" เตรียมใจยังไง รับภัยพิบัติ "

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย พนมกุเลน, 9 มกราคม 2012.

  1. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=HPHh0EitMyI&feature=player_embedded"]เตรียมใจอย่างไรรับภัยพิบัติ 1/2 - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=y0R8POM0Cnk&feature=player_embedded"]เตรียมใจอย่างไรรับภัยพิบัติ 2/2 - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=rIqyiVNe_Zo&feature=player_embedded"]เตรียมกาย เตรียมใจ รับภัยพิบัติ - YouTube[/ame]

    โดยคุณดังตฤณ และ คุณหมอพรทิพย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2012
  2. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]

    ถาม – โลกกำลังจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่จริงหรือไม่?

    ตอบ - ตั้งแต่เกิดเหตุสึนามิถล่มหลายประเทศ ขบวนการพยากรณ์ก็กลับมาฮิตใหม่อีกครั้ง หลังจากซบเซาไปนาน ทั้งการไม่มาตามนัดของสงครามนิวเคลียร์ในปี ๑๙๙๙ และทั้งการลบแผนที่หลายๆประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีหมู่เกาะซึ่งเสี่ยงต่อการจมน้ำทั้งหลาย

    ผมมองว่าขบวนการพยากรณ์ภัยพิบัติส่วนใหญ่คือการใช้ประโยชน์จากความกลัวของผู้คน คำทำนายมักหนีไม่พ้นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟไหม้ พายุซัด เพราะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบ่อยในระยะหลัง

    แต่เพื่อให้น่าสนใจ คำพยากรณ์ช่วงนี้จะออกแนวหายนะระดับล้างโลกที่น่าขนพองสยองเกล้า เช่นประเทศนั้นประเทศนี้จะหายวับไปกับตา อะไรทำนองนั้น

    นอกจากภัยทางธรรมชาติ ยังมีคำพยากรณ์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งอันนี้ก็เป็นจริงและควรมองว่าน่าหวั่นวิตกกว่ากันเสียอีก เพราะมีข่าวไวรัสสายพันธุ์ใหม่ให้ได้ยินเป็นรายวัน

    ชนิดที่ต่อไปคนอาจไม่ประหลาดใจถ้ามีข่าวว่าอยู่ดีๆมีคนกลุ่มหนึ่งบนฟุตบาทลงไปชักดิ้นชักงอพราดๆเหมือนในหนังเขย่าขวัญ โดยทีมแพทย์ตรวจเบื้องต้นไม่ทราบว่าโดนเชื้อโรคสายพันธุ์ใดเล่นงาน

    เสียงลือเกี่ยวกับการเอาอาวุธนิวเคลียร์มาเป็นเครื่องมือข่มขู่กันระหว่างประเทศ ก็ทำให้เกิดการพยากรณ์อันน่าเชื่อถือได้อีก

    ว่าวันหนึ่งโลกคงไม่แคล้วต้องประสบกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่สุด คนตายเรือนล้านทันทีจากอาวุธนิวเคลียร์ และอีกหลายล้านต้องตายแบบผ่อนส่งจากพิษกัมมันตภาพรังสี

    สรุปคือ ปัจจัยที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่นั้น มีอยู่จริง!

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่มีอยู่จริงก็ไม่จำเป็นต้องแผลงฤทธิ์เสมอไป ทำนองเดียวกับที่เราเดินผ่านหมามีเขี้ยวเล็บทุกวัน มันมีสิทธิ์กัดเราเนื้อขาดได้ตอนทีเผลอ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่กัด ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเดินผ่านไปสบายๆโดยไม่คิดอะไร

    จนกว่าจะมีข่าวหมาเป็นพิษสุนัขบ้า หรือได้ยินใครในตลาดเล่าให้ฟังว่าหมู่นี้หมาชอบกัดคนเดินเท้าประจำ คุณถึงค่อยเกิดอาการเหลียวซ้ายแลขวาลอกแลก แตกต่างไปจากเดิม

    ลองหลบมุมจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง แล้วมาดูกันในมุมมองของกรรมวิบากกันบ้างนะครับ ผมจะไม่พูดแบบหมอดู คือไม่ฟันธงลงไปว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ตอนดาวทำมุมอย่างไร

    แต่จะลองวาดภาพให้คุณเห็นอย่างชัดเจน ว่าตามหลักแล้ววิบากกรรมจะเล่นงานคนเรือนล้านพร้อมกันได้เพราะมีเหตุปัจจัยดังนี้

    ๑) มีสัตว์ต้องตาย ‘พร้อมกัน’ นับอสงไขย คืออย่าไปคิดเฉพาะมนุษย์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่กำลังเสวยบุญขั้นสูงสุด แต่ต้องคิดถึงสัตว์น้อยใหญ่อีกไม่รู้กี่แสนล้านตัวด้วย

    เพราะสมมุติว่าคนตายเพียงหนึ่งล้าน แปลว่าต้องกินอาณาบริเวณกว้างไกลไม่ใช่เล่นๆ อาจจะทั้งจังหวัดเล็กๆ

    ลองคิดดูสิครับว่าหมาแมว นกหนู มดปลวก และอะไรจิปาถะอื่นๆจะมีอยู่ประมาณไหนในหนึ่งจังหวัด ใช้ตัวเลขมั่วๆว่า ‘นับไม่ถ้วน’ ไปพลางๆดีกว่า

    ๒) วิบากกรรมที่ทำให้ตายกะทันหันนั้น ควรจะเป็นประเภทตัดรอนภาวะดีๆ เปลี่ยนเอาภาวะร้ายๆมาแทนที่แบบปุบปับฉับพลัน ไม่ให้ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว พูดง่ายๆว่าต้องตกต่ำลงจากสภาพเคยอยู่ดีมีสุขในสภาพเนื้อตัวแห้งสะอาดนุ่มนิ่มแบบมนุษย์ไปเป็นอื่นที่ลำบากกว่ากัน

    ทั้งนี้ก็เพราะคนและสัตว์ส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมใจตายไว้ล่วงหน้า เมื่อไม่ได้เตรียมก็แปลว่าใช้ชีวิตตามสบาย ซึ่งตามสบายของคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ถ้าไม่คิดเรื่องเซ็กซ์ก็คิดเรื่องล้างแค้น ถ้าไม่คิดเรื่องล้างแค้นก็คิดเรื่องความสำคัญของตัวตน ล้วนแต่เรื่องปรุงแต่งจิตให้เศร้าหมอง

    เมื่อตายขณะจิตเศร้าหมองย่อมเอียงลงต่ำ เว้นแต่จะสั่งสมบุญใหญ่ไว้ช้อนได้ทัน อีกประการหนึ่ง ภัยพิบัติระดับทำคนตายเป็นล้านนั้น มักมาในรูปแบบของความน่าสะพรึงกลัวไม่มีอะไรเกิน

    ความกลัวเป็นโทสะชนิดแรงกล้า ถ้าครอบงำจิตสุดท้ายไว้ทั้งดวงได้ ก็มักตรึงจิตให้ติดอยู่กับความกลัวนั้นๆ พูดง่ายๆเป็นเปรตที่ต้องวนเวียนอยู่กับภพแห่งความน่ากลัวไปอีกนาน จนกว่าจะมีบุญใดมาเลื่อนชั้นให้

    น้อยคนครับที่เปลี่ยนจากภาวะมนุษย์ด้วยอุบัติเหตุกะทันหันแล้วไปสูงขึ้น ต้องสั่งสม ต้องย้อมจิตย้อมใจเป็นกุศลกันจนอยู่ตัวพอประมาณ

    เอาแค่ปัจจัยที่เอื้อให้เกิดมหาหายนะสองข้อข้างต้น ก็คงพอจะพิจารณาได้ว่าการตายเกลี้ยงฉาดแบบเทกระจาดทิ้งทั้งหมดโลกในคราวเดียวนั้น เกิดขึ้นได้ยากเต็มทีครับ

    เพราะแปลว่าผู้มีบุญถึงขั้นได้เป็นมนุษย์กว่า ๖,๐๐๐ ล้านรายจะต้องตายร้ายพร้อมกันหมด อัตราความเป็นไปได้คงเป็นศูนย์ คือต่อให้มีดาวหางใหญ่เท่าดวงจันทร์จะวิ่งมาชนโลกแตกดับ ก็ต้องได้พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเหมือนในหนังจนได้

    อย่างไรก็ตาม แม้โอกาสตายเกลี้ยงพร้อมกันจะเป็นศูนย์ แต่โอกาสทยอยตายเป็นกระจุกๆนั้นชักเริ่มมีมาก ทั้งนี้เพราะมีผู้สมควรตายแบบปัจจุบันทันด่วนเพิ่มขึ้นนั่นเอง

    ผู้สมควรตายแบบปัจจุบันทันด่วนนั้นคือใครบ้าง?

    ๑) ผู้ถึงวาระสุดท้าย อาจถึงเวลาตายด้วยกรรมเก่าจากอดีตชาติ หรือเพราะกรรมใหม่ในชีวิตปัจจุบัน บันดาลให้ต้องตกตาย ณ จุดของเวลานั้นๆ โดยไม่คำนึงถึงว่าจิตกำลังเป็นกุศลหรืออกุศลในขณะเผชิญความตาย

    โดยมากพวกนี้จะมีโอกาสตั้งสติระลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสิ่งมนุษย์มักยึดเหนี่ยวกันก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของตน แต่ถ้าระหว่างมีชีวิตไม่ทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้อยู่ในใจ ก็มักกังวลโน่นนี่สารพัด

    ๒) ผู้ถึงวาระสุดท้ายเช่นเดียวกับข้อแรก แต่กรรมในอดีตชาติหรือในชาติปัจจุบันบังคับไว้เลยว่าต้องตายด้วยจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล เช่นถ้าอดีตชาติเคยฆ่าผู้อื่นด้วยวิธีทำให้กลัวก่อนตาย

    หากชาติปัจจุบันไม่สร้างกระแสกรรมใหม่ไว้แรงพอจะส่งให้จิตมีกำลังและสว่างไสวพอ ก็จะต้องตายด้วยเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความกลัวอย่างท่วมท้น แม้พยายามระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในนาทีสุดท้าย อย่างไรก็แก้ไม่ทัน

    ๓) ผู้มีบาปหนัก ถึงเวลาตายในจังหวะที่จิตกำลังดำมืด ขาดกำลังส่งให้ไปดี เขามีบาปหนักสมควรจะต้องชดใช้ ขนาดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตต่อ ก็จะขาดเหตุปัจจัยในโลกนี้มาลงโทษอย่างสาสม อันนี้หาได้ยาก ที่เคยมีเป็นเยี่ยงอย่างแก่มนุษยชาติ

    ก็ได้แก่พระเทวทัตซึ่งทำร้ายพระพุทธองค์สารพัดวิธีแบบกะปลงพระชนม์ อยู่ๆพื้นแผ่นดินที่ยืนอยู่ก็แยกออกแล้วกลืนหายลงไปเฉยๆ

    ไม่ได้สูบฮวบเดียวจมมิด เพราะหลักฐานมีอยู่ว่าพระเทวทัตสำนึกผิดได้ตอนโดนดูดลงไปเหลือแค่ส่วนหัว ตำแหน่งที่พระเทวทัตโดนในปัจจุบันก็ยังมีปักป้ายแสดงที่อินเดีย ใครอยากดูก็ลองไปสัมผัสเอาเองว่ามีความน่าขนลุกอยู่จริงไหม

    ๔) ผู้มีบุญมาก ถึงเวลาตายในจังหวะที่จิตกำลังผ่องใส หรือมีกำลังของกุศลอุ้มชูมากพอจะประกันภพใหม่ว่าต้องดีกว่าที่กำลังเป็นอยู่ เขามีบุญญาธิการที่ควรได้เป็นผู้เสวยสุขมาก ขนาดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตต่อ ก็ขาดเหตุปัจจัยที่จะตกรางวัลอย่างสมน้ำสมเนื้อกับบุญญาบารมีเสียแล้ว

    พวกนี้กุศลจะคุ้มตัว ต่อให้เกิดเรื่องน่ากลัวขนาดไหนก็ไม่ตระหนก จิตส่วนลึกมีความเชื่อมั่นกับกระแสกุศล อบอุ่นใจมากพอ ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นคือหญิงชาวนาคนหนึ่ง ตื่นเช้าใส่บาตรพระอรหันต์ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ

    ซึ่งผลกรรมด้านดีจะแรงมาก ต้องเห็นผลใน ๗ วัน แต่ด้วยวิถีชีวิตของนางไม่มีปัจจัยในโลกสนองตอบได้ไหว เลยตายแบบปัจจุบันทันด่วนด้วยสัตว์ร้าย ไปเสวยสวรรค์ระหว่างทางทำบุญนั่นเอง

    ปัจจุบันข่าวทัวร์บุญที่รถเทกระจาดก็มีให้เห็นบ่อยจนบางคนตั้งข้อสังเกตนะครับ อย่าตีความว่าทำบุญแล้วตายหมายถึงทำบุญแล้วได้อัปมงคลเป็นอันขาด

    ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา คนมักถามกันว่าผู้เคราะห์ร้ายเคยทำกรรมใดร่วมกันมาจึงร่วมตายเกือบพร้อมเพรียงอย่างนั้นถึงสามแสนคน
    อันนี้ขอให้ทราบนะครับ

    การตายหมู่ไม่ใช่เครื่องหมายบอกเสมอไปว่านั่นเป็นวิบากกรรมที่พวกเขาทำมาร่วมกัน ขอให้สังเกตว่ากรณีสึนามินั้น แต่ละคนกระจายกันรับเคราะห์กรรมซึ่งมีแรงหนักเบาไม่เท่ากัน สถานการณ์ที่ส่งผลให้เจ็บตายไม่เหมือนกัน และที่สำคัญไม่ได้รู้จักมักจี่ ไม่ได้จูงมือไปรวมตัวกันตามข้อตกลงแต่อย่างใด

    นอกจากนั้นขอให้สังเกตอีกประการหนึ่ง คือหลายรายไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนภพของพวกเขา ก็มีเหตุให้พวกเขาต้องไปอยู่ที่นั่นพอดี ตำแหน่งที่จะถูกน้ำซัดตายพอดี

    ส่วนคนที่ยังไม่ถึงฆาต แม้ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว ก็กลับรอดและไม่บาดเจ็บเท่าแมวข่วน บางคนถูกน้ำซัดเข้าปะทะผนัง น่าจะตายแน่แล้ว ผนังส่วนนั้นกลับพังราบ เลยรอดจากการถูกอัดก๊อปปี้!

    นี่แหละการแสดงความมหัศจรรย์ในการ ‘คัดคนออก’ ของกฎแห่งกรรมวิบาก ใครยังคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ก็สมควรทบทวนดูใหม่จากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ว่าทำไมความบังเอิญจึงเล่นตลกได้ขนาดนี้?

    การประสบเคราะห์กรรมร่วมกัน ชนิดที่ส่อถึงอดีตกรรมที่เคยทำมาด้วยกันนั้น จะเป็นประเภทกลุ่มคนที่รู้จักกัน ร่วมทางหรือลงเรือลำเดียวกัน ประสบกับรูปแบบเคราะห์กรรมเดียวร่วมกัน

    เช่นในคัมภีร์มีเรื่องของเหล่าภิกษุไปติดในถ้ำด้วยกัน อดอยากปากแห้งร่วมกันอยู่หลายวัน ก็เพราะกรรมหมู่ในอดีตชาติที่เคยร่วมกันกักขังสัตว์ให้ได้รับความทรมาน เป็นต้น

    โลกนี้แบ่งออกเป็นเขตพื้นที่ปลอดภัยกับเขตพื้นที่สุ่มเสี่ยง และเป็นอย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัย ไม่มีสมัยใดที่โลกปูตลอดด้วยพื้นที่ปลอดภัยหรือสุ่มเสี่ยงอย่างเดียว ต้องมีกระจายเขตดีเขตร้ายไว้ให้บริการส่ำสัตว์ผู้มีบุญมีบาปอย่างทั่วหน้าอยู่เสมอ

    ฉะนั้น ขอให้ลืมเรื่องภัยล้างโลกแบบกวาดทีเดียวหายเรียบไปได้ วันหนึ่งโลกอาจถึงกาลแตกดับจริง แต่ป่านนั้นต้องไม่มีสัตว์บุญมากอย่างมนุษย์หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว

    โลกยังไม่แตกวันนี้ แต่ก็อย่าประมาทเลยครับ เพราะเราอาจยืน เดิน นั่ง นอนอยู่ในเขตประหาร และเราก็ไม่อาจทราบเสียด้วยว่าถึงเวลาของเราหรือยัง ขอให้คำนึงถึงการเตรียมเสบียงไว้เพื่อความไม่ประมาทแหละดีที่สุด

    เราจะได้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องถามหาคำทำนาย ว่าที่กำลังหายใจได้ กำลังรู้สึกและนึกคิดได้เหมือนอย่างนี้ วาระสุดท้ายจะต้องตายเดี่ยวหรือตายหมู่ ตายดีหรือตายทรมาน ตายในขณะที่จิตเป็นกุศลหรืออกุศล

    เพราะธรรมดาผู้สั่งสมบุญ ตุนเสบียงไว้มากๆ ย่อมอุ่นใจอยู่เสมอว่ากรรมขาวทั้งปวงจะตามไปช่วยอุดหนุนค้ำจุนมิให้หลงตายตกร่วงลงต่ำอย่างแน่นอน

    [​IMG]
    ถาม – เขาว่าเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ ขึ้น จะมีนิวเคลียร์ลง ผู้คนจะตายเป็นร้อยล้านพันล้าน ถ้าใครทำดีมากๆแล้วจะรอดได้ อยากถามคุณดังตฤณว่าคำทำนายนี้เป็นจริงหรือไม่?

    ตอบ - สิบกว่าปีก่อนผมเคยอ่านคำทำนายที่ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือ ค.ศ. ๑๙๙๙ จะมีมหาสงครามนิวเคลียร์ ผู้คนล้มตายกันทั่วโลก แต่คนดีๆจะมีสิทธิ์อยู่ต่อ

    บางแหล่งถึงกับระบุทีเดียวว่าจะมีกรวยสีรุ้งพุ่งจากฟากฟ้าลงมาปกป้องอภิบาลคนดีมีศีลสัตย์ให้อยู่รอดปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายจากระเบิดล้างโลก

    ครั้งนั้นผมก็ขมวดคิ้วสงสัยแล้วว่าเอ๊! คนเลวตายหมด แต่คนดีผีคุ้ม ไม่ตายง่ายๆ มิแปลว่าผลของการเป็นคนดีคืออยู่ทรมานต่อจากพิษกัมมันตภาพรังสีหรอกหรือ?

    คิดดูซิครับ โลกหลังมหาสงครามนิวเคลียร์น่ะมันจะไปเหลืออะไรนอกจากฝุ่นพิษ อาหารการกิน น้ำไฟและความเป็นอยู่ต่างๆคงย่ำแย่เหลือรับประทาน

    คำทำนายทำนองนี้เหมือนจะเอาใจคนทั่วไปที่ไม่อยากตาย หรือเป็นกุศโลบายให้คนเร่งขวนขวายทำความดีกัน ส่วนดีก็ดีแหละครับ

    แต่ส่วนไม่ดี ที่เป็นผลกระทบข้างเคียง คือความเข้าใจผิด สำคัญผิด และเชื่อมโยงเรื่องกรรมวิบากกันผิดๆ เป็นเหตุให้เสื่อมศรัทธาได้ง่ายๆถ้าผลออกมาไม่ตรงกับคำทำนาย

    ยกตัวอย่างเช่นยังไม่ทันเกิดสงครามนิวเคลียร์ คนดีมีศีลสัตย์ถูกไฟดูดตายโดยไม่มีปาฏิหาริย์ที่ไหนช่วย คนรู้ข่าวก็จะมองกันว่าไหนบอกคนดีผีคุ้มไง ทำไมงอก่องอขิง ไหม้เกรียมเป็นที่น่าสลดสังเวชขนาดนี้?

    ถ้ามองแบบคนกลัวตาย ยังยึดติดกับสุขขี้ปะติ๋วในโลก คุณก็ต้องอยากฟังคำทำนายประเภทตัวเองดีพอ มีบุญพอจะอยู่ต่อ แต่หากคุณมีศรัทธาในบุญอย่างแท้จริง และตระหนักว่าบุญจะเป็นที่พึ่งให้คุณสบายกว่านี้

    ก็คงคิดไปอีกอย่างหนึ่งครับ คือถึงตายโหงก็ตายโหงอย่างคนมีบุญ ร้องจ๊ากใหญ่ๆสักนาทีหนึ่งแล้วได้ไปหัวเราะร่าหรรษาบนสวรรค์อีกครึ่งกัปครึ่งกัลป์ อย่างนี้จะต้องไปกลัวอะไร?

    ทำดีมากๆในชาตินี้ ไม่เกี่ยวกับตายเร็วหรือตายช้าหรอกครับ ไม่เกี่ยวกับตายสงบหรือตายน่าสังเวชด้วย แต่จะเกี่ยวกับตายแล้วไปไหนมากกว่า อย่างไรทุกคนก็ต้องทยอยจากกันไปหมดอยู่แล้ว ถ้าคุณกำลังอ่านบรรทัดนี้อยู่

    ก็แปลว่าเหลือเวลาให้ทำใจเชื่อเรื่องบุญกรรมกันอย่างถูกต้องพอสมควร ก่อนตายไม่ควรหวาดผวา แต่ควรเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมใจใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อความไปสู่สุคติ หรือเพื่อความสิ้นสุดทุกข์ร้อนถาวรต่อไป

    อีกประการหนึ่ง เรื่องตื่นข่าวหายนะระดับประเทศหรือระดับโลกนั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องงมงายเสียทีเดียว เพราะช่วงที่ผ่านมาเกิดเรื่องเลวร้ายมากมายเสียจนคนหายประมาทกันเยอะ

    แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้พิจารณาตามจริงด้วยว่าคำทำนายเกี่ยวกับหายนะระดับช้างนั้น ผิดมากกว่าถูก ถ้าเหมารวมได้ทั้งหมดคุณอาจตาค้างด้วยความประหลาดใจ

    คือร้อยคำทำนายจะมีสักหนึ่งหรือน้อยกว่านั้นที่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นจริงๆ ชนิดตรงเผงทั้งเวลา สถานที่ และบุคคลผู้ก่อการ

    เมื่อข้อเท็จจริงตามสถิติคือ ‘เป็นไปได้ต่ำที่จะทายถูก’ พวกเราก็ควรกำหนดใจเชื่อไว้น้อยๆด้วยเหมือนกัน เหตุการณ์ระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับวิบากกรรมของคนเรือนล้านนั้น ไม่ใช่รู้กันง่ายๆหรอกครับ

    บางคนฟังคำทำนายแล้วก็วิ่งเต้นเข้าพิธีไสยศาสตร์บ้าง ตระหนกตกตื่นจนท้อแท้ไม่อยากทำอะไรเลยบ้าง หรือกระทั่งสิ้นหวังขนาดอยากฆ่าตัวตายไปล่วงหน้าบ้าง เพราะคิดๆอยู่ก่อนหน้าแล้วจากเรื่องรันทดในชีวิตตน

    เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ใช้ชีวิตที่เหลือไม่คุ้มค่า เป็นไปเพื่อถูกอุปาทานครอบงำให้จิตเป็นอกุศลเปล่าโดยแท้

    ผมว่าเรามาเตรียมตัวกันแบบชาวพุทธจริงๆกันดีกว่าครับ ชาวพุทธเป็นอย่างไร?

    เป็นคนที่พยายาม ‘รู้ตามจริง’ ด้วยเหตุผล ไม่ใช่ ‘เชื่อตามกัน’ โดยปราศจากการพิจารณา

    และด้วยท่าทีของชาวพุทธ ผมอยากตั้งข้อสังเกตดังนี้

    ๑) ยอมรับตามจริงว่าปัจจุบันโลกตกอยู่ในเงื้อมเงาของอันตรายหลายประเภท อย่าดึงดันปฏิเสธแบบหัวดื้อตาใส ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ พวกเชื่อเรื่องภัยพิบัติคือกลุ่มคนที่งมงายเท่านั้น

    ๒) เมื่อเกิดคำทำนายใดๆ ทั้งจากฝั่งหมอดูและจากฝั่งนักวิทยาศาสตร์ ขอให้ตั้งสติฟังอย่างรอบคอบว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    เช่นเร็วๆนี้มีข่าวว่าอุกกาบาตจะตกในอ่าวไทย ลือกันแพร่สะพัดต่างๆนานา ถือเอาจังหวะที่ผู้คนกำลังขวัญเสียจากสึนามิ โดยไม่คำนึงถึงหลักความจริงทางวิทยาศาสตร์ประกอบ

    หากพิจารณาคำทำนายดีๆแล้ว จะเห็นได้ตั้งแต่เมื่ออ่านหรือรับฟังในครั้งแรกนั่นเองว่าเป็นของเก๊ เป็นเรื่องของคนชอบเล่นสนุกกับความกลัวของมวลชน

    ๓) เมื่อใจกลัวก็อย่าทำปากแข็งว่ากล้า ขอให้ถือเป็นโอกาสศึกษาพุทธพจน์ ว่าท่าทีเกี่ยวกับการเตรียมตัวตายเป็นเช่นใด ตายด้วยจิตแบบไหนถึงจะคุ้ม

    ซึ่งขอสรุปรวบรัดโดยง่าย คือพระพุทธเจ้าท่านให้ระลึกถึงความตายเสมอๆ และความตายแบบมนุษย์สามัญก็ปราศจากร่องรอยนิมิตบอกเหตุเหมือนเทวดา

    เพราะฉะนั้นอย่าได้ประมาท ชะล้างสิ่งโสโครกใดได้ก็ชะล้างเสีย เตรียมเสบียงไว้เดินทางต่ออย่างใดได้ก็เตรียมเสีย

    ซึ่งเสบียงที่ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการมีปัญญาเห็นชอบ เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และสิ่งทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นสมบัติถาวรของเราหรือของใคร

    เมื่อใจไม่เปื้อนมลทินบาป สะอาดเอี่ยมด้วยบุญกุศล และเลิกห่วงหวงดิน น้ำ ไฟ ลมทั้งหลายในโลกหล้าที่ต้องมีอันแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เห็นอิสระทางใจอันเกิดจากความปล่อยวางเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด นั่นแหละครับ ท่าทีการเตรียมตัวตายแบบพุทธของแท้

    หากจำที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้ ก็ขอให้ระลึกสั้นๆว่า อย่ากลัวตายร้าย แต่ขอให้กลัวจะอยู่อย่างไม่ได้เตรียมตัวไปดี ก็แล้วกัน

    ถ้าเปลี่ยนค่านิยมใหม่เสียได้ ไม่เอาแต่กลัวตายโหง ไม่เจาะจงอยากแก่ตายอย่างสงบ คุณจะไม่ตื่นเต้นกับคำทำนายหายนะโลกเก๊ๆอีกต่อไปครับ

    [​IMG]
    ถาม - ข่าวว่าน้ำจะท่วมโลกแน่ ไม่มีใครรู้ว่าอีกเมื่อไร อาจจะ ๕ ปีหรือ ๑๐ ปีก็ได้ทั้งนั้น

    ตอบ - ข่าวโลกแตกมีมานานครับ ผู้คนฟังแล้วก็ตื่นกลัวบ้าง หัวเราะเยาะบ้าง สุดแท้แต่ว่าใครเป็นคนประกาศข่าวโลกแตก

    ช่วงนี้เสียงหัวเราะเยาะอาจจะแผ่วลงหน่อย แล้วความตื่นกลัวก็เกิดขึ้นอย่างยาวนานกระทั่งด้านชาและกลายเป็นความชินไปเสียแล้ว เพราะดินฟ้าวิปริตปรวนแปรเหลือเกิน ในวันเดียวกันธรรมชาติอาจมี ‘อารมณ์แปรปรวน’ ได้สารพัด

    เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวร้อนแสบผิว เดี๋ยวหนาวถึงไขกระดูก นี่เป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ต้องไปดูภูเขาน้ำแข็งถล่มที่ไหนก็รู้สึกได้ว่าโลกทำตัวเกเรขึ้นทุกวัน
    แถมข่าวโลกแตกรอบนี้ ก็ไม่ใช่เด็กเลี้ยงแกะในหมู่บ้านเล็กๆเสียด้วย

    แต่เป็นถึงนักวิทยาศาสตร์ผู้มีหน้าที่สอดส่องดูแลความเป็นไปของประเทศและของโลกโดยตรง!

    เอาล่ะ! สมมุติว่าคราวนี้โลกจะแตกจริงๆเสียที ด้วยการมีน้ำท่วมไปทุกหนทุกแห่ง แล้วเป็นยังไง เราจะทำอะไรได้?

    มาตั้งต้นกันแบบที่ทำให้ไม่ตื่นกลัวและไม่ประมาทดีกว่า วิธีก็ง่ายๆคือถ้ายังไม่มีโจทย์ให้ชีวิตในอนาคต ก็ตั้งโจทย์สมมุติให้กับวันนี้แล้วกัน

    ถามตัวเองหรือยังว่าถ้าต้องพลัดพรากกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ไม่มีเครื่องมือสื่อสารที่ดีที่สุดในโลกอย่างมือถือและอินเตอร์เน็ตดังเช่นปัจจุบัน คุณจะเลือกไปอยู่กับใคร?

    แน่นอนว่าคุณคงเลือกอยู่กับคนที่รักไม่ได้ครบทุกคน เพราะในวันน้ำท่วมฉับพลัน คนที่คุณรักอาจอยู่ไกลสุดขอบฟ้า คุณจะรู้สึกว่าเขาอยู่ไกลคุณจริงๆก็ตอนไม่มีมือถือและอินเตอร์เน็ตนี่แหละ

    สรุปคือในที่สุดอันเป็นสุดท้ายแล้ว คุณเลือกอยู่กับใครไม่ได้ตามปรารถนาหรอก ซึ่งนั่นก็ไม่แตกต่างจากที่กำลังเป็นอยู่สักเท่าไรเลย

    แม้คุณสมใจได้อยู่กับบุคคลอันเป็นที่รักในวันนี้ คุณก็ไม่รู้เลยว่าวันไหนจะมีเงื่อนไขหรือปัจจัยใดมาพรากเขาไป

    และวันใดบุคคลอันเป็นที่รักถูกพรากไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง วันนั้นเองที่ต้องตระหนักด้วยความตระหนกว่าคุณไม่เคยมีสิทธิ์อยู่กับใครจริง

    คุณต้องอยู่กับตัวเองตลอดไป ตราบเท่าที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นถ้าเตรียมสร้างตัวเองให้น่ารัก น่าอบอุ่น และน่าอยู่ด้วย คุณก็จะมีความสุขอยู่กับตัวเองในทุกวาระสุดท้าย ไม่ว่าจะต้องตายโหงในชาตินี้หรือตายดีในชาติไหน

    อีกสักคำถามหนึ่ง คุณถามตัวเองหรือยังว่าถ้าจะต้องเป็นหนึ่งในผู้จมน้ำตาย หรือกระหายน้ำจนขาดใจเพราะหนีขึ้นที่สูงเกินไป คุณจะเอาอะไรเป็นทุนรอนสำหรับเกิดใหม่ ให้ดีกว่าต้องมาอยู่ในโลกที่จมน้ำได้?

    แน่นอนว่าตอนยังดีๆทุกคนจะบอกว่าช่างเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ทำวันนี้ให้ดีที่สุด... แต่ขอโทษที คนพูดอย่างนี้ส่วนใหญ่จำๆเขามานะครับ

    ดีที่สุดที่จะทำวันนี้ของคนพูด ก็มักไม่ต่างจากเมื่อวานและวันก่อนๆ นั่นคือขอให้ผ่านไปอีกวัน กินให้อร่อยที่สุด นอนให้นานที่สุด และขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะให้โล่งที่สุด!

    พอถึงคราวหายนะขึ้นมาจริงๆ มีสักกี่คนทำใจได้

    เราต้องการความมั่นคงทางใจในวาระสุดท้ายเป็นสำคัญ ความมั่นคงทางใจเท่านั้น ที่จะทำให้เราพร้อมตายโดยไม่ต้องทำใจใดๆ ทุกอย่างจะสบายในตัวเอง

    ความมั่นคงทางใจเกิดขึ้นจาก ๒ สิ่ง

    ๑) กรรมดีที่สั่งสมมา ไม่ใช่กรรมดีที่รีบตาลีตาเหลือกนึกถึงพระอรหันต์ก่อนตายนะครับ ผมหมายถึงความดีที่บำเพ็ญมาทั้งชีวิต ความดีจะปรากฏเป็นความขาว ความสว่าง และความรู้สึกงดงามทางใจ ก่อให้เกิดความสุข ความตั้งมั่น โดยไม่ต้องวิงวอนขอการคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ

    ๒) ความเข้าใจ คนเราจะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังความตาย นั่นเพราะความไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไรแน่ ต่อเมื่อทำความเข้าใจว่าอนาคตก็คือผลของปัจจุบัน คุณก็จะเห็นอนาคตจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันนั่นเอง

    หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง หากใจคุณมืด อนาคตก็ย่อมมืด!

    ความสว่างคือธรรมะ ความมืดคืออธรรม ยิ่งใจคุณผูกอยู่กับธรรมะมากขึ้นเท่าไร ใจคุณก็ยิ่งสว่างขึ้นเท่านั้น ตรงข้าม หากใจคุณเอาแต่ผูกอยู่กับอธรรม พอทำความรู้สึกเข้ามาในใจ ก็จะเห็นแต่ความมืดคลุ้มไม่มีดี

    ธรรมะที่ดีที่สุดคือการมีสติระลึกถึงความจริงเฉพาะหน้า เช่น เห็นให้ได้ว่าประโยชน์สูงสุดยามตาย ก็คือความเข้าใจว่าร่างที่จะตายไม่ใช่เรา เป็นเลือดเนื้ออันเกิดจากข้าวปลาที่เอามาจากโลก และต้องคืนให้กับโลก

    นอกจากนั้นก็ทำความเข้าใจเตรียมไว้ว่า แม้ดวงจิตที่จะดับก็ไม่ใช่เรา เป็นแค่ธรรมชาติที่เกิดด้วยเหตุ และดับไปเรื่อยๆอยู่แล้ว

    เอาแค่ตื่นนอนตอนเช้าก็ถือว่าจิตเกิดใหม่แล้ว และแค่หลับไปก็ถือว่าจิตดับไปแล้ว จะต่างอะไรจากจิตดับยามตาย และเกิดอีกในยามปฏิสนธิในภพใหม่เล่า?

    [​IMG]

    สรุปคือ ถ้าเข้าใจถูกและดีพอ คุณก็จะยิ้มรอโลกแตกได้ ไม่ต่างจากที่เคยรอวันพรุ่งนี้ ที่แสนธรรมดาจริงๆครับ

    [​IMG]

    www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=article&id=784:-4-&catid=82:sabiangnew&Itemid=278
     
  3. wacaholic

    wacaholic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +214
    เพียร...ก็ต้องเพียรพยายามให้มากขึ้น
    พิจารณา...ปัญญาก็ต้องพิจารณาฟาดฟันกิเลสให้รอบรู้...รู้เท่ายิ่งขึ้น
    สติ...ต้องกำกับรักษาจิต พยายามไม่ให้พลั้งเผลอสักขณะจิต รวมความว่า กลับยิ่งต้องระวังรักษาตัวทุกประการให้สมควรกับที่ได้มีวาสนาประสบพบเห็นสิ่งที่ไม่น่าจะเห็น ได้ยิน ได้ฟัง สิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะได้ยินได้ฟัง
     
  4. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    [​IMG]




    นักท่องเที่ยวอึ้ง! "หลวงพ่อโต" วัดไชโยวรวิหารร้องไห้เป็นลางบอกเหตุ

    เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 8 ม.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายเสกสม แจ้งจิต อายุ 36 ปี นักท่องเที่ยวว่าพบเหตุการณ์ประหลาดกับ"พระมหาพุทธพิมพ์" หรือ "หลวงพ่อโต" วัดไชโยวรวิหาร โดยมีคราบคล้ายคราบน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้ง 2 ข้าง ซึ่งตอนนี้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากกำลังจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้น

    หลังจากได้รับแจ้งจึงไปตรวจสอบที่วัดไชโยวรวิหาร ต.ไชโย อ.ไชโย จ.อ่างทอง พบว่าบริเวณวัดไชโยมีนักท่องเที่ยวเข้ามากราบไหว้ขอพรเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภายในพระอุโบสถสถานที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต มีประชาชนต่างยืนดูบริเวณพระพักตร์ของหลวงพ่อโตและพูดคุยพร้อมถ่ายรูป บ้างก็นั่งกราบไหว้ขอพร สำหรับพระพักตร์ของหลวงพ่อโตที่นักท่องเที่ยวต่างจับกลุ่มวิพากษ์กันว่าหลวงพ่อโตร้องไห้ เนื่องจากมีคราบคล้ายคราบน้ำได้ไหลออกมาจากดวงตาทั้ง 2 ข้าง ที่สำคัญคราบน้ำดังกล่าวไหลออกมาจากขอบตาดำเหมือนกันทั้ง 2 ข้าง และไหลลงมาหยุดอยู่ที่เหนือริมฝีปากทำให้นักท่องเที่ยวต่างเชื่อว่าหลวงพ่อโต ร้องไห้ออกมาและอาจจะเกิดอาเพศเหตุร้ายอะไรกับบ้านเมืองก็ได้

    นายเสกสม กล่าวว่าเมื่อช่วงบ่ายได้พาครอบครัวไปกราบไหว้เพื่อจะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิเนื่องในปีใหม่ แต่พอเข้าไปกราบไหว้หลวงพ่อโตก็เห็นนักท่องเที่ยวจับกลุ่มพูดคุยว่าหลวงพ่อโตร้องไห้ ตนจึงสังเกตที่พระพักตร์พบว่าเป็นจริงเมื่อมีคราบน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง เหมือนกับกำลังร้องไห้ตนจึงเดินดูรอบๆองค์หลวงพ่อโตแต่ไม่พบคราบดังกล่าวที่อื่น ส่วนจะเป็นคราบอะไรนั้นไม่แน่ใจ แต่ที่เห็นๆไหลออกมาจากดวงตาและออกมาจากตาดำเหมือนกัน หากเป็นจริงหลวงพ่อโตอาจจะบอกอะไรให้กับประชาชนบางอย่าง หรืออาจจะเกิดลางร้ายกับประเทศไทย

    ทางด้านพระปลัดฟัก อภินันโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไชโยวรวิหาร กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวตนก็แปลกใจ เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและคราบที่เห็น ไม่รู้ว่าเป็นคราบอะไรและที่นักท่องเที่ยวบอกว่าหลวงพ่อร้องไห้เพราะอาจจะเกิดอาเพศ ตนคงไม่เชื่อ เพราะอาจจะเป็นมูลของนกก็เป็นไปได้ แต่ที่แปลกคือไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้างเท่านั้น ขณะที่นายนริศ เฟื่องฟู ศูนย์พระเครื่องโพธิ์ทอง กล่าวว่า คนสมัยโบราณได้เล่าต่อให้ลูกหลานว่า ถ้าน้ำตาพระพุทธรูปไหลออกมา เป็นลางบอกเหตุอาจเกิดได้ทั้งเหตุร้ายและเหตุดี ซึ่งประเทศไทยเหตุร้ายก็ได้ผ่านไปแล้วที่น้ำท่วมหนัก สร้างความเสียหายไว้มากมาย คงเหลือแต่เหตุดีแล้วที่จะเกิดกับเมืองไทย แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรคาดเดาไม่ถูก

    สำหรับประวัติ พระมหาพุทธพิมพ์ (หลวงพ่อโต) วัดไชโยวรวิหารแห่งวัดไชโย เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวอ่างทองและจังหวัดใกล้เคียง ให้ความเลื่อมใสศรัทธามาก พระมหาพุทธพิมพ์ประดิษฐานในวิหารวัดไชโยวรวิหาร มีพุทธลักษณะ เป็นศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ ขนาดหน้าตัก 8 วา 7 นิ้ว ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง ด้วยเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม
     
  5. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ธรรมดับทุกข์ โดย ว.วชิรเมธี


    [​IMG]

    <!-- .entry-meta -->[​IMG]

    ในช่วงเวลาที่คนไทยจิตตก ตระหนกไปกับทุกกระแสข่าว ตกใจไปกับข่าวสารทุกๆช่องทางที่เผยแพร่ออกมา ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสพูดคุยกับ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตตยาลัย สถาบันที่ศึกษา วิจัย ภาวนา และเผยแพร่ภูมิปัญญาทางพุทธศาสนาสู่ประชาคมโลก เพื่อมาให้ไขรหัสเอาชนะความทุกข์จากน้ำท่วม โดยใช้ “ธรรมะ” เข้าใจ “ธรรมชาติ” !!

    Q : ตามคำภีร์ไบเบิ้ลมีกล่าวถึงวันสิ้นโลก นอสตราดามุส ชนเผ่ามายัน ต่างก็กล่าวถึงวันสิ้นโลกเช่นกัน ในพระไตรปิฎกหรือพุทธทำนายของศาสนาพุทธ มีกล่าวถึงเรื่องวันสิ้นโลกหรือเปล่า…?

    A : มี แต่ไม่ได้บอกเวลา บอกแต่ว่า “ในอนาคตกาลนานไกลโพ้น โลกจะวิบัติเพราะน้ำ เพราะลม เพราะไฟ” ฉะนั้น ถือว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาโลก สิ่งไหนก็ตามที่มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ก็จะมีการแตกดับไปในที่สุด อย่าตื่นตกใจกับธรรมดาของโลก เราต้องพร้อมที่จะอยู่ในโลกอย่างคนที่เป็นนักเรียน พร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนเราเป็นนักกีฬาที่วิ่งลงไปในสนามแล้ว เราก็ต้องยอมรับกฎกติกาของสนามนั้น เราถึงจะเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ

    เช่นเดียวกัน เราเกิดมาในโลก เราก็เป็นนักกีฬาของโลก เราก็ต้องพร้อมที่โลกจะมอบบทเรียนต่างๆให้กับเรา มองทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นบทเรียน แล้วเราก็จะเข้มแข็ง ยิ่งโจทย์ยากๆ ถ้าหากเราแก้โจทย์ได้ เราก็จะกลายเป็นคนที่เก่งมากขึ้นๆ ยิ่งขึ้นไป

    ดังนั้น มองอีกนัยหนึ่งก็คือความทุกข์มากปลุกให้เราตื่น เมื่อเราตื่นแล้วปีต่อๆไป เมื่อน้ำไหลมา เราก็จะกลายเป็นผู้ที่รับมือกับน้ำได้อย่างเชี่ยวชาญ

    Q : ควรจะใช้ชุดความคิดแบบไหนดีที่จะจัดการความทุกข์ เพราะไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็มีแต่ข่าว มีแต่คนเครียดๆ เพราะน้ำท่วมบ้าน คนที่ยังไม่โดนน้ำท่วมก็กลัว กลัวจนนอนไม่หลับ ไม่เป็นอันทำอะไร?

    A : อาตมาอยากจะให้ทุกคนคิดว่า อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน ณ เวลานี้ เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว เราก็คงต้องยอมรับว่า สิ่งเหล่านี้มีสิทธิ์ที่จะเกิด เพราะว่านี่คือธรรมชาติ เรามาอยู่ในโลก เราต้องพร้อมจะรับมือกับทุกวิกฤติ เพราะว่าโลกมาอยู่ก่อนเรา แล้วเรามาทีหลัง ฉะนั้นก็ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นในโลกนี้

    วิธีที่ดีที่สุด “ให้มองปรากฏการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ว่าเป็นครูที่มาเตือนเราให้เราตื่น” เราอาจจะพากันหลับใหลอยู่ในความประมาท พอน้ำไหลบ่ามาปลุกให้เราให้ตื่น มองวิกฤติเป็นครูแล้วอยู่ด้วยกันแบบไม่ประมาท เพราะว่าน้ำมาแต่ละปี ก็จะทำให้เรามีความเชี่ยวชาญในการรับมือมากยิ่งขึ้น

    นั่นหมายความว่า ในอนาคตเมื่อเราเรียนรู้วิธีที่จะรับน้ำในแต่ละปี แต่ละปี ในอนาคตประเทศเราอาจจะเป็นประเทศที่บริหารจัดการน้ำที่ดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

    นี่คือมองให้บวก มองวิกฤติเป็นครูอยู่ด้วยความไม่ประมาท เติบโตจากความผิดพลาดเฉลียวฉลาดขึ้นมาจากความทุกข์ ในอนาคตเมื่อเราเรียนรู้จากการรับมือน้ำอย่างดีที่สุดและอย่างต่อเนื่อง ชนไทยอาจจะเป็นชนชาติที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการน้ำมากเป็นอันดับหนึ่งก็เป็นได้

    Q : คนที่สูญเสียบ้านและทรัพย์สินจากน้ำท่วม?

    A : ตอนที่เราเกิดมา เราทุกคนนั้นเปล่าเปลือยมาทั้งหมดเลย คุณมีแต่ตัวล้วนๆ คุณยังหาบ้านหารถหาเรือกสวนไร่นาได้อย่างมากมาย วัตถุเงินทองเสียไปแล้วถ้าหากวันหนึ่งคุณยังมีชีวิต ก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้ทั้งหมด

    ดังนั้น เสียวัตถุเสียไป แต่จงรักษากำลังใจและชีวิตเอาไว้ ให้กำลังใจให้ชีวิตนี้เป็นสมบัติติดตัวเราไปตลอด ถ้าชีวิตนี้ยังมีชีวิตอยู่กำลังใจก็ยังมีอยู่ คุณสามารถสร้างวัตถุขึ้นมาใหม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่ควรเสียใจ เมื่อถึงเวลาพักที่นาคาที่อยู่

    ที่สำคัญให้รู้จักเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เพราะชีวิตสำคัญมากกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าคุณไม่มีทรัพย์คุณสามารถหาใหม่ได้ แต่ถ้าคุณไม่มีชีวิตทุกอย่างทุกสิ่งก็จบตรงนั้นแล้ว ให้ยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ ให้ยอมสละทรัพย์

    เช่น บ้าน รถ วัตถุข้าวของทั้งหลายอย่าไปยึดติดถือมั่น มาเวลานี้ต้องเอาชีวิตให้รอดเสียก่อน ถ้าคุณยังมีชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสูญเสียไป หามาได้ใหม่ทั้งหมดไม่ต้องกังวล

    Q : คนที่เพิ่งสูญเสียคนรักจากน้ำท่วม?

    A : ก็ให้ทำใจยอมรับ อย่าโกหกตัวเอง เพราะว่ามันเป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคน พอเราเกิดมาแล้วก็ต้องมีอันต้องพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งของอันเป็นที่รักเป็นเรื่องธรรมดา

    “พระพุทธเจ้าใช้คำว่าเป็นธรรมดา ท่านไม่ได้มองว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เมื่อเราเกิดมาแล้วเราก็ต้องจากพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเป็นของธรรมดา เพียงแต่ว่ามันจะเกิดช้าเกิดเร็วเท่านั้น” เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วเราก็ต้องยอมรับเพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

    “เมื่อสุดมือสอยก็ต้องปล่อยมันไป” คนที่เหลือก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตกันไปโดยไม่ประมาท เติบโตจากความผิดพลาด เฉลียวฉลาดขึ้นมาจากความทุกข์ สูญเสียอะไรก็สูญเสียไป แต่ต้องรักษากำลังใจเอาไว้ให้ดีที่สุด เพราะถ้าคุณสูญกำลังใจคุณสูญทุกอย่าง แต่หากคุณยังมีกำลังใจ คุณยังสามารถหาทุกสิ่งทุกอย่างได้ใหม่อย่างแน่นอน

    Q : น้ำท่วมจนธุรกิจล้มละลาย?

    A : อาตมาอยากให้เขาคิดเหมือน “สตีฟ จ็อบส์” เพราะจ็อบส์เคยถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้ง

    แต่เขาบอกว่า “เขาแค่สูญเสียบริษัทไปเท่านั้น แต่ฉันไม่ได้สูญเสียความสามารถ ภูมิสติปัญญาที่อยู่ในหัวซะหน่อย”

    ดังนั้น เขาจึงก่อตั้งบริษัทใหม่แล้วกลายเป็นซีอีโอแห่งศตวรรษ คือในรอบ 100 ปีจะมีคนอย่างเขาคนหนึ่ง

    ฉะนั้น ก็ขอให้นักธุรกิจทั้งหลายที่ประสบกับความล้มละลายในระหว่างนี้ ให้บอกตัวเองว่าเราแค่สูญเสียข้าวของเงินทองเท่านั้น แต่เราไม่ได้สูญเสียชีวิต แล้วเราก็ไม่ได้สูญเสียความสามารถของการก่อร่างสร้างตัวของเราแต่อย่างใด

    ฉะนั้น เราสามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้ คิดแบบนี้ก็ไม่ต้องห่วงว่าเราจะไม่กลับมา “หลายคนเมื่อล้มเหลวแล้วกลับมาได้ดียิ่งกว่าเดิม เพราะว่าเขาได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญผ่านไปแล้ว”

    ถ้ามองแบบนี้ความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว มันกลายเป็นว่ามันทำให้เราระมัดระวังในการใช้ชีวิต ระมัดระวังในการทำธุรกิจยิ่งขึ้น ความล้มเหลวมันจะทำให้เราได้รับบทเรียนที่ดี คุณอาจจะสูญเสียธุรกิจ เงินทุน แต่ตราบใดที่คุณยังมีความสามารถนั้นอยู่ในหัว คุณเริ่มต้นได้ใหม่ทั้งหมด

    Q : กล่าวโทษหน่วยงาน รัฐบาล ข้าราชการ คนอื่นๆ เพราะไม่มีคนมาช่วยเหลือตนเองซะที

    A : สิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้คราวนี้มันกินพื้นที่กว้างเหลือเกินกว่า 50 จังหวัด ไม่อยากให้กล่าวโทษใคร

    ในตอนนี้อยากจะให้เราช่วยซึ่งกันและกันไปก่อน รัฐบาลคือคนไทยเหมือนกับเรา มีความปรารถนาดีที่อยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลเหมือนกัน แต่ต้องยอมรับว่าเราต่างเดือดร้อนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จะให้ไปกระจุกอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นการยาก ให้มองด้วยความเข้าใจดีกว่าการกล่าวโทษ

    ดังนั้น อาตมาอยากให้คิดว่าจงพึ่งตัวเองก่อนที่จะพึ่งรัฐบาล เพราะว่าเวลาน้ำไหลมามันไม่รอรัฐบาลหรือรอใครทั้งสิ้น ธรรมชาติไม่มีการเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม

    สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ “อัตาหิ อัตตาโน นาโถ พึ่งตนก่อนพึ่งคนอื่น” ทำได้อย่างนี้แล้ว เราจะสามารถเอาตัวรอดได้ก่อนที่ความช่วยเหลือคนอื่นจะมาถึง ในส่วนของประชาชนคนไทยก็ขอโอกาสนี้เป็นการแสดงออกแห่งวัฒนธรรมแห่งน้ำใจ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทอดกฐินน้ำใจช่วยภัยน้ำท่วม

    ท่ามกลางวิกฤติ เราก็จะเห็นได้ว่าความงดงามแฝงอยู่ เราจะเห็นได้ว่าเมืองไทยเป็นเมืองแห่งการให้ เราอยู่กันมาด้วยการให้ และนี่คือวันเวลาที่จะทำให้เราให้ซึ่งกันและกัน ท่ามกลางความทุกข์ก็ยังมีความงดงามแห่งการให้ เป็นดั่งดวงดอกไม้ที่โดดเด่นอยู่ เพราะฉะนั้นเราต้องรักษาเสน่ห์น้ำใจของคนไทยตรงนี้เข้าไว้

    Q : โกรธ โมโห ด่าทอ ธรรมชาติ…?

    A : การด่าทอธรรมชาติ มันไม่ใช่อะไรหรอก เราเกิดมาเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มองในมุมกลับกัน เช่น ต้นไม้อาจจะด่ามนุษย์ว่าเธอตัดฉัน เธอปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ จนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนในขณะที่เราด่าธรรมชาติ

    คุณรู้ไหมว่าธรรมชาติอาจจะด่าเรา มันไม่ช่วยอะไร แนะนำให้เราเรียนรู้จากธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติคือมารดาบิดาของมนุษยชาติ มนุษย์ทุกคนคือลูกหลานของธรรมชาติ คุณไม่ควรไปด่ามารดาบิดาของคุณ ควรจะเรียนรู้จากมารดาบิดาของคุณว่าเขามีธรรมชาติอย่างไร

    พอเราเรียนรู้จากธรรมชาติได้เป็นอย่างดี เราก็จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย การด่าจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา การเรียนรู้ธรรมชาติเท่านั้นถึงจะทำให้เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย

    Q : ถ้าจะต้องมีคนผิดกับเหตุการณ์วิปโยคน้ำท่วมในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทั้งเศรษฐกิจ ชีวิต และสิ่งมีค่ามากมาย สุดท้ายเราควรจะกล่าวโทษโกรธใคร

    A : จงโทษตัวเองว่าทำไมไม่เรียนรู้ น้ำไม่ได้ท่วมเป็นปีแรก มันท่วมเกือบทุกปี ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนไทยว่าไม่ยอมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ประเทศที่ประชาชนที่ไม่ยอมเรียนรู้ประวัติศาสตร์นั้น ก็เป็นประเทศที่จะต้องมีชะตาร่วมกัน ในการเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นแหละ

    ฉะนั้น เราคนไทยจะต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์เรื่องน้ำให้ดี แล้วมาหาวิธีจัดการเสียให้ถูกต้อง วิถีนี้เท่านั้นที่จะทำให้น้ำไม่ท่วมซ้ำซาก จงอย่าหลงลืมประวัติศาสตร์

    ลุกขึ้นมาศึกษาว่า เราถูกน้ำท่วมมาแล้วกี่ครั้ง แล้วก็หาทางรับมือให้ดีที่สุด ดังนั้นพวกเราทุกคนมีส่วนร่วมทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ การกล่าวโทษไม่ช่วยอะไร มีแต่ตั้งใจเรียนรู้เท่านั้นที่จะรับมือภัยธรรมชาติได้


    ข้อมูลจาก ไทยรัฐ 25 ตุลาคม 2554

    www.tawanth.wordpress.com/2011/10/25/%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b9%8c-%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b8%a2-%e0%b8%a7-%e0%b8%a7%e0%b8%8a%e0%b8%b4%e0%b8%a3%e0%b9%80/
     
  6. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ชุมชนคนพ้นโลก

    บ้านราช รึราชธานีอโศก ที่อุบลฯ ใครจะไปอยู่ก็ได้ ไม่เก็บตังค์ แต่ต้องทำศีล 5 ข้อได้จริง การบริหารชุมชน ใช้ระบบบุญนิยม และสาธารณโภคี


    ที่บ้านราช คนเขาถือศีลกันเข้มข้น วันๆ ทำกันแต่งาน กลางวันไม่นอน น้ำเมาไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ การพนันไม่เอา กามไม่หมกมุ่น เนื้อสัตว์ไม่กิน เงินทองไม่สะสม ไม่เอาสาระกับเรื่องไสยศาสตร์


    www.oknation.net/blog/pornchau/2009/02/26/entry-1



    [​IMG]


    ราชธานีอโศก

    หมู่บ้านสหกรณ์บุญนิยมราชธานีอโศก เป็นหมู่บ้านเกิดใหม่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมูล จังหวัดอุบลราชธานี แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีประวัติศาสตร์ไม่ถึง 10 ปี

    แต่เป็นหมู่บ้านที่ได้รับการกล่าวขานกันค่อนข้างมาก อันเนื่องจากสมาชิกทั้งหมดเป็นบุคคลที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและมีแนวปฏิบัติตามแนวทางของสมณะโพธิรักษ์ ที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณเป็นจุดรวมจิตใจของคนเหล่านั้น

    หลายคนอาจจะมองว่าสมาชิกของคนในหมู่บ้านแห่งนี้มีความแปลกแยกจากสังคมภายนอก เช่น สมาชิกส่วนใหญ่นิยมเดินเท้าเปล่า สวมใส่ด้วยผ้าหม้อฮ่อมที่เก่าซ่อมซอ อีกทั้งกิริยาภาษานบนอบ อ่อนน้อม และกล่าวถึงธรรมะเป็นคติเตือนใจตลอดเวลา

    “หมู่บ้านบุญนิยมราชธานีอโศก” ซึ่งเป็นการผสมกันระหว่างคำว่า “บุญนิยม” ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติธรรม

    คำว่า “ราชธานี” มาจากจังหวัดอุบลราชธานี และยังมีความหมายถึงคำว่าเมืองหลวง และคำว่า “อโศก” ที่ต่อท้ายหมายถึงบุคคลที่ศรัทธาในแนวการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดของสมณะโพธิรักษ์

    หมู่บ้านบุญนิยมราชธานีอโศก นับเป็นหมู่บ้านที่มีความเข้มแข็งมีการจัดการอย่างเป็นระบบและเป็นหนึ่งในไม่กี่หมู่บ้านในประเทศไทยที่สามารถเดินสวนกระแสทุนนิยมที่กำลังมีอิทธิพลต่อสังคมในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก

    ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเข้มแข็งของชุมชน

    -ด้านความเชื่อความศรัทธาต่อศาสนาพุทธ ที่มีผู้นำทางจิตวิญญาณชื่อ สมณะโพธิรักษ์ จึงมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

    -ลักษณะของสมาชิกชุมชน ซึ่งเป็นคนมีการศึกษาค่อนข้างสูง ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ถึง ปริญญาเอกอยู่ในชุมชน ทำให้สามารถปรับวิทยาการจากภายนอกเข้ากับการบริหารจัดการองค์กรได้อย่างเหมาะสม

    -การปฏิเสธการรับความช่วยเหลือจากภายนอกชุมชน ทำให้ชุมชนต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาของตนเอง โดยเชื่อว่าหากคิดแต่จะพึ่งพาปัจจัยภายนอกจะทำให้ ขาดศักยภาพในการพัฒนาตนเอง

    การระดมส่วนร่วมจากสมาชิกของชุมชนเป็นไปได้ง่าย โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมทางด้านการปฏิบัติ หรือส่วนร่วมดำเนินการ และทุกคนต่างมีความเต็มใจ

    ความเข้มแข็งของชุมชนราชธานีอโศก เป็นพลังของสมาชิกชุมชนที่มีแรงผลักดันด้วยความเชื่อ ความศรัทธา เป็นการทำงานที่ไม่หวังผลเพื่อประโยชน์ตนในภพชาตินี้ แต่อย่างไรก็ดี

    สมาชิกจำนวนมากเชื่อว่า การทำงานหนักในภพนี้ ถือเป็นการสร้างบุญกุศล หากสะสมบุญกุศลมากพอ เมื่อสิ้นชีวิตไปจากภพชาตินี้แล้ว ในภพชาติถัดไปหรือภพชาติหน้าจะได้รับผลบุญ (บุญเก่ากรรมเดิม)

    ดังนั้น จะเห็นได้ว่า สมาชิกของชุมชนราชธานีอโศก มีความขยัน ไม่เกียจคร้าน หรือหวั่นต่องานหนัก และการทำงานได้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรม

    ราชธานีอโศก … อุบลราชธานี

    [​IMG]


    หมู่บ้านสหกรณ์บุญนิยมราชธานีอโศก เป็นหมู่บ้านเกิดใหม่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมูล จังหวัดอุบลราชธานี แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีประวัติศาสตร์ 10 ปีเศษ แต่เป็นหมู่บ้านที่ได้รับการกล่าวขานกันค่อนข้างมาก

    อันเนื่องจาก สมาชิกทั้งหมดเป็นบุคคลที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและมีแนวปฏิบัติตามแนวทางของสมณะโพธิรักษ์ ที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณเป็นจุดรวมจิตใจของคนเหล่านั้น
    หลายคนอาจจะมองว่าสมาชิกของคนในหมู่บ้านแห่งนี้มีความแปลกแยกจากสังคมภายนอก เช่น สมาชิกส่วนใหญ่นิยมเดินเท้าเปล่า สวมใส่ด้วยผ้าหม้อฮ่อมที่เก่าซ่อมซอ อีกทั้งกิริยาภาษานบนอบ อ่อนน้อม และกล่าวถึงธรรมะเป็นคติเตือนใจตลอดเวลา


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]

    ชุมชนแห่งนี้ก่อนปี พ.ศ. 2530 เป็นพื้นที่นา กับพื้นที่ว่างเปล่าที่ยังไม่มีการพัฒนาเนื่องจากอยู่ริมแม่น้ำมูล ที่ท่วมบ่อยในช่วงน้ำหลาก อยู่ไกลจากใจกลางเมือง จ.อุบลราชธานี ประมาณ 10 กิโลเมตร มีชุมชนอยู่น้อยและกระจัดกระจาย

    ต่อมาที่ดินผืนนี้ ได้ถูกขายให้กับคุณหนึ่งฟ้า นาวาบุญนิยม ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติธรรมของชุมชนอโศกในปี พ.ศ. 2534 ในเวลาต่อมาได้ทำการมอบที่ดินผืนนี้ให้กับ ชุมชนอโศกเพื่อทำเป็นพุทธสถานเรียกว่า “หมู่บ้านบุญนิยมราชธานีอโศก” ซึ่งเป็นการผสมกันระหว่างคำว่า “บุญนิยม” ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติธรรม

    คำว่า“ราชธานี” มาจากจังหวัดอุบลราชธานี และยังมีความหมายถึงคำว่าเมืองหลวง และคำว่า “อโศก” ที่ต่อท้ายหมายถึงบุคคลที่ศรัทธาในแนวการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดของสมณะโพธิรักษ์

    การรวมตัวของผู้คนที่ศรัทธาในสมณะโพธิรักษ์ อันมีแนวทางการปฏิบัติที่ฝึกฝนตนเองตามแนวทางของศาสนาพุทธ


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]

    ที่ดิน ณ พุทธสถานราชธานีอโศก และ สหกรณ์บุญนิยมราชธานีอโศกในปัจจุบันนั้น มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๓๕๐ ไร่ คุณหนึ่งฟ้า นาวาบุญนิยม ซึ่งเป็นชาว อ.พิบูลมังสาหาร ได้ถวายสมณะโพธิรักษ์ไว้เมื่อเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๒ ที่หน้าร้านอาหารมังสวิรัติปฐมอโศก จังหวัดนครปฐม โดย บริจาคเข้า “กองทัพธรรมมูลนิธิ”

    โดย ในปลายปี พ.ศ.๒๕๓๖ ได้มีกลุ่มนักปฏิบัติธรรมชาวอโศก ประมาณ ๗ หรือ ๘ คน มาจากศีรษะอโศก มาตั้งถิ่นฐาน และ ได้เริ่มทำงานด้านกสิกรรมธรรมชาติ เป็นอันดับแรก

    ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับการแต่งตั้งเป็นทางการตามกฎหมายกระทรวงมหาดไทย ให้เป็นหมู่บ้าน

    หมู่บ้านนี้แยกตัวมาจากหมู่บ้านคำกลาง (หมู่ ๖) เป็น หมู่บ้านที่ ๑๐ ของ ตำบลบุ่งไหม อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

    “พุทธสถานราชธานีอโศก” จึงเป็นแหล่งที่แปลกกว่าพุทธสถานที่อื่นๆ ของ ชาวอโศก คือ เกิดชุมชนก่อน พุทธสถาน โดย ที่ท่านสมณะโพธิรักษ์ได้วางนโยบายไว้ว่า

    ให้ฆราวาสเป็นผู้บริหาร ส่วนสมณะเป็นที่ปรึกษา โดย เน้นเรื่องกสิกรรมธรรมชาติเป็นหลัก ทั้งได้วางหลักการให้เป็นแนวปฏิบัติไว้ ๔ ข้อ ด้วย ดังนี้ ซื่อสัตย์ ขยัน สามัคคี มีวินัย


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]

    วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง

    1. เป็นสังคมร่วม ประกอบด้วยสมณะ และ ฆราวาสผู้สนใจจะปฏิบัติธรรมตามคำสอน ของ สมเด็จพระสัมมา- สัมพุทธเจ้า

    2. มีการดำเนินชีวิต และ ความเป็นอยู่เรียบง่าย ไม่มีอบายมุข สิ่งเสพติด ไม่มีเดรัจฉานวิขา หรือ ไสยศาสตร์ มีชีวิตที่ประหยัด ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ลดการกินการใช้จ่ายที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย หรือ ที่ไม่จำเป็นตามกรอบ ของ ศีล ๕, ศีล ๘, ศีล ๑๐, จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล และ มรรคมีองค์ ๘ ตามคำสอน ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    3. พัฒนาจิตสำนึกให้มีความขยัน สร้างสรรค์ เสียสละ ในการประกอบสัมมาอาชีพเป็นบุญกุศล รู้รักสามัคคี มีเมตตา และ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ สังคม

    4. อนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศ และ สิ่งแวดล้อม ในการรักษานิเวศป่า นิเวศน้ำ และ แบ่งพื้นที่ทำกสิกรรมธรรมชาติไร้สารเคมีทุกชนิด เพื่อ การกินอยู่ภายในชุมชน

    5. มีกิจกรรมร่วมแรงกันสร้างสรรค์ผลผลิตด้านปัจจัย ๔ เพื่อ สร้างสังคมที่พึ่งตนเองอย่าง “ครบวงจร” ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดย ยึดหลัก“บุญนิยม” คือการทำงานที่เป็นประโยชน์แก่ ส่วนรวม เป็นบุญกุศล ของ ตนเอง

    6. มีการอบรม และ เผยแพร่พระธรรมคำสอน แก่ สมาชิกในชุมชน และ ผู้สนใจ


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]

    ชุมชนแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่ม เปรียบเหมือนอยู่ก้นกระทะ มีสภาพเป็นดินทาม คือ ฤดูฝนจะมีน้ำมาก บางปีน้ำท่วม ส่วนฤดูหนาว น้ำจะขัง สามารถใช้ดิน ทำการเพาะปลูก พืชผัก และ ไม้ล้มลุกได้

    สภาพพื้นที่ระหว่างหมู่บ้าน จนจรดแม่น้ำมูล มีลักษณะคล้ายคลื่น มีพื้นที่สูงๆ ต่ำๆ ขนานกับแม่น้ำมูล ส่วนที่เป็นคลื่นก็เป็นบุ่ง หรือ เป็นคลองน้ำธรรมชาติ บางบุ่ง (บึง) มีน้ำขังตลอดปี บางบุ่ง (บึง) ไม่มีน้ำขัง ทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ แม่น้ำมูล บุ่งไหมน้อย และ ป่าละเมาะริมบุ่ง ริมแม่น้ำ


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    "เฮือนศูนย์สูญ"

    ระบบบุญนิยมเกิดจากพื้นฐานความเชื่อ ๔ ประการ คือ พลังของกลุ่มหรือกระบวนการกลุ่ม พลังของศาสนา พลังของธรรมะ และพลังของกรรม สังคมในระบบบุญนิยมพัฒนามาจากระบบสังคมของสงฆ์สมัยพุทธกาล ซึ่งมีวิถีชีวิตแบบสาธารณโภคีสมบูรณ์

    คือ มีการจัดและแบ่งปันกันเครื่องกินเครื่องใช้กันเป็นส่วนกลาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาราณีย-ธรรม ๖ อันประกอบด้วยเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม สาธารณโภคี ศีลสามัญญตา และทิฏฐิสามัญญตา สำหรับชาวบ้านราชธานีอโศกมีกรอบมาตรฐาน ๔ ประการ

    คือ ศีล กฎระเบียบของชาวอโศก กฎระเบียบของชุมชน วัฒนธรรมชุมชน กรอบมาตรฐานเหล่านี้จะเอื้อให้บุคคลพัฒนาตนเองเข้าสู่ระดับ บุญนิยมที่สูงขึ้น ๔ ระดับ

    คือ การทำงานรับค่าตอบแทน ต่ำกว่าอัตราของตลาด เท่าทุน ต่ำกว่าทุน และไม่รับค่าตอบแทน


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]

    ลักษณะของบุญนิยมมี ๑๑ ประการ คือ ทวนกระแสกับทุนนิยม มีคุณธรรมเข้าเขตโลกุตระ ทำได้ยาก เป็นไปได้ เป็นสัจธรรม กำไรหรือผลได้ของชาวบุญนิยมคือการให้มีความมุ่งหมายในการสร้างคน

    ทำให้บรรลุธรรมขั้นปรมัตถสัจจะสู่โลกุตระได้ ความร่ำรวยอุดมสมบูรณ์อยู่ที่ส่วนรวม หรือส่วนกลาง เชิญชวนให้มาดูหรือพิสูจน์ได้ และจุดสัมบูรณ์ของบุญนิยม คือ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ

    การปฏิบัติงานในสังคมบุญนิยมมีแนวทางดังนี้

    ๑. กสิกรรมไร้สารพิษเพื่อการบริโภค

    ๒. ศิลปะเพื่อความหลุดพ้นจากกิเลส

    ๓. การศึกษาบุญนิยมมุ่งหมายให้ผู้ศึกษาหรือมนุษย์ทุกคนมีศีลธรรมมีคุณธรรมเพิ่มขึ้น และมีค่านิยมในการทำงานหนัก

    ๔. การสื่อสารบุญนิยมจะสื่อสารสัจจะให้เข้าถึงความจริงและคุณค่าของชีวิต

    ๕. วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพของมนุษย์ในการผลิตและแพร่กระจายเพื่อพัฒนาให้มนุษย์เข้าถึงความจริงและคุณค่าของชีวิต

    ๖. ระบบเศรษฐกิจบุญนิยมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของส่วนรวม ส่วนตัวจะพยายามทำตนเองให้เป็นคนมักน้อย สันโดษ สะสมน้อยลง

    ๗. การเงินในระบบบุญนิยมจะต้องแพร่สะพัดออกไปให้มากที่สุดเพื่อสนับสนุนการสร้างสรรงานเพื่อเกื้อกูลสังคม

    ๘. การบริโภค สังคมบุญนิยมจะเรียนรู้การบริโภคที่ไม่เกิดโทษ ไม่ถูกหลอกให้หลงเสพติดสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย รู้เท่าทันและหลุดพ้นจากกระแสบริโภคนิยม รู้จักการบริโภคที่เป็นแก่นสารสาระ มีคุณค่าประโยชน์

    ๙. สาธารณสุขบุญนิยมเน้นการป้องกัน และสร้างความสมดุลของชีวิตตามหลัก ๘ อ. ได้แก่ อาหารดี อากาศดี อารมณ์ดี อิทธิบาท ออกกำลัง เอาพิษออก เอนกายหรือพักผ่อน และอาชีพสัมมา

    ๑๐. นักบริหารในระบบบุญนิยมจะเป็นคนอาริยะ เป็นผู้รับใช้ เป็นผู้เสียสละ ทำงานฟรี กินน้อยใช้น้อยแต่ทำงานหนัก

    ๑๑. ศาสนาเป็นอเทวนิยม

    ๑๒. ชุมชนมีการประสานสัมพันธ์กันเป็นข่ายแหเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    www.asoke.info/ratchathani/rat260609.htm
    ขอบคุณเนื้อเรื่องบางส่วนจาก

    http://gotoknow.org/blog/papangkorn/45888

    http://www.culture.go.th/research/isan/49_2.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2012
  7. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,244
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,001
    ฟัง clip นี้ได้ครับ อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...