแนวมากมาย ปรับอารมแทบม่ายทัน ว่าแต่ ไอ่รอยๆที่มนุษต่างดาวทำไว้นั่น แปลก นะคะมันมีทั่วโลกเลย แล้วก็ยังไม่มีใครมาบอกสักคน ว่าคืออะไร มีที่มาจากไหน แล้วใครเป็นคนทำ อย่างที่ว่า โลกใบนี้มีอะไรอีกมากมายที่เราไม่รู้ คะ
     
  2. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    <DD></DD><DD><DD>วันนี้กระทู้ที่หญิงทิพย์ตั้งขึ้นมาอาจจะดูน่ากลัวสำหรับบางคน นี่เป็นครั้งที่สองที่ต้องมาพิมพ์ใหม่ทั้งหมด เพราะโพสไม่ติดคะแล้วหายไปหมดเลย แต่ตั้งใจจริงๆที่จะเผยแพร่ข้อมูลเรื่องนี้คะ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หญิงทิพย์อยากจะทำมัน คือการบริจาคร่างกาย หรือ อวัยวะ แต่ด้วยความสัตย์จริงหญิงทิพย์ยังไม่กล้าพอและกลัวทางบ้านไม่อนุมัติด้วย หลายปีแล้วที่ใบรับบริจาคร้างกายถูกเก็บไว้ในห้อง และด้วยสิ่งที่ผ่านเข้ามาหลายครั้งหลายคราในชีวิตทำให้เราได้สัมผัสจากคนใกล้ตัว เห็นการรอคอยที่นานแสนนานของผู้รออวัยวะจากผู้บริจาคให้มาถึงช่วงเวลาของตนเอง มันเต็มไปด้วยการรอคอยที่แสนทุกข์ทรมารและเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน และเต็มไปด้วยความสุขภายหลังได้รับมา เราเห็นแล้วสงสารคะในเมื่อร่างกายของเราหากหมดลมไปแล้ว ดวงตาของเรายังทำให้อีกคนหนึ่งมองโลกสวยงามได้ต่อ หรือ หัวใจเรายังเต้นอยู่บนโลกนี้ในร่างกายของอีกคนที่เขามีเวลาอยู่บนโลกนี้ต่อ หญิงทิพย์มั่นใจว่าในสักวันหนึ่งสิ่งที่ต้องการจะทำนี้จะต้องเป็นจริงคะฃ<DD>** เป็นกระทู้แรกที่ไม่มีรูป เกรงในน้องๆ คระ อิอิ



    <DD>
    <DD>______________________________________


    <DD>
    การบริจาคทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระพุทธเจ้า

    ทาน ตามที่ทราบกันทั่วไปนั้น มี 3 ประเภทใหญ่คือ
    1 วัตถุทาน
    2 ธรรมทาน คือ การให้ความรู้หรือธรรมะ
    3 อภัยทาน ทานที่เรามักจะลืมนึกถึง ทั้งที่ไม่ต้องใช้สิ่งของมีค่ามีราคาใดๆ






    นอกจากนี้ยังมีทานที่ให้ได้ยากที่สุด เรียกว่า ปัญจมหาบริจาค ซึ่งเป็นบารมีที่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ได้ทรงกระทำบำเพ็ญ มหาบริจาค ๕ อย่างได้แก่
    1. ธนบริจาค (ทรัพย์)ทรงบริจาคทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของ แม้กระทั่งข้าทาสบริวารให้เป็นทานได้ไม่เสียดาย มีจิตใจเปี่ยมด้วยทานกุศลด้วยศรัทธา ทั้งก่อน ทั้งขณะและภายหลัง เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
    2. อังคบริจาค (อวัยวะ)ทรงเสียสละอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย กระทั่งเนื้อ หัวใจ นัยน์ตา ควักให้คนอื่นนับไม่ถ้วน โลหิตสละให้แก่คนอื่นนับไม่ถ้วน แม้ศีรษะของพระองค์ได้ถวายให้เป็นทานแก่ผู้อื่นมาแล้วนับไม่ถ้วนเช่นกัน เพื่อยังพระบารมีให้เต็ม
    3. ชีวิตบริจาค(ชีวิต) แม้ชีวิตก็ทรงบริจาคสละให้เป็นทานได้และทรงสละให้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
    4. ปุตตบริจาค(บุตรธิดาผู้เป็นที่รัก) บุตรก็ทรงบริจาคได้และทรงบริจาคมาแล้ว
    5. ทารบริจาค(ภรรยาผู้เป็นที่รัก) ภรรยาก็ทรงสละได้ ให้เป็นทานได้ ใครมาขอให้ไปหมดในสมัยที่เสวยพระชาติเป็นพระมหาเวสสันดรท่านบริจาคให้หมดแม้บุตร ภรรยา ซึ่งเสมอด้วยลมปราณ ก็บริจาคเสียสละ
    มหาทานทั้ง 5 ประการนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งเพราะเป็นวิสัยของนิยตโพธิสัตว์เท่านั้นที่จะทำได้ ถือเป็นด่านทดสอบที่สำคัญในการ วัดกำลังใจก่อนที่จะตรัสรู้ การจะบรรลุเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า นอกจากสละสิ่งที่มีค่าแล้วยังต้องสละสิ่งที่เป็นที่รักด้วย หากพระองค์ไม่ยอมเสียสละจนถึงที่สุดแล้ว ก็จะไม่สามารถ"รื้อผัง แห่งความผูกพัน"ไปได้ เพราะการไปสู่ทางสายกลางนั้น จะต้องไม่ติดข้องในอะไรเลย

    .............................................................

    อาจารย์ใหญ่ ผู้มอบร่างไร้วิญาณเป็นวิทยาทานให้แก่ศิษย์
    มหากุศลทานครั้งยิ่งใหญ่ ในบทสุดท้ายของความเป็นมนุษย์



    ทำอะไรกับร่างไร้ลมหายใจ





    <DD>กระบวนการจัดการศพเริ่มต้นเมื่อญาติของผู้อุทิศร่างกาย แจ้งข่าวการเสียชีวิตมายังโรงเรียนแพทย์ หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบคือ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ เจ้าหน้าที่จากภาควิชาจะเดินทางมาฉีดยาให้ศพ โดยใช้เข็มฉีดยาขนาดใหญ่ปักไว้บริเวณหลอดเลือดแดงต้นขา จากนั้นจะปั้มน้ำยารักษาศพจากขวดผ่านปลายเข็มเข้าสู่ร่างที่ไร้ลมหายใจ การฉีดยารักษาศพของผู้ที่จะมาเป็นอาจารย์ใหญ่ต้องดำเนินการ โดยบุคคลเหล่านี้เท่านั้น แม้ว่าผู้อุทิศร่างกายจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ซึ่งสามารถจะฉีดน้ำยารักษาสภาพศพได้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่า ศพจะได้รับน้ำยามากพอและทั่วถึงทุกส่วนในร่างกาย ซึ่งอาจต้องใช้น้ำยารักษาศพเป็นปริมาณมากถึง 10 ลิตร ในขณะที่การฉีดน้ำยารักษาศพทั่วไปใช้น้ำยาเพียง 5 ลิตรเท่านั้น เจ้าหน้าที่ผู้ฉีดยามักจะทราบเองโดยประสบการณ์โชกโชนของเขาว่า ฉีดน้ำยาเท่าไรจึงจะเพียงพอ สภาพที่จะบ่งบอกได้คือ ศพแข็งเป่ง เนื้อแน่น ปฏิบัติการนี้ควรทำให้เร็วที่สุดหลังจากผู้อุทิศร่างกายเสียชีวิต ซึ่งโดยทั่วไปมักจะกำหนดว่า ญาติควรจะแจ้งข่าวให้โรงเรียนแพทย์ทราบ ภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากเสียชีวิต เพื่อให้ศพอยู่ในสภาพสด ยิ่งสดเท่าไร สภาพศพหลังการเก็บรักษาก็จะยิ่งเหมาะสมที่จะใช้ในการชำแหละยิ่งขึ้นเท่านั้น สภาพของอาจารย์ใหญ่ที่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อจะมีสีขาวหรือสีอ่อน เนื้อนุ่ม แต่หากทิ้งไว้นานจนศพมีการเปลี่ยนแปลงไปมากก่อนที่จะได้รับการฉีดยา สภาพอาจารย์ใหญ่ที่ได้จะดำและแข็ง ทำให้ชำแหละได้ยากขึ้น <DD>หลังจากฉีดยาเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่อาจรับศพกลับไปเลย แต่หากญาติจะขอศพไว้บำเพ็ญกุศลก่อนก็ทำได้ เมื่อเสร็จพิธีแล้วจึงนำส่งคืน ในระหว่างนี้ศพจะถูกจัดให้นอนอยู่ในท่าปกติ ไม่มีการมัดตราสังข์ <DD>และเมื่อร่างกายของผู้บริจาคส่งคืนมาถึงมือเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ขั้นตอนนี้จะเป็นการนำศพลงแช่น้ำยาในบ่อดองศพ แต่ก่อนนำลงบ่อดอง อาจมีการฉีดน้ำยาเพิ่มเข้าไปอีกหากจำเป็น และต้องติดรหัสหมายเลขประจำตัวให้ตรงกับรายชื่อในแฟ้มประวัติ ของผู้บริจาคร่างกาย ศพจะแช่อยู่ในบ่อนี้ไม่ต่ำกว่า 1 ปี เพื่อให้น้ำยาเข้าสู่ทุกส่วนของร่างกายอย่างทั่วถึงจึงจะนำมาใช้เรียนได้
    <TABLE><TBODY><TR><TD></TD><TD width="2%"></TD><TD><DD>ขั้นตอนที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นกรณีของการบริจาค ร่างกาย "ทั้งตัว" แต่หากต้องการบริจาคเพียง "กระดูก" ก็จะมีรายละเอียด ที่แตกต่างกันออกไป คือ เมื่อผู้บริจาคกระดูกเสียชีวิต ศพของบุคคลเหล่านี้ จะไม่ได้รับการฉีดยาใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากยารักษาศพ จะทำให้กระดูกมีน้ำมัน เจ้าหน้าที่จะรับศพมาชำแหละ เพื่อเก็บกระดูกและอวัยวะบางส่วน มาใช้ในการศึกษาเลย อวัยวะที่เหลืออาจจะดองใส่ภาชนะ ให้ญาตินำไปทำพิธี หากญาติแจ้งความจำนงว่า ให้ทางหน่วยงานเป็นผู้จัดการให้ ชิ้นส่วนเหล่านี้ ก็จะถูกเก็บรวบรวม นำไปเผาต่อไป
    <DD>หลังจากนั้นกระดูกทุกชิ้นจะถูก "ดองน้ำ" เพื่อให้ชิ้นส่วนเนื้อเยื่อ </DD></TD></TR></TBODY></TABLE>ต่างๆ ที่ยังหลงเหลือติดกระดูกอยู่เน่าเปื่อย หลุดออกไป แล้วนำไปใส่ในน้ำด่าง ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายๆ ผงซักฟอก อุ่นให้ร้อนมากและนานพอที่จะทำให้เนื้อเยื่อที่ติดกระดูกยุ่ยออกมา แล้วจึงนำไปขัดด้วยแปรงเพื่อให้เนื้อเยื่อหลุดออกจากกระดูกอย่างหมดจดจริงๆ ขั้นตอนต่อมาเป็นการล้างให้สะอาด และนำไปตากให้แห้ง ถ้าตากแห้งได้ภายในวันเดียว กระดูกที่ได้จะแลดูขาว เหมาะที่จะนำไปเรียน

    <DD>กระดูกที่เลาะออกมาล้างทำความสะอาดและตากแห้งแล้วนี้ จะอยู่ในสภาพเป็นชิ้นๆ จึงต้องมีงานในขั้นต่อมาคือ การร้อยกระดูกให้กลับคืนเป็นโครงร่างคนเหมือนเดิม <DD>วารินทร์ โตสารภี เจ้าหน้าที่ประจำ ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ผู้มีประสบการณ์อันยาวนานเกี่ยวกับการจัดวางร่างกายของผู้บริจาค และเชี่ยวชาญเรื่องร้อยกระดูก เล่าให้ฟังว่า "กว่าจะประกอบกระดูกเสร็จ 1 คน ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ถ้ารวมตั้งแต่ แล่ ทำความสะอาด ก็จะถึง 3 เดือน เวลาประกอบก็ใช้วิธีเอาลวดมายึดระหว่างกระดูก บางอันครึ่งวันแล้วก็ยังร้อยไม่เสร็จ เพราะเราต้องเอาลวด ร้อยจากรูหนึ่งไปโผล่อีกรูหนึ่ง ต้องใจเย็น เราจะเขียนรหัสกำกับไว้ ที่กระดูกทุกชิ้น กันหาย ถ้าอันไหนหลุดมาเราก็จะรู้ว่า กระดูกชิ้นนี้เป็นของใครเมื่อถามถึงส่วนที่ร้อยยากที่สุด คุณวารินทร์ตอบอย่างไม่ลังเล "มือกับเท้าครับ เพราะกระดูกเยอะ กว่าจะประกอบกันได้ก็ใช้เวลานาน" แต่การร้อยกระดูกก็ไม่ได้ทำกันบ่อย เมื่อร้อยแล้วโครงกระดูก 1 โครง สามารถใช้เป็นอุปกรณ์การเรียนไปได้นานเป็นสิบปี
    </DD>




    <DD>บนเตียงเหล็ก ในห้องเรียน
    <DD>ช่วงก่อนเปิดเทอมในราวเดือนพฤษภาคมของทุกปี ถือเป็นช่วงงานหนักของบรรดาเจ้าหนาที่กายวิภาคประจำ โรงเรียนแพทย์เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นช่วงที่จะต้องนำร่าง ของผู้บริจาคร่างกายขึ้นจากบ่อดองตามจำนวนที่ต้องใช้ในปีการศึกษานั้นๆ โดยนำขึ้นตามลำดับก่อนหลัง ส่วนร่างที่เหลือหรือยังแช่ไม่ครบกำหนด ก็ยังคงอยู่ในบ่อดองต่อไป จำนวนอาจารย์ใหญ่ในโรงเรียนแพทย์แต่ละแห่ง จะแตกต่างกันไปตามจำนวนนักศึกษา อย่างเช่น ในแต่ละปีการศึกษา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล จะต้องนำร่างอาจารย์ใหญ่ ขึ้นจากบ่อดองประมาณ 100 ท่าน ส่วนวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้า จะนำอาจารย์ขึ้นจากบ่อประมาณ 30 ท่านเท่านั้น โดยสัดส่วนระหว่างอาจารย์ใหญ่กับนักศึกษาแพทย์นั้นอยู่ที่ 1 ต่อ 4 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุด แต่ในโรงเรียนแพทย์บางแห่งที่ยังมีอาจารย์ใหญ่ไม่เพียงพอ จำนวนนักศึกษาต่ออาจารย์ใหญ่ 1 ท่านอาจมากกว่านี้


    <DD>ร่างของอาจารย์ใหญ่ ห่อหุ้มด้วยผ้าพลาสติก ถูกลำเลียงเข้ามาวางบนเตียงในห้องปฏิบัติการวิชากายวิภาคศาสตร์ รอคอยการมาเรียนของลูกศิษย์ ซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 2 อย่างเงียบสงบ


    <DD>ยังไม่ทันที่จะก้าวไปถึง กลิ่นฟอร์มาลินอันตลบอบอวล ก็ล่องลอยออกมาต้อนรับพวกเราก่อน โครงกระดูกหลายโครง แขวนอยู่กับเสาสเตนเลส ตั้งกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วห้อง บนเตียงมีร่างของอาจารย์ใหญ่นอนคว่ำอยู่ สภาพศพดูแห้ง เป็นสีน้ำตาลไปทั้งตัว ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยปฏิกิริยาจากสารเคมี ในน้ำยาดองศพนั่นเอง


    <DD>เพิ่งจะเปิดเทอมไม่นาน บทปฏิบัติการในวันนี้ จึงเป็นการเปิดผิวหนังบริเวณคอด้านหลังเพื่อดูลักษณะกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทบริเวณนั้น นักศึกษาแพทย์ 4 คน นั่งบ้าง ยืนบ้าง รายล้อมเตียงเหล็กบ้าง เตียงไม้บ้าง แต่พวกเขาเรียกมันติดปากว่า "โต๊ะ" ที่หัวโต๊ะมีแท่นวางตำรากาย วิภาคศาสตร์เป็นภาษาอังกฤษที่ทั้งหนาและหนัก แสดงภาพและบรรยายถึงลักษณะและความสำคัญ ขององค์ประกอบบริเวณนั้นๆ 2 ใน 4 คน กำลังใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมีด ปากคีบ (forcep) เหล็กขูด (probe, seeker) ค้นและขุดคุ้ย ในขณะที่อีกคนหนึ่งต้องศึกษาขั้นตอนในบทปฏิบัติการ เพื่อควบคุมให้การชำแหละเป็นไปอย่างถูกต้อง คนสุดท้าย ทำหน้าที่เปิดตำราเพื่อเทียบสิ่งที่ค้นพบกับสิ่งที่ตำราบอก พวกเขาทั้ง 4 คนกำลังช่วยกันชำแหละร่างของอาจารย์ใหญ่ เพื่อเรียนรู้วิชากายวิภาคศาสตร์ ด้วยความตั้งอกตั้งใจยิ่ง เมื่อสงสัยตรงจุดใดจุดหนึ่ง ก็จะมีอาจารย์ผู้ควบคุมมาช่วยอธิบายให้เข้าใจ และสิ่งที่นักศึกษาแพทย์จะต้องทำทุกครั้งหลังจากจบบทปฏิบัติการในแต่วันก็คือ ใช้แปรงชุบน้ำยาทาตามร่างของอาจารย์ใหญ่ เพื่อให้เนื้อเยื่อมีความชุ่มชื้น ก่อนจะคลุมผ้าไว้ดังเดิม
    <DD>โรงเรียนแพทย์ในประเทศไทยก่อตั้งมาไม่ต่ำกว่า 100 ปี แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลง แต่รูปแบบการเรียนการสอน วิชากายวิภาคศาสตร์ อันเป็นวิชาพื้นฐานของการเรียนแพทย์ ก็มิได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก
    <DD>การเรียนกายวิภาคศาสตร์แบ่งออกเป็น 4 วิชาหลัก คือ วิชามหากายวิภาคศาสตร์ (Gross Anatomy) เป็นการเรียนด้วยการชำแหละ วิชาจุลกายวิภาคศาสตร์ (Microscopic Anatomy) ดูสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า โดยนำเนื้อเยื่อในอวัยวะมาตัดบางๆ แล้วปิดผนึกลงบนแผ่นสไลด์กระจก แล้วดูใต้กล้องจุลทรรศน์ สามคือวิชาที่ว่าด้วยการเจริญเติบโตจากไข่ (Embryology) ดูว่าหลังจากไข่มีการปฏิสนธิแล้ว ตัวอ่อนจะเจริญเป็นตัวอย่างไร และสุดท้ายคือ ประสาทกายวิภาคศาสตร์ (Neuroanatomy) เป็นการเรียนกายวิภาคของระบบประสาท
    <DD>แต่ความสะดวกสบายในการเรียนของคนสมัยก่อน ย่อมมีน้อยกว่าสมัยนี้อย่างแน่นอน
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD><CENTER></CENTER></TD><TD width="2%"></TD><TD><DD>"โรงเรียนแพทย์บ้านเรา เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2433 ก็ 107 ปีแล้ว" รศ.นพ.สรรใจ แสงวิเชียร หัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล อันถือเป็นโรงเรียนแพทย์แห่งแรก ของประเทศไทยเริ่มเล่า" ในครั้งนั้นซึ่งเป็นสมัยเริ่ม แรกมีครู 1 คน </DD></TD></TR></TBODY></TABLE>นักเรียน 13 คน ครูก็สอนทุกวิชา เป็นหมอธรรมดาไม่ได้ ถูกอบรมมาให้เป็นครู อุปกรณ์ก็ไม่ได้มีอะไรมาก แรกๆ ก็ใช้หุ่น ต่อมามีการชำแหละศพ ท่าน (นักศึกษาแพทย์สมัยนั้น) เขียนกันไว้ว่า เมื่อได้ศพมาก็ชำแหละกันสดๆ ยุติการเรียนทุกวิชามาชำแหละ เรียนกันไปให้มากที่สุด จนกว่าศพจะเน่าจนเรียนไม่ได้ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ต่อมาก็มีการเก็บ และใช้ยารักษาศพเหมือนกัน สิ่งที่เรียนมี 2 อย่างคือ ศพกับกระดูก รุ่น พ.ศ.2450-60 ท่านเขียนไว้ว่า ต้องไปขุดกระดูกที่ป่าช้าในวัด มาทำความสะอาดเอาเอง บางท่านบอกว่าตอนหลังเริ่มใช้กรดคาร์บอกซิลิกฉีดกันเน่า แต่เดินวนรอบโต๊ะ 1 เดือนโดยไม่ได้เข้า ใกล้ศพเลย เพราะทนกลิ่นไม่ได้ การเรียนการสอนเริ่มได้ผลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2466 เพราะเริ่มมีการรักษาศพที่ดี ได้ศพที่ยังไม่เน่า..."


    <DD>"ตอนแรกได้จากศพที่ตายแล้วญาติไม่อยากเอาไป ก็ขอๆ กัน ต่อมาเริ่มมีการบริจาคร่างกายก่อนตาย คิดว่ารายแรก น่าจะเป็นพระยาอุปกิตศิลปสาร หรือไม่ก็ ม.ร.ว.ดนุสิริ สิริวงษ์..."
    <DD>"นักศึกษาแพทย์ จะได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่ต้นว่า ศพ กระดูก อวัยวะและเศษเนื้อ จะต้องเป็นสิ่งที่เราเคารพ เราจะต้องถือว่า ศพเป็นครู เราก็เลยเรียกศพว่า อาจารย์ใหญ่ แต่ก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนเริ่มต้น โรงเรียนแพทย์ต้องหาของสองสิ่งนี้ไว้ ศพที่ใช้ชำแหละใช้แล้วก็สิ้นสุดไป กระดูกอยู่ได้นานกว่า..."


    <DD>อย่างไรก็ตามปัจจุบันผู้เรียนวิชานี้ก็มีความสะดวก ในการเรียนมากขึ้น ระยะเวลาการเรียนอาจยาวนานตลอด 1 ปีการศึกษา แต่โรงเรียนแพทย์บางแห่งก็อาจใช้เวลาน้อยกว่านี้ โดยเมื่อเรียนในส่วนใดก็จะเปิดเฉพาะส่วนนั้น ในระหว่างปิดภาคการศึกษาอาจารย์ใหญ่ก็นอนสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะเช่นเดิม มิได้นำกลับไปแช่ในบ่อดองแต่อย่างใด


    <DD>กายวิภาคศาสตร์ เป็นวิชาที่นักศึกษาแพทย์ทุกคน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายากและหนัก เพราะต้องท่องจำชื่อต่างๆ มากมาย จำนวนชั่วโมงเรียนที่มีต่อสัปดาห์นั้นเป็นของวิชานี้ไป ไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของเวลาเรียนทั้งสัปดาห์และด้วยการขาดทักษะ ในการใช้มือของเด็กรุ่นใหม่ยุคปัจจุบัน ยิ่งทำให้เวลาที่ใช้ ในภาคปฏิบัติของวิชานี้ยืดยาวออกไป จากบ่ายเลิกเย็น ก็กลายมาเป็นเลิกค่ำจนเป็นปกติ และถุงกับเลิกดึกหากเป็นช่วงใกล้สอบ


    <DD>อาจารย์สรรใจ พูดถึงเรื่องนี้ว่า "เด็กเดี๋ยวนี้ไม่เคยฝึกฝน การใช้มือมาเลย บอกว่าชำแหละศพ คุณต้องจับมีดเหมือนจับปากกานะ แต่เขาก็จับปากกาแปลกๆ เวลาที่เราทำงานละเอียดจะต้องมีส่วนที่พลิกมือ มีนิ้วแตะกับพื้นถ้าเคยทำงานประเภทเลื่อยฉลุ เคยวาดเขียน ของพวกนี้ก็จะไม่ยาก"


    <DD>แต่ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงไร นักศึกษาแพทย์ทุกคน ก็ตั้งใจเรียนกันอย่างขะมักเขม้น เพราะวิชานี้เป็นพื้นฐานสำคัญ ของการเรียนรู้เกี่ยวกับสภาพปกติของร่างกายของคนเรา เพื่อในอนาคต เมื่อพวกเขาได้ศึกษาถึงโรคและความเจ็บไข้ต่างๆ เขาจะมีความรู้พื้นฐานในการเปรียบเทียบระหว่างความปกติกับไม่ปกติ อันเป็นอาการของโรคได้เป็นอย่างดี


    <DD>และถ้าจะถามว่า ถ้าจะไม่เรียนจาก "ของจริง" จะเป็นไปได้หรือไม่ในเรื่องนี้คงไม่มีใครให้คำตอบได้ดี เท่าอาจารย์สรรใจ "ถ้าจะไม่เรียนจากของจริงก็มีอยู่ 2 ประเภท ประเภทหนึ่งคือต้องการใช้เทคโนโลยีมาก ประเภทที่สองคือ ที่ๆ ไม่มีศพ อย่างเช่นประเทศมุสลิม อย่างมาเลเซีย เขาได้ศพแค่ปีละ 1-2 ศพเท่านั้น เขาขอความช่วยเหลือมาที่นี่ (ศิริราช) ก็ไม่รู้ว่าจะให้ได้อย่างไร ถ้าให้ก็คงถูกว่า ถ้าถามว่าเรียนกับหุ่นได้มั้ย ก็อยากจะถามกลับว่า เวลาคุณเป็นคนไข้ คุณเป็นคนจริงๆ หรือเปล่า ก็เรียนได้ แต่ไม่เหมือนโดยตลอด ประเทศไทยขณะนี้ เราไม่มีความลำบากในการหาศพ คนไทยใจบุญบริจาคกันเยอะ ค่าใช้จ่ายต่อศพรวมเผาให้เสร็จก็ไม่เกิน 3,000 บาท"


    <DD>แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่มีเทคโนโลยีเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเสียเลย มีวิธีการรักษาสภาพชิ้นส่วนให้คงอยู่อย่างถาวรโดยใช้พลาสติก วิธีการนี้เรียกว่า การกำซาบพลาสติก (Plastination) เป็นวิธีการที่คิดค้นขึ้นโดย ศาสตราจารย์ลุกวอน ฮาเกนส์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน วิธีการทำเริ่มต้นจากใช้อะซีโตน ไล่น้ำออกจากเซลล์ หลังจากนั้นจึงไล่อะซีโตนออก โดยใช้เรซินเข้าไปแทนที่ แล้วนำไปรมด้วยตัวเร่งปฏิกิริยา เพื่อให้เรซินเกิดการรวมตัวกันเป็นพอลิเมอร์ กลายเป็นพลาสติกเข้าไปแทรกอยู่ในเซลล์ ทำให้อวัยวะที่ได้มีความแข็งแรงทนถาวร มีสภาพดูเหมือนพลาสติกทั้งๆ ที่ทำจากของจริง แต่ราคาค่อนข้างสูง และใช้ได้เฉพาะบทเรียน บางเรื่องเท่านั้น <DD> <DD>กายวิภาคศาสตร์ วิชานั้นสำคัญไฉน </DD>
    <DD>กาวิภาคศาสตร์ (Anatomy) เป็นวิชาที่เก่าแก่วิชาหนึ่ง วิชานี้เป็นการเรียนรูปร่างสัณฐานของร่างกาย ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่เห็นด้วยตาเปล่า จนต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ สำหรับผู้ที่จะเป็นแพทย์ในอนาคต จำเป็นต้องรู้จักทุกส่วนที่ประกอบเป็นร่างกาย เรียนรู้การทำงานของอวัยวะต่างๆ ในสภาพที่เป็นปกติก่อน เพื่อเป็นพื้นฐานความรู้ก่อนจะไปเรียนถึงความผิดปกติ ที่เกิดจากโรคต่างๆ วิชากายวิภาคศาสตร์จึงถือวิชาพื้นฐาน ในหลักสูตรของโรงเรียนแพทย์ทุกแห่ง


    <DD>แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า วิชานี้จะเรียนกันเฉพาะแพทย์เท่านั้น ยังมีสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ ก็ยังต้องเรียนรู้วิชานี้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทันตแพทย์ที่เน้นหนักเฉพาะส่วนตัว อก ช่องท้อง กายภาพบำบัดเน้น แขน ขา สันหลัก กล้ามเนื้อหลัง ซึ่งในส่วนต่างๆ ที่กล่าวมา พวกเขาต้องเรียนรู้ให้มากกว่าแพทย์เสียอีก


    <DD>นอกจากสองสาขาที่กล่าวมา ยังมีสาขาอื่นๆ อีก เช่น นิติเวช ที่ต้องเรียนรู้กายวิภาคเพื่อการพิสูจน์หลักฐาน ผู้เรียนวิชามานุษยวิทยากายภาพ ซึ่งต้องเรียนรู้มานุษยวิทยา ในเชิงรูปร่างหน้าตา จำแนกประเภท ก็ต้องมีความรู้พื้นฐานในวิชานี้ หรือแม้แต่ศิลปินวาดรูป ปั้นรูปก็ต้องมีพื้นฐานกายวิภาค อย่างน้อยก็ในเรื่องของกระดูและกล้ามเนื้อ ส่วนสัตวแพทย์นั้นต้องรู้จักกายวิภาคของสัตว์


    <DD>ความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์จะสมบูรณ์นั้น ต้องอาศัยการชำแหละศพ ในสมัยแรกเริ่มนั้นเริ่มต้นจาก การชำแหละสัตว์มากกว่าคน หรือถ้าเป็นคนก็คงได้ศพ จากนักโทษประหารเท่านั้น ในยูโรปเองเมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว ก็ยังมีการขโมยศพคนไปขายให้โรงเรียนแพทย์ ความรู้กายวิภาคนี้เริ่มต้นสั่งสมมาจากประเทศในโลกซีกตะวันตก ส่วนคนตะวันออกนั้นเรียนรู้เรื่องนี้อย่างไม่เป็นระบบ เนื่องจากแพทย์แผนตะวันออกไม่ได้เรียนการชำแหละ สำหรับความรู้กายวิภาคของแพทย์แผนไทยนั้น รู้จักกายวิภาคแต่เพียงอวัยวะภายนอกและอวัยวะภายในชิ้นใหญ่ๆ เท่านั้น ที่มีชื่อเรียกเป็นภาษาไทย เช่น หัวใจ ตับ ปอด ม้าม ลำไส้ แต่ไม่มีการตั้งชื่อกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกเข้าไป


    <DD>กว่าจะมาถึงวันนี้ วิชากายวิภาคศาสตร์ได้ผ่านพัฒนาการอันยาวนาน เทคนิคอันสำคัญที่มีส่วนช่วยอย่างมาก คือน้ำยารักษาศพ ที่ช่วยคงสภาพศพไว้ไม่ให้เน่าเปื่อยจากการที่นักเรียนแพทย์ ต้องรีบเร่งเรียนรู้จากการชำแหละก่อนที่ศพจะเน่า มาเป็นมาชำแหละไปทีละส่วนๆ ได้อย่างไม่รีบเร่ง จนกว่าจะหมดระยะเวลาไปตามหลักสูตรที่กำหนด


    <DD>น้ำยารักษาศพที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีฟอร์มาลินเป็นองค์ประกอบหลัก แต่ก็ยังมีสารอื่นๆ อีกได้แก่ โพแทสเซียมไนเตรต, อาร์เซนิก, กลีเซอรีน, แอลกอฮอล์, กรดคาร์บอกลิก และน้ำ ในสัดส่วนต่างๆ กัน จะมีการฉีดส่วนผสมนี้เข้าไปในร่างกายโดยใช้ความดัน 8 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว 24 ชั่วโมงหลังจากนั้น ถ้าต้องการให้หลอดเลือดแดงมีสีแดงที่ทำให้ชำแหละได้ง่ายนั้น ก็อาจจะฉีดสีเข้าไปหลอดเลือดแดงได้ แล้วจึงนำศพไปแช่ไว้ ในน้ำยาอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีกลีเซอรีน กรดคาร์บอกนิก และน้ำ อีกไม่ต่ำกว่า 6 เดือน เพื่อให้สภาพศพมีความชุ่มชื่นในขณะใช้เรียน น้ำยารักษาศพจะคงสภาพเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ไม่ให้สลาย และหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อราได้


    <DD>ส่วนน้ำยารักษาศพที่ใช้ฉีดกันเน่าให้ศพทั่วๆ ไปนั้นเป็นเพียงน้ำผสมฟอร์มาลินเท่านั้น และฉีดในปริมาณที่ไม่มากนัก
    <DD>
    ...................................................​



    เว็ป thaiall.com ข้อความ คุณ มณีฯ Bloggang
    ขออนุโมทนาแก่ความตั้งใจของอาจารย์ใหญ่ทุกท่านที่ได้สร้างบุญบารมีครั้งยิ่งใหญ่ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยการบริจาคทานด้วยร่างกาย เพื่อเป็นวิทยาทานและทำให้มนุษย์โลกได้รักษาร่างกายให้พ้นจากความเจ็บป่วยด้วยวิทยาทานอันยิ่งใหญ่นี้
    ด้วยบุญกุศลครั้งนี้ขอให้ท่านมีความสุขความเจริญไม่มีทุกข์ร้อนใดทั้งปวงในทุกภพภูมิทุกชาติ ด้วยเทิญ
    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กุมภาพันธ์ 2011
  3. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    จะบอกสมาชิกว่า หญิงทิพย์เอารูปหิมพานต์ไปใส่หน้าแรกของห้องนี้พร้อมด้วยคลิป เสียงนกเสียงน้ำตก ตั้งใจจะเอาให้เหมือนหิมพานต์จริงๆ น่ะคระยังไงไปลองดูกันด้วย ว่าเหมือนรึยัง คริๆ นอนหลับฝันดีนะคะทุกคน พรุ่งนี้วันวาเลนไทน ใครมีคู่ก้อรักกันยิ่งๆขึ้นไป ใครโสดก้อรักตัวเองให้มากๆ พรุ่งนี้ขอลาหนึ่งวัน ไปเที่ยว อำเภอเชียงดาวแล้วจะหารูปสวยๆมาฝากเจ้าคระ ด้วยรัก.....(โบราณไปไหม? อิอิ) หญิงทิพย์เอง^^

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.559678/[/MUSIC]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กุมภาพันธ์ 2011
  4. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    อนุโมทนาในความตั้งใจของพี่หญิงทิพย์ค่ะ

    เรื่องนี้ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลยค่ะ ขออนุญาตแบ่งปันประสบการณ์ในเรื่องนี้นะคะ
    ที่จริงแล้วการทำเรื่องบริจาคร่างกายหรืออวัยวะนั้นก็เป็นเหมือนการแสดงเจตจำนงค์เบื้องต้นไว้กับทางโรงพยาบาลค่ะ สุดท้ายแล้วเมื่อเราตายหรืออยู่ในสภาพที่สามารถบริจาคอวัยวะได้ จะมีการสอบถามความสมัครใจกับญาติสายตรงอีกทีหนึ่งเช่น พ่อแม่ สามี ภรรยา บุตร หากผู้ที่มีอำนาจไม่ยินยอมให้มีการบริจาคอวัยวะหรือร่างกาย พินัยกรรมนั้นก็จะถูกยกเลิกไปโดยปริยายโดยไม่มีการบังคับแต่อย่างใดค่ะ

    ปราญฯทำเรื่องบริจาคไว้ทั้งสองแบบคือทั้งบริจาคอวัยวะและร่างกาย หากอวัยวะยังอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ก็จะให้อวัยวะค่ะ ทั้งหมดที่บริจาคได้มี 8 ชิ้นคือ ตับ๑ ไต๒ หัวใจ๑ ปอด๒ แก้วตา๒ โดยทั้งหมดนี้เมื่อมีการเก็บอวัยวะไปแล้วแพทย์จะทำการเย็บศพให้กลับอยู่ในสภาพปรกติไม่ต่างอะไรจากบาดแผลผ่าตัดทั่วไป แต่หากตายโดยไม่สามารถนำอวัยวะมาใช้ได้เช่นเจ็บป่วยด้วยโรคที่อาจส่งผ่านทางเลือดได้ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบ แพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง ก็ได้ทำเรื่องบริจาคร่างกายให้ทางโรงพยาบาล โดยทางโรงพยาบาลจะนำศพไปให้เป็นการเรียนการสอน เมื่อครบเวลาตามกำหนด สามารถนำศพมาทำพิธีกรรมทางศาสนาได้ หรือให้ทางโรงพยาบาลทำพิธีเผาให้ก็ได้ค่ะ

    ปราญฯบริจาคอวัยวะตอนอายุ 20 ปี แต่ว่ามีเหตุให้ไม่สามารถบริจาคอวัยวะได้ ตอนนี้เลยบริจาคร่างกายไปแล้วค่ะ ^^

    มามะ ใครสนใจน้องปราญฯลุ้นเต็มที่ เชียร์สุดใจเลยค่ะ
     
  5. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ขออนุญาตเพิ่มเติมรายละเอียดเรื่องการบริจาคที่โรงพยาบาลศิริราชนะคะ
    หากจะบริจาคให้ไปติดต่อได้ที่ธนาคารเลือด ตึก 72 ปี ชั้น 3 โรงพยาบาลศิริราช แล้วแจ้งความประสงค์ว่าต้องการบริจาคเลือดให้แก่......................(แจ้งชื่อผู้ป่วย) แล้วเลือดถุงนั้นจะส่งให้แก่ผู้ป่วยโดยตรงค่ะ หากไปติดต่อที่ตึกที่ผู้ป่วยพักอยู่ ทางพยาบาลก็จะต้องแนะนำให้ไปที่ธนาคารเลือดอีกครั้ง

    รายละเอียดเล็กน้อยของผู้ประสงค์จะบริจาคเลือด เพื่อไม่ให้ต้องเดินทางเก้อนะคะ

    1. สุขภาพสมบูรณ์พร้อมที่จะบริจาคเลือด อายุระหว่าง 17-60 ปี

    2. นอนหลับเพียงพอไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง

    3. มีอาการท้องเสีย ท้องร่วงภายใน 7 วันก่อนบริจาคเลือดหรือไม่ เพราะผู้บริจาคจะอ่อนแอรับประทานไป ส่วนผู้รับเลือดอาจได้รับเชื้อที่มากับเลือดได้ด้วย
    4. ใน 3 เดือนที่ผ่านมา มีอาการน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากโรคเบาหวาน ธัยรอยด์เป็นพิษ เครียด วิตกกังวล ก็ไม่ควรบริจาคเลือด

    5. ภายใน 3 วันก่อนบริจาคเลือด คุณรับประทานยาแอสไพริน ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวดข้อหรือไม่ เพราะอาจทำให้มีเกล็ดเลือดผิดปกติได้ เลือดแข็งตัวช้า บวมช้ำง่าย เลือดที่บริจาคไปก็จะไม่มีคุณภาพ

    6. รับประทานยากแก้อักเสบภายใน 14 วัน หรือยาอื่นๆ หรือไม่ ซึ่งต้องระบุ ให้ทราบ เพราะผู้บริจาคเลือดที่ได้รับยาแก้อักเสบแสดงว่ามีการติดเชื้ออยู่ ซึ่งอาจแพร่เชื้อเข้าสู่กระแสเลือดของผู้รับเลือดและอาจทำให้แพ้ยาได้

    7. คุณเป็นโรคหอบหืด ลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง ไอเรื้อรัง วัณโรค โรคภูมิแพ้ หรือไม่เพราะการบริจาคเลือดทำให้ต้องสูญเสียเลือดอย่างรวดเร็ว อาจจะกระตุ้นให้มีการกำเริบได้ จึงไม่ควรบริจาคเลือด โรคผิวหนังบางชนิด โรคติดต่ออย่างวัณโรค ไอเรื้อรังก็ไม่ควรบริจาคเลือด

    8. เคยเป็นหรือมีคนในครอบครัวเป็นโรคตับอักเสบ ผู้ที่เคยเป็นโรคตับอักเสบแล้วไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นชนิดใด หรือไม่แน่ใจว่าหายขาดไม่มีเชื้อแล้วหรือไม่ ก็ควรเลื่อนการบริจาคเลือดออกไปจนกว่าจะทราบว่าเลือดของคุณปลอดเชื้อแล้ว

    9. เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ไต ธัยรอยด์ มะเร็ง โรคโลหิตออกง่ายหยุดยาก เป็นต้น เพราะโรคเหล่านี้ล้วนมีผลต่อสุขภาพ ซึ่งต้องใช้ยารักษาควบคุมรักษาอย่างต่อเนื่อง และถ้าไม่ดูแลตนเองให้ดี อาจมีผลข้างเคียงของยาหรือมีโรคแทรกซ้อนที่ทำให้มีปัญหาสุขภาพได้ ควรพิจารณาดังนี้

    - โรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานอนุโลมให้บริจาคเลือดได้ ถ้าใช้ยาควบคุมได้ดีอย่างอย่างต่อเนื่องและต้องเป็นเพียงโรคใดโรคหนึ่งเท่านั้น
    - โรคหัวใจทุกชนิดต้องงดบริจาคเลือด
    - โรคไตชนิดเรื้อรังต้องงดบริจาคเลือด ถ้าเป็นชนิดอักเสบเฉียบพลัน และรักษาหายขาดภายใน 1 ปี สามารถบริจาคเลือดได้
    - โรคธัยรอยด์ชนิดไม่เป็นพิษต้องรักษาหายแล้ว ถ้าเป็นชนิดเป็นพิษแม้รักษาหาย และหยุดยาแล้วก็ไม่ควรบริจาคเลือด
    - โรคมะเร็งทุกชนิดไม่ควรบริจาคเลือด รักษาหายแล้วก็ตาม เพราะไม่สามารถทราบสาเหตุและตำแหน่งการกระจานหรือแฝงตัวของโรค
    - โรคโลหิตออกง่าย-หยุดยาก เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ ควรงดบริจาคเลือด เพราะมีโอกาสเสียชีวิตเพราะเสียเลือดมากและเลือดหยุดยาก
    - โรคเรื้อรังอื่นๆ ควรงดบริจาคเลือด

    10. ถอนฟันภายใน 3 วันที่ผ่านมา เหงือกอาจจะอักเสบและมีบาดแผลในช่องปาก เป็นทางนำเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดได้

    11. คุณหรือคู่ของคุณมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศกับผู้อื่น ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์สูง โรคบางชนิดมีระยะฟักตัวนาน อาจตรวจไม่พบเชื้อ เช่น HIV

    12. ได้รับการผ่าตัดใหญ่ภายใน 6 เดือนหรือผ่าตัดเล็กภายใน 1 เดือน เนื่องจากการผ่าตัดใหญ่ทำให้มีการเสียเลือดมาก ร่างกายต้องใช้เวลาและสารอาหารในการซ่อมแซม ควรงดบริจาคชั่วคราว ส่วนผ่าตัดเล็กที่เสียเลือดไม่มาก ควรรอให้แผลหายก่อนค่อยบริจาคเลือด

    13. เจาะหู สัก ลบรอยสัก ฝังเข็ม ในระยะ 1 ปี มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อโรคติดเชื้อที่มีการส่งต่อทางเลือดและน้ำเหลือง ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือดอาจติดไปด้วย

    14. เคยมีประวัติยาเสพติดหรือพ้นโทษในระยะ 3 ปี มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อโรคที่มีการส่งต่อทางเลือดและน้ำเหลือง

    15. เคยเจ็บป่วยและได้รับเลือดจากผู้อื่นในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา ผู้ที่ได้รับเลือดคนอื่นจะมีการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาในระบบโลหิต ถึงแม้จะมีการตรวจหากลุ่มเลือดหลักที่เข้ากันได้ แต่กลุ่มย่อยที่ไม่สามารถหาได้ตรงกันหมด ก็ยังคงเป็นปัญหาของผู้ได้รับเลือด

    16. เคยฉีดวัคซีนในระยะ 14 วัน หรือฉีดเซรุ่มในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา การฉีดวัคซีนเป็นการกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันโรคในช่วง 14 วัน จึงควรให้ร่างกายได้ทำงานเต็มที่ การฉีดเซรุ่มต้องติดตามดูโรคนั้นๆ 1 ปี

    17. เคยเข้าไปในพื้นที่ที่มีเชื้อมาเลเรียชุกชุมในระยะ 1 ปี หรือป่วยเป็นมาเลเรียในระยะ 3 ปี ถ้าไม่ได้รักษาให้หายขาด เชื้อสามารถแอบแฝงอยู่ในร่างกายโดยไม่ได้แสดงอาการรุนแรง

    18. คุณผู้หญิงที่อยู่ในระหว่างรอบเดือน ไม่ควรให้ร่างกายมีการเสียเลือดซ้ำซ้อน ควรรอให้หมดประจำเดือนก่อน

    19. คนที่คลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา จะมีการเสียเลือดมาก ร่างกายต้องการเวลาในการปรับตัวและสร้างเลือดขึ้นมาใหม่ ควรงดบริจาค 6 เดือน

    20. อยู่ในระหว่างให้นมบุตรหรือตั้งครรภ์ น้ำนมผลิตขึ้นมาจากเลือด การเสียเลือดในการบริจาคจะทำให้น้ำนมลดน้อยลงหรือหมดไป
     
  6. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    หายไป หนึ่งวันเต็มๆ กลับมาแล้วพร้อมของฝากจากเชียงดาวคระ น้อง yayas เอาอะไรหวานๆมาลงเยอะเเยะ มิน่าเค้าว่าช่วงนี้เป็นช่วงพีคสุดๆของคนมีคู่อ่ะเนาะ แต่ว่าหญิงทิพย์ก็เอาความสุขเล็กๆของตัวเองในวันวาเลนไทน์มาฝากทุกคน
    เช่นเดียวกันคะ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 123.jpg
      123.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1,005.9 KB
      เปิดดู:
      935
  7. โภชังคะ

    โภชังคะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +1
    ช็อคโกแลตนม

    เป็นคนโรแมนติก และแสนจะอบอุ่นคนหนึ่งเชียวล่ะ ตัดสินใจรวดเร็ว คุยสนุกและยิ่งไปกว่านั้นคุณชอบที่จะช่วยเหลือคนอื่น อยู่เสมอในยามที่พวกเขาต้องการ ข้อเสีย ด้วยความที่คุณมักจะเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจของคนอื่นๆ อยู่เสมอ อาจจะทำให้คนคิดว่าคุณชอบทำตัวเด่นเกินไป และในบางเวลาคุณควรหันมาใส่ใจตัวเองให้มาก ค่อยช่วยเหลือคนอื่น
    ....โดนเป๊ะรุย-*-...
     
  8. tumkuk

    tumkuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +1,851
    อิอิ...ช๊อกโกเขาว่ากินแล้วอารมณ์จะดีขึ้น^^...อิอิ
     
  9. tumkuk

    tumkuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +1,851
    หัวอกเดียวกัน55+...
     
  10. tumkuk

    tumkuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +1,851
    เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง^^...มันเหมือนกับเราได้อยู่กับธรรมชาติพูดไปก็เห็นภาพนั้นคิดแล้วอยากไปวิ่งเล่นน้ำฝนเหมือนตอนเป็นเด็กเล้กๆเด็กน้อยอีกครั้งเหมือนตอนนั้นเวลาทุกข์ไม่สบายใจเวลาเห็นบรรยากาสแบบนี้ทีไรทำให้อดยิ้มไม่ได้ซักที^^...เห้อยิ่งถ้าได้นั่งอยู่คู่กับเธอคนนั้นก็คงจะดีไม่น้อย^^...55+...ชาอุ่นๆซักถ้วยอื้มคิดแล้วสุขใจจัง^^...
     
  11. tumkuk

    tumkuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +1,851
    555+คนมันขี้เหงานี้ครับ^^อิอิ...24แล้วยังหาแฟนๆม่ๆด้ซักคนก็ต้องคิดเองวาดฝันไว้แบบนี้แระครับ^^อิอิ
     
  12. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    แหม.... เค้า 25 ยังเลิกกะแฟน เลย ตาตั้ม มะมะ .. งั้นมากิ๊กกันดี ก่า อิอิ 55+
     
  13. tumkuk

    tumkuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +1,851
    555+...ผมมันบ้าน๊า555+...คริคริ...
     
  14. tumkuk

    tumkuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +1,851
    แงแง-*-...จาลงวีดีโอก็ลงม่ะได้-*-ลงยังไงอ่า-*-
     
  15. tumkuk

    tumkuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +1,851
    <iframe title="YouTube video player" width="480" height="390" src="http://www.youtube.com/embed/yDKzRnwaH3M" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  16. โภชังคะ

    โภชังคะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +1
    <iframe title="YouTube video player" width="480" height="390" src="http://www.youtube.com/embed/cq7N-PqY3iQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​
     
  17. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    จะเปลี่ยนห้อง นี้เป็นห้องคาราโอแกะ เเระ เพลงเยอะดี ยิ่ง ชอบจับไมค์ไม่ปล่อยอยู่ด้วย

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1366642/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กุมภาพันธ์ 2011
  18. โภชังคะ

    โภชังคะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +1
    สงสัยผมต้องนั่งจ้องไมค์ไม่พลาดซะแระอิอิ...(กลัวอดร้อง55+)...
     
  19. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    <TABLE style="WIDTH: 670px; HEIGHT: 1278px" border=0 cellSpacing=1 cellPadding=1 width=670><TBODY><TR><TD>การค้นหาตรวจสอบธาตุกายสิทธิ์
    </TD></TR><TR><TD>ผลการค้าหาตรวจสอบธาตุกายสิทธิ์แต่ละชนิด 1.แร่เหล็กไหลเขาอึมครึม เช่น เหล็กไหล 7 สี เหล็กไหลงอกชนิดนี้มีจิตวิญาณจริง เป็นของที่สามารถป้องกันภัยต่างๆให้กับเจ้าของได้ดีที่สุด เช่น


    [​IMG]
    1.แร่เหล็กไหลเขาอึมครึม เช่น เหล็กไหล 7 สี เหล็กไหลงอก ชนิดนี้มีจิตวิญาณจริง เป็นของที่สามารถป้องกันภัยต่างๆให้กับเจ้าของได้ดีที่สุด เช่น ป้องกันชีวิต กันผีปีศาจได้ดีที่สุดอีกด้วย เป็นแร่กายสิทธิ์ที่มีจิตวิญญาณครอบครอง เสมือนสิ่งมีชีวิตเลยก็ว่าได้ และได้ค้นหาตรวจสอบจนพบพระนามผู้เป็นเจ้าของธาตุ กายสิทธิ์ชนิดนี้คือ (องค์พ่อจิตตรา) เป็นผู้ดูแลขุมนรกทั้งหมด และเมื่อคนที่มีญาณจะลองตรวจสอบดู ให้เอ่ยพระนามท่านดู ก็จะรู้ได้ทันที ( ไม่สามารถนำไปปลุกเสกได้ )

    [​IMG]
    2.เหล็กไหลพระสีวลี หรือตามภาษาชาวบ้านจะเรียกว่า พญาเต่าเรือน ซึ่งธาตุชนิดนี้ มีจิตวิญญาณครอบครอง มีชีวิตในตัวเอง บางคนที่ได้ไปบูชา มักจะฝันเห็นพญาเต่ามาหาในบ้าน ซึ่งเกี่ยวกับโชคลาภ อายุ ป้องกันภัย นี่คือธาตุกายสิทธิ์ที่มีจิตวิญญาณพญาเต่าอยู่จริง และผู้ที่บำเพ็ญญาณ ถ้าได้นำไปบูชา จะรู้ได้ว่าพญาเต่าจะเป็นพาหะนะสำหรับท่องไปในแดนต่างๆได้ ( ไม่สามารถนำไปปลุกเสกได้ )
    3.เหล็กไหลทั่วไป ที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ ส่วนมากจะมีชีวิต และจิตวิญญาณเช่นกัน จะป้องกันภัยต่างๆได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณนั้น ( ไม่สามารถนำไปปลุกเสกได้ )

    [​IMG]
    4.หินพญานาค ที่เห็นร่ำลือกันนักกันหนา ที่มีขายแม้กระทั่งในวัด และเว็ปไซร์ต่างๆที่หลอกลวงกันนั้น จากการหาเช่าซื้อมาตรวจสอบ พบว่าไม่มีอยู่จริง ที่ขายๆกันทั่วไป จะเป็นการหลอกลวงกันขึ้นมา ยกตัวอย่าง รูปแบบที่เกินจริง เช่น รูปพญานาค พระขรรค์ เม็ดกลมทั้งยาว รี รูปดอกบัวต่างๆหลากสี ที่หลอกขายกันนั้น ถ้าเราคิดกลับกัน ทำไมใต้บาดาล จึงมีช่างผีมือแกะสลักได้งดงาม และถ้าสังเกตให้ดี หินทรายที่มีการทำขึ้น และใส่หินพญานาคลงไปและก็ทำกรรมวิธี ปั้นหินทรายขึ้นมาหุ้มอีกที และทำให้ดูเป็นธรรมชาติเท่านั้น พบว่าเป็นการหลอกลวงคนได้ชั้นยอด พอมีการนำมาทุบออกก็จะเห็นหินจำพวกนี้อยู่ข้างใน ซึ่งทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับคนกลุ่มนั้นเป็นอย่างดี หรือแม้นกระทั่งร่วมกันกับวัดก็ตาม

    [​IMG]
    5.หินเขาสามร้อยยอด ที่ร่ำาลือกันว่าดี มีหลายชนิด เช่นรุปแบบพระสีวลี รูปแบบเป็นหินแล้วมีเม็ดๆ บางคนชอบนำมาแกะทำรูปพระสมเด็จ จะทำให้พระนั้นสวยขึ้นดูมีวงแหวน สวยงามจากการตรวจสอบ ก็เป็นแค่หินงอกหินย้อยทั่วไป ที่มีพลังงานตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่สามารถเอามาคุ้มครองชีวิตได้ และไม่มีจิตวิญญาณ บางคนอ้างว่าเป็นพระธาตุจากเขาสามร้อยยอด เม็ดเล็กๆใส่ขวดขายกันทั่วไป ลองดู เมื่อเราไปทะเลลองเก็บทรายทะเลขึ้นมา แล้วก็ลองแยกสีออกแต่ละสีดู จะมีหลายสีมีทั้งสีทองอุไร สีขาวนวน ขาวใส และอื่นๆ นำมาใส่ขวดแยกสีไว้ แล้วเอามาบอกว่าพระธาตุ และก็มีทั้งคนธรรมดามาเช่าซื้อ รวมถึงพระที่ใส่ผ้าเหลืองมาเช่าซื้อไปสร้างพระเครื่องด้วย ตกลงก็มั่วกันไปใหญ่เลย แต่ถ้าพูดว่าของจริงมีมั้ย ก็บอกได้เลยว่ามีจริง

    [​IMG]
    6.โป่งข่าม แก้วกายสิทธิ์ ชนิดนี้ ผลการการค้นหาและตรวจสอบ ก็เป็นแค่พลังงานหิน ตามธรรมชาติทั่วไป อาจจะมีบ้างที่พลังงานนั้นจะช่วยในด้านเสริมราศรีได้ การเสริมราศรีให้กับตัวเอง ก็สามารถหาหินสีสวยงามตามธรรมชาติ นำมาพกติดตัวได้ แต่ไม่สามารถป้องกันภัยอันตรายต่างๆได้ เพราะไม่มีจิตวิญญาณครอบครอง
    [​IMG]
    7.เคี่ยวหนุมานหรือจะเรียกรวมกันก็เป็น คริสตัล ชนิดนึง หรือหินใสๆทั่วไป ที่มีพลังงานตามธรรมชาติ สามารถนำมาประจุพลังตามจิตได้ แต่ ไม่สามารถป้องกันภัยอันตรายได้ เพราะไม่มีจิตวิญญาณครอบครอง

    [​IMG]
    8.ไข่มุขกวนอิม หรือที่เรียกกันติดปาก ก็คือเหล็กไหลขาวนั้น จะแบ่งออกได้หลายชนิดขึ้นอยู่กัยสถานที่ถ้ำต่างๆ บางถ้ำจะเรียกว่าแก้วมุขดา บางถ้ำจะเรียกว่า ไข่มุขถ้ำ หรือบางคนจะเรียกว่าพระธาตุองค์ปฐม และจิตที่ครอบครอง ส่วนมากจะเป็น พระพุทธเจ้า และ พระอริยะเจ้า ถือเป็นของดีที่สามารถป้องกันภัยอันตรายให้กับผู้เป็นเจ้าของได้ สามารถนำมาใช้ร่วมฝึกสมาธิได้ดีมาก เป็นของมีจิตวิญญาณ ( ไม่สามารถนำไปปลุกเสกได้ )
    [​IMG]
    9.สะเกดดาว ผลการค้าหาตรวจสอบ จากที่หามาหลายชนิด ทั้งชนิดเหล็ก หิน หินสีใส ก็ยังเป็นแค่พลังงานหินทั่วๆไป ไม่สามารถป้องกันภัยได้ ไม่มีจิตวิญญาณครอบครอง
    10.เพชรหน้าทั่ง ผลการค้าหา เป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดนึงที่ต่างจากพลังงานหินทั่วๆไป เพราะเป็นพลังงานที่มีจิตวิญญาณครอบครอง สามารถป้องกันภัยอันตรายได้เช่นกัน ถือได้ว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ดี ชนิดนึงเลยก็ว่าได้ ( ไม่สามารถนำไปปลุกเสกได้ )
    [​IMG]
    11.ข้าวตอกพระร่วง ผลการค้าหา รอการตรวจสอบ
    [​IMG]
    12.แร่เกาะล้าน ผลการค้าหาและตรวจสอบ เป็นแร่กายสิทธิ์ชนิดนึง แต่จะไม่เรียกว่าเหล็กไหล เพราะพุทธคุณยังด้อยกว่าเหล็กไหลทั่วไปอยู่มากหรือจะเรียกได้ว่า เทพผู้ครอบครองจะมีพลังน้อยไปหน่อย แต่เป็นของที่มีจิตวิญญาณครอบครอง และมีชีวิตในตัวเอง สามารถป้องกันภัยอันตรายกันภูตผี ได้เช่นกัน ( ไม่สามารถนำไปปลุกเสกได้ )
    [​IMG]
    13.แร่บางไผ่ ผลการค้าหาและตรวจสอบ เป็นธาตุกายสิทธิ์ จะเรียกได้ว่าเป็นเหล็กไหลชนิดนึงเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นธาตุที่มีจิตวิญญาณในตัวเอง สามารถป้องกันภัยอันตรายต่างๆได้ดี พระเกจิอาจารย์ผู้รู้จะนำแร่ชนิดนี้มาทำเครื่องราง แต่จะต้องเป็นผู้รู้จริงถึงสร้างได้
    [​IMG]
    14.แร่เหล็กน้ำพี้ ผลการค้นหาตรวจสอบ เป็นแร่ที่มีความวิเศษอยู่น้อยมากๆ แต่ถ้ามีการนำมาแปรรูปและปลุกเสก ก็จะเป็นแร่ที่อมพลังงานจากการปลุกเสกได้ดี เป็นของไม่มีจิตวิญญาณ

    [​IMG]
    15.หินขาวใส จากแม่น้ำโขง หรือ ที่เรียกกันว่าปัฐวีธาตุแห่งลำน้ำโขง ผลการค้นหาตรวจสอบ เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีการดลบันดานให้เกิดขึ้น เสมือนรวมจิต หรือจะเรียกได้ว่าเป็นปฐวีธาตุ เป็นของที่รวมจิตก่อตัวให้เกิดขึ้นนั้นเอง จึงเป็นของที่มีจิตวิญญาณ สามารถป้องกันภัย และอธิฐาณจิตต่อพญานาคราชได้ ห้ามนำของมีคมไปโดน หรือนำไปแกะรูปร่าง เพราะธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ เมื่อโดนของมีคมหรือมีการทำลายแกะ เจียรไน รูปต่างๆจิตเทพนั้นจะทิ้งธาตุขันนั้นไป จะกลายเป็นแค่หินธรรมดาไปในทันที สามารถใช้ร่วมกับการทำสมาธิได้ และสามารถเป็นพาหะนะสำหรับผู้บำเพ็ญญาณ เมื่อท่องไปแดนต่างๆได้
    [​IMG]
    16.หินฑิเบต ผมการค้นหาตรวจสอบ ถ้าเป็นหินที่เพ่งสร้างขึ้นมา และไม่ได้นำไปปลุกเสกนั้นก็จะมีพลังจากหินธรรมชาติทั่วๆไป แต่ถ้านำไปปลุกเสก ก็จะมีพลังปลุกเสก แต่ถ้าเอามาใส่เป็นเครื่องประดับก็ได้ แต่ถ้าจะใส่เป็นเครื่องราง แนะนำให้ใส่พระเครื่องเลยจะดีกว่า
    [​IMG]
    17.แร่พญาเหล็ก วัดพุทไธศวรรย์ ผลการตรวจสอบ เป็นแร่กายสิทธิ์ชนิดนึง ไม่กินน้ำผึ่ง แต่มีจิตวิญญาณครอบครอง แต่ไม่มีชีวิตในตัวเอง ถ้านำมาปลุกเสกให้ดีจะมีอนุภาพมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับเกจิอาจารย์ผู้นั้นที่เก่งแค่ไหน แต่เดียวนี้ของปลอมเยอะมาก เพราะแร่กายสิทธิ์ชนิดนี้ ได้มีคนหัวดี ไปขุดไปงัดออกมาจากถ้ำเป็นตันๆเลยก็ว่าได้และนำมาสร้างพระเครื่อง เครื่องรางต่างๆมากมาย จนบางคนแค่เห็นเนื้อแร่ ก็ตีเป็นของวัดพุทไธศวรรย์ ไปแล้ว ซึ่งเป็นแร่ชนิดเดียวกันหมด เนื้อนิ่ม สามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพอากาศ เวลาหาเช่าซื้อ ควรไปหาเช่าที่วัดเลยจะดีกว่าที่ไปดูที่วัดมาช่วงปีใหม่ 2552 นี้จะมี เช่น อย่างแหวน ราคาเช่าก็มี 1,000 และ1,500 กำไลก็มีราคาอยู่ที่ 1,500 และ 2,000 ขนาดเม็ดข้าวสาร เม็ดละ 500 เท่านั้น

    การสัมผัสธาตุกายสิทธิ์ ไม่ใช่เพียงแค่ สัมผัสพลัง ร้อนๆ เย็นๆ ชาๆ เสียวๆ วูบๆ กระตุกๆ อะไรทำนองนี้แล้วก็บอกว่าเป็นของดี เพราะยังไม่สามารถบอกถึงหรือแยกพลังจิตวิญญาณได้ อย่างเก่งก็แค่พลังงานจากธรรมชาติทั่วๆไปของหินบนโลกส่วนมากจะมีพลังงานทั้งหมด แต่จะหาแบบที่เรียกว่ากายสิทธิ์ ต้องมีจิตวิญญาณจริง ถึงจะเรียกได้เต็มปาก คนที่ฝึกสมาธิยังไม่สามารถคุยกับญาณในตัวเองได้ ก็แทบจะไม่รู้เลยว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์หรือไม่ อย่าเอาแค่ความรู้สึกเด็จขาด เพราะจิตตัวเราเองสำคัญมาก เวลาจิตเรามุ่งไปที่ของนั้น เกิดรับรู้มาว่าเป็นของดี จิตก็หลงไปกับมัน พลังงานในร่างกายก็รวมจิตไปที่ของนั้นจนเกิดอาการต่างๆนาๆ แบบนี้เรียกว่าจิตหลง ไม่ใช่ญาณสัมผัสรู้
    ทั้งหมดนี้ได้มีการค้นหา นำมาตรวจสอบทั้งตัวเองและให้พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงญาณตรวจสอบ รวบรวมโดย หนุ่ย พลังวัตถุ http://www.poweropject.com



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กุมภาพันธ์ 2011
  20. โภชังคะ

    โภชังคะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +1
    อิอิผู้ชายกรุ๊ปบี^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...