เปรตคืออะไร..ทำกรรมอะไรจึงต้องเป็นเปรต..?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย โมกขทรัพย์, 13 มิถุนายน 2012.

  1. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    เปรตคืออะไร และทำกรรมอะไรจึงต้องเป็นเปรต

    [​IMG]




    ในบรรดาสัตว์โลกนั้น ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต พระพุทธองค์ทรงแบ่งไว้เป็น4ประเภท เรียกว่า “กำเนิด4”ดังนี้

    1.ชลาพุชะ =เกิดในมดลูก (ชำแรกไส้มาเกิด)
    2.อัณฑชะ =เกิดในไข่
    3.สังเสทชะ =เกิดในเถ้าไคลที่ชุ่มชื้น (อุจาระของเน่า เช่นหนอนแมลงวันต่างๆ) เกิดในยางเหนียว ในเกสรดอกไม้
    4.โอปปาติกะ =เกิดในอากาศโดยเติบโตทันที (อุบัติแล้วโตเต็มวัยทันที) เปรต จัดอยู่ในประเภทนี้

    ส่วนภพภูมินั้น เรียก “ภูมิ 31” ประกอบด้วย
    อรูปภูมิ4 เป็นชั้นพรหม ชั้นสูง มีแต่จิตไม่มีตัวตน
    รูปภูมิ16 เป็นชั้นพหรมรองลงมา
    เทวภูมิ6 คือสวรรค์ทั้ง6ชั้น (ชั้นที่7ไม่มีนะครับ คนเราเอามาพูดกันเอง)
    มนุษยภูมิ 1 คือภพภูมิของมนุษย์มี1เดียวเท่านั้นครับ

    และสุดท้าย อบายภูมิ4 ประกอบด้วย
    1. นรกภูมิ
    2. เปรตภูมิ เปรตอยู่ในภพภูมินี้ครับ
    3. อสุรกายภูมิ
    4. ดิรัจฉานภูมิ

    คติความเชื่อเรื่องเปรตถือกันแพร่หลาย พุทธศาสนาถือว่าผู้ไปเกิดในเปรตวิสัยภูมิ คือแดนแห่งเปรตเพราะบาปกรรมที่ทำกันไว้ เปรตบางจำพวก ข้างแรมเป็นเปรต ข้างขึ้นเป็นเทวดา บางจำพวกข้างขึ้นเป็นเปรต ข้างแรมเป็นเทวดา บางจำพวกเป็นเปรตตลอดกาล บางจำพวกอยู่ในปราสาท

    บางจำพวกมีช้าง ม้า ข้าทาส มียวดยานคานหามทองที่เที่ยวไปในอากาศ บางพวกอายุยืน100 ปี บางจำพวก 1,000 ปี บางพวกมีอายุชั่วพุทธันดรกัลป์หนึ่ง ไม่ได้กินข้าวแม้สักเม็ด น้ำแม้สักหยดหนึ่งเลย



    ดังนั้นพอจะอธิบายได้ว่า เปรตคือผู้ที่ทำกรรมมาชนิดหนึ่ง ซึ่งต้องรับกรรมด้วยความทุกข์ทรมาน เช่นหิวโหยอดอยาก ร้อนหรือหนาวอย่างที่สุด เจ็บปวดอย่างที่สุด และรับความทุกข์ทรมานอย่างที่สุด โดยแบ่งตามชนิดของเปรตได้หลากหลายดังนี้


    [​IMG]

    แบ่งตาม เปตวัตถุอรรถกถา

    แบ่งได้ 4ประเภท

    * ปรทัตตุปชีวิกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ จากอาหารที่มีมนุษย์ให้ เช่น การเซ่นไหว้ เป็นต้น
    * ขุปปีปาสิกเปรต คือ เปรตที่อดอยาก ทุกข์จากความหิวโหยอยู่เป็นนิจ
    * นิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
    * กาลกัญจิกเปรต คือ เปรตในจำพวกอสุรกาย


    [​IMG]




    แบ่งตาม คัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ และ ฉคติทีปนีปกรณ์

    แบ่งได้ 12ประเภท

    * วันตาสเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร
    * กุณปาสเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินซากศพคนหรือสัตว์ เป็นอาหาร
    * คูถขาทกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร
    * อัคคิชาลมุขเปรต คือ เปรตที่มีเปลวไฟลุกทั่วในปากตลอดเวลา
    * สุจิมุขเปรต คือ เปรตที่มีปากเท่าเล็กขนาดเท่ารูเข็ม
    * ตัณหัฏฏิตเปรต คือ เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนจนเกิดทุกข์จากความหิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ
    * สุนิชฌามกเปรต คือ เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่ถูกเผา
    * สุตตังคเปรต คือ เปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมราวกับมีด
    * ปัพพตังคเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าขนาดของภูเขา
    * อชครังคเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายราวกับงูเหลือม
    * เวมานิกเปรต คือ เปรตที่ต้องเสวยทุกข์เฉพาะในเวลากลางวัน แต่ในเวลากลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน
    * มหิทธิกเปรต คือ เปรตที่มีฤทธิ์มาก


    [​IMG]


    แบ่งตามวินัยและลักขณสังยุตตพระบาลี

    แบ่งได้ 21ประเภท

    * อัฏฐีสังขสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่กระดูกติดกันเป็นท่อน ๆ
    * มังสเปสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่เนื้อเป็นชิ้นๆ
    * มังสปิณฑเปรต คือ เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน
    * นิจฉวิปริสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีหนังห่อหุ้ม
    * อสิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์
    * สัตติโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นหอก
    * อุสุโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู
    * สูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็ม
    * ทุติยสูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒
    * กุมภัณฑเปรต คือ เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก
    * คูถกูปนิมุคคเปรต คือ เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ
    * คูถขาทกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระ
    * นิจฉวิตกิเปรต คือ เปรตหญิงที่ไม่มีหนังห่อหุ้ม
    * ทุคคันธเปรต คือ เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า
    * โอคิลินีเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ
    * อลิสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีศีรษะ
    * ภิกขุเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับพระ
    * ภิกขุณีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับภิกษุณี
    * สิกขมานเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสิกขมานา
    * สามเณรเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณร
    * สามเณรีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณรี



    [​IMG]


    แล้วทำกรรมอันใดจึงต้องเป็นเปรต ???

    ขออธิบายดังนี้ครับ

    อกุศลกรรมที่เป็นเหตุให้ไปจุติเป็นเปรต

    ๑. ผู้มักอิจฉาริษยาผู้อื่น คิดอยากได้ทรัพย์สินของเขา ไม่ให้ทาน ตลอดจนโกงทรัพย์สินของสงฆ์มาเป็นของตน ตายไปเกิดเป็นเปรตตัวใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม มีแต่กระดูก ตัวเหม็นสาป ผมรุ่ยร่ายลงมาคลุมปาก เสวยทุกขเวทนาทั้งกายใจ ร้องไห้คร่ำครวญนานนับพันปี

    ๒. ผู้บวชเป็นสมณชีพราหมณ์ มักดูถูก กล่าวร้าย ติเตียนครูอาจารย์และคณะสงฆ์ ตายไปเกิดเป็นเปรตมีกายงามดังทอง มีปากเหมือนหมู ปากนั้นเหม็นหนักหนา มีหนองเต็มปาก หนอนเจาะกินปากหน้าตาและเนื้อตัวเขา

    ๓. หมอหญิงให้ยาหญิงมีครรภ์กินเพื่อให้แท้งลูก ตายไปเกิดเป็นเปรตผู้หญิง เปลือยกาย ตัวเน่าเหม็น มีแมลงวันตอมจำนวนมาก ร่างกายมีแต่เส้นเอ็นและหนังหุ้มกระดูก กินเนื้อลูกน้อยตนตลอดเวลา

    ๔. หญิงเห็นสามีถวายข้าว น้ำ และผ้าแก่คณะสงฆ์ กลับโกรธเคืองด่าทอสามี ตายไปเกิดเป็นเปรตผู้หญิงเปลือย อดอยาก เห็นข้าวน้ำอยู่ตรงหน้าก็จะหยิบมากิน แต่ข้าวน้ำนั้นกลายเป็นอาจม เป็นเลือด เป็นหนอง เห็นผ้าจะหยิบมานุ่งห่ม ผ้านั้นกลายเป็นแผ่นเหล็กแดงลุกไหม้ตลอดตัว

    ๕. ผู้มักตระหนี่ไม่เคยทำบุญให้ทาน เห็นคนอื่นทำบุญให้ทานก็ห้ามปราม ตายไปเกิดเป็นเปรตร่างสูงใหญ่เท่าต้นตาล เส้นผมหยาบ ตัวเหม็นมาก อดอยากยากไร้นักหนา

    ๖. ผู้เอาข้าวลีบปนข้าวดีแล้วไปหลอกขาย ตายไปเกิดเป็นเปรตเอามือกอบข้าวลีบลุกเป็นไฟใส่ศรีษะของตนตลอดเวลา ต้องทุกข์ทรมานมากมายหลายพันปีในนรก

    ๗. ผู้ที่ตีศรีษะมารดาบิดาด้วยมือ ไม้ และเชือก ตายไปเกิดเป็นเปรตเอาฆ้อนเหล็กแดงตีศรีษะตนเอง

    ๘. ผู้ที่มีคนมาขอข้าว ข้าวมีแต่หลอกว่าไม่มี ตายไปเกิดเป็นเปรต กินแต่ลามกอาจมปนหนองเน่าเหม็นนักหนา

    ๙. ผู้เป็นข้าราชการ รับสินบนผู้ผิด ตัดสินความผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด ตายไปเกิดเป็นเปรตมีวิมาน มีบริวารนางฟ้า แต่เอาเล็บมือคมดังมีดกรด ขูดเนื้อหนังตัวเองกินต่างอาหาร

    ๑๐. ผู้ด่าทอ กล่าวเท็จต่อพระสงฆ์ ผู้ใหญ่ผู้มีศีล ตายไปเกิดเป็นเปรตมีเปลวไฟพุ่งออกจากปาก อกและลิ้นแล้วลามไหม้ทั่วตัวเขา

    ๑๑. ผู้มักข่มเหงรังแกคนยากไร้เข็ญใจอย่างไร้กรุณาปราณี เอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตน และใส่ความผู้ไม่มีความผิด ตายไปเกิดเป็นเปรตผอม อดอยากมาก เห็นน้ำใสเอามือกอบจะกิน น้ำนั้นกลายเป็นไฟไหม้เขาทั้งตัว เขากลิ้งเกลือกตายในไฟนั้น

    ๑๒. ผู้เผาป่า สรรพสัตว์หนีไม่ทันถูกไฟป่าคลอกตาย ตายไปเกิดเป็นเปรตผอม ตัวเปื่อยเน่ามือเน่า ตีนเปื่อยหลังโก่ง เขาเอาไฟคลอกตัวเองตลอดเวลา

    ๑๓. ข้าราชการตัดสินความโดยไม่ชอบธรรม ไม่วางตัวเป็นกลาง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ขูดรีดชาวบ้าน ตายไปเกิดเป็นเปรต ตัวใหญ่เท่าภูเขา มีขน เล็บตีนเล็บมือใหญ่ยาว คมดังมีดกรดและหอกดาบ ลุกเป็นเปลวไฟแทงตัวเขาตลอดเวลา





    เครดิต kacharaj blog

    ผีเปรต

    Posted on ธันวาคม 3, 2011
    [​IMG]
    เปรต คือสัตว์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยมารดาบิดา (โอปปาติกะ)
    เปรตเกิดจากคนเราในสมัยที่เป็นมนุษย์ ชอบประกอบอกุศลกรรมเป็นอาจิณ
    หลังจากที่ได้ตายไปแล้ว และไปอุบัติเป็น สัตว์นรกเสวยทุกขเวทนาเป็นเวลานานแสนนาน
    พอหมดอายุขัยจากนรกแล้ว ด้วยเศษอกุศลกรรมที่ยังเหลืออยู่ก็จะส่งผลให้ไปอุบัติเป็น
    ชีวิตใหม่อีกรูปแบบหนึ่งเพื่อ เสวยทุกขเวทนาบนโลกมนุษย์ มีชื่อเรียกว่า “เปรตวิสัย”
    [​IMG]
    เปรตบางตนเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เคยประกอบอาชีพฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณ
    หลังจากหมดอายุขัยในนรกแล้วก็ไปอุบัติเป็นเปรตที่มีรูปร่างเป็นก้อนเนื้อ
    ให้นกกาจิกแทะกลางอากาศ
    [​IMG]
    เปรตบางตนมีรูปร่างสวยงามแต่กลิ่นปากเน่าเหม็นคละคลุ้ง
    เพราะในสมัยมีชีวิตอยู่แม้จะประกอบกุศลกรรมบ้าง (ทำให้ร่างกายสวยงาม)
    แต่ปากคอระรานชอบด่าว่าผู้ทรงศีลและพ่อแม่
    เลยเกิดมาเป็นเปรตรูปร่างสวยงามแต่ปากเหม็น เป็นต้น
    สรุปคือ รูปร่างของเปรตแต่ละตัวล้วนแตกต่างกันไป
    ตามอำนาจปรุงแต่งของกรรมที่ตนทำไว้นั่นเอง
    หาใช่มีแต่เปรตตัวสูงเท่าต้นตาล ปากเท่ารูเข็ม อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจเท่านั้นไม่
    ผีเปรตในตำนานผีไทยกล่าวไว้ว่า มีอยู่ 12 ตระกูลใหญ่ๆ ใครอยากจะทราบรายละเอียดต้องไปดูในคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องเปรตโดยเฉพาะ นิรยกถาอันเป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องเปรตโดยเฉพาะ หรือดูจากจารึกการเปรียญ ณ วัดพระเชตุพนฯ และหาอ่านได้จากประชุมศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ เล่ม 1 ซึ่งคัดลอกและถ่ายทอดมาโดยย่อ ดังนี้
    หิมวนตปปเทเส วิชาติเปโต นาม เปตวิสโย กาลครั้งหนึ่งยังมี ประเทศแห่งหนึ่งในป่าหิมพานต์ ชื่อว่าวิชาตประเทศ ตั้งอยู่เบื้องบนแห่งนรกขึ้นมา อันเป็นที่อยู่แห่งเปรตทั้งหลายมีมหิทธกาเปรตเป็นอธิบดีแก่เปรตทั้งปวง และตระกูลเปรตนั้นมีอยู่ 12 ตระกูล คือ
    1. วันตาสาเปรตตระกูล
    2. กูณปขาทเปรตตระกูล
    3. คูถขาทเปรตตระกูล
    4. อัคคิชาลมุขเปรตตระกูล
    5. สุจิมุขเปรตตระกูล
    6. ตัณหาชิตาเปรตตระกูล
    7. นิชฌามกเปรตตระกูล
    8. สัตตังคาเปรตตระกูล
    9. ปัพพตังคาเปรตตระกูล
    10. อัชครังคาเปรตตระกูล
    11. เวมานิกเปรตตระกูล
    12. มหิทธิกาเปรตตระกูล
    นอกจากเปรต 12 ตระกูลนี้ ยังมีเปรตอีก 19 จำพวก ได้แก่
    1. สุจิโลมา คือ เปรตผู้มีขนเป็นเข็ม
    2. ขุรโลมา คือ เปรตผู้มีขนเป็นกรด
    3. เอกปาทา คือ เปรตผู้มีเท้าข้างเดียว
    4. อเนกปาทา คือ เปรตผู้เท้ามาก
    5. เอกหตถา คือเปรตผู้มีมือข้างเดียว
    6. อเนกหตถา คือ เปรตผู้มีมือมาก
    7. เอกเจตตา คือ เปรตผู้มีจักษุข้างเดียว
    8. อเนกเนตตา คือ เปรตผู้มีจักษุมาก
    9. เปรตจำพวกที่กินมลทินครรภ์เป็นอาหาร
    10. เปรตจำพวกขนหยักเยื่อทูลศีรษะไว้เป็นนิตย์
    11. เปรตจำพวกกายยาว 25 เส้น นอนกลิ้งอยู่ดุจแผ่นศิลา
    12. เปรตจำพวกตัวจมอยู่บนภูเขาเพียง สะเอว ไฟไหม้อยู่
    13. เปรตพวกไถนาอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน
    14. เปรตจำพวกมีกายสูง มีกลิ่นตัวเหม็นยิ่งนัก
    15. เปรตจำพวกมีพืชเป็นเหล็กเป็นเปลวเพลิงรัดศีรษะอยู่
    16. เปรตจำพวกมีร่างกายผอม และเปลือยกายอยู่ตลอดเวลา
    17. เปรตจำพวกรูปชั่วตัวผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ศีรษะกลั้วไปด้วยฝุ่น
    18. เปรตจำพวกดำดุจตอไฟไหม้ และ
    19. เปรตจำพวกสูงเท่าลำตาล มีแต่หนังหุ้มกระดูก
    [​IMG]
    เปรตไม่สมประกอบ 4 ชนิด
    1. เปรตชนิดที่มีรูปร่างไม่สมประกอบ ร่างกายซูบผอมอดโซ
    2. เปรตชนิดที่มีรูปร่างพิการ เช่น กายเป็นอย่างร่างของมนุษย์ แต่ศีรษะ เป็นอย่างสัตว์ดิรัจฉาน เช่น ตัวเป็นคนหัวเป็นนกกาบ้าง…เป็นสุกรบ้าง…เป็นสุนัขบ้าง
    3. เปรตชนิดที่มีรูปร่างพิกล เสวยกรรมกรณ์ (รับกรรม รับอาญา) อยู่ตามลำพังด้วยอำนาจบาปกรรมที่ได้กระทำเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่บน โลกมนุษย์
    4. เปรตชนิดที่มีรูปร่างอย่างมนุษย์ปกติ แม้เป็นผู้เสวยก็มีวิมานอยู่ แต่ในราตรีต้องออกจากวิมานไปเสวยกรรมจนกว่าจะรุ่งเช้า เรียกว่าวิมานนิกเปรต
    เปรตเป็นผีจำพวกหนึ่ง ซึ่งเคยทำบาปสร้างกรรมเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ครั้น ตายลงแล้วก็ต้องมารับผลกรรมตามที่ได้สร้างไว้ทำให้ต้องมีความเป็นอยู่ อย่างอดอยาก ผอมโซ ชอบส่งเสียงร้องหรือปรากฏตัวให้ชาวบ้านเห็นเพื่อขอส่วนบุญให้ช่วยทำบุญอุทิศ ส่วนกุศลไปให้บ้างเพราะอดอยากหิวโหยซะเหลือเกิน
    โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า เปรตเป็นผีชนิดหนึ่งที่มีลำตัวสูง บ้างว่าสูงเท่าลำตาล สูงเท่าต้นตาลหรือยอดตาล บ้างว่าสูงเท่าเสาชิงช้าวัดสุทัศน์ บ้างว่าสูงเท่ายอ ดธง หากเป็นสมัยนี้คงต้องเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันใหม่ว่า สูงกว่าตึกห้าชั้น หรือสูงเท่ากับคอนโดมิเดียมริมน้ำอะไรทำนองนี้ สรุปใจความก็คือ เปรตเป็นผีที่มี รูปร่างสูงมาก จนมีคำพูดติดปากล้อใครที่ตัวโย่งๆว่า ….สูงยังกับเปรต แต่เนื่องจากกรรมหรือการกระทำในทางที่ชั่วร้ายมีแตกต่างกันไป เมื่อตายแล้วจึงได้เกิดเ ป็นเปรตชนิดต่างๆกัน เช่น คนที่ชอบดุด่าตบดีพ่อแม่ผู้มีพระคุณ จะต้องไปเกิดเป็นเปรตจำพวกที่มีปากเท่ารูเข็ม มือโตเท่าใบพายหรือใบตาล อดอยากและหิวโ หยอยู่เป็นนิตย์ ลองคิดดูว่าหากใครเกิดมามีปากเท่ารูเข็ม เวลาจะกินข้าวต้องเอายัดเข้าปากไปทีละเมล็ดมันจะทรมานทรกรรมขนาดไหน เป็นคำขู่หรือเตือนสติของคนโบราณ ให้ลูกหลาน มีความกตัญญู ให้การเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชราและไม่ทำร้ายทั้งร่างกายจิตใจใครขืนเป็นอย่าง ที่ว่ารวมทั้งพวกเกกมะเหรกเกเร ชาวบ้ านก็จะพากันด่าประณามว่า…ไอ้เปรต คนที่ชอบฆ่าเป็ดฆ่าไก่ ตีไก่ เชือดหมู เชือดวัว อยู่เป็นอาจิณ เวลาตายไปแล้วอาจต้องไปเกิดเป็นเปรตประเภท ตัวเป็นคนหัวเป็นไก่ หรือหัวเป็นหมู ตามแต่ผลกรรม ใครทำกรรมเอาไว้อย่างไรก็จะได้ผลกรรมอันนั้นตอบสนอง ฉะนั้นเปรตอาจมีอยู่หลายชนิดหลายจำพวก ใครอยากเห็นก็ลองดูรูปปั้นเปรตชนิดต่างๆ ได้ที่วัดไผ่โรงวัว จังหวัดสุพรรณบุรี
    เปรตมีที่อยู่อาศัยแตกต่างกันไปตามประเภทและเผ่าพันธ์รวมทั้งคติความ เชื่อที่บอกต่อหรือสืบทอดกันมา บางตำราว่าอาศัยอยู่ตามวัดคอยปรากฏตัวหลอกหลอนหรือแสดงร่างให้เห็นเพื่อขอ ส่วนบุญ บ้างว่าอยู่ตามท้องทุ่งตามทางเปลี่ยวใครไปเที่ยวดึกๆ กลับบ้านคนเดียวเดินผ่านศาลาวัด หรือตามทางแยก อาจเจอเปรตเดินตามหลังมาส่งถึงบ้าน หรือเดินเป็นเพื่อนมาตลอดทาง ซึ่งหากเจอเปรตก็ไม่ต้องตกอกตกใจอะไร วิ่งลูกเดียว หรือหากว่ามีเปรตและผีชนิดใดก็ตามขวางหน้าเราอยู่ โบราณว่าอย่าวิ่งหันหลังกลับ เพราะจะโดนมันดักหน้า ให้วิ่งไปข้างหน้าหรือวิ่งฝ่าไปเลย แต่ถ้าจะให้ดีกลางค่ำกลางคืน นอนอยู่บ้านสบายที่สุด…ว่ามั๊ย…
    [​IMG]
    เปรตกินอะไรเป็นอาหารคงไม่ต้องบอก เพราะไม่รู้เหมือนกันนอกจากมีความเชื่อกันว่า เวลาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว พวกเปรตก็จะมารับ ส่วนบุญจากลูกหลานได้กินอิ่มหมีพีมันไปมื้อหนึ่งคราวหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็อดอยากหิวโหย นอกจากพวกอาหารคาวหวานแล้ว บางทีลูกหลานจะถวายเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มแก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อให้ผีญาติๆ ของตนไม่ต้องโป๊หรือเปลือยกายล่อนจ้อน ใครจะศรัทธาแก่กล้าถึงขนาดถวาย ซาวด์อเบาท์ หรือโทรทัศน์ วีดีโอ ซีดี. ก็ ตามถนัดไม่ผิดกติกาอันใด หากไม่มีญาติหรือ ลูกหลานคอยทำอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกเปรตเหล่านี้จะหิวโหย ร้องโหยหวล เสียงร้องของเปรตไม่มีใครยืนยันได้ว่าไพเราะเพราะพริ้งขนาดไหน นอกจากในบางตำรา บอกไว้ว่า มันส่งเสียงร้องดังกรี๊ดๆ เป็นเสียงหวิวหวีดฟังแล้วชวนวังเวง วิเวกวิโหวเหว คนล่ะอย่างกับที่พวก วัยรุ่นกรี๊ดกร๊าดเวลาเจอดารายอดนิยมหรือตอนดูคอนเสิร์ตหลังหมอชิต ว่ากันว่าที่เสียงมันดังกรี๊ดๆ ก็เพราะเกิดจากแรงดันของลมจากท้องผ่านช่องปากที่เล็กเท่า รูเข็ม เลยกลายเป็นเสียงอย่างที่บอก แบบนี้พวกเปรตที่มีหัวเป็นไก่ก็อาจจะร้องเสียง เอก-อี้-เอ้ก-เอ้ก ก็ได้ล่ะมั้ง ถ้าใครทำบุญหากจะอุทิศก็ขอให้กล่าวหรือออกน ามพวกผีไม่มีญาติ หรือบรรดาผีๆ ทั้งหลายรวมทั้งคุณผีเปรตด้วย เพื่อที่จะได้ไม่หิวโหยร่างกายผอมโซจนน่าสงสาร
    หลังจากที่ถูกพระพันวษาสั่งประหารชีวิต นางวันทองได้กลายเป็นผีเปรตที่ไม่มีหัวหรือเปรตหัวขาด วันหนึ่งนางทราบข่าวว่าพระไวยวรนาถลูกชาย กำลังจะไปรบกับผู้เป็นพ่อคือขุนแผน เปรตนางวันทองกลัวพ่อกับลูกจะต้องฆ่ากันเอง พลอยเป็นบาปกรรมติดตัวกันไปเปล่าๆ ก็เลยออกมาห้ามทัพ โดยแปลงกายเป็นสาวงาม นั่งเล่นอยู่บนชิงช้า เพราะรู้ว่าพระไวยฯ นั้นชีกอเหมือนพ่อนั่นแหละพระไวยฯ ไม่ทราบความนัย จีบสาวงามที่ได้พบ แม้เธอจะบอกว่าเป็นแม่ หรือนางวันทอง พระไวยฯ ก็ไม่ยอมเชื่อจนนางต้องแปลงเพศกลับเป็นเปรตอย่างเดิมเพื่อให้เห็นแจ้ง ประจักษ์ ว่ากันว่า เปรตนอกจากจะมีรูปร่างผอมโซจนเห็นโครงกระดูกทุกซี่และมีความสูงชนิดผีฝรั่ง อายแล้ว มันยังสามารถ แลบลิ้นได้ยาวเท่ากับความสูงของตัวเองอีกด้วย อะไรจะเว่อร์ปานนั้น
    [​IMG]
    เปรตน่าจะเหมือนผีธรรมดาสามัญทั่วไปคือ กลัวพระ กลัวเครื่องรางของขลัง ลองเจอเข้าเป็นเผ่นกระเจิง เพราะผีกับพระไม่ถูกกัน เหมือนงูกับเชือกกล้วยยังไงยังงั้น แต่สำหรับ ผีเปรตมีท่านผู้รู้แนะนำว่า หากใครเจอระหว่างทางหรือเจอที่ไหนก็แล้วแต่ ให้รีบบอกว่า…ไปที่ชอบๆ…หรือไปผุดไปเกิดซะเถอะ แล้วจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ เท่านี้ผีเปรตและผีทั้งหลาย ก็จะเลิกตอแย หายตัวแว๊บ..ไปเลย แ ล้วก็อย่าลืมทำตามสัญญา เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะเจออีกเป็นรอบที่สอง เพราะคุณผีเขามาทวงส่วนกุศลนั่นแหละ
    ผีเปรต หรือชาวอีสานเรียกว่า ผีเผด เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เอ๊ย..ไม่ใช่ เกิดหรือถือกำเนิดขึ้นตามผลกรรมที่เคยได้กระทำเอาไว้ สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ตำราโบราณกล่าวว่า เวลาที่เปรตตัวเดิมจะพ้นจากกรรมได้ไปผุดไปเกิด จะมีเปรตตัวใหม่ มารับตำแหน่งแทนดังมีเค้ามาจากนิทานพระมาลัยเรื่องหนึ่ง ดังนี้
    [​IMG]
    ยังมีมานพหนึ่งคนหนึ่งชื่อว่า มิตตวินทุ อยากจะไปเที่ยวทะเลกับพ่อค้าสำเภาจึงเคี่ยวเข็ญเอาเงินทองจากมารดาซึ่งเป็น แม่ม่ายใจบุญ ด้วยความเป็นห่วงลูกชายมารดาก็ขัดขวาง มิตตวินทุปกติเป็นคนเกกมะเหรกเกเรอยู่แล้ว จึงโกรธจนลืมตัวถีบแม่จนล้มแล้วหนีไปเที่ยวทะเลจนได้ แต่ผลกรรมตามทันทำให้เรือแตก มิตตวินทุว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งที่เกาะแห่งหนึ่งอันเป็นที่อยู่ของพวกเปรต แต่ชายหนุ่มกลับมองเห็นกงจักรที่หมุนคว้างผ่าศีรษะของพวกเปรตเหล่านั้นเป็น ดอกบัวซึ่งประดิษฐ์เป็นมาลาสวมใส่ไว้อย่างสวยงาม..เห็นเลือดที่ไหลย้อยมาตาม ตัวเป็นสังวาลสายสร้อย เห็นพวกเปรตที่กำลังร้องครวญครางยกมือยกไม้ชักดิ้นชักงอด้วยความเจ็บปวดเป็น การร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข มิตตวินทุจึงเอ่ยปากขอ พวกเปรตรู้ว่ามีผู้มารับกรรมหรือรับช่วงต่อ แสดงว่าพวกตนได้พ้นจากกรรมที่เคยกระทำเอาไว้แล้วก็ดีใจ รีบยกให้อย่างไม่ลังเล จึงเป็นที่มาของคำพังเพยไทยที่ว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นสองโพดำเป็นสเปโต…” อะไรทำนองนี้แหละ
    ในพจนานุกรมฉบับต่างๆ กล่าวถึงเปรตพอรวมความได้ว่าเป็นสัตว์พวกหนึ่ง เกิดในอบายภูมิ แปลว่า แดนแห่งความทุกข์เป็นผีเลวจำพวกหนึ่ง มีหลายชนิด รูปร่างสูงโย่งยังกับลำตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซเพราะอดอยาก ปากเท่ารูเข็ม….. สงสัยจะหมายถึงเข็มเย็บผ้ามากกว่าเข็มเย็บกระสอบ มีมือโตเท่าใบตาล กินเลือดและหนองเป็นอาหาร ร้องเสียงดังกรี๊ดๆ ไม่ใช่กรี๊ดกร๊าด ส่วนในหนังสือไตรภูมิพระร่วง พรรณนาเกี่ยวกับเปรตเอาไว้ว่า บางจำพวกอยู่ในมหาสมุทร บนยอดเขา ตามไหล่เขา แต่บางจำพวกก็อยู่ในปราสาท มีช้างม้าเป็นข้าทาส บางจำพวกเวลาข้างแรม เป็นเปรต เวลาข้างขึ้นเป็นเทวดา ฯลฯ อันนี้แล้วแต่บุญกรรมที่ได้กระทำเอาไว้
    [​IMG]
    http://th.wikipedia.org/wiki/เปรต
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=c0EckAH_2N8&feature=results_main&playnext=1&list=PL59790BAE1C3C4848"]???????????? ?? ???? ?????? 1 - YouTube[/ame]





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2012
  2. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    รอดไปหวุดหวิดเลยวุ๊ย...
     
  3. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    น่ากลัวจัง
     
  4. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    อนุโมทนาสาธุจร้า ได้ความรู้เยอะเลย หวังว่าหลายๆคนคงได้ด้วยครับ ^^
     
  5. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    [​IMG]
    ผวาผีเปรต!! ชาวบ้านได้ยินร้องโหยหวนทุกคืน เชื่อมาขอส่วนบุญ
    รายงาน ข่าวแจ้งว่าชาวบ้านหมู่ 6 ต.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ต่างหวาดผวา หลังจากได้ยินเสียงผู้หญิงหวีดร้องในช่วงกลางดึกทุกๆคืน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผีเปรต อีกทั้งยังได้ยินเสียงหมาหอนตอบรับกันเป็นทอดๆ ติดๆ กันหลายวันแล้ว จนต้องนิมนต์พระมาทำบุญส่วนกุศล

    นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง นะครับ เรื่องจริง ไอ้ตอนเป็นมนุษย์ยังไม่ตาย ไม่คิดที่จะทำบุญ ทำกุศลพรรคพวกเพื่อนฝูงแนะนำ ก็บอกว่าไร้สาระ งมงาย พอตายไปแล้ว เจอของจริง ทุกอย่างมันก็สายไปเสียแล้ว ไม่มีกิน ไม่มีใช้ ต้องไปยืมจมูกคนอื่นหายใจ รอว่าเมื่อไหร่ ใครเขาจะทำบุญมาให้ เฝ้ารอไปวันวัน ช่างน่าเวทนาสงสารยิ่งนัก
     
  6. baimaingam

    baimaingam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +880
    ขออนุโมทนาสาธุครับ...
    ...หันหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...
     
  7. one14300

    one14300 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +212
    เปรตสูงๆผมไม่เคยเห็นน่ะเเต่เคยเห็นเปรตพระ ห่มจีวรตัวดำแบบถ่านตาเเดงกล่ำผอมเเห้ง
     
  8. พริ้มพักตร์ลักษณา

    พริ้มพักตร์ลักษณา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +12
    วิญญาณ เหมืนอนูบางสิ่งอย่างที่ล่องลอยไปในทุกที
    เปรต ไม่รู้เข้าเรียกเปรตมั้ยมีแขนขาเหมือนคน รูปร่างหน้าตาเหมือน ไอ้ตัวร้ายในการตูนดาก้อนบอล เชลล์มั้ยนะจำชื่อไม่ได้
    อสูรกาย ก้อมีอยู่ทุกที รูปร่างหน้าตาเหมือนสัตว์ประหลาด เหมือนสัตว์ยุคไดโนเสาร์

    เล่าเหมือนการ์ตูนเลยเรา เขียนจากสิ่งที่ตนเองรู้สึก รับรู้ได้บุญโลกใบนี้มีอะไรที่มากกว่า คน พืช สัตว์

    แล้วเปรตที่มาตรวจเราทำสมาธิ คือเปรตอะไรกัน
    ให้บุญแล้วเขาไม่รับ ให้เท่าไรก้อไม่รับ
    กายใจมันร้อน พุทโธ่จนเหมือนหมดพลัง แผ่เมตตาแล้วแผ่อีก
    ไม่ได้กลัวแต่รู้สึกเหมือนพลังเราหมด เราต้องถอย ถอยถอย ลืมตาจากสมาธิ
    ติดตรงนี้มาเป็นปีเลย เหมือนมารผจญ ข้ามผ่านตรงนี้ไม่ได้สักที
    ความเพียรก้อพลอยลดลงไปด้วย
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขออนุญาติเพิ่มเติมหน่อยนะครับ แม้ว่า
    กระทู้จะนานมากแล้ว...
    เปรต กรณีที่ใครสามารถเห็นได้
    สังเกตุง่ายๆว่า ฝ่ามือจะยาวกว่าหัวเข่าครับ
    จริงๆแล้วตาเค้าจะมีสีด้วยครับ ให้ลองไปสังเกตุเอา
    แต่กรณี บุคคลที่ไม่มีสัญญาในจิต
    ที่จะสร้างเป็นภาพได้ เปรตเป็นลักษณะ
    ที่บอกถึงลักษณะนิสัยของจิตนะครับ...

    ส่วนกรณีบุคคลที่เห็นภาพได้
    เปรตนั้น ดวงจิตจะติดวิบากอย่างหนึ่ง
    (วิบากคือกะแสที่จรเข้ามา) เวลาเราอุทิศ
    ส่วนกุศลออกไปแล้วนั้น พอกระแสบุญกำลัง
    จะไปถึงดวงจิตเค้านั้น วิบากตัวนี้มันจะเข้ามา
    ขวางทำให้เค้ารับบุญไม่ได้ครับ
    ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกตินะครับ

    ดังนั้นถ้าจะอุทิศส่วนกุศลให้เปรต
    ควรโน้มเค้าระลึก ให้เค้าปล่อยวางด้วยครับ
    หรือใครพาขมากรรม ขอขมาพระรัตนตรัยได้ยิ่งดีครับ
    เพราะการปล่อยวางจะทำให้จิตเค้าคล้าย
    ตัวด้วยชั่วขณะ นึกภาพออกนะครับ
    ถ้าเค้าเป็นดวงจิตก่อตัวอยู่ มันเป็นปกติ
    ที่จะดึงกระแสวิบากเข้ามาครับเพราะถ้า
    ยังเป็นรูปเป็นร่างได้ แสดงว่าเค้าก็มีสัญญาอยู่
    เมื่อมีสัญญาอยู่แสดงว่า แม้เป็นรูปร่างจิตเค้าก็เกิดอยู่นั่นเอง

    และพอบอกให้เค้าปล่อยวาง แม้กระวิบากเข้ามา
    จิตเค้าก็จะไม่ไปจับกระแสวิบากตรงนี้
    ณ จุดนี้นี่เองครับ ที่กำลังบุญที่เราอุทิศให้
    ก็จะสามารถแทรกเข้าไปถึง จิตเค้าที่กำลังปล่อยวางได้
    เป็นเหตุให้เค้ารับบุญ รับกระแสบุญได้นั่นเองครับ

    ปล.ต้องทำซ้ำๆบ่อยๆหน่อยครับ กรณีถ้าเป็นเปรตครับ
    ยกเว้นว่า เจอผู้มากบารมี จิตขยายกว้าง
    เข้าสภาวะดับได้ เป็นอีกกรณีหนึ่ง
    ส่วนมากจะเป็นห่มเหลืองครับ
     
  10. พริ้มพักตร์ลักษณา

    พริ้มพักตร์ลักษณา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +12

    ขอบคุณมากค่ะ สำหรับคำอธิบายเพิ่มเติม
    รบกวนขอคำแนพนำเพิ่มด้วยนะค่ะ

    -ส่วนกรณีบุคคลที่เห็นภาพได้ เปรตนั้น ดวงจิตจะติดวิบากอย่างหนึ่ง(วิบากคือกะแสที่จรเข้ามา) เวลาเราอุทิศส่วนกุศลออกไปแล้วนั้น พอกระแสบุญกำลังจะไปถึงดวงจิตเค้านั้น วิบากตัวนี้มันจะเข้ามาขวางทำให้เค้ารับบุญไม่ได้ครับซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกตินะครับ....นั้นหมายถึงเราก้อเห็นอยู่แบบนั้ แผ่ส่วนกุศลแบบไหนไปเรื่อยๆเท่าเกิด เท่าที่เห็นหรือเปล่าค่ะ
    -ดังนั้นถ้าจะอุทิศส่วนกุศลให้เปรตควรโน้มเค้าระลึก ให้เค้าปล่อยวางด้วยครับ.... แล้วเราจะโน้มเค้าลงมายังไงค่ะ เวลาเขามาเขาเขามาตอนเราเข้าสมาธิ ก้อสวดมนต์แล้ว อุทิศบุญกุศลแล้ว เขาไม่รับและไม่ไปไหน เราต้องคุยกับเขาใช่มั้ยค่ะ ว่าเขาต้องการอะ(คุยแล้วค่ะ และบอกเขาว่าอย่ามาขวางเลย เขาก้อไม่ไป)
    ไม่กล้าเล่าไปมากคนอื่นจะว่าเราบ้าค่ะ.....วิญญาณ สัพเวสี เปรต อสูรกาย เขามีจริงๆนะค่ะ เพียงแต่บางคนมองไม่เห็น เหมือนโลกมนุษย์ จะกลางคืนหรือกลางวันในก้อเหมือนกัน พวกเขามีพลังงาน พลังงานแต่ละประเภทไม่เหมือนกันค่ะ ปล.รู้และเข้าใจเองจริงๆนะค่ะ ไม่ได้อ่านไม่ได้ไม่ได้จำจากที่ไหนมา ได้แต่ถามและตอบตัวเอง เห็นสิ่งแบบนี้มาแต่เด็กแล้วจริงๆค่ะ บอกตัวเองว่าไม่อยากเจอไม่อยากเห็น จนโตมาอะไรไม่ทราบดลใจให้อยากทำสมาธิ ยิ่งทำให้เห็นภาพนั้นชัดเจนขึ้น เข้าใจมากขึ้นและตอบตัวเองได้ว่าคืออะไร และก้อทำเรื่อยมา เหมือนขั้น บันไดค่ะ ค่อยๆก้าวขึ้นทีละขั้น ก้าวไว ช้า อยู่กับที่ ก้าว และก้อมาติดตรงที่เปรต นี้ละค่ะ ขอบคุณที่แนะนำค่ะ^_^
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    พอเข้าใจครับ...เอาทีละประเด็นเนาะ...
    กรณีพี่เปรตที่ยังติดอยู่นี่หละครับ คือ ไม่จำเป็นต้องไปคุยเลยครับ
    เพราะขนาดส่งบุญให้ ตัวจิตเค้ายังติดวิบากที่จะรัับได้เลย
    อย่าหวังว่า จะคุยแบบพี่สัมพะเวที่ต้องการบุญทั่วไปเค้าจะ
    เป็นไปอย่างที่เราเจรจาครับ....
    ทั่วๆไปการให้บุญให้บารมี ไม่จำเป็นที่ผู้รับจะต้องรับรู้ครับ
    (กรณีภพภูมินะครับ)

    หลักการง่ายๆคือ บอกเค้าไปว่า ให้กรุณาวางใจเป็นกลาง
    ตอนที่รับบุญด้วย ส่วนเค้าจะทำหรือไม่ทำ เป็นเรื่องของเค้าเลย
    เราไม่ต้องไปสนใจอะไรทั้งสิ้นครับ เราก็ทำของเราไปอย่างนี้เรื่อยๆครับ
    พูดง่ายๆว่า ทำแล้วก็แล้วไป ไม่ต้องไปอะไรๆกับบุญนั้น
    ทำแบบทิ้งๆไป ไม่อะไรกับอะไร ไม่ต้องไปหวัง ไปคาดอะไร(ส่วนมากพลาดตรงที่
    คาดและหวัง ทำให้เกิดการติดตามผล เป็นเหตุให้ไม่ได้ผลและสร้าง
    วิบากจรเพิ่มอย่างที่คาดไม่ถึงครับ ปล. ไม่ว่าดีหรือไม่ดี เป็นวิบากเหมือนกันครับ)
    และบุญที่เราอุทิศให้ ควรเป็นบุญที่เราตั้งต้นจากพระรัตนตรัยและขอบารมี
    ไม่ว่า พระพุทธฯ พระอรหันต์ฯและพระมหาอรหันต์ พระโพธิสัตว์ฯพระมหาโพธิสัตว์
    ผู้มากบารมี พระปัจจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระธรรม พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ฯลฯ
    (พอนึกภาพในการตั้งต้นบารมีออกนะครับ)และค่อยรวมกับของเราตั้งแต่ชาติต้น
    ยันชาติปัจจุบัน แล้วโน้มอุทิศส่วนกุศลไปให้เค้า
    ทริค ที่สำคัญที่สุดก็คือ ให้เรากำหนดอุทิศส่วนกุศลเหล่านี้นั้น
    ให้ออกจากกลางลิ้นปี่ของเรานะครับ ให้ขยายออกไปให้กว้างที่สุด
    เท่าที่เราจะสามารถทำได้ครับ...เด่วในระบบภาคทิพย์จะมีการไป
    จัดการอะไรๆต่างๆของท่านได้เองครับ


    ประเด็นต่อมาถือว่าเป็นส่วนบุคคลหน่อย
    กรณีดวงจิตแบบคุณนะ...
    คือลักษณะกิริยาต่างๆมันจะค่อยๆ
    เป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตที่เราเคยสะสมมานั่นหละครับ
    ถ้าจะให้แนะนำนะ ว่าดวงจิตอย่างนี้ควรไปอย่างไรต่อ
    และทำอย่างไรถึงจะไปได้เร็วขึ้น ก็จะบอกว่า
    มันควรที่จะต้อง แล้วๆไปให้เป็น
    ถ้ามันจะรู้ก็ปล่อยให้มันรู้ไป แต่ไม่ต้องไปอะไรๆกับมัน
    และถ้ามันจะไม่รู้ก็ช่างมัน ไม่ต้องไปพยายามเพื่อที่จะให้รู้
    และในเวลาลืมตาปกติ ให้ทิ้งไป ให้แล้วๆไป
    ถ้าเกิดมีความจำเป็นจะต้องใช้งาน
    ก็ให้ใช้งานแล้วก็แล้วไป และไม่ต้องไปอะไรๆกับมัน
    ไม่ต้องไปตาม ไปหวัง ไปคาด ไปเมตตาอะไร(ติดตรงนี้
    เพราะรับรู้ปนเมตตา เลยไปคาดหวังผลโดยที่ไม่รู้ตัว)
    ให้ทิ้งตรงนี้ ด้วยการทำแล้ว รู้แล้ว ให้แล้ว
    จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ไม่ต้องไปอะไรๆกับมันเลยครับ....

    มันถึงจะไม่กะตุก กะตัก เวลาที่จะรู้หรือใช้งานต่างๆ
    มันถึงจะไม่ติดวิบาก เพราะว่าการรู้ต่างๆที่ยังมีตัวจิตเป็นตัวนำ
    ซึ่งมันมักจะส่งผลให้เกิดเวทนาทางกายต่อเราได้ในลำดับต่อมา...
    ให้รู้จักทิ้งไปเลย ให้รู้จักแล้วๆไป ให้รู้จักทำแล้วก็ช่างและแล้วแล้วไป
    ต่อไปการจะทำอะไร การจะรู้อะไร มันถึงจะเป็นอัตโนมัติได้ของมันเองครับ
    เมื่อไม่ใช้จิตนำ ก็ไม่ได้อุปโลกจิตขึ้นมา ซึ่งก็ตัดปัญหาเรื่องวิบาก
    ที่จะมาเกาะที่จิตเราแล้วกระทบซิ่งมาที่กายเรา พอนึกภาพออกนะครับ

    ส่วนตัวมองว่า พวกสัมผัสภายในที่คุณเล่าให้ฟังนั้น
    แท้จริงยังมีมากกว่านี้อีก ลักษณะจิตยังสามารถ
    รักษาโรคได้อีกเพราะมันมีลักษณะพลังงานภายนอกเป็นทุน
    แต่ว่าเป็น แบบที่ต้องท่องบ่นกำกับ(คือมีคาถาร่วมด้วยหรืออฐิษฐานประมาณนี้)
    หรือจะมีตัวยาพิเศษอะไรที่จะได้มาจากระบบภาคทิพย์ด้วย(ท่านที่เป็นหมอเก่งๆจากอดีตมีชื่อ)
    รวมความได้ว่า ทั้งสัมผัสภายในและการรักษาคนได้นั้น
    ถ้าทำได้ อย่างที่ได้แนะนำมาก่อนหน้านี้
    พวกความสามารถทั้ง ๒ อย่างนี้
    มันก็จะเป็นไปอัตโนมัติของมันเอง
    และมันจะเกื้อกูลหนุนกันไปมาของมัน
    ในลักษณะที่เอื้อประโยชน์และให้เกิดผลได้ดีที่สุดและท้ายสุด
    เพื่อกลับไปสู่เนื้อหาเดิมแท้ของจิตเราเองได้
    โดยที่เราก็ยังอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปกติของเราครับ
    ทิ้งให้เป็น ตัดตัวรู้ให้เป็น แล้วๆไปให้เป็น ก็พอครับ
    ท้ายนี้ หวังว่าที่เล่าให้ฟังจะพอมีประโยชน์นะครับ
    ผิดพลาดอะไรก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ (^_^)
     
  12. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +1,203
    แบบว่าอุทิศบุญแล้วก็ขอเลขไรแบบนี้ใช่ป่าวคับคาดหวังบ่อยๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...