เปิดรอคอเดียวกัน...(นอกรอบ!)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย DevilBitch, 21 มิถุนายน 2005.

  1. koisung

    koisung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +3,469
    ก้อยเลิกหาหมอแล้วล่ะจ้ะริน...อิอิ คิดเหมือนกันว่าไปหาซ้ำๆ คำตอบก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    - - - - -

    ตั้งแต่พี่แก้กรรมไป อาการปวดหัวพี่ดีขึ้นนะ จนเดี๋ยวนี้มันน้อยลงไปเยอะ แทบเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อน ก็อุทิศให้เค้าอยู่อ่ะจ้ะ ...ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำน๊า..
     
  2. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    มีหลายท่านที่ยายผีป่าจัดส่งมงคลวัตถุองค์พ่อจตุคามรามเทพไปให้ ยายได้รับมาจากหนุ่มใต้ใจดี คุณจิรศักดิ์ อินทรทัต และน้องโอ๋ หทัยทิพย์ มอบมาล่าสุด ยายก็จัดแจกไปเรียบร้อย แต่มีหลายท่านค่ะที่ยังไม่ทราบที่มาว่าองค์พ่อจตุคามรามเทพมีที่มาอย่างไร

    ยายไปดึงมาให้อ่านค่ะ

    องค์พ่อจตุคามรามเทพ คือ เทวดารักษาพระบรมธาตุ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สถิตอยู่ที่บานประตูทางขึ้นพระบรมธาตุ


    ในปี พศ 2530 เมื่อมีการตั้งดวงเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นใหม่ และสร้างศาลหลักเมืองของจังหวัด จึงมีการทำพิธีอัญเชิญองค์พ่อฯ ไปสถิตที่ศาลหลักเมืองตั้งแต่นั้นมา

    ก่อนจะมาเป็นเทวดารักษาพระบรมธาตุนั้น องค์พ่อจตุคามรามเทพเป็นพระมหากษัตริย์ในสมัยศรีวิชัย ซึ่งมีชื่อเป็นทางการว่า พระเจ้าจันทราภาณุ และในอีกชาติภพหนึ่งองค์พ่อฯ เป็นกษัตริย์ที่มีนามว่า พญาศรีธรรมโศกราช การที่องค์พ่อฯ ถูกขนานนามว่า ราชันดำแห่งทะเลใต้ เพราะอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ติดทะเลชวา และพระวรกายของพระองค์มีสีเข้ม

    นอกจากจะเป็นกษัตริย์แล้ว ในอีกชาติภพหนึ่งองค์พ่อฯ ยังเป็นนักรบที่แกร่งกล้าสามารถ รบไม่เคยแพ้ผู้ใด นามว่า พังพกาฬ

    องค์พ่อฯ ทรงบำเพ็ญตน สร้างบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อบรรเทาทุกข์แก่มวลมนุษย์
    สุริยัน จันทรา นั้นเป็นตัวแทนขององค์พ่อฯ ส่วนดวงตราพญาราหู ดวงตราสองแผ่นดินศรีวิชัย สุวรรณภูมิ และ 12 นักษัตร เป็นรูปแบบของดวงตราอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของจตุคามศาสตร์ ซึ่งทรงฤทธิ์ธานุภาพในทุกๆ ด้าน
    การอธิษฐานจิตขอบารมี จากองค์พ่อจตุคามรามเทพ ทุกท่านสามารถอธิษฐานจิตขอพรบารมีจากองค์พ่อจตุคามรามเทพได้ หากท่าน
    1. อธิษฐานขอในสิ่งที่เป็นไปได้ และไม่ขัดต่อศีลธรรม
    2. เมื่อท่านได้รับสิ่งที่หวังแล้ว ต้องรักษาสัจจะที่ได้ให้ไว้กับองค์พ่อจตุคามรามเทพ และ
    3. ควรจะสร้างกุศลกรรมถวายแก่องค์พ่อจตุคามรามเทพ

    ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ แม้ว่าองค์พ่อจตุคามรามเทพจะเป็นพระโพธิสัตย์ที่มีจิตแห่งความเมตตาสูง ขอให้ทุกท่านอย่าเพียงพึ่งแต่บารมีขององค์พ่อฯเท่านั้น ควรสร้างกุศลกรรมให้แก่ตนเองให้ครบทุกด้าน คือ
    ให้ทาน (เช่น สังฆทาน บริจาคมูลนิธิต่างๆ)
    รักษาศีล (ศีล 5) และ บำเพ็ญภาวนา (สวดมนต์ และปฎิบัติกรรมฐาน) และขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรของท่านเอง และแผ่กุศลกรรมที่ท่านทำนั้นให้แก่ มารดาบิดา ญาติกาทั้งหลาย ครูอุปัชฌาอาจารย์ เพื่อนมนุษย์ เทวดาทั้งหลายทั้งปวง เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง และเปรตทั้งหลายทั้งปวงด้วย แล้วชีวิตท่านจักบังเกิดความเจริญ

    <HR>ข้อมูลจากคุณชิริน www.uamulet.com
     
  3. passri

    passri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +449
    สวัสดีครับคุณยายและทุกท่านครับ
     
  4. Jin

    Jin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,996
    ค่าพลัง:
    +3,342
    เดือนทีั่เเล้ว ผมฝันว่าำได้ องค์พ่อจตุคามรามเทพ สีัดำมา พอตื่นปัํบก็มี พี่เขาที่เเท่นที่เเหละ เอามาให้ดู บา ปี สามศูนย์ซะด้วย ขอร้องยังไงๆๆๆๆ เเกก็ไม่ปล่อยท่าเดว เเค่อยากจะบอกว่า อย่าเชื่อความฝันมากไปครับ หุๆ=(
     
  5. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    กู๊ดม๋อนิ๊งจ๊าชาวคอเดียวกันทุกท่าน (แก๊งค์ตามยายฯ)

    อืม...ที่จินฝันน่ะ มีมาจากอุปทานเพราะจริตศรัทธาเราประสงค์ที่จะได้องค์พ่อรุ่นนี้มาบูชาเป็นมหาโพธิสัตวานุสสติ เป็นขวัญกำลังใจให้เรา ความอยากได้ของเรานั้นล่ะที่มันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความฝัน และทีนี้หากเราตั้งจิตอยากได้ อยากขอบารมีจากท่านเรื่อยๆ มันเป็นอารมณ์น้อมนำ พลังอาจสื่อถึงเบื้องบนได้ ท่านก็มาสงเคราะห์งัยจ๊ะ

    ให้รู้ว่ามามอบในฝัน มาปรกในฝัน เป็นพลังที่ไม่ต่างจากการได้ครอบครองมงคลวัตถุที่เราเสาะห์หานะจ๊ะพ่อจิน

    อย่างยายผีป่าศรัทธาน้อมนำในองค์พ่อตั้งแต่ยังไม่ทราบประวัติท่าน คือชอบมากๆ เลยที่จะศึกษาเกี่ยวกับแดนใต้ ย้อนไปสมัยโบร่ำโบราณ มันรู้สึกผูกพัน ก็ได้พระทางใต้มามากมาย รวมทั้งองค์พ่อจากหลายๆ ญาติธรรมส่งมาน่ะค่ะ

    ไม่คิดว่าจะมีโอกาศได้ แม้ไม่ใช่รุ่นแรก แต่เป็นรุ่นสอง รุ่นอื่นๆ เพียงจิตน้อมนำถึงองค์พ่อและผู้มีบารมีปรกทั้งหลาย เราก็ปีติสุขแล้วนะคะ จินได้รุ่นสองบรูณะเสาหลักเมืองแล้วไม่ใช่เหรอ

    อ้อ...ขอเตือนน้องจินนะจ๊ะ รุ่นดังๆน่ะ ปลอมมากพอๆกัน แทบจะแยกไม่ออกเลยค่ะ
     
  6. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ทายกวัดตายแล้วไปลงอเวจีมหานรก

    "..วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ เวลา ๑๘.๓๐ น.เศษ อาตมานอนภาวนา พออารมณ์เคลิ้มเห็นท่านลุงทั้งสองท่านมาบอกว่า "ผมมีละครให้ชม" ท่านพูดจบเหมือนลอยตามท่านไปสำนักงานของท่าน พอไปถึงเห็นคนรอการสอบสวนมากตามปกติ แต่มีคนคณะหนึ่งท่านบอกว่า เป็นคณะทายก อยู่คนละเมืองแต่บังเอิญตายระยะใกล้เคียงกัน ท่านเลยเอามาสอบสวนคราวเดียวกัน <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านเรียกคนแรกเข้ามาถามว่า "เคยบวชเป็นเณรมาก่อนใช่ไหม" คนนั้นตอบว่า "ใช่" ท่านถามต่อว่า "หลังจากนั้นเมื่ออายุครบบวชพระ ก็มีโอกาสบวชเป็นพระใช่ไหม" ตอบว่า "ใช่"<o:p></o:p>
    ท่านถามอีกว่า "เธอเรียนธรรมได้ชั้นสูงใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่"<o:p></o:p>
    ท่านถามว่า "ต่อมาเป็นครูสอนธรรมวินัยใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่"<o:p></o:p>
    ท่านถามว่า "เมื่อเป็นครูสอนธรรมวินัย มีลาภสักการะมาก หลงในเงิน เอาเงินสงฆ์ไปใช้ส่วนตัวมากใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่"<o:p></o:p>
    ท่านถามว่า "ต่อมาเมื่อศิษย์มากขึ้น มีความรู้สึกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าบางอย่างแข็งเกินไปเช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตายแล้ว ถ้าใจชั่วจะไปอบายภูมิ ถ้าใจดีจะไปสวรรค์ เธอดัดแปลงเป็นว่า ตายแล้วสูญ ชาติต่อไปไม่มีใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่"<o:p></o:p>
    ท่านถามว่า "เมื่อเธอสอนคนเขาแบบนั้นเธอก็ทำตามนั้น คือต่อหน้าคนก็เรียบร้อยเคร่งครัด แต่พอลับหลังคนก็ทำตนสบาย กินเหล้า กินข้าวเวลาคํ่า ทำทุกอย่างเหมือนฆราวาส แต่ทำในที่มิดชิดคนภายนอกไม่รู้ใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่"<o:p></o:p>
    ท่านถามว่า "เมื่อรวบรวมทรัพย์สินได้เรือนแสนก็สึกจากพระ ไปมีเมียและกลับไปเป็นทายกวัดนั้น พระเกรงใจ ชาวบ้านนับถือเพราะปฏิบัติตนเรียบร้อยเคร่งครัดตามเดิม แต่เงินทำบุญชักเปอร์เซ็นต์จากสงฆ์ประมาณ ๓๐ ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เอาเป็นของตัวใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่"<o:p></o:p>
    ท่านถามว่า "เธอบวชเณร บวชพระ เป็นทายก ลองบอกมาว่าเธอมั่นใจในบุญส่วนใดบ้าง ถ้าเธอมั่นใจในบุญสักอย่างเดียว ฉันจะให้ไปสวรรค์ก่อน"<o:p></o:p>
    เธอนั่งก้มหน้าเฉย ท่านเตือน ๓ ครั้ง เธอก็ก้มหน้าเป็นปกติ <o:p></o:p>
    ท่านบอกเจ้าหน้าที่ว่า "หมดภาระของฉันแล้ว เอาไปมอบให้นายนิรยบาลเขา เขาจะเอาไปไหนเป็นเรื่องของเขา"<o:p></o:p>
    ท่านลุงบอกอาตมาให้มองตามเขาไป จะได้รู้ว่าเขาเอาไปไหน ปรากฏว่าเอาไปไว้ในสถานที่เดียวกับพระเทวทัต คืออเวจีมหานรก มีหอกพุ่งมาเสียบจนไม่มีที่ขยับกาย ไฟพุ่งมาทุกทิศ น่ากลัวมากและน่าหวาดเสียว.."
     
  7. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ตายจากพระสงฆ์มีเงินให้กู้ ไม่ผ่านสำนักพระยายมราชลงนรกเลย

    "..อาตมามาสอนพระกรรมฐาน เห็นคนถูกโซ่ล่ามคอ ๒ เส้นมีคนนำมา จึงถามว่า "กรรมอะไร" เขาอธิบายกรรมให้ทราบว่า "คนนี้เป็นพระสงฆ์มีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัด มีเงินให้กู้ ๔ ล้านบาทและก็มีเงินเก็บ มีซองที่ยังไม่ได้เอาเงินออก เป็นซองคนนั้นจะเป็นพระครู คนนี้จะเป็นเจ้าอาวาส คนนี้จะเป็นเจ้าคณะตำบล"<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    อาตมาถามว่า "สำนักพระยายมราชสอบสวนแล้วหรือยัง"<o:p></o:p>
    ท่านพระยายมราชบอกว่า "เขาไม่ผ่านผมหรอกครับ เขาลงนรกเลย"<o:p></o:p>
    พวกลงนรกมี ๒ พวก พวกบาปไม่หนักนักบุญก็พอมี แต่เวลาตายไม่นึกถึงบุญก็ผ่านสำนักพระยายมราชเพื่อสอบสวน เป็นการเตือนให้นึกถึงบุญนั่นเอง กับอีกพวกเป็นพวกบาปหนักจะลงดิ่งไปเลยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช เวลาอยู่ในนรกไม่มีเสื้อไม่มีกางเกงใส่ ถูกหอก ดาบ เสียบฟันและมีไฟเผาตลอดเวลา นรกทุกขุมมีไฟแต่จะร้อนมากร้อนน้อยต่างกันเท่านั้น.."<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  8. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี
    หลวงพ่อสอนให้ลูกศิษย์ และญาติโยมรู้จักชำระหนี้สงฆ์ และแนะนำให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์พร้อมทั้งนำ เกร็ดความรู้ที่ได้ ประสบมาเล่าให้ฟัง เพื่อจะเป็นประโยชน์ ต่อท่านทั้งหลายจะได้นำประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกัน ตัวเอง และผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับของพระ สงฆ์อีก ท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า
    "ของทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่า เป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว จะเป็นสิ่งของ หรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม จะมีราคามาก หรือน้อยก็ตาม ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการหรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้น มาทดแทน ให้เหมือนเดิม ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ล่วงละเมิด ลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย"
    อย่างวัดร้างที่ปรากฏว่า เป็นที่ดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่า เป็นวัด หรือบางแห่งแสดงฐานะว่า เป็นวัดแต่อยู่ในป่าในดงหรือ วัดที่มีฐานะอยู่ก็ตาม เราจะนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้นเป็นของสงฆ์หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้ เป็นสมบัติ ส่วนตัวละก็ ถือว่า ซวยขนาดหนัก แบบนี้ มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์ เคยตกนรกขั้นขุมที่ 7 มาแล้ว ขุมนี้หนักมาก รองจาก อเวจีมหานรก เพราะอะไร เพราะ บุกรุกที่ดินของวัด ถึงแม้จะไม่มีเจตนาโกง วัดก็เป็นวัดร้าง แต่ไม่รู้ว่า เป็นวัดร้าง แค่นี้ก็ ตกนรกขุมที่ 7 จะมาอ้างว่าไม่รู้ไม่ เจตนาไม่ได้ มีความผิดหมด หรือว่า มีไม้ลอยมาหน้าบ้าน เราเห็นว่า ไม่มีเจ้าของ เอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมาจากวัด ก็เป็นไม้ของสงฆ์ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นหญ้าต้นฝาง ที่มันอยู่กลางทุ่งสถานที่นั้นอาจ จะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่า สภาพของวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมด แม้แต่แผ่นดิน ก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นไม้ต้นเดียวมาก็บาป แล้วโทษของสงฆ์ หนักมาก เรียกว่า ขั้นอเวจีขั้นเดียว มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี
    หลวงพ่อปานท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ว่า ใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ด้วยจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม เอามารวมกัน แล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ คือ วัดร้างที่ปรากฏมีเป็นวัดก็ตาม หรือไม่ปรากฏเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตาม วัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตามไม่รู้ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้น ย่อมไม่ทราบค่าราคาของ ถือว่าเป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงินเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควร ก็ขอให้พร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลาย ไม่ เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่ ถ้าพระหมดสาธุพร้อมกัน เป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่า ค่อย ๆ ทำไป เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องหนัก
    ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่พึงใช้ จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวน นั้นไปใช้ในการก่อสร้าง หรือบำรุงสงฆ์ ท่านทั้งหลาย อาจสงสับว่า ของต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี วัสดุเครื่องใช้ต่างๆ ก็ดี หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด ถ้าหากรื้อหรือนำไปใช้แล้ว เกิดชำรุดเสียหาย ทำไมเราจะต้องสร้างแทนของเดิม ทั้งนี้เพราะทรัพย์สินต่างๆ ที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างถวายบูชาพระพุทธเจ้า คำ ว่าของสงฆ์นี่น่ะ ต้องหมายถึง พระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิ์ว่า เป็นของฉันจะมาชี้ว่า สมบัตินี้เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้น จะต้องลงนรกหมด เรื่องนรกนี้ เขาไม่เว้นใครหรอก
    ของในวัดก็เหมือนกัน ถ้าพระองค์ใดปลูกไว้ถ้าเขาสึกแล้วก็ตามเขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ถ้าว่าเขาตาย หรือสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์นหนึ่ง จะถือเป็นทายาทกันเองก็ดี ใช้เองก็ดี ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เวลาจะกินจะใช้ต้องประชุมสงฆ์ ต้องลงมติอนุมัติจึงถือว่าไม่เป็นโทษ
    ก็มีตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ พระอาจารย์ทิม สำหรับอาจารย์ทิมนี่ รุ่นเดียวกัน อยู่ที่สุพรรณบุรี เป็นนักก่อสร้าง พระองค์นี้เป็นพระดีมากระเบียบวินัยก็ดี เจริญสมถภาวนาก็ดี แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่งแกป่วยครั้งหลังสุด กำลังก่อสร้างโบสถ์ สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี หมอเขาบอกว่า ต้องต้มยาหม้อในราคา 60 บาท ท่านก็เลยขอยืมเงิน ที่เขาสร้างโบสถ์ก่อน ฉันหายแล้ว เวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้คืน
    พอปี 2508 ดันตายเสียได้ "ไอ้เงิน 60 บาท ดันเป็นพิษ พระทิมไปนั่งจ๋อที่นักพระยายม" เวลาทุ่มเศษๆ กำลังนอน สบายๆ เห็นเทวดาองค์หนึ่ง เป็นพวกวชิระ มายืนปลายเท้า กราบ กราบ
    ถามว่า "มาทำไม" เขาบอกว่า "ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ"
    เลยบอกว่า "แกไปข้างหน้าฉันตามไป"
    ตามไป หน่อยเดียวแกบอกว่า "เดี๋ยว ผมต้องไปตามอีก 2 องค์ แกไปตามอีก 2 องค์ "
    เราก็ตรงไปพอถึงก็พบท่านทิม อยู่ที่ สำนักพระยายม จึงถามว่า "ไง....มานั่งอยู่ที่นี่เล่า"
    แกก็บอกว่า "เป็นหนี้สงฆ์อยู่ 60 บาท "
    ถามว่า "คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ" แกบอก "เป็นหนี้ตอนใกล้ตาย เพราะหมอที่สั่งยามาให้ แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้างโบสถ์หมด ไอ้เงินส่วนตัวจริงๆ นี่เรียกว่า ตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ ก็เอาเงินส่วน นี้เขาไปซื้อยา "
    จึงเข้าไปถามลุง (พระยายม) ถามลุงว่า "ยังไงนี่"
    ลุงบอกว่า "ยังไม่ว่าไง เดี๋ยวค่อยว่า คอยอีกสององค์ก่อน ยังไม่สอบสวน "
    ถ้าสอบสวนไม่ได้ ของสงฆ์นี่หนักมาก ปิดปากเลย ถ้ากรรมดีละก็หนัก ปิดปาก กระเบื้องอันเดียวกันปิดปากเลย เรื่องบุญนี่ พูดไม่ได้เลย
    พออีกสององค์ไปถึงเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า "ท่านเองเงินสงฆ์ไปใช้ 60 บาท ใช่ไหม" ท่านตอบว่า "ใช่" ไปใช้เพื่ออะไร" บอกว่า "มันป่วย หมอเขาสั่งยามา "
    จิตคิดอย่างไร" จิตคิดว่า ถ้าใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะชำระหนี้สงฆ์ แต่นี่ยังไม่ทันชำระใช่ไหม" แกตอบว่า "ใช่" แล้วท่านถามว่า "จะว่าอย่างไร" ท่านบอกว่า "ไม่มีเรื่องจะว่า"

    ลุงพุฒ ท่านก็หันมาถามพวกเราว่า "ท่าน 3 องค์จะว่าอย่างไร" บอกว่า "ยังมีเรื่องว่าอยู่" "ว่ายังไงล่ะ" "ทำอย่างพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม เขาได้ฌานสมบัติ ควรจะไปเป็นพรหม"
    ท่านก็เลยบอกว่า "เวลาตายก่อนจะดับจิต อารมณ์อยู่ในฌานฌานยังตั้งไม่ได้"
    เลยถามว่า "ไอ้เรื่องนี้พอจะอภัยกันได้ไหม"
    ท่านก็เลยบอกว่า "ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้ มันต้องชำระหนี้สงฆ์"
    ก็บอกว่า "ต้องสร้างพระพุทธรูป 1 องค์ หน้าตัก 12 นิ้ว"
    เราเลยบอกว่า "เรื่องเล็ก เอาสัก 10 องค์ก็ยังได้" ท่านบอกว่า "องค์เดียวพอ"
    แล้วพระอีกสององค์ท่านก็รับไปคนละองค์ รวมเป็น 3 องค์ เราบอกว่า "อย่างนี้ ฮ้อ ตกลง" ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไปได้ตามผลของความดี"
    ตอนนั้นเลยบอกกับท่านทิมว่า "อย่าเพิ่งไป อยู่ที่นี่ก่อน"
    ถามลุงว่า "การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม"
    ท่านบอกว่า "ได้" เราก็เลยบอกท่านทิมว่า "จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม"
    เขาถามว่า "อะไรล่ะ" ก็เลยบอกว่า "เอกัคคตารมณ์กับอุเบกขาน่ะ" บอก "จำได้" "จำได้ก็ขอไปตามนั้น"
    นั่นมันฌาน 4 ท่านทิม เลยไปเป็นพรหมชั้นที่ 11 ถ้าไปตอนนั้น ก็ไปด๊อกแด๊ก อยู่แค่ กามาวจร ต้องช่วยกระตุกตรงนี้ มัน พ้นตอนที่เรารับปากจะให้ อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด ลุงพุฒ แกตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร ขนาดมาตามเลยนะ ที่ตามก็มีพระอยู่ 2 องค์ อีกองค์หนึ่ง เป็นพระอยุธยาหนุ่ม เลยละองค์นั้น ตอนนั้น ฉันก็อายุสัก 40 กว่าๆ องค์ที่ อยู่อยุธยา ก็อยู่ในเกณฑ์ 30 เศษๆ แต่ไม่รู้ว่า วัดไหน รูปร่างสูงๆ ดำๆ อีกองค์หนึ่ง รูปร่างหน้าตาดี ไม่รู้อยู่วัดไหน เวลาไป ตามก็มี 3 องค์ เลยเล่นกำไรเสียเลย พระพุทธรูป 12 นิ้ว กับคนที่จะไปพรหม ราคามันไม่เท่ากันใช่ไหม เราสร้างพระ 12 นิ้วเดี๋ยวเดียว ไอ้คนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหม มันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ
    คราวนี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่าทำไมท่านจึงเจาะจงมาเอาฉันไปช่วย ถ้าลงได้เป็นแบบนี้ละก้อจะต้องเป็นเครือเดียวกันเป็นพวก เดียวกัน เดินทางแนวเดินกัน อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานาน ตั้งแต่ ตอนบวชอยู่ใหม่ๆ ส่วนอีก 2 องค์ไม่รู้ว่า เขารู้จักกัน มาเมื่อไหร่ แต่ทั้งสององค์นั้น บ้าๆ บวมๆ เหมือนกัน เงินส่วนตัวไม่มี ฉันถามอีกองค์หนึ่ง ที่รูปร่าง หน้าตาดี ๆ บอกว่า อยู่สิงห์บุรี จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจ ถามถึงปฏิปทา เขาก็บอกว่า ผมกับท่าน บ้า ๆ บวมๆ เหมือนกัน สตางค์ไม่เหลือ อาจารย์ ทิม ก็บ้าเหมือนกัน แต่ดันบ้าตายก่อน มันจะลงนรก เราให้ลงไม่ได้ ทีนี้วิธีกระตุ้นๆ นิดเดียว ถ้าบอกว่า อาจารย์ทิม เริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย ใครจะไปเข้าฌานได้ยังไง เขาต้องถามถึงอารมณ์ เดิมนิดเดียว ถามว่าจำอารมณ์หนึ่งได้ไหม เอกัคคตา กับ อุเบกขา
    บอกจำได้เท่านี้ก็พอแล้ว จำได้เป็นฌาน 4 สภาพก็เป็นพรหม ตัวแกก็เป็นพรหมแจ๋ว เลยบอกไปตามอัธยาศัย ข้าจะกลับวัด เดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย ที่เล่าให้ฟังนี่ มันเป็นเรื่อง ของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์ ไอ้พวกที่มีเจตนาโกง ไม่มีทางช่วย เรี่ยไร มา 10 บาท เอาของเขาไปใช้ 9 บาท 90 สตางค์ อีก 10 สตางค์ ก็เอาเข้ากระเป๋าอย่างนี้ ลงอเวจีมหานรก
    ของสงฆ์นี่ แม้แต่กระเบื้องแตก ๆ ก็เก็บไม่ได้ ของที่สงฆ์เขาไม่ใช้ แล้วเห็นว่า มันดีนี่เอาไปบ้านหน่อย อย่างนี้ เอวังตกดัง ตูม อเวจี และก็มีอีกเรื่องหนึ่ง
    ในสมัยของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระวิปัสสีทศพลสมัย พระวิปัสสีนั้น มีพระอยู่ 4 องค์ เวลานั้น ข้าวยาก หมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหาข้าวที่จะกินเข้าไปมัน ไม่พอข้าวส่วนตัวไม่มี ก็มีข้าวสารของสงฆ์ ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้ว ก็มาหุง เลี้ยงเพื่อนคิดในใจว่า ถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่เราก็จะชำระหนี้สงฆ์ คือว่าเราจะใช้หนี้ให้ แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้พระ 4 องค์นั่นก็ตาย ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่า จะชำระหนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ
    ตายแล้วไปไหน ปรากฏว่า ไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรก สิ้นพันปีนรก เมื่อพ้นจาก อเวจีมหานรกแล้ว ก็ตกนรกบริวารผ่านมา 4 ขุมแล้วก็ยมโลกีนรกอีก 10 ขุมมาเป็นเปรต เปรตนี้จัดเป็น 12 ระดับ ระดับที่ 1 ถึงระดับที่ 11 ไม่มีโอกาสจะได้โมทนา บุญของชาวบ้านที่ทำให้ ระดับที่ 12 ที่เรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต ตอนนั้นมีโอกาสในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่ 1 ถึงที่ 11 ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์
    ถามท่านว่า เมื่อไหร่ข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินข้าว กินน้ำเสียที เห็นน้ำเข้าวิ่งไปน้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง เห็นข้าวอยากจะกิน วิ่งเข้าไป ก็ปรากฏว่า เป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก กินไม่ได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อไรพระพุทธ เจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลก ในตอนนี้แหละญาติของเจ้าชื่อว่า พระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศลแล้ว เธอหมดทุกคน ได้รับโมทนา ก็จะพ้นทุกเวทนาเสียที เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน
    จนกระทั่ง เมื่อพระพุทธเจ้า ทรงอุบัติ พระเจ้าพิมพิสารถวาย พระเวฬุวันมหาวิหาร แล้วก็ถวายทาน แก่พระพุทธเจ้า พร้อม ด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เมื่อถวายทานแล้ว ก็ไม่ได้กรวดน้ำ ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้ ตอนนั้นมันเป็นการทำบุญคร้งแรกยังไม่ รู้ว่า ทำบุญแล้วกรวดน้ำกันได้ผล
    เปรตทุกคนที่คอยอยู่ ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา เห็นพระเจ้าพิมพิสารไม่กรวดน้ำให้ ก็เดือดร้อน กลางคืนเข้ามา ในพระราชนิเวศน์ พระเจ้าพิมพิสาร ก็ไม่เห็นตัว เป็นพระโสดาบัน แต่ท่านไม่เห็นตัว ก็เลยร้อง เมื่อร้องขึ้นมา พระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ แปลกใจว่า เสียงอะไรไม่ทราบมาร้องกึกก้อง ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสาร ตกใจในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้าไปถามว่าเมื่อ คืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร มันร้องกรี๊ดกร๊าดๆ ในพระราชฐาน ไม่เคยได้ยิน
    พระพุทธเจ้าก็เล่าความนั้นให้ทราบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เปรตเป็นญาติของพระองค์ต้องการโมทนาบุญ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้ว ไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้ คำว่า อุทิศ แปลว่า เจาะจง นะอุทิศนี่นะ เขาแปลว่า เจาะจงให้เฉพาะ พระเจ้าพิมพิสาร จึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด ไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์ ตอนนี้เมื่อพระพุทธเจ้า ฉัน เสร็จก่อนจะโมทนา พระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ
    ใช้คำว่า อิทังโนญา ตีนังโหตุ แปลเป็นใจความว่า ขอผลทานนี้ จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า เท่านี้นะละ การกรวดน้ำ ครั้งแรกเปรตทั้งหลายเหล่านั้น ตั้งท่าคอยอยู่แล้ว ได้รับโมทนา เมื่อได้โมทนา แล้วร่างกายทิพย์หมด มีความอิ่มเอิบ มีความสวยสดงดงาม ร่างกายเทวดา แต่ว่า เป็นเทวดาชีเปลือย ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีผ้านุ่ง เพราะอะไร เพราะว่า ในสมัย ก่อนเมื่อจะตาย ไม่ได้เคยทำบุญ ถวายผ้าผ่อน ท่อนสไบ ไว้ในพุทธศาสนา เมื่อร่างกายสวย แต่ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีกางเกง นี่มันก็แย่เหมือนกันก็เดือดร้อน ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร แสดงตัวให้ปรากฏ แต่ว่าตอน ยืนน่ะ สงสัยนะว่า จะยืนหันหลังให้ คงไม่ยืนหันหน้าหรอก คงจะอายเหมือนกัน พระเจ้าพิมพิสาร แปลกใจว่า คนอะไรสวยก็สวย แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า
    ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา แต่ไม่เคยถวาย ผ้าไตรจีวรไว้ใน พุทธศาสนา เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน เขาก็มีแต่ร่างกายสวยงามผ้าจึงไม่มี พระเจ้าพิมพิสาร ถามว่า ทำไมเขาจึงจะได้ผ้า ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาจะได้เครื่อง ประดับอันเป็นทิพย์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้นแต่ พอได้เครื่องประดับแล้ว เทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฏแล้วนับตั้งแต่ วันนั้นเป็นต้นมา ก็เลยไม่รบกวนอีก
    นี่เล่าถึง เรื่องของสงฆ์ ให้ฟังนะว่า มีเจตนาขอยืม ยังมีโทษขนาดนี้ แต่ถ้าหากว่า เราไปเอามา โดยไม่ขอยืม มันจะมีโทษ ขนาดไหน
    และอีกเรื่องหนึ่ง กากะเปรต สมัยที่เกิดเป็น กา แย่งข้าวในขันที่เขานำไปจะถวายพระ ข้าวสุกนั้นเขา นำไปยังไม่ถึงพระ ยังไม่ใช่ของสงฆ์ จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้ว กรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้ตายแล้วไปลง อเวจี แล้วถามมาเกิดเป็น เปรต
    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้วทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ
    หลวงพ่อ : "ถ้าอาหารที่พระให้ ต้องเป็นของที่ญาติโยมถวายเฉพาะองค์นั้นไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอาหาร ที่ เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือ เป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระ องค์นั้น เป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์ ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระที่มี ข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ แล้ว ทายกใส่ถ้วยเอาไปบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเอง ยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง
    บางทีกินอาหาร ที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาตแล้ว ไม่มีโทษ (สำหรับญาติโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร) แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉย ๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอ แล้วยกไปเลย พระยังไม่ทันอนุญาต ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยก คนที่กินกับท่าน ลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่า อาหารมาก ไหมถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจจะมีกังวล นำอาหารไปให้ใคร ที่ท่าน มีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจ ก็ต้องถือว่า แย่งอาหารจากพระมีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์
    และ อาหารถวายพระพุทธรูป ก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจี สะดวก สบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไป ถวายพระพุทธรูปนั้น เป็นความดี เพราะเป็น พุทธานุสสติ ด้วย เป็น พุทธบูชา ด้วย แต่อาหารประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะ พระพุทธรูป ไม่ได้ฉัน ท่านจะฉัน หรือไม่ฉัน ก็ตาม อาตมาคิดว่า ทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน หลายวัดหรือส่วนใหญ่ ทายกมักจะเอาอาหารดีๆและมากๆ ไปทุ่มเทถวาย พระพุทธรูป
    เมื่อพระฉันเสร็จแล้วต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก ทายก ทายิกาได้ เฉพาะอาหารที่เหลือเดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเอง เป็น "ลูกศิษย์พระพุทธรูป" แต่ประการ ใด
    รวมความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือ ของในวัดทุกประเภท ที่เขาภวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ ดอกไม้ ผลไม้ ในวัด เศษไม้ที่คิดว่า ทำอะไร ไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่น เล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างจง อย่าคิดว่า ไม่ทำบาป แม้แต่ เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน เว้นไว้แต่ ดอกไม้ ผลไม้ ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัดถ้าท่านเจ้า ของยังอยู่ในเขตวัดนั้น และท่านอนุญาต อย่างนี้เอามาได้ไม่บาปด้วย ท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ ให้ได้ รับมาได้ ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูก ออกไปจากวัดนั้น หรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามา มีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์
    และอีกประการหนึ่ง วัดร้างที่ไม่มีพระอยู่ แต่มีสภาพเป็นวัด ถ้าเราไปนำมานิดเดียว แม้แต่ต้นหญ้าต้นเดียว เขาถือว่า เป็น หนี้สงฆ์ อันนี้อันตรายมาก สมัย หลวงพ่อปาน ท่านก็แนะนำ ให้คนชำระหนี้สงฆ์ บาทสองบาท สลึงสองสลึง บางคน ไม่มี เงิน เอามาทำงานแทน ทำอะไรก็ได้ ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอา ค่าแรง"
    ผู้ถาม : "แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ..?"
    หลวงพ่อ : "เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ฉันไปที่ศรีราชาญาติโยมเขาถามเรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหลายๆชาติมาเราไม่รู้อะไรมาบ้าง ถามว่า จะถามอย่างไร ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอตอบไม่รู้ ก็เห็นพระ ท่านลอยมา ท่านบอก "ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็น เงินเท่าไรก็ไม่พอให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอก"
    พระหน้าตัก 4 ศอก ถือว่า เป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า "พระพุทธรูปนี่ ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้วๆมาถือเป็นการหมดไป"
    ฉันพูดแล้ว ก็กลับมาวัด ต่อมาพวกนั้น ก็ถามใหม่ว่า "สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน" ฉันก็ไม่รู้อีก ซิ ก็นึกถึงท่าน ท่านก็มาใหม่ ท่านก็บอกว่า
    "ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ"
    คำว่า "คณะ" หมายความว่า บุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่า ถ้าสร้างใหม่ เอาอีกนะ สร้างหนี้ใหม่ต่อ เป็นหนี้ใหม่ เหมือน กันนะ
    ผู้ถาม : "ถ้าหากถามว่า เรามีสตางค์น้อย แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ...?
    หลวงพ่อ : ถ้าเรามีสตางค์น้อยๆ ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า ชำระหนี้สงฆ์" คือว่า ไม่ได้จำกัด ทำไปเรื่อย ๆ ให้สบายใจ บาท สองบาทตามกำลังที่จะพึงทำได้ เขาไม่ได้เกณฑ์ว่า จะสร้างพระนี่ เขาถามก็บอก ท่านมาบอก อัตรานี้โละกันเลยนะคือ ไม่ ใช่จะเกณฑ์ให้สร้างพระ เพราะทุนไม่พอใช่ไหม เราก็ทำไปเรื่อย ใจสบาย
    มีสตางค์รับเงินเดือนมาทีทำ 5 บาท ใส่ซองถวายพระบอก "ขอชำระหนี้สงฆ์" ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิดท่านลงนรกเองไม่ต้อง ห่วง ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย
    เงินชำระหนี้สงฆ์ มันมีค่ากว่า เงินสังฆทาน และวิหารทาน
    ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้เป็นส่วนกลางอันตรายกับพระ แต่ช่างท่านเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไปใช่ไหม"
    ผู้ถาม : " ถ้ามีญาติโยม เอาเงินไปถวายพระ แต่พระก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง ให้ญาติโยม ไปออกดอก ออกช่อบ้าง อยาก ทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว จะมีอนิสงฆ์สมบูรณ์แบบ หรือไม่เจ้าคะ...? "
    หลวงพ่อ : "เขาถวายเป็นของสงฆ์ใช่ไหม เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร แต่คนใน วัดเอาไปปลูกบ้าน เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม เขาถวายอานิสงส์ มันได้ตั้งแต่ถวาย มีอานิสงส์ครบถ้วน นั่นเขา ครบ 100 เปอร์เซ็นต์เลยนะ คนอื่น เอาไปใช่ไหม อย่าไปยุงกับเขาเลยนะ
    อานิสงส์ได้ ตั้งแต่เริ่มให้ ยิ่งให้ ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้น เวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม ขณะที่พระรับก็เกิด ธรรมปีติอิ่มใจ อานิสงส์มันเพิ่ม แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษ คนนั้นลงอเวจีแน่"
     
  9. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ไปอ่านที่หลวงพ่อพุฒ วัดป่าสาละวัน ท่านตอบเรื่องกฏแห่งกรรมไว้เป็นเรื่องที่น่าคิดดังนี้ค่ะ ขอขมาและอนุโมทนาค่ะ เจ้ากรรมนายเวรต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คำว่ากรรมนี้คือการกระทำ เราทำกิจกรรมต่อกันทั้งดีและชั่ว ทีนี้ผลซึ่งเกิดจากการกระทำนั้นเรียกว่าวิบาก เราทำอะไรลงไปโดยลำพังที่เราทำผิดพลาดไป มันก็มีผลสำเร็จเป็นกรรม ทีนี้ทำมีคู่กรณีมันก็สำเร็จเป็นกรรม สำหรับผลของกรรมนี้เราทำต่อใครแล้วมันต้องเป็นผลของกรรมอยู่นั่นแหละ มันลบล้างไม่ได้ แต่ถ้ากรรมอันใดเราไปทำกับคู่กรณี คือคู่วิวาทหรือทำดีต่อกันแล้วผูกกรรมผูกเวรกัน เช่นอย่างคำที่เขาว่าทำบุญร่วมกันตักบาตรร่วมขันไปไหนไปกัน เช่นอย่างพระนางมัทรีกับพระเวสสันดร พระพุทธเจ้ากับพระนางพิมพาเนี่ย ก็เป็นคู่กรรมคู่เวรกันมาหลายภพหลายชาติ ดีต่อกันก็เป็นคู่กรรมคู่เวร ทีนี้คู่กรรมคู่เวรที่ดีที่ร่วมสร้างบารมีด้วยกันเกิดมาชาติใดภพใดก็แต่สนับสนุนซึ่งกันและกัน แต่ถ้าหากว่าคู่กรรมคู่เวรซึ่งเป็นคู่วิวาทหรือคู่อาฆาตกันนี้เกิดมาชาติใดภพใดก็มีแต่ตัดรอน พระพุทธเจ้ามีพระนางพิมพาเป็นคู่กรรมคู่เวรในการสร้างบารมี แล้วพระเทวทัตมาเป็นคู่กรรมคู่เวรในทางตัดรอนพระองค์ ทีนี้คู่เวรนี่มันมีตัวมีตนแต่คู่กรรมนี่มันก็หมายถึง การกระทำที่ร่วมกันก็มีตัวตนเหมือนกัน แต่ว่าผลของกรรมซึ่งมันเกิดจากการกระทำ มันไม่มีตัวมีตนแต่มันก็มีผลสนองได้ เวรนี้ก็หมายถึงการพยายบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกันเป็นคู่ๆ เช่นอย่าง นาย ก กับนาย ข ทะเลาะกันแล้วก็ผูกกรรมผูกเวรกัน เช่นอย่างในเรื่องธรรมบทที่เคยแปลมาเรื่องเมียน้อยกับเมียหลวงเศรษฐีกตระกูลหนึ่ง เอาสะใภ้มาสะใภ้มันไม่ให้หลาน ปู่ ย่า ตา ยาย ก็อยากจะมีลูกหลานสืบตระกูล ไปคิดหาภรรยาน้อยมาให้ลูกชาย ทีนี้พอลูกสะใภ้มันรู้เข้ามันก็ไปหามาให้เอง พอภรรยาน้อยมาภรรยาน้อยเขามีลูก ทีนี้ไอ้นางเมียหลวงเกิดคิดว่าเขามีลูก สามีจะรักเขามากกว่าเรา ก็ทำให้แท้มาถึงสามคน ในที่สุดก็ตายทั้งแม่ทั้งลูก พอเสร็จแล้วนางเมียน้อยนี้ก็ผูกกรรมจองมาฆาตจองเวรไว้ เกิดมาชาติใดๆ ให้ฉันได้ฆ่าแกกับลูกไปทุกภพทุกชาติตอนนี้เป็นมนุษย์ ทีนี้พอมนุษย์ทั้งสองคนนี้ตายไป เมียน้อยไปเกิดเป็นแมว เมียหลวงไปเกิดเป็นแม่ไก่ ไก่ไข่ออกมาฟองใดแมวไปกินหมด ในเมื่อกินไขหมดแล้วก็กัดแม่ไก่กิน ก่อนแม่ไก่จะตายแม่ไก่ก็บอกว่า เออ! เกิดมาชาติใดภพใดขอให้ข้าได้กินลูกแกและตัวแกด้วย ทีนี้ภายหลังมา แม่ไก่นี้ไปเกิดเป็นเสือ นางแมวไปเกิดเป็นวัว วัวออกลูกมาตัวใดเสือไปกัดกินหมด ในที่สุดก็กินแม่วัวด้วย ก่อนแม่วัวจะตายก็อาฆาตเอาไว้ว่าเกิดมาชาติใดภพใด ขอให้ข้าได้กินลูกแกกับตัวแก ทีนี้ภายหลังมานี่นางเสือมาเกิดเป็นคน นางวัวไปเกิดเป็นยักษิณี ทีนี้คนเมื่อออกลูกมาเมื่อไรนางยักษิณีมากินหมด จนกระทั่งถึงคนที่สาม คนที่สามนี้สองสามีภรรยาอุ้มลูกไปที่สระอโนดาต หน้าวัดพระเชตวันไปอาบน้ำแล้วก็จะไปตั้งชื่อลูก ในขณะที่ภรรยาอาบน้ำเสร็จแล้ว ก็ขึ้นมาอุ้มลูกเอาไว้ สามีก็ลงไปอาบน้ำในสระนางยักษิณีก็มา นางก็ร้องขึ้นมา นางยักษิณีมาแล้วนางยักษิณีก็มาทุบตี นางไม่มีทางออกก็วิ่งไปหาพระพุทธเจ้า อุ้มลูกเข้าไปหาพระพุทธเจ้า นางยักษิณีก็ไล่ตามไป พอไปถึงซุ้มประตู เทวดาอยู่ซุ้มประตูบันดาลให้นางยักษ์ตัวแข็งเดินไปไม่ได้ พระพุทธเจ้ามองเห็นก็กวักมือเรียกนางยักษิณีจงเข้ามาเถิด ทีนี้พอนางยักษิณีเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงเทศน์ให้ฟังว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร พวกเจ้านี้เป็นกรรมเป็นเวรกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว ต่อไปนี้เลิกจองกรรมจองเวรกันซะ พระพุทธเจ้าให้นางยักษิณีสมาทานศีลห้า ทีนี้พอนางยักษิณีสมาทานศีลห้าแล้วก็ร้องไห้ร้องห่ม ข้าพระองค์จับสัตว์เป็นๆ กินเป็นอาหาร เมื่อรักษาศีลแล้วจะได้อาหารที่ไหนรับทาน พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ลำบากไม่ต้องตกใจ ฉันจะให้เพื่อนเธอเอาไปเลี้ยง ขอให้นางมนุษย์นี้เอานางยักษ์มาเลี้ยงไว้ที่บ้าน ทีนี้พอเลี้ยงไว้ที่บ้านก็ได้ปลูกกระท่อมให้อยู่หลังสวน พอถึงเวลาทำไร่ทำนา ปีไหนฝนแล้งน้ำน้อย นางยักษิณีก็บอกเจ้าของบ้านให้ไปทำนาในที่ลุ่ม ปีไหนน้ำจะท่วมก็ให้ทำนาในที่ดอน ครอบครัวนี้ก็มั่งคั่งสมบูรณ์ขึ้น ชาวบ้านทั้งหลายมารู้เรื่องรู้ราวกัน ก็เอาข้าวปลาอาหารส่งนางยักษิณี บางคนก็ปลูกกระท่อมไว้ที่บ้านเชิญนางยักษิณีไปอยู่ กรรมเวรมันก็เลยหมดกันแค่นี้ พระพุทธเจ้าท่านก็เทศน์ว่า ถ้าพวกเธอไม่มาพบพระพุทธเจ้าเช่นเราตถาคตนี้ พวกเธอจะจองเวรกันไม่รู้จักจบจักสิ้น


    ..............................................................................
     
  10. KENZO

    KENZO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +1,146
    Hi!!! How are you!
     
  11. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สวัสดี สบายดีนะจ๊ะคุณพุคเค็น หายหน้าหายตาไปเสียนาน คิดว่าลืมแก๊งค๋ยายผีป่าเสียแล้ว

    ยายยังเพลียกับการขับรถตะลอนสามวันเต็มๆ มือเดี๋ยว เกือบไปทำเรื่องทางจราจรหลายที่ทีเดียวค่ะ

    อยู่นอกเหรอจ๊ะตอนนี้ ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอจ๊ะ


    ยายตะลอนทำบุญมาจ๊ะ

    เอาบุญมาให้อนุโมทนานะจ๊ะ
     
  12. KENZO

    KENZO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +1,146
    Now! I stay in Miami,Florida. (bb-flower
     
  13. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    โหย...เล่นเดินสายไปรอบโลกอย่างนี้ กลับมาเมืองไทยไม่นานก็ไปอีก รู้แล้วล่ะว่าทำกรรมอะไรมา

    ขอให้คุณพุคเค็นเจริญ รุ่งเรือง สุขภาพดี มีโชค มีชัย นะคะ
     
  14. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,982
    สวัสดีครับทุกคน

    ผมอยากจะโพสต์มากกว่านี้

    แต่ผม ขี้เกียจ !! ครับ แหะๆ
     
  15. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    เฮ๊ย!!! คำอ้น บ่นไม่ได้นา มาบ่นว่า อยาก แต่ขี้เกียจ

    อยากเป็นพระพุทธเจ้า

    แต่ขี้เกียจ

    พระพุทธเจ้าขี้เกียจไม่ได้นะจ๊ะสิบอกให้
     
  16. Supernova

    Supernova เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +2,488
    เคยปวดหัวเหมือนกัน ก็แผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรแต่ต้องให้ด้วยจิตที่เมตตาด้วยนะครับ เคยลองแล้วก็หายเลยครับ
    มีเพื่อนเป็นไมเกรนชอบปวดหัวเวลาเครียดจากการทำงานหรือเรื่องเรียน ผมก็ให้เพื่อนแผ่เมตตานะ และตอนนี้ก็ไปนั่งสมาธิกับทางยุวพุทธ ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วครับ
    คนสมัยนี้เป็นโรคเกี่ยวกับปวดหัวกันเยอะแหะ ใช้สมองกันเปลืองจริงๆ เรียน อนุบาล 3 ปี ประถม 6 ปี มัธยม 6 ปี เรียนมหาลัยเอาปริญญาไว้ประดับบารมีก็ปาไปเกือบ 10 ปี แถมจบมาทำงานทำการสร้างความเครียดอย่างสนุกสนานจิงๆ จนกว่าอายุ 55-60 ปี ถึงจะเลิก
    อย่าผมก็เป็นไซนัสอ่ะ ทรมานดีตอนอากาศเปลี่ยน ปวดหัวมากๆเหมือนกัน
     
  17. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ใครบอกว่าเคยอยากเป็นพระพุทธเจ้า

    ไม่มีหรอก !!

    แต่ถ้ามีก็ช่างปะไร

    เออ ไอ้ที่ว่าขี้เกียจๆเนี่ย ก็แค่พักผ่อนอ่ะยาย แต่ว่าไม่เคยหยุด และพร้อมละเลงต่อด้วยความอยากมากๆ
     
  18. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ช่วงนี้ปัญหาบ้านเมือง ปัญหาเศรษฐกิจโลก มันกระทบถึงทุกๆ ครัวเรือนเลยใช่ไหม

    เดี๋ยวมาเล่าค่ะว่า

    ทำอย่างไร

    จึงอยู่ได้ แบบไม่เครียด!!!
     
  19. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ความรักหนอความรัก!!!คือเป็นจั๋งซี๊หนอ


    ใกล้ถึงวันแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่อีกวันแล้วค่ะ วันแม่แห่งชาติ ๑๒ สิงหาคม งัยคะ


    ความรักของแม่ของพ่อนั้นยิ่งใหญ่มากๆ ค่ะ เป็นความรักที่บริสุทธิ์จริงๆค่ะ (หากพ่อและแม่รู้เต็มใจและพร้อมที่จะเป็นพ่อคนแม่คน)


    ลูกๆ พูดตามตรงนะคะว่า ยังไม่สามารถรักพ่อรักแม่ได้มากมายสุดใจนักนะคะ ไม่งั้นจะมีเรื่องมาให้เล่าเหรอคะ


    ตอนเราเรียกร้องสิ่งของจากพ่อแม่ แล้วท่านไม่สามารถให้ได้ดั่งใจ บางครั้งได้รับการสอนแต่ลูกๆ กลับมองว่าพ่อแม่ด่าว่าไปเสียนี่
    ลูกๆ ยิ่งวัยกำลังผลิบาน(หวานฉ่ำ)ยิ่งบอกยากบอกเย็น เอะอะอะไรก็ โหย...พ่อแม่ไม่รักเราเลย ไม่เข้าใจเราเลย พยายามสร้าง
    เรื่องป้อนโปรแกรมทีล่ะนิดทีล่ะหน่อยให้สมองตัวเองว่า ครัยๆก้อม่ายรักเราเลย !!! เครี๊ยดเครียดๆๆๆๆๆ โอ๊ยยยยยย...
    นี่เป็นสิ่งที่เราคิดไปตามจิตที่เราไม่ได้รับการมองให้กระจ่าง จิตที่ขาดสติ จิตที่เป็นนายเรา เราไม่ได้เป็นนายจิต เออออห่อหมกกับจิต
    ไปเลย จนเลยเถิด กว่าจะมีจิตสำนึกย้อนมาคิดใหม่ ทำใหม่ ได้ โน่น!...นั่งร้องไห้หน้าภาพพ่อภาพแม่ตอนท่านไม่เหลือร่างแระ
    ความรักความห่วงใยของผู้ที่ได้เป้นพ่อคนแม่คนนั้น บางทีมันเป็นดาบสองคนเช่นกันค่ะ ดังนั้นการเลี้ยงดูลูกหลานนะคะ ต้องเลี้ยง
    อย่างมีสติ และมีปัญญา มีเหตุมีผลที่ลงตัว ที่เหมาะกับครอบครัวและสภาวะแวดล้อมด้วย
    อย่างรักลูกมาก กลัวลูกลำบาก ลูกอยากได้อะไรได้หมด มันเป็นการตามใจลูกจนลูกไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งของที่ได้รับ ไม่ได้รู้ถึงว่า
    พ่อแม่ท่านกว่าจะหาสิ่งต่างๆมาตามใจเราได้นั้นมันลำบากไหม ต่อให้รวยล้นฟ้าก็ไม่ควรตามใจค่ะ ต้องสอนลูกด้วยตัวเราเป็นแบบ
    เอาความรู้สึก เอาความเป็นจริงสอนกันและกันค่ะ บ่อยครั้งเลยค่ะที่ลูกยายผีป่าสอนพ่อกับแม่ แล้วเรารู้เลยว่า เขาคิดเป็น!!!
    ไม่ใช่เอะอะ พ่อกับแม่มองว่าลูกเหลวไหล คิดไม่ได้เท่าเรา เด็กหรือจะมารู้เท่าผู้ใหญ่ การกระทำของพ่อแม่ควรเป็นปกติ(ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย)
    ลูกๆ เขาจะได้มีแบบอย่างที่ดี ไม่ใช่เอะอะว่า นี่ลูกไปไหนมาดึกดื่น ลูกทำไมไม่คุยกับพ่อกับแม่บ้าง เออ...แล้วพ่อไปไหนมาล่ะ กลับเช้าเชียว
    เออ...แล้วหนูจะคุยกับใคร พอจะคุยอะไร ไม่ว่าง ไม่สะดวก เฮ้อ!!!วัยรุ่นเซ็งๆๆๆ
    อ้าว...พอวัยรุ่นเซ็ง เขาไปหาสิ่งที่ขาด ไประบายที่ไหนล่ะ ที่บ้านมันพร่อง ไปข้างนอกดีกว่า ไปร้องเพลงถามหาความรักจากข้างนอก
    (นี่บางคนรักจนล้นแต่มันเหมือนจำเจ เลยมองข้ามไป หาปมด้อยที่เด่นให้ตัวเอง อย่างนี้เรียกว่าวัยโรคจิตถามหา)
    รักนะคะ เป็นรักที่มี รัก โลภ โกรธ หลง มาเจือปน มันก่อสุขได้เพียงชั่วขณะจ๊ะ ไม่จีรังเน้อขอบอก พอรักหลงทาง อ้าว...ตีโพยตีพายโทษสาระพัด
    บางคนมาโทษยายผีป่าอีกจ๊ะ เป็นเพราะมัวแต่ตามยายนี่ล่ะ แฟนทิ้งเลย หรือแฟนเปี๋ยนปั๋ย แง้...
    ไปมุดน้ำช้อนตายดีกว่า ไปติดยา ไปมั่วรักดีกว่า ประชดชีวิตไปเลย มิดีจ้ามิดี คิดใหม่ ทำใหม่สิจ๊ะ คิดดีๆ มีสติจ้า
    เวลาน้อยอกน้อยใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรนะคะ เรามาลองทำอย่างนี้กันดีไหมจ๊ะ
    อันดับแรกเลย ร้องไห้ให้มันพอ ยายชอบร้องไห้ในมุมเงียบๆ ของตัวเอง ร้องเป็นวันไปเลย ข้าวปลาไม่ต้องกินต้องเกินมันล่ะ
    ตอนที่ร้องอยากคิดอยากเพ้อเจ้ออะไร ทำไปเลย แต่ขอให้บอกตัวเองว่า อย่าขาดสติจนคิดฆ่าตัวตาย อย่าหนีออกจากบ้าน(ยกเว้นบ้านเป็นนรก)
    ยายจะลุกขึ้นไปดูกระจกนะ ไปดูสาระรูปตัวเองตอนที่ระทมใจร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด ยายไม่ค่อยร้องไห้เรื่องความรักกับแฟนค่ะ ยายมักร้องไห้เรื่อง
    ทุกข์ของครอบครัวตอนเป็นเด็กจนเป็นสาวรุ่น คือเรื่องพ่อกับแม่นี่ล่ะค่ะ พ่อแม่ยายขี้เมาทั้งคู่ค่ะ เมาหัวราน้ำ มันหนักใจตรงนี้ค่ะ

    ยายก็จะออกไปหาที่สงบของตัวเองค่ะ ที่สงบของยายส่วนมาก เดินไปตามทางทุ่งนาค่ะ ไปตามวัดตามวา แต่ไปวัดยายไม่เคยเอาเรื่องกลุ้มใจไประบายนะคะ
    ไปช่วยงานวัด ไปทำอย่างอื่น ช่วงที่เราทำอย่างอื่นไป เรากพิจารณาความทุกข์ใจของตัวเองไป อย่างเดินผ่านหมาแม่ลูกอ่อนกำลังมีลูกๆมานัวเนียดูดนม
    เออ...หมามันเป็ฯหมาข้างถนน ผอมโซ มันยังไม่ทิ้งลูกมัน ลูกหมามันยังไม่กัดกัน มันรู้นะว่าเต้าไหนของตัวไหน ยายจับตามอง เราเป็นคนทำไมเราถึงมอง
    ว่าพ่อแม่เราไม่ใช่พ่อแม่ที่ดีพอ เราอยากเป็นลูกมหาเศรษฐีน่ะเหรอ เราเป็ฯไม่ได้ เราหลอกตัวเองไม่ได้ เราต้องยอมรับความจริง เราต้องเรียนรู้ที่จะรักและเห็นค่า
    ของความจริง โดยเฉพาะรักตัวเองที่สุด แล้วมองให้กว้างๆ เป็นรัศมีไป มองไปว่าใครกันที่ทนเลี้ยงเรา ยายเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง
    เขาเป็นคนรวยมากในจังหวัดครอบครัวหนึ่ง ยายเห็นลูกชายบ้านนั้นนั่งหน้างอในสนามหญ้าบ้านเขา ยายเลยปีนต้นปลิงข้างกำแพงบ้านเขาไปชะเง้อถามเขาว่า
    ตัวเองร้องไห้ทำไม
    เขาตอบว่า ...พ่อไม่เข้าใจเรา แม่กับพ่อก็ออกแต่งานสังคม เราขอไปด้วยก็ไม่ยอมให้ไป
    ยายเห็นรถไฟของเล่นชุดแพงของเขา เขาไม่สนใจแกะมาเล่นเลย มันอยู่ในกล่อง โอ๊ย...เราชอบ เราอยากได้อย่างเขาบ้าง
    เราคิดในใจว่า ไอ้เด็กคนนี้โง่...ถ้าเป็นฉันๆ ไม่สนใจไปงานกับพ่อแม่หรอก ฉันนั่งเล่นรถไฟสนุกที่บ้านคนเดียวดีกว่า ว่าแล้วยายก็บอกเขาว่า
    ตัวเองให้เราเข้าไปเล่นเป็นเพื่อนได้ไหม...
    เขาบอกว่า ไม่ได้!!! พ่อแม่ไม่ให้คบเด็กจรจัด
    ยายก็มองสาระรูปตัวเอง ...
    แล้วถามเขาไปว่า
    ทำไมตัวเองมองว่าเราเป็นเด็กจรจัดล่ะ ?
    ก็มองดูสิ ดำก็ดำ เสื้อผ้าก็สกปรก ขี้มูกก็เต็มหน้าเลย (ตอนนั้นเรียนมอต้นแล้วนะ)
    เราก็เลยก้มดูอีกครั้ง เออ...อย่างนี้นี่เอง เราต้องยอมรับ เราจะไปโกหกตัวเองหรือโกหกเขาไม่ได้ว่า เราเป็นลูกผู้ดี เหมือนในละครน้ำเน่า
    แต่ความจริงใจที่ยายผีป่ามีให้ลูกเศรษฐีคนนี้ เราเลยคบกันมาจนทุกวันนี้ค่ะ (อิอิ...แม้จะกลายเป็นอดีตไปแย้วจ้า)
    ยายเลยอยากจะบอกว่า ไม่มีใครพอใจในสิ่งที่ได้รับเสมอไปหรอกค่ะ ทุกอย่างมีทั้งข้อดีปนกับข้อเสียค่ะ พอยายมาเรียนศิลปะ
    ทำให้ยายเข้าใจว่า ต้องมีการผสมสีตรงกันข้ามไปบ้าง เพื่อให้สีมันดูสมดุลย์ อย่างถ้าจะทาสีแดง ยายจะเอาพู่กันแต้มสีเขียวนิดๆ
    ก่อนไปละเลงผสมกับสีแดงที่มากกว่า มันเป็นการปรับให้เรารู้ว่า เราหนีความจริงไม่พ้น มีขาวต้องมีกำ มีสุข ต้องมีทุกข์
    ถ้าเรายอมรับมันได้ มันก็จะไม่เกิดปัญหาคาใจ
    การหาทางออกเมื่อผิดหวังด้วยการโทษไปทั่ว มันมิใช่ทางออกที่ดี ยิ่งทำร้ายตัวเอง ไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม มันเป็นเรื่องคนบ้าขาดสติ
    การฆ่าตัวเองนี่อย่าคิดเลย แต่ยุคนี้มันเหลืออดจริงๆ มันหาทางออกที่ดีกว่าไม่ได้ ตายประชดเลยดีกว่า การตายแบบโง่ๆ ตายไปลำบากมากส์
    อย่างตอนยายแยกทางกับแฟนที่คิดว่า คงไม่มีวันแยกจากกันได้นั้น เพราะทุกอย่างลงตัวหมด แม้ฐานะเราจะต่างกัน เราฝ่าตรงนั้นมาได้
    สุดท้ายเราต้องแยกกันด้วยดี ก็ให้เราคิดเสียว่า เราทำบุญมาด้วยกันเท่านี้ เราไม่ได้เป็นผัวเมียกัน เราก็เป็นมิตรกันได้นี่คะ
    ไม่ใช่ว่าแยกกันแล้ว ต้องแช่งชักหักกระดูกกัน ไม่คบหากันอีก ถ้าไม่คบกันก็ปล่อยวางเสีย อย่าเอามาตอกย้ำ เก็บภาพความทรงจำดีๆไว้
    แล้วมองไปข้างหน้า...บอกตังเองว่า มีสิ่งดีๆ อีกมากมาย รอคอยให้ฉันได้เรียนรู้ ได้พบเจอ ฉันพร้อมลุยแย้ว...เย้!!!
    ก็เตือนย้ำตัวเองนะคะว่า หารักแท้ สุขแท้ในโลกนี้ ไม่มีจริงจัง ทุกอย่างเหมือนภาพฝัน ผ่านแล้วอย่าใส่ใจ รักแท้นั้นคือรักตัวเอง
    ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ แม้กระทั่งการรักตัวเองมากไป ยังทุกข์ค่ะ เพราะรักแบบไม่เข้าใจว่าจะรักตัวเองรักยังงัยหว่า
    ก็รักอย่างไม่ทำให้เราทุกข์บ่อยๆ งัยค๊า...เช่นยายรู้ว่าเกิดมามีความสวยเป็นสมบัติอันล้ำค่า ยายก็ต้องรู้จักค่าตัวเอง รักตัวเองเป็น
    ไม่ใช่รักตัวเองด้วยการเอาตัวเองไปให้คนนั้นคนนี้ทำให้ร้องไห้ นี่เขาเรียกว่า โง่แล้วยังอวดฉลาด คนสวยโง่ๆ เยอะไปค่ะ

    รักแบบอุปทานเสวยค่ะ ชอบจอง จับ ยึด!!! ไม่ว่าจะรักลูก รักแฟน รักเพื่อน หากรักอย่างมีสติ อย่าทำการครอบครองเป็นของส่วนบุคคลค่ะ
    พวก จอง จับ ยึด นี่ เจ็บมามากแร้วจ้า ปล่อยๆ บ้างเถอะจ๊ะ ดูอย่างยายผีป่าสิค๊า บอกไปทั่วว่าอยากปล่อยผัวเป็นทาน อย่างพระเวสสันดรบ้าง
    โถ...ยิ่งปล่อยยิ่งเกาะหนึบจ้า ...ประเภทคุมเช้าคุมเย็นนี่ มันแหกคอกไปแยะแระ แต่ไม่รู้เป็นไรนะคะ พวกแหกคอกนี่มัน
    เป็นแฟชั่นจริงๆ เนียนมั๊กๆ ไม่ว่าลูก หรือแฟน หน้าตาเนียนจริงๆค๊า จับไม่ได้คาหนังคาเขา บอกตรงๆ เลยว่า เราดูไม่ออกเจงๆ
    หัดเอาใจใส่เขามาใส่ใจเรา เลี้ยงดู ห่วงตัวได้ แต่บังคับใจใครไม่ได้ หากเราไม่ใส่ใจด้วยใจที่เข้าใจค่ะ
    เอาล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอาการน้อยอกน้อยใจพ่อแม่ ครอบครัว คนรัก ให้เรามีสติค่ะ
    ไปล้างหน้าล้างตาเสียเถิดนะคะ อย่าร้องไห้นาน เดี๋ยวตาบวม ไม่น่ารักน๊า
    $$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$
     
  20. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ทำอย่างไร...ถ้าพ่อแม่ติดอบายมุข ลูกทุกข์ใจ อยากให้พ่อแม่เลิกเสียทีมันไม่ดีใช่ไหม

    ค่ะ...ก่อนที่ยายจะต้องขับรถกลับไปรับน้องๆ เยาวชนที่มาอบรมที่องค์การบริหารส่วนตำบล หินดาด ยายขอทิ้งท้ายด้วยเรื่องนี้นะคะ

    เพราะยายผีป่าเคยมีพ่อที่ติดเหล้าหัวราน้ำ แม่ตอนแรกๆ แม่ก็ไม่ติดค่ะ แต่พอเห็นพ่อเมา แม่ก็เครียด!

    เพื่อนๆ แม่ลองให้แม่หัดจิบ จิบไปจิบมานะคะ พ่อกับแม่เลยกลายเป็นคู่ที่ห่างกันไม่ได้ค่ะ เมาด้วยกัน ล้มพับที่เดียวกัน นอนข้างทางใต้ต้นไม้ รอลูกๆ เอารถเข็นไปลากมาทุ๊กทีค่ะ เป็นรายวันด้วยค่ะ เป็นจนลูกๆ เครียดตาม

    พี่ชายก็เลยเครียดที่พ่อแม่เมา พี่ก็เมาตาม
    ยายคนกลางค่ะ เบื่อมากๆ ก็ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร เรายังไม่มีภูมิรู้พอที่จะแก้ไขได้ น้องสาวตอนนั้นก็ยังเล็กค่ะ เขายังดีค่ะ ตามพ่อตามแม่แจ ยายเริ่มเป็นสาวแล้ว อายเป็นค่ะ อายมากๆ ที่โดนคนเรียกว่า

    ใช่ลูกสาวผัวเมียขี้เมานั่นไหม

    ยายเคยกราบเท้าขอร้องพ่อแม่นะคะ เคยบอกว่า พ่อกับแม่อายหมาไหม พ่อลองเอาเหล้าให้หมากินดูสิ มันจะกินไหม

    พ่อกลับมาบอกว่า เรื่องของพ่อ พวก***มีหน้าที่เรียน พ่อแม่หาเงินให้เรียน เรียนไป อย่ามายุ่งเรื่องพ่อแม่

    ยายก็เลยบอกว่า เรียนแบบเครียดๆ นี่มันจะทำให้ลูกๆ มีกำลังใจเรียนดีได้ยังงัยล่ะ

    การเถียงหรือการตำหนิพ่อแม่นะคะ ลูกๆ มิสมควรค่ะ จริงอยู่วัยรุ่นสมัยนี้ยึดอารมณ์ตนเป็นสิ่งถูกเสมอ และการเลี้ยงดูลูกๆ ของพ่อแม่ที่ขาดศีลธรรมแม้พร่องบางข้อ ก็ถือว่าเป็นข้อบกพร่องที่น่ากังวลค่ะ ลูกไม่มีหลักยึดที่ดี ฐานทางความอบอุ่น ฐานทางความรู้จริง ผิดไป มันก็เอียงใช่ไหมคะ

    ทำอย่างไรหนอ ยายคิดในใจ ที่จะทำให้พ่อกับแม่เลิกเหล้าแล้วมีสุขภาพดีขึ้น พาไปหาหมอพระ หมอน้ำมนต์เพื่ออดเหล้าก็แล้วค่ะ

    พอกินเหล้าก็จนหนัก พอจนหนักก็กู้ยืมขา เขาไม่ให้ยืมบ่อยๆ หรอกนะคะ เพราะเห็นว่าเจ้านายบ่นว่าทำงานอย่างนี้ต้องโดนตัดเงินเดือน โดนไล่ออก ก็เมาทำงาน น่าระอาค่ะ พอทีนี้พ่อกับแม่ก็หาเงินทางลัดค่ะ ข้ออ้างหาเพื่อเลี้ยงลูก แต่พอได้เงินมา ลงขวดหมดค่ะ

    การหาเงินทางลัดคือเปิดบ่อน

    เราค้านไม่ได้ ทนกันไป พี่ชายชอบค่ะ ด้เลือดทางนี้ น้องสาวก็เช่นกัน

    พอคนมาบ้านเราเยอะๆ ส่วนมากเป็นพวกผู้ชาย พอเห็นเรากำลังแตกเนื้อสาว มันก็ลวนลามทางสายตา และวาจาจ๊ะ บางคนหน้ามึน ทำทีอ็นดูเราต่อหน้าพ่อแม่เรา เรียกเราไปลูบไปกอดไปหอม เราระวังตัว ก็หาว่าเราไม่เคารพผู้ใหญ่!!!

    การผิดศีลเพียงขอเดียว การขาดการยับยั้งช่างใจนะคะ มันส่งผลเสียไม่ใช่เพียงคนๆ นั้นเท่านั้นนะคะ

    มันส่งเป็นสายโยงสัมพันธ์เลยเชียวค่ะ

    พ่อมาเลิกเล่าตอนที่ยายบอกพ่อว่า ถ้าพ่อยังเมาอย่างนี้ ลูกคงไม่อยู่บ้าน เพราะลูกไม่มีสมาธิในการเรียน ยายก็ออกจากบ้านไปพักวัดบ้าง บ้านญาติบ้าง บ้านเพื่อนบ้าง จนพ่อไปตามและบอกว่า พ่อเลิกทีล่ะนิด และไม่เล่นการพนันอีก แต่สายไปเสียแล้วค่ะ พ่อเห็นโทษของสิ่งที่ท่านทำไปตามใจตัวเอง เมื่อท่านป่วยและรอวันตายค่ะ ท่านตายเพราะเหล้าและบุหรี่ มะเร็งค่ะ

    แม่ก็ยังไม่เห็นโทษ คือติด ยายต้องทนมากๆ จนสุดท้าย บอกแม่ว่า

    แม่ถ้ายังเป็นอย่างนี้นะคะ แม่ป่วยพวกหนูจะไม่สนใจ แล้วแม่ก็อย่ามาใกล้ลูกๆ พวกหนูนะ หนูไม่ต้องการให้ลูกๆ หนูเห็นยายขี้เมา เขาจะคิดอย่างไร ที่ใครๆ เรียกลูกๆ หนูว่า

    ใช่หลานยายแดงขี้เมาไหม

    แม่ก็เลิกค่ะ ตอนนี้อ้วนมากๆ และป่วยจากผลของการติดสารพิษอย่างเหล้ามาหลายสิบปี

    ยายบอกกับแม่ว่า การที่แม่เลิกตอนแก่ มันไม่สายนะแม่

    อย่างน้อยนะแม่ เราได้ไปวัดด้วยกันในสภาพที่แม่ไม่ต้องโดนลากโดนหามใส่โลงไป
    และหลานๆ ลูกๆ ได้กอดได้หอมคุณยายแดงอย่างชื่นใจเต็มปอด ไม่ใช่กลัวเหม็นเหล้า กลัวยายตี

    การทำให้พ่อแม่เห็นดีได้นั้นเป็นอานิสสงส์ค่ะ ลูกๆ ต้องเรียนรู้คำว่าอดทนค่ะ

    เหมือนกับที่พ่อแม่หลายๆ ท่านก็อดทนเลี้ยงลูก ดัดนิสสัยลูกเช่นเดียวกันค่ะ

    หากเรามีฐษนของศีล ๕ เป็นนิสสัยในการครองตน ในการอบรมคนในบ้าน รับรองค่ะว่าถ้าทำได้ทุกๆ บ้าน

    เราจะมีแต่รัก สามัคคีค่ะ

    อย่าด่าทอพ่อแม่ อย่าคิดว่าที่พ่อแม่ทำไปนั้นไม่อยากเคารพนับถือท่านในฐานะพ่อแม่ต่อไป

    การตัดสินใจของพ่อแม่เราบางอย่างนะคะ บางทีเราคิดว่าเรารู้ดีกว่า เราโตแล้ว เราเตือนพ่อแม่ แต่พ่อแม่ยังรั้นไม่เชื่อคำแนะนำของเรา เราก็หงุดหงิด

    อดทนค่ะ มองให้กระจ่าง

    ขอตัวกลับก่อนนะคะ

    แล้วหากมีโอกาสจะมาใหม่จ๊ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...