เตือนสติ ผู้ได้มโนมยิทธิ และญาณ๘

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ยศวดี, 24 กรกฎาคม 2012.

  1. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    เตือนสติ

    เมื่อท่านได้มโนมยิทธิ และญาณ ๘ ประการแล้ว ท่านควรซักซ้อม ใช้ให้เป็นปกติทุกวัน ท่านรวบรัดแนะนำ ข้อควรปฏิบัติไว้ดังต่อไปนี้

    ๑.ทุกญาณของการรู้ ให้ถามตรงต่อพระพุทธเจ้า อย่าใช้กำลังของตัวเอง จะผิดพลาดได้ง่าย ต้องอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้าทุกครั้ง แม้พระอริยสาวกทั้งปวง ท่านก็ไม่ใช้กำลังของตนเอง เพราะความผิดพลาดเบี่ยงเบนย่อมเกิดขึ้นได้ และการใช้กำลังใจตัวเอง อุปาทานจะหลอกหลอนเอาได้ง่าย

    ๒.ก่อนนอน และ ตอนตื่นนอน รวบรวมกำลังใจ พุ่งไปนิพพานก่อน เมื่อถึงนิพพานแล้ว ให้ตัดสินใจว่า ถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ขอมาที่นี่แห่งเดียวทันที เมื่อจิตเป็นสุขอยู่ที่พระนิพพานแล้ว กราบทูลถามพระพุทธเจ้า เช่น ใครจะมาหาบ้างวันนี้ กิจการงานวันนี้เป็นอย่างไร ฯลฯ สอบถามแล้วจดบันทึกไว้ตรวจสอบ วันไหนตรง ถูกต้องตามที่เรารู้ทุกอย่าง ให้จำอารมณ์นั้นไว้ วันต่อไปอยากรู้อะไร ให้ใช้อารมณ์เดิมแบบนั้น จะถูกต้อง จะทำหมอดู พยากรณ์ก็ได้ แต่ไม่ควรรับเงินตอบแทน จะทำให้เกิดความโลภและหลงในตนเอง อันจะปิดกั้นความดี กลายเป็นผลเสียดึงให้ลงนรกได้

    ๓.เมื่อรู้สภาวะตามความเป็นจริงของโลก และโลกธรรม จงตั้งใจไว้ว่า โลกนี้มันเลวอย่างนี้ เพื่อนเราชมต่อหน้า ลับหลังนินทาว่าร้าย อย่าโกรธเขา ใครกลั่นแกล้ง เราไม่โกรธ ตั้งจิตแผ่เมตตา ให้อภัยเขาไป เป็นอภัยทาน ทำจิตวางเฉย ถือว่า เป็นธรรมดาโลก ฉะนั้น เราจะคบกับทุกคนได้ แต่ไม่ยอมรับนับถือเขา ถ้าเขาเลว เรายอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เท่านั้น

    .การมี ทิพจักขุญาณ หรือ มโนมยิทธิ มิได้ช่วยให้ หนีนรก และอบายภูมิได้ ต้องทำใจท่านให้มีอารมณ์จิตเป็นพระอริยเจ้า จึงจะหนีนรกได้ถาวร อารมณ์จิตของพระอริยเจ้าเบื้องต้น ที่ท่านแนะนำไว้ เพื่อการหนีอบายภูมิอย่างถาวร ได้แก่

    ไม่ลืมว่า ชีวิตนี้ต้องตาย ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ฯลฯ
    ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ
    ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์สำหรับฆราวาส ส่วนภิกษุสามเณรก็ทรงศีลตามพระธรรมวินัย

    คิดไว้เสมอว่า การเกิดเป็นทุกข์ เป็นมนุษย์เทวดาพรหมเราไม่ต้องการ เราต้องการเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว ตายเมื่อไรขอไปนิพพานทันที

    ๕.ต้องหมั่นฝึกซ้อม วิชชา มโนมยิทธิ เป็นฌานโลกีย์ ถ้าไม่หมั่นปฏิบัติฝึกฝน ไม่ทรงอารมณ์ใจให้บริสุทธิ์ วิชชานี้จะหายไปจากผู้นั้น และ การรู้เห็นคล่องตัวชัดเจน ต้องมี ๓ ดี คือ สมาธิดี ศีลดี และวิปัสสนาญาณดี

    ๖.อย่าประมาท อย่าทะนงตนว่าดีกว่า เก่งกว่าใครเขา(หรือคิดว่าตนเองเลวกว่าเขา) ถ้าคิดว่าเราดีเมื่อไร แสดงว่าจิตเราเลวเมื่อนั้น นักปฏิบัติต้องกระทำเพื่อละ อย่าคอยจ้องจับผิดผู้อื่น สนใจเรื่องของตน แม้ตนจะเข้าถึงความดี ระดับ “เปลือก สะเก็ด กระพี้ หรือแก่น” ก็ยังเป็นแค่ฌานโลกีย์ ยังไม่ดีพอ ต้องปฏิบัติให้ถึงขั้นโลกุตตระ ระดับพระอริยเจ้า จึงจะพอวางใจได้

    ความดีระดับเปลือก ของพระศาสนา ข้าพเจ้าขอคัดลอกมาเป็นภาษาไทย ง่ายๆ ดังนี้
    ๑.ไม่กังวล
    ๒.ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
    ไม่ยุยงให้คนอื่นทำลายศีล
    ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำลายศีลแล้ว
    ๓.ระงับนิวรณ์ได้โดยพลัน เมื่อต้องการความเป็นทิพย์ของจิต
    ๔.จิตทรงพรหมวิหารเป็นปกติตลอดวัน

    ความดีชั้นสะเก็ด ได้แก่
    ๑.ไม่สนใจในจริยาของคนอื่น ใครจะดี จะเลว เรื่องของเขา
    ๒.ไม่ยกตนข่มท่าน
    ๓.อย่าถือตัวเกินไป

    ความดีชั้นกระพี้ ได้แก่ การระลึกชาติได้ มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

    ความดีระดับแก่น ของพระศาสนา คือ การคล่องในจุตูปปาตญาณ

    ๗.ความละเอียดเรื่องการรู้เห็นของแต่ละคน อาจไม่เหมือนกัน เพราะสภาพร่างกายของแต่ละภพภูมิต่างกัน ดังแจกแจงไว้ดังนี้

    ร่างกายคน และ สัตว์ หยาบกว่า หนากว่า ผี คือ อสุรกาย สัมภเวสี เปรตบางจำพวก ถ้าผีไม่ต้องการให้คนเห็น คนก็จะเห็นไม่ได้ แต่พวกเขาเห็นคนได้

    ผี มีร่างกายหยาบกว่า เทวดา ตั้งแต่ภุมเทวดาขึ้นไป ถ้าเทวดาไม่อยากให้พวกเขาเห็น ผีก็เห็นท่านไม่ได้

    เทวดา มีร่างกายหยาบกว่า พรหม ร่างกายพรหมละเอียดกว่า ถ้าพรหมไม่ให้เห็น เทวดาก็เห็นพรหมไม่ได้

    พระอริยเจ้า และ พระพุทธเจ้า ที่เข้านิพพานไปแล้ว มีร่างกายบางมาก ละเอียดมากกว่าพรหม ถ้าท่านไม่ต้องการให้เห็น แม้พรหมก็ไม่สามารถมองเห็นได้เลย

    สำหรับลีลาในการปฏิบัติพระกรรมฐาน จะมีผลต่างกัน ดังนี้

    ถ้าจิตสะอาดขั้นโลกีย์ชั้นต่ำ จะสามารถเห็นเทวดาได้ แต่จะไม่เห็นพรหม ผู้ปฏิบัติมโนมยิทธิหรือมีอภิญญาระดับนี้ จะไปสวรรค์ได้ แต่ไปพรหมไม่ได้ ท่านที่ฝึกทิพจักขุญาณในหมวดวิชชาสาม จะเห็นเทวดา แต่ไม่เห็นพรหม

    ถ้าเจริญสมาธิจนจิตเป็นฌาน ผู้ปฏิบัติได้ในหมวดมโนมยิทธิถึงขั้นนี้ ไปพรหมได้ ผู้ปฏิบัติหลักสูตรวิชชาสาม สามารถเห็นพรหมและพูดกับพรหมได้

    ถ้าเจริญสมาธิ มีจิตสะอาดระดับพระโสดาบันขึ้นไป ผู้ปฏิบัติตามหลักสูตรมโนมยิทธิ จะเห็นและเข้าเขตพระนิพพานได้ นั่งนอนในวิมานของตนที่แดนพระนิพพานได้ ผู้ที่ปฏิบัติในหลักสูตรวิชชาสามที่เจริญทิพจักขุญาณ จะเห็นนิพพานได้

    ๘.สีของจิตและลักษณะอทิสสมานกาย ซึ่งผู้ฝึกซ้อมการใช้เจโตปริยญาณควรรู้ไว้ เพื่อประโยชน์ในการดู การสังเกตทั้งใจของตนเองหรือกายผู้อื่น

    สีของจิต หรือ น้ำเลี้ยงของจิต นั้น ท่านจำแนกไว้โดยย่อ ดังนี้
    จิตที่มีความดี เพราะผลอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตจะเป็น สีแดง
    จิตที่ขณะนั้นมีความอาฆาตพยาบาท ความโกรธหรือเป็นทุกข์ จิตจะเป็น สีดำ
    จิตมีอารมณ์น้อมไปทางเชื่อง่าย มักขาดเหตุผล จิตจะเป็น สีขาว เหมือนดอกกรรณิการ์
    จิตผู้ฉลาด ปฏิภาณดี ไม่มีกังวล จิตมีสีผ่องใส คล้ายหยดน้ำบนใบบัว
    ลักษณะของจิตที่กล่าวข้างต้น เป็น ลักษณะจิตของปุถุชน

    ลักษณะจิตของผู้ทรงฌานโลกีย์ นั้น ท่านกล่าวไว้ดังนี้

    ผู้ทรงฌานที่ ๑ หรือ ปฐมฌาน ลักษณะของจิตเหมือนเนื้อที่ถูกแก้วใส ๆ บาง ๆ ครอบไว้ภายนอก

    ผู้ทรงฌานที่ ๒ หรือ ทุติยฌาน ลักษณะจิตเหมือนแก้วเคลือบหนาลงไปครึ่งหนึ่งของดวงจิต

    ผู้ที่ทรงฌานที่ ๓ หรือ ตติยฌาน จิตท่านผู้นั้นจะเหมือนแก้วเคลือบหนามาก เห็นแก่นในนั้นอยู่นิดหน่อย ไม่เต็มดวง

    ผู้ทรงฌานที่ ๔ หรือ จตุตถฌาน จิตของท่านจะเห็นเป็นแก้วใสทั้งดวง เหมือนดวงแก้วลอยอยู่ในอก

    สำหรับ ลักษณะของจิตของพระอริยเจ้า นั้น ย่อมแตกต่างไปจากลักษณะที่กล่าวข้างต้นทั้ง ๒ จำพวก ท่านบ่งบอกไว้เป็น ๕ ลักษณะด้วยกันคือ

    จิตของผู้ที่มีอารมณ์วิปัสสนาญาณและเจริญวิปัสสนาญาณ พอมีผลบ้างแล้ว จิตจะมองเห็นเป็นประกายออกเล็กน้อย

    จิตของท่านที่เป็น พระโสดาบัน ดวงจิตจะมีประกายคลุมเข้ามาประมาณหนึ่งในสี่ของดวง

    จิตของท่านที่เป็น พระสกิทาคามี จิตจะมีประกายประมาณครึ่งหนึ่งของดวง อีกครึ่งหนึ่งนั้นยังเป็นแกนหนาอยู่

    จิตของท่านที่เป็น พระอนาคามี จิตจะเป็นประกายเกือบหมดดวง จะมีส่วนเหลือที่ไม่เป็นประกายอยู่อีกนิดหน่อย เป็นแกนราว ๑ ในสี่ของดวง

    จิตของท่านที่ได้บรรลุเป็น พระอรหันต์ แล้วนั้น จิตของท่านเป็นประกายคล้ายดาวประกายพรึก ระยิบระยับ สว่างมากทั้งดวง ลอยอยู่ในอก และลักษณะจิตที่เป็นดาวประกายพรึกแบบนี้แหละ ที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ครู อาจารย์ ท่านแนะนำให้เราผู้เป็นนักปฏิบัติทุกคน แสวงหามาครองครองเป็นของตนให้ได้เพื่อความพ้นทุกข์

    อทิสสมานกาย หรือ กายใน ของคนก็มีสภาพคล้ายกับจิต จะปรากฏตามบุญบารมีความดี ที่ตนเองได้สั่งสมเอาไว้ ซึ่งท่านแบ่งออกไว้เพื่อความเข้าใจเป็น ๕ ระดับ ต่อไปนี้

    กายอบายภูมิ ท่านบอกว่ามีลักษณะคล้ายคนขอทาน ร่างกายซูบซีด เศร้าหมอง อิดโรย ถ้ากายในของใครเป็นไปในลักษณะนี้ ตายแล้วก็ต้องไปอบายภูมิ

    กายมนุษย์ มีรูปร่างค่อนข้างผ่องใส ลักษณะเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ แต่ว่ากายมนุษย์นี้จะมีส่วนสัด ผิวพรรณ ความงามต่างๆกันไป บุคคลที่มีกายแบบนี้ ตายแล้วจะเกิดเป็นมนุษย์อีก

    กายทิพย์ คือ กายเทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์ เป็นภุมเทวดา รุกขเทวดา หรือ อากาศเทวดา ตามแต่จะเรียก จะมีรูปร่าง ความผ่องใส เครื่องประดับกายแพรวพราว สีสันและความงามต่างกันตามบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์ ท่านที่มีกายในกายแบบนี้ ตายแล้วจะไปเป็นเทวดาในสวรรค์เขตต่างๆ กัน

    กายพรหม มีลักษณะคล้ายกายทิพย์ของเทวดา แต่ผิวกายละเอียดกว่า ใสกว่าคล้ายแก้ว เครื่องประดับเป็นสีทองล้วน แลดูเหลืองพราวไปหมดทั้งตัว รวมทั้งมงกุฎที่สวมใส่ด้วย ผู้ที่มีกายลักษณะนี้จะเกิดเป็นพรหม

    กายแก้ว หรือ ธรรมกาย เป็นลักษณะกายของพระอรหันต์ ซึ่งบางท่านเรียกว่าเป็น วิสุทธิเทพ เราจะเห็นเป็นประกายพรึกทั้งองค์ ใสสะอาดยิ่งกว่ากายพรหม ทั้งผิวกายและเครื่องประดับกายล้วนเป็นแก้วใส ประกายระยิบระยับทั้งหมด ดูตื่นใจสุขสบายตายิ่ง ท่านที่เป็นเจ้าของอทิสสมานกาย ที่เป็นกายแก้วนี้ ตายแล้วไปนิพพานทันที

    ข้อควรสังเกตมีอยู่ว่า กายในระดับ ๑ ถึง ๔ นั้น ยังมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ตามบุญหรืออกุศลกรรมที่ตนทำต่อไปอีก จนกว่าจะตาย และถ้าก่อนตาย กายในกายปรากฏให้เห็นเป็นแบบใด ผู้นั้นจะไปเกิดเป็นแบบนั้น

    และการ ขอดู กายในกาย หรือการใช้เจโตปริยญาณนั้น พึงระมัดระวัง อุปาทาน การประเมินล่วงหน้า การขอดูกายในข้อ ๕ ของพระอรหันต์นั้น ยากอยู่ ต้องรอบคอบ และระวังปฏิบัติให้ถูกวิธี และพิจารณาถึงการควรหรือไม่ อย่างไรด้วย

    หลวงพ่อฤาษี ท่านย้ำเตือนอยู่เสมอว่า การรู้จักใช้เจโตปริยญาณนั้นมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะการดูให้ รู้อารมณ์จิตของตนเอง สำคัญที่สุด เพื่อจะได้แก้ไข สกัดอารมณ์ที่เป็นกิเลสอุปกิเลส ไม่ให้เข้ามาพัวพันกับจิต ล้างสีทุกอย่างออกไป อย่าให้ปรากฏแก่จิต อันดับแรก ให้เหลือเพียง สีใสคล้ายแก้วทั้งแท่ง และต่อไปเพื่อความสุขอันถาวร ต้องให้ จิตเป็นประกายได้หนึ่งในสี่ของดวงเป็นอย่างน้อย แล้วค่อย ๆ พัฒนาให้ จิตเป็นประกายพรึก ในที่สุด

    ถึงตอนนี้ก็ใคร่ขอกล่าวซ้ำว่า สิ่งสำคัญที่ครูอาจารย์ท่านกล่าวไว้ สำหรับผู้ที่เรียนรู้ในหมวดวิชชา มโนมยิทธิ นั้น ถ้ายังต้องหลับตาภาวนาเป็นนาน ก่อนการรู้เห็นใด ๆ จะต้องหมั่นฝึกซ้อมให้คล่อง ลืมตารู้ได้ เห็นได้ สัมผัสได้ ทุกขณะที่ปรารถนาจะรู้เห็น และอย่างถูกต้องด้วย จึงจะนับว่าใช้ได้

    นอกจากนี้ การปฏิบัติพระกรรมฐานแบบนี้นั้น “…อย่างน้อย ๆ ต้องทำให้ได้ถึงขั้นศึกษาธรรมะจากครูอาจารย์ที่ไม่มีขันธ์ ๕ ได้ด้วย” ไม่ใช่คอยเกาะติดตำรา และกายของครูอาจารย์ เพราะการทำเช่นนั้นไม่ช่วยใครได้

    นั่นหมายความว่า ต้องพากเพียรทำทิพจักขุญาณให้เกิด ฝึกฝนจนคล่อง สามารถพบเห็นพระพุทธเจ้า และพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ละทิ้งขันธ์ ๕ ไปแล้วได้ และรับคำแนะนำสั่งสอนจากท่านเหล่านั้นที่มาสงเคราะห์ได้ด้วย

    การปฏิบัติพระกรรมฐานในหมวดนี้ เป็นการ “ฝึกใจ” มิได้มุ่งฝึกกาย ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ มีความพยายามและศรัทธาจริง ในวิชชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช้าหรือเร็วย่อมกระทำได้สำเร็จ.



    ส่งท้าย
    เวลาไม่เคยรอใคร ท่านจงกระทำเสียแต่เดี๋ยวนี้ เพื่อความไม่ประมาทเถิด ขออาราธนาบารมี องค์สมเด็จพระบรมสุคตทุก ๆ พระองค์ นับตั้งแต่องค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธสิขีทศพล หลวงปู่ปาน ครูอาจารย์ ท่านเจ้าของวิชชา และ หลวงพ่อฤาษี ขออำนาจบุญบารมีทุกๆพระองค์ โปรดสงเคราะห์เหล่าสาธุชนพุทธบริษัท ผู้ตั้งใจปฏิบัติในหมวดนี้ ได้สมมโนเจตนาเทอญ.
    จบ มโนมยิทธิ โดย สุนิสา วงศ์ราม
    อ้างอิงจาก ศูนย์พุทธศรัทธา
    โมทนาสาธุคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2012
  2. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    และั หัวใจที่ชุ่มเย็น นั่งถึงขนาด ลุกออกมาจาก กายหยาบ ได้ เพื่อ.....................
    มาวัดกัน.... มาวัดกัน.......ท่าน
    เราและท่าน มี นรก สวรรค์ เป็นเบื้องหน้า ของพวกเราแล้วละท่าน.......
    ปล.........อยากได้อะไรก็เลือกเอา..........ว๊า อยากดู แหยมยโสธร จัง
    ตอน ถีบเจเน๊ทเขียวไปเก็บดอกบัว.....5555+
    ปล ถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำ ปิดทั้งสามโลกได้ ก็ ตัวใคร ตัวมัน ท่าน.......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2012
  3. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    ขอแนะนำไว้อีกว่า ผู้ปฏิบัติจิตทั้งหลาย ไม่ว่าจะได้ฌานไหนก็ตาม เมื่อเห็นอะไรในจิต ให้ภาวนาว่า ชินนะปัญจะระ ๆ ๆ ๆ ๆ ถ้าเป็นนิมิตจริงจะยิ่งชัดเพราะเกิดจากกรรมในอดีตชาติ ถ้าเป็นของหลอก เช่นพวกมารหรือปีศาจอสูรฉายภาพให้เราดู ซึ่งเราจะไม่รู้ เพื่อให้เราหลง ภาพนั้นจะหายไป

    ชินนะปัญจะระ เป็นชื่อท้าวมหาพรหมที่มีตำแหน่งเป็น ผู้พิชิตมารแห่งโลกวิญญาณ มารจะกล้วอยู่คนเดียว มารไม่กลัวพนะพุทธเจ้าเพราะมีมหาเมตตา แต่จะกลัวฤทธิ์สูงสุด จะเห็นว่ามารกล้าทูลอาราธนาขอให้พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน หลังจากที่พระอานนท์ไม่ได้ทูลขอให้อยู่ต่อ.......ผู้ปฏืิบัติจิตจำนวนมากหลงติดนิมิตลวงที่มารวางกับดักไว้โดยไม่รู้ตัวเพราะแม้แต่อาจารย์ที่เป็นมนุษย์ก็ไม่เห็นตัวมาร เพราะมันเหนือกว่า พวกอาจารย์จึงปล้ำๆเปร๋อๆ เพี้ยนๆภายหลังเยอะ และหลังจากมรณภาพก็ไปไม่สูง บางรายตกนรกด้วยซ้ำ แต่ลูกศิษย์คิดว่าไปนิพพานกันทั้งนั้น

    ไปศึกษาราบละเอียดที่สำนักปู่สวรรค์ บางแค กทม.ยังมีเรื่องเหนือฟ้า ยังมีฟ้าให้ศึกษากันอีกแยะ ที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่และหาคำตอบไม่ได้
     
  4. kosit25

    kosit25 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +438
    กระผมมีญาติฝึกมโนยิทธิแล้ว ได้เห็นนรก สรรค์ แล้ว และถอดกายได้ ข้อนี้ข้าพเจ้าไม่เถียงเขาอาจเห็นได้จริง และยังได้บรรลุถึงโสดาบันแล้ว (ผมเองก็ฝึกนะแต่ไม่ไปถึงไหนเลย) แต่เขาอารมย์ก็มีโทสะสูง ชอบงานเคราะห์นอกบ้าน ชอบทำบุญมากๆๆ และทุกๆวัน แต่ ภายในบ้านเองไม่มีอะไรเรียบร้อย (บ้านสกปรกมากๆๆๆ) ลูกๆ ก็ไม่เอาใจใส่ สามีเตือนก็บอก ก็บอกระวังนรกเพราะปรามาสพระอริยะ ใครๆ เตือนก็ไม่ฟังเพราะถือว่าธรรมะคนอืนต่ำ กว่า ที่หนักใจคือ ทำให้คนอื่นที่ไม่เข้าใจธรรมะ และไม่ฝึกทางด้านมโนยิทธิ ปรามาสเอาว่าฝึกทางด้านนี้เป็นอย่างดีมันไม่ดี กระผมขอสอบถามผู้รู้ว่า กระผมจะแก้ไขคนนี้อย่างไร และเขาได้พระโสดาบันหรือเปล่า เราจะรู้ได้อย่างไร (ผมพยายามเอาหลักของหลวงพ่อมาตรวจ ก็น่าจะไม่ใช่ แต่ก็ไม่ปรามาส) กลัวญาติๆ ไปปรามาสท่านเข้าถ้าเขาได้จริง ขอช่วยแนะนำหน่อยนะครับ
     
  5. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    คุณ kosit25 ครับ รบกวนกลับไปดูเรื่องสะเก็ดความดีชั้นที่๑ ครับ
    แก้คนอื่นมันยาก
    เพราะแก้ตัวเราเองให้กลายเป็นพระอริยเจ้ายังยากลากเลือด
    พระโสดาบันที่โทสะแรงมีเยอะครับ เขาจะใช่หรือไม่ใช่ก็เรื่องของเขา
    เรื่องของเราให้ดีให้ถึงดี

    ลองอ่านหนังสือประวัติของหลวงพ่อเวลาหลวงพ่อไปพบครูบาอาจารย์ต่างๆ
    วิชาบางวิชา เรื่องบางเรื่อง อาจารย์บางท่านไม่สอนให้นะครับ
    ท่านจะส่งไปให้คนอื่นสอน เพราะคนอื่นที่ส่งให้ไปหาเป็นคู่ปรับเป็นวาระหน้าที่ที่จะสอน

    อัตตนาโจทยตานัง หลวงพ่อสอนอยู่ทุกไฟล์เสียงทุกคาสเซ็ท อย่าไปกังวลเรื่องคนอื่นเลยครับ
    ส่วนคนอื่นจะปรามาส... เราห้ามไม่ไหวหรอกครับ
    พระพุทธเจ้าโดนบ่อยขนาดไหน ท่านยังไม่เคยให้พระอานนท์ไปยับยั้งใครเลย
     
  6. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    อันนี้ เหตุ จากการกระทบ จากผู้ที่เรารัก และรักเรา เป็น เหมือน เพื่อน พี่ น้อง ที่ รัก กันมากมาย ได้ กระทำลงไป และมีผลกระทบต่อกัน ลูกพ่อไม่กลัวตาย ถ้ามันเป็นเหตุสุด วิสัยเกี่ยวเนื่องจาก กรรมที่มีต่อกัน จริงๆ โน้น บ้านเกิด วัดท่าซุง ขอ ตะพด พ่อ แพ้นกะบาลซักที
    จะได้หาย งุ้นง้าน ไม่ลงอารมณ์ กับใคร
    คนเรา มันก็ ต่างที่มา ต่างที่ไป กรรมใคร ก็ กรรมมัน ทำทั้งหมด นี้ด้วยใจ คะ
    ปล อ่านแล้วไม่พอ ใจ ก็ อย่าด่าแรงนะคะ กะเทือนแรง ก็ ตีกลับแรงคะ ตามกรรมนะคะ
    เพราะที่นี้ คือ วัด สำหรับเราคะ และ เทวดาอยู่เยอะ ทุกอย่าง จะให้ผลเร็ว เมื่อ กระทำ ในวัดคะ
    ปล ลำดับขั้น ของผู้ ปฏิบัติก็เยอะ กาย วาจา ใจ สำคัญมากคะ เมื่อไม่รู้ ก็อย่าเผลอ ผรุสวาจา ขึ้นมา เพราะ จะได้ กรรมไปโดยไม่รู้ตัวคะ ด้วยความหวังดีคะ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขออนุญาติเพิ่มเติม คุณ ตราใจนะครับ ใช้คำว่า ชินะปัญชะเรติ หรือ สัปจิตฉามิ หรือ ปราโมทย์ บทไหนก็ได้ครับ...แล้วแต่ความถนัดครับ...
     
  8. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ถ้าบ้านสกปรกนี่ อย่าว่าแต่พระโสดาบันเลย
    คนธรรมดานี่ก็จัดระดับจิตใจได้แล้ว ผู้ปฏิบัติในเบื้องต้นจะต้องจัดการ
    งานทั้งภายในภายนอก ภายนอกก็มีที่อยู่อาศัยด้วย ถ้าที่อยู่อาศัยสะอาด
    เรียบร้อย ถึงไม่ต้องระเบียบและสะอาดมากเกินไป แต่ให้ดูแล้วสบายตา
    สบายใจ ส่งผลถึงจิตใจของผู้อยู่อาศัยที่เป็นผู้ปฏิบัติให้ใจไม่ขุ่นมัว ทำให้
    ปฏิบัติธรรมตามแต่แนวทางของตนได้อย่างสะดวก อย่างเช่น เราเข้าไป
    บ้านสวยๆแต่สกปรกรกรุ่งรัง เรารู้สึกมั้ยว่า เราจะหงุดหงิด ขุ่นมัว แต่ถ้าเรา
    เข้าไปบ้านไหน เป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อย ถึงแม้เฟอร์นิเจอร์จะเก่า
    บ้านจะเก่า แต่มีระเบียบสะอาดพอควร จะรู้สึกสบายตาสบายใจกว่าไป
    ไปบ้านสวยๆ แต่สกปรกรกรุ่งรัง

    การปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ได้ให้ทิ้งภาระรับผิดชอบ
    ไม่ต้องไปทำอะไรให้แปลกออกไป ในภาระประจำวันต้องทำให้เรียบร้อย
    ไม่ใช่ทิ้งไป โทสะของพระโสดาบันจะเบาบางลงกว่าคนปกติธรรมดาแล้วค่ะ

    ให้ข้อสังเกตุเพียงแค่นี้ ถ้าแก้ไขผู้อื่นไม่ได้ ก็ต้องเข้าใจว่า
    สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน แล้วก็อย่าเอาใจเราไปผูกติดกับเค้า แก้ไขไม่ได้ก็ต้อง
    ปล่อยไป ส่วนผู้ที่อยู่แวดล้อม เช่นลูกเค้า ก็อบรมให้ทำตัวดี และทำภาระ
    ภายในบ้านเอง คนที่อยู่แวดล้อมก็คงต้องพึ่งตนเองเป็นหลัก
     
  9. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เรื่องนี้มีไว้เพื่อให้รู้เท่านั้นครับ
    หากใครออกจากกายหยาบได้ก็รู้ว่ามีร่างอีกร่างหนึ่งที่อยู่ในกายเรา
    และตัวเราร่างกายเรานี้ไม่ใช่ของเรา
    กายหยาบเขาชอบของเก่าเน่าเหม็นต้องเป็นเลือดเป็นยาง
    หวานหอมคาวแล้วแต่สื่อแต่ปัจจัย

    ผมว่ากายละเอียดเขาชอบความสงบมากกว่าครับ
    เขาคงไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับการไปทำลูกหยาบให้เกิดขึ้นมาอีก
    แต่โดยธรรมแล้วกรรมใครกรรมใครครับ
    ใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบหากไปทำลูกไว้อีกก็ต้องเลี้ยงลูก
    ผมว่าทำนาครั้งเดียวกินได้ทั้งปีหากเผลอไปทำน้องแมวทีเลี้ยงตลอดชีวิตครับ

    กายหยาบและกายละเอียดนี้ของเล่นครับ
    คนที่ท่านผ่านสี่มามีบุญวาสนาพอ
    พี่ตัวโตๆร่างโตๆไม่ลากไปก่อนกำหนดไม่มีอะไรเกิด
    ท่านก็คงไปแสวงหาสวรรค์นรกได้ตามใจชอบ
    แต่ผมถามว่าไปทำไมมันไม่ใช่โลกปัจจุบันที่เราท่านอยู่
    ไปนรกแล้วเป็นช่างซ่อมคอมได้หรือไม่
    สิ่งที่เราต้องการในการปฎิบัติคือการทำให้เกิดสติและมีสมาธิเพื่อเกิดปัญญา
    ปัญญาที่เกิดนี้ค่อยๆเกิดเพื่อมาแก้ไขปัญหาชีวิตทั้งสามโลก

    หรือไม่

    แล้วบางคนบางท่านไปเอาหูทิพย์ตาทิพย์ไปแก้ปัญหาโลก
    สร้างกรรมในทางธรรมไหม

    บางท่านบอกบรรลุธรรมแล้ว
    ไม่จริงหรอกครับ
    ลมหายใจยังมีอยู่
    มันไม่แน่

    หากเราสื่อหรือคิดอะไรสักอย่างที่ยังติดอยู่ในโลกของอุปทานวิญญานนั้น
    ท่านยันได้ไหมว่ามีสติสัมปชัญญะทุกอย่างในโลกของอุปทานนั้นไม่ได้ใส่สีเติมแสงหลอกตัวเองเข้าไป....หรือบางครั้ง
    นอนหรือนั่งผันเลยไปคู่กับการปฎิบัติ.......หรือที่นั่งอยู่รักษาสติไว้คงมั่นตลอดเวลา

    กาลมาถึงครึ่งทางนี้ดีกว่ามาไม่ถึงหรือไม่ได้มา
    แล้วกลับไปมองเรื่องทางโลกว่าเราจะทำอย่างไรต่อกับตัวเราที่ไม่ใช่ตัวเรานี้

    หรือไม่

    หนทางแห่งพุทธเขียนไว้แจ้งเลยครับ
    ขนาดถึงเขาหลอกยังเต็มใจให้หลอก
    ตามไปดูอีกไหมว่าจริงมันคืออะไร
    สุดท้ายมันคืออะไร เพื่ออะไร
    ไม่มีใครสอนครับว่าในตัวเราไม่ใช่เรา
    มีแต่พุทธเท่านั้น

    กลับมาสร้างวิมานบ้านนาดีกว่าครับ
    เวทนามาไม่ต้องไปเยือน

    ดูเวทนาของจริงที่เราพบบนโลกนี้อีก
    คนที่ทนทุกข์เวทนามีอีกมาก
    มากกว่าเราท่านเยอะ
    เอาชนะเวทนานั้นให้ได้ควบคู่กับการดูจิตที่บนโลกนี้ดีไหมครับ

    สร้างบารมีให้เต็ม
    มีตังแล้วซื้ออะไรก็ได้
    แต่ท่านต้องจ่ายตังทีมีอยู่และที่หาอยู่จ่ายบ่อยๆก็พร่องไปไม่เต็มสักที
    เสื่อมหรือไม่
    สุดท้ายสิ่งที่เห็น....ดู....รู้.....อยากรู้
    เป็นอยู่คือไม่ว่าเป็นตอนไหน
    เป็นคนเป็นผีเป็นเทวดา....โสดาเป็นอารีย์คืออะไรขอรับ
    เป็นแล้วละได้ไหม
    ทำไมพุทธองค์เลือกทางสายกลางครับ
    อย่างไรก็เป็นก่อนแล้วละดีไหมครับ

    ขอท่านเจริญยิ่งในธรรมครับ
     
  10. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    อานนท์เราเตือนท่านสามครั้งว่าเราจะไม่ทิ้งสังขาร
    หากท่านกล่าวขอไว้
    สิ่งนี้น่ากลัวมากกว่าไหมครับ
    หากบอกว่าธรรมคืออะไรแล้วเข้าใจว่ามันง่าย
    ศาสนาพุทธเหลือน้อยมากที่อินเดีย

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งครับ
     
  11. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    บุคคลผู้ใด ถือตนว่าตนเป็นพระอริยะ และในการเป็นพระอริยะของตนนี้ ทำให้ตนเองสูงส่งเหนือกว่าผู้อื่น บุคคลผู้นั้นไม่ใช่พระอริยะ

    การจะก้าวผ่านโคตรภูมาจนเป็นพระอริยะได้ บุคคลผู้นั้น จะต้องเห็นแจ้งเห็นจริงด้วยจิตแล้วว่า
    ดวงจิตทุกดวง ทั้งหมด ไม่ว่า ณ ปัจจุบัน จะเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นหมา แมว มนุษย์ เทวดา สุดท้ายปลายทางของชาติภพ ก็จะมาจบลงที่การก้าวข้ามโคตรภู เพื่อจบกิจ
    ดังนั้น สภาวะที่ตนเองกำลังจะได้ หรือได้มาแล้ว จึงไม่ใช่สภาวะวิเศษแต่อย่างใด แต่คือธรรมดาปลายทางของทุกผู้ทุกคนที่ทุกคน จะต้องมาถึงเช่นเดียวกัน เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาสำหรับบางคนเท่านั้น
    การที่ดูถูกคนอื่นว่า สภาวะธรรมต่ำกว่า รู้ธรรมต่ำกว่า ผู้นั้น ไม่ได้มีดวงตาเห็นธรรมเลย เห็นแต่ทิฎฐิมานะบดบัง แล้วไปหลงเข้าใจว่าทิฎฐิมานะ คือธรรมประเสริฐ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2012
  12. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    แสดงว่าบุคคลนั้นติดสมมุติเต็มๆเลยใช่ไหมครับ
    วิมุติคืออะไร
     
  13. kosit25

    kosit25 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +438
    ขอบคุณทุกๆ คำแนะนำ ครับผมมีเทปหลวงเกือบทุกชุด หนังสือก็อ่านมาก และพยายามปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อทุกประการ ตามสติกำลัง เพียงแต่คนรอบข้างที่ว่าก็คือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ของผม ส่วนหลานๆ ก็พยายามช่วยเลี้ยงดูตามสติกำลัง คนที่ห่วงไม่ใช่ญาติผม ส่วนผมไม่สนใจเขาหรอกนะ ไปฝึกก็ต่างคนต่างไป แต่ที่ห่วงคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง และญาติคนอื่นๆ ที่ใก้ลชิดผม เป็นธรรมดาผมห่วงคนเหล่านี้ ครับ ตามปถุชนที่กิเลสยังหนาครับ
     
  14. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ใช่ครับ ติดสมมติ
    ก็ทางที่จะไป ทางละโลกเนี่ย มันต้องละสมมติ ยังจะเอาเข้ามาใส่ตัว แบกมันเข้าไปอีก มันก็ผิดทางหนะสิ...
     
  15. polyester

    polyester Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +65
    เรื่องของโลกียกับโลกุตตระนั้น ไม่แปลกที่บุคคลที่ได้โลกียจะเป็นอย่างที่ท่านกล่าว โลกียเสื่อมได้ไม่ทรงเพราะยังติดทางโลกอยู่ แต่โลกุตตระไม่เป็นอย่างนั้นเพราะจะข้ามโลกียไป ส่วนนี้เป้นที่ตัวบุคคล
     

แชร์หน้านี้

Loading...