เซียนดัง"ต้อย เมืองนนท์"เล่าเรื่องเบญจภาคี

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 6 มิถุนายน 2008.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เซียนดัง"ต้อย เมืองนนท์"

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>หากเอ่ยชื่อเซียนพระชื่อดังแถวหน้า หนึ่งในจำนวนนั้นต้องมีหนุ่มใหญ่นายนี้รวมอยู่ด้วย รูปหล่ออมตะ ตลอดกาล "พิศาล เตชะวิภาต หรือ ต้อย เมืองนนท์" ปัจจุบันมีตำแหน่งแห่งหนเป็นอุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย และประธานชมรมพระเครื่องมรดกไทย ชั้น 3 ห้างสรรพสินค้าพันธุ์ทิพย์พลาซ่า สาขางามวงศ์ วาน จ.นนทบุรี

    เพื่อนคู่ซี้หนุ่มใหญ่หนวดงามนาม "พยัพ คำพันธุ์" นายกสมาคม

    ในวงการพระต่างรู้กันดี เป็นที่ยอมรับกันว่า "เซียนต้อย" เชี่ยวชาญวัตถุมงคลหลายประเภท เด่นสุดด้านพระกรุพระเก่า พระบูชา และพระชุดเบญจภาคี เป็นมือซื้อที่ไม่เกี่ยงราคา มือขายที่นักธุรกิจ นักการเมือง นายทหาร นายตำรวจยอมรับ

    "ต้อย เมืองนนท์" เล่าถึงที่มาของพระชุดเบญจภาคีให้ฟังว่า คำว่า เบญจภาคี แปลว่า 5 ภาคี มารวมกัน ก็คือ พระ 5 ชนิด ซึ่งเป็นพระชั้นนำที่สุด พูดง่ายๆ ว่าเป็นจักรพรรดิ พระทั้ง 5 ชนิด ประกอบด้วย สมเด็จวัดระฆังฯ นี่ไม่จำเป็นจะต้องแบ่งแยก จะเป็นพิมพ์ใหญ่ก็ได้ พิมพ์ทรงเจดีย์ก็ได้ ขอให้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นผู้จัดสร้างขึ้น เมื่อประมาณปี พ.ศ.2409 เป็นองค์สุดยอดของเบญจภาคี ใครๆ ก็ยกย่องว่าเป็นจักรพรรดิชุดเบญจภาคี เมื่อเป็นจักรพรรดิของชุดเบญจภาคีเขาก็ต้องเป็นคิงส์ของพระทั้งหมด เรื่องราคาเป็นเรื่องความต้องการ เมื่อของมีน้อยความต้องการมากก็เป็นพระที่มีคุณค่าสูง

    "ชุดเบญจภาคีคนตั้งชื่อขึ้นมาคือ พันโทผจญ หรือ ตรียัมปวาย พระเบญจภาคีมี 5 ชนิด อันดับแรกก็คือ สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ หรือทรงพระประธาน ซึ่งถือว่าเป็นพิมพ์เอกที่สุด เป็นพระเนื้อผง ประกอบด้วย มวลสารศักดิ์สิทธิ์ 5 ชนิดที่มีชื่อเสียงของสมเด็จโต ผงอิทธิเจ ปัถมัง ตรีนิสิงเห มหาราช และผงพุทธคุณ ซึ่งถือว่าพระองค์นี้เป็นพระที่มีมวลสารศักดิ์สิทธิ์ เพราะสมเด็จพุฒาจารย์โตท่านสะสมมาตั้งแต่ท่านยังเป็นเณร เมื่อคราวเรียนบาลี เรียนวิชาอาคมต่างๆ ท่านก็จะเก็บรวบรวมพวกผงชอล์กต่างๆ และก็นำมาสร้างพระ"
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นอกจากผงวิเศษแล้วท่านก็มีสมาธิดีเยี่ยม อธิษฐานจิตปลุกเสก มีคุณค่ามาก พูดตรงๆ พระเบญจภาคีคือพระที่เราสามารถจะทราบประวัติของทุกๆ องค์ได้ มีประวัติแน่นอน เพราะฉะนั้น ทำให้มีความชัดเจน และสร้างสำหรับให้ไว้ใช้ เมื่อมีความชัดเจนคนก็อยากจะได้ สมัยเล่นพระใหม่ๆ ผมต้องเดินทางบ่อย เช่น กรุไหนแตกมักจะไปดู พระกรุพระเก่าเหล่านั้น บางกรุจะมีใบลานเงินใบลานทองอยู่ ระบุไว้เลยว่าใครเป็นผู้สร้าง สร้างเมื่อไร สร้างด้วยเนื้ออะไร และสร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไร

    ในชุดเบญจภาคี องค์ที่ 2 บางคนเขาเรียกว่า สมเด็จนางพญา จริงๆ ไม่ใช่ เป็นพระนางพญา พระนางพญาต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองพิษณุโลก ถ้าใครทราบประวัติ จะทราบว่าผู้ครองเมืองพิษณุโลกคือ พระมหาธรรมราชา บิดาของสมเด็จพระนเรศวร และพระมเหสีของพระธรรมราชาคือ พระวิสุทธิกษัตริย์

    พระวิสุทธิกษัตริย์เป็นผู้สร้างและนำไปไว้ที่วัดราชบูรณะ คนก็สงสัยพระนางพญาไปขึ้นที่วัดราชบูรณะมันก็ต้องมีเรื่องที่มาที่ไป คือวัดราชบูรณะเป็นวัดที่สมเด็จพระมหาธรรมราชาเป็นผู้สร้างขึ้นมา แล้วก็ถือว่าเป็นวัดหลวงวัดใหญ่ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านได้เสด็จฯ ไปที่พิษณุโลกก็มีการตัดถนนผ่าวัดแบ่งเป็น 2 ส่วน แต่ก็ยังเป็นวัดราชบูรณะอยู่

    จนกระทั่งมีการขุดพลับพลาที่ประทับของพระพุทธเจ้าหลวง บังเอิญไปเจอพระ คนก็เลยถามว่าพระขึ้นที่ไหน พอดีบังเอิญเป็นชื่อพระนางพญา ก็เลยแบ่งแยกฝั่งที่ไม่ใช่เจดีย์ใหญ่ คือฝั่งที่เจอพระเจดีย์เล็กว่าวัดนางพญา จริงๆ เดิมก็คือวัดราชบูรณะ

    พระนางพญา การที่ขุดพบจะเจอใบจารเงินจารทอง ซึ่งระบุที่มาที่ไปก็คือ สมเด็จพระวิสุทธิกษัตริย์เป็นผู้สร้าง สร้างเพื่อที่จะไว้ต่อไปภายภาคหน้าในการศาสนา และเมื่อมีศึกสงครามใหญ่ก็จะนำพระขึ้นมาใช้ แสดงว่าเป็นการเตรียมการเพื่อที่จะไว้ใช้ในการต่อสู้ศึกสงคราม
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระนางพญาจะเป็นเนื้อดินเผา ซึ่งเป็นการสร้างพระเนื้อดินมาผสมกับเกสรว่าน 108 และมวลสารศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เป็นที่นิยมและเคารพในยุคนั้นสมัยนั้น แล้วก็นำไปเผา เมื่อเผาเสร็จก็ทำพิธีปลุกเสกโดยเกจิคณาจารย์ในยุคนั้นที่ดังๆ แล้ว ก็นำไปบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดราชบูรณะ แล้วในใบจารเงินจารทองระบุไว้ว่า สร้างไว้สำหรับเพื่อไว้ใช้คล้องคอ และเมื่อมีเหตุหรืออุบัติเหตุ อะไรต่างๆ เกี่ยวกับภยันตรายสามารถช่วยได้ อันนั้นตามใบจารเงินจารทอง แต่ไม่ได้พูดเพื่อให้เป็นการหลงใหลเชื่อถือในกฤษฎาภินิหารต่างๆ

    พระนางพญาเป็นพระที่มีที่มาที่ไป ทำให้คนในสมัยก่อนที่ไม่มีพระรุ่นแรกก็ยกย่องว่านี่แหละเป็นพระชั้นยอดของพระองค์หนึ่งในพระกรุที่ควรจะจัดเข้ามาอยู่ในชุดเบญจภาคี

    อีกองค์หนึ่งเรียกว่าเป็นพระที่ยิ่งใหญ่ทางภาคเหนือเหมือนกัน เรียกว่า พระกำแพงซุ้มกอ ซึ่งเราก็รู้ที่มาที่ไป ในการขุดค้นพบพระกำแพงซุ้มกอ ระบุในใบลานเงินลานทอง ผู้ที่สร้างพระซุ้มกอก็คือ พระมหาธรรมราชาลิไท ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในยุคกรุงสุโขทัยตอนกลาง ท่านได้สร้างพระไว้เพราะว่าในยุคของท่านเป็นยุคที่พุทธศาสนารุ่งเรืองมาก ถือว่าเป็นยุคสุโขทัยที่เป็นการประกาศศาสนาอย่างกว้าวขวาง โดยเฉพาะศาสนาพุทธถือว่าเป็นศาสนาประจำชาติ ท่านได้บูรณะเจดีย์ต่างๆ และได้สร้างพระกำแพงซุ้มกอขึ้นมา เพราะลักษณะโค้ง

    สำหรับพระองค์ต่อมา เป็นพระซึ่งถือว่าอยู่ในชุดเบญจภาคีมีอายุสูงที่สุด อายุประมาณ 1,000 ปี พระรอด ถือว่าเป็นพระนิรันตรายตามความเชื่อถือจากการที่ขุดค้นพบ ก็บอกอีกว่าค้นพบหลักฐานระบุไว้ว่าการใช้หรือบูชาพระรอดเป็นนิรันตราย ใครที่แขวนพระรอดก็จะรอดพ้นจากอันตรายต่างๆ ตามความเชื่อถือตามคำบอกเล่าของคนโบราณ ซึ่งก็สมกับการตั้งชื่อว่า พระรอด คือรอดพ้น บางท่านอาจจะมีประวัติว่าผู้ที่สร้างคือ ฤๅษีนารอด จริงๆ แล้วไม่ใช่ ผู้สร้างคือ ท่านชุมมหาเถร และก็นำมาบรรจุไว้ที่วัดมหาวัน เมื่อประมาณ 1,200 ปีที่แล้ว และพระรอดมีทั้งหมดด้วยกัน 5 พิมพ์ มีพิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก พิมพ์ต้อ พิมพ์ตื้น เป็นพระเนื้อดิน มีทั้งหมดด้วยกัน 5 สี มีขาว แดง เขียว น้ำตาล เหลือง

    อีกองค์ พระผงสุพรรณ สมัยโบราณเรียกกันว่า พระเกสรสุพรรณ ถูกค้นพบที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี ในยุคสมัย ท่านอี้ กรรณสูต เป็นพ่อเมืองหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6 พระผงสุพรรณเป็นพระซึ่งมีหลักฐานที่ปรากฏชัดเจนกว่าพระอื่นทั้งหมด เพราะมีใบลานจารึก ซึ่งระบุอย่างละเอียดถึงขนาดที่ว่ากรรมวิธีการสร้าง มีเนื้อว่านเกสรอะไรบ้าง และยังบ่งบอกถึงผู้ที่สร้างอย่างละเอียด ประธานฝ่ายฆราวาสคือ สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ประธานในการสร้างฝ่ายสงฆ์คือ ท่านปิยะทัสสี ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของฤๅษีในยุคนั้น และยังระบุด้วยว่าการจะใช้ถ้าจะใช้ในการต่อสู้คมหอกคมดาบให้ทำอย่างไร บูชาอย่างไร เช่น นำไปแช่น้ำและนำดอกไม้อะไรมาอะไร หรือไม่จะค้าขายจะทำอย่างไรไปใส่ในน้ำมันแล้วเอาน้ำมันมาทาที่ศีรษะและอาราธนาท่านในการเดินทางค้าขาย ซึ่งเป็นพระที่บ่งบอกทุกอย่างไว้อย่างละเอียด จึงถูกจัดไว้ในชุดเบญจภาคีโบราณหายาก ศิลปะเป็นเลิศคือ ศิลปะยุคอู่ทอง ซึ่งถือว่าถ้าเป็นพระพุทธรูปพระบูชาถือว่าแพงมาก เพราะมีน้อย และแบ่งแยกออกตามพระ พุทธรูปด้วย เป็น 3 พิมพ์ ได้แก่ หน้าแก่ หน้ากลาง หน้าหนุ่ม ซึ่งพระพุทธรูปอู่ทองก็แบ่งแยกเป็น 3 พิมพ์ หน้าแก่ หน้ากลาง หน้าหนุ่ม ซึ่งตรงกับพระผงสุพรรณ เพราะทำให้เห็นว่าการสร้างพระเครื่องก็ต้องมาจากการสร้างพระองค์ใหญ่ และก็นำรูปลักษณ์ของพระองค์ใหญ่มาเป็นพระเครื่อง

    ทั้งหมดคือข้อมูลที่ได้รับการถ่ายทอดจากเซียนดังนามเรียกขานในวงการ ต้อย เมืองนนท์ เซียนมากประสบ การณ์ตัวจริง
    ที่มา http://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538683052&Ntype=40
     
  2. thaiput

    thaiput เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    9,528
    ค่าพลัง:
    +27,656
    *-* ขออนุโมทนาด้วยครับ ขอบคุณครับ *-* thaiput007@hotmail.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...