เทคนิกฝึกสมาธิ เอาวิชาความรู้ ที่ท่านเรียนมา มาเป็นอารมณ์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปราบเทวดา, 3 มิถุนายน 2017.

  1. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    เกร็ดธรรม

    หลวงปู่พุธ ฐานิโย
    วัดป่าสาละวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา



    วันนี้
    ขอเสนอแนะ วิธีทำสมาธิ โดยเอาอารมณ์ในปัจจุบัน

    หรือ

    เอาวิชาความรู้ ที่ท่านเรียนมา มาเป็นอารมณ์
    แหล่ะ พร้อมๆกันนั้น

    ท่านไม่ต้องไปนึกว่า

    สิ่งนี้ไม่เที่ยง สิ่งนี้เป็นทุกข์ สิ่งนี้เป็นอนัตตา

    สิ่งนี้เป็นของปฏิกูล สิงนี้เป็นของน่าเกลียด

    สิ่งนี้เป็นของโสโครก ไม่ต้องไปนึกอะไรทั้งนั้น


    แม้เรื่องราวที่ ไม่มีคำว่า ธรรมมะ เจือปนอยู่ก็ตาม

    สิ่งเหล่านั้นเป็นสภาวะธรรมทั้งนั้น

    ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นสภาวะธรรม
    สิ่งนั้นก็ควรที่จะเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ

    เพื่อย้ำให้ท่านเข้าใจอย่างลึกซึ้งลงไป

    ขอตั้งปัญหา ถามว่า
    ที่ท่านเรียนรู้วิชาความรู้มา ทุกสาขาวิชา ตามที่ท่านเรียนจบมาแล้ว

    ท่านอาศัย การดูด้วยตาใช่มั๊ย ?

    การเห็นด้วยตาคือการอ่าน

    การได้ยินด้วยหูคือมีผู้สอน

    การสัมผัสด้วยกายคือใช้มือเขียน

    ถ้าสิ่งนั้น มีกลิ่น มีรส ท่านก็สัมผัสด้วยลิ้น

    แล้วจิตของท่านเก็บเอาไว้เป็นความรู้ สะสมความรู้ไว้
    จนกระทั่ง จนสามารถ มีภูมิความรู้ อยู่ในระดับ ปัญญาชน
    จนสามารถ เอาวิชาความรู้นั้น ไปสอบเอาใบประกาศนียบัตร
    ตามขั้นภูมินั้นๆ ที่ท่านเรียนผ่านมา

    ดังนั้น ในฐานะสิ่งเหล่านี้
    เป็นสิ่งที่ผ่านเข้ามา ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายแหล่ะใจ

    เราเห็นด้วยตา
    เราได้ยินด้วยหู

    เราสัมผัสด้วยกาย
    แหล่ะเราจดจำไว้ด้วยจิตด้วยใจ

    สิ่งนั้น จึงเป็น สภาวะธรรม

    ซึ่งได้ในคำว่า " สัพเพธรรมมาอนัตตา "
    ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็น อนัตตา ด้วยกันหมดทั้งสิ้น

    แม้ว่าคำว่า ธรรมมะ จะไม่มีเจือปนอยู่ก็ตาม

    ถ้าหากว่า ท่านพยายามที่จะปฏิบัติ ตามแนวทางที่เสนอแนะนี้
    จะไม่มีอุปสรรค์ใดๆมาขัดขวางการปฏิบัติของท่าน

    จะมีอยู่อย่างเดียว ก็คือ

    ความพากเพียรพยามน้อยเท่านั้นเอง

    วันนี้ ขอกล่าวธรรมมะพอเป็นคติเตือนใจสำหรับท่านผู้ฟังเพียงแค่นี้
    แล้วก็ขอฝากท่านทั้งหลายไว้พิจารณา
    แล้วก็พยายาม ปฏิบัติตามแนวทางดังที่ ได้เสนอแนะนี้
    ถ้าหากว่าท่านผู้ใดปฏิบัติได้ผลอย่างไร
    ท่าจะกรุณาจดหมายให้ทราบด้วยก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

    เพราะในสมัยปัจจุบันนี้
    การปฏิบัติธรรมเนี๊ยะ
    รู้สึกว่า ใครๆก็อ้าง ว่า

    มีอุปสรรค์

    ไม่ว่างบ้างละ

    งานมากบ้างล่ะ

    เพราะฉะนั้น

    จึงเสนอแนะ ให้เอา วิชาความรู้แหล่ะงานการที่เรียนมา
    แหล่ะทำอยู่นั่นแหล่ะเป็นอารมณ์ของกรรมฐาน

    เพราะสิ่งนั้น

    สามารถที่จะเป็นเครื่องหมายแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    ตามพระไตรลักษณ์ได้

    ในเมื่อ หู ตา จมูก ลิ้นกายใจ มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    สิ่งที่ผ่านเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายแหล่ะใจ ก็ย่อมเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    แหล่ะ สภาวะธรรม ทั้งหลายเหล่านั้น
    เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ยึดเป็นหลัก

    คือ เป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ

    ในเมื่อจิตของเรามีเครื่องรู้ สติมีเครื่องระลึก
    แม้จะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น รู้อยู่เพียงอย่างเดียว
    เราก็สามารถที่จะรู้อะไรดีดี กว้างขวาง พิศดาร ออกไปได้
    โดยไม่มีวงจำกัดขอบเขต

    ดังนั้น

    จึงขอฝาก คติไว้ สำหรับ ท่านผู้ฟังเพียงแค่นี้
    ในท้ายที่สุดนี้ ขอความปราถนาดี
    แหล่ะ ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย
    จงดลบันดาลให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ
    ในสิ่งที่ตนปราถนาโดยทั่วกัน
    ขอยุติเพียงแค่นี้


    อ่านต่อที่นี่
    http://palungjit.org/threads/นักธุรกิจ-นักศึษา-หากจะบ้า-ให้ลองทำตามนี้.408639/
     

แชร์หน้านี้

Loading...