เพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 17 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    โอวาทท่านแม่
    ” ลูกทุกคน อย่ารื่นเริงจนเกินไป จงอย่าทำจิตใจหดหู่เมื่อกฎของกรรมมาถึง เราจะต้องต่อสู้เพื่อหักล้างในการเกิด เราจะไม่เกิดต่อไป ขอให้ทุกคนจงรักษากำลังใจ ทรงไว้ซึ่งความดีตามกำลังของจิต ความดีใดที่องค์พระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแนะนำไว้แล้ว ขอลูกทุกคนจงนำไปประพฤติปฏิบัติ รักษากำลังใจไว้เพื่อพระนิพพาน โดยเฉพาะไฟร้ายที่จะไหม้กำลังใจของเรา คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ จงอย่ามีในจิตของลูก ”
    __________________________
    ที่มาจาก..หนังสือ เสียงเพลงเป็นธรรม หน้า ๓๙ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี..รวบรวมจัดทำโดยคุณแม่ ปาริชาติ แสงหิรัญ

    10347185_706218212823258_435716394463473623_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    “ท้อแท้ทำความดี..ต้อง.แก้ได้อย่างไร “จาก…หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม….
    ผู้ถาม..:-” หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยากจะทำความเพียรเพื่อทำความดี แต่บางครั้งก็มีอารมณ์ท้อแท้จะทำอย่างไรดีคะ.?”
    หลวงพ่อ..:-” ถ้าท้อแท้ต่อความเพียรก็แสดงว่าขี้เกียจ คนที่มีความเพียรคือคนขยัน ความเพียร เพียรต่อสู้กับความชั่ว เพื่อหวังให้มีผลในความดี เป็นเรื่องธรรมดาของคน ไอ้การต่อสู้ความขยันหมั่นเพียร มันจะมีทุกเวลาไม่ได้นะ ในบางครั้งกรรมที่เป็นอกุศลเดิม มันเข้ามาครอบงำจิต เวลานั้นจะตัดความดีของเราให้รู้สึกท้อแท้ไม่กล้าต่อสู้…เบื่อ! ”
    ” พอกุศลเข้ามาสนองปั๊บ กุศลเตะไอ้นั่นออกไปนี่ขยันแล้วสร้างความดี ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกันทุกคน หนักเข้าๆ กุศลมีกำลังแรงก็เตะได้นั่นกระเด็นออกไป ”
    ” พอถึงพระโสดาบันปั๊บ อกุศลยังเข้ามาได้ แต่เข้าก็เข้าแรงไม่ได้ ถ้าถึงพระโสดาบันอกุศลเข้าแรงไม่ได้ มันจะสร้างความขุ่นมัวบ้าง แต่จะถึงทำบาปไม่ได้ คำว่า “ขุ่นมัว” อาจจะต้องโกรธ ใช่ไหม…พระโสดาบันยังมีโกรธ พระโสดาบันยังมีความรักในระหว่างเพศ พระโสดาบันยังมีความอยากร่ำรวย แต่เรื่องละเมิดศีลไม่มี ”
    ” แต่มีอารมณ์ที่แจ่มใสจริง ๆ คือพระอรหันต์ ถ้ายังไม่ถึงพระอรหันต์เพียงใด ก็ยังเตะกันใหม่ แต่ว่า เตะเบา ๆ ”
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    ________________________________________
    จาก หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๑๐ หน้า ๑๐๙ – ๑๑๐ โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี ..,จัดทำโดยเจ้าหน้าที่คณะธัมมวิโมกข์วัดท่าซุง อุทัยธานี..สมัครสมาชิกนิตยสารรายปี ราย ๖ เดือนส่งฟรี (๑ปี ๑๒ เล่ม = ๓๖๐ บาท, ๖เดือน ๖ เล่ม = ๑๘๐ บาท)ส่งตั๋วแลกเงินหรือธนาณัติ สั่งจ่าย ปท.อุทัยธานี ในนาม พระครูภาวนาธรรมนิเทศก์( อาจินต์ ธัมมจิตโต ) สำนักงานธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี ๖๑๐๐๐
    โทร..(๐๕๖) ๕๐๒ ๕๐๗ .., ๐๘๔ ๖๑๖ ๙๑๖๔

    11427019_706221429489603_307300641579205705_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ปูชโก ลภเต ปูชํ ผู้ทำการบูชา ย่อมได้รับการบูชา
    ขุมทองวัดท่าซุง
    “หลวงพ่อ” เล่าให้ฟังหลายวาระว่า อาคารแทบทุกหลังในวัด ปลูกคร่อมขุมสมบัติเอาไว้ สมบัติเหล่านี้เป็นทองคำธรรมชาติบ้าง ทองคำแท่งบ้าง ทองรูปพรรณ และบรรดาแก้วแหวนเงินทองต่าง ๆ บ้าง…
    ขุมทรัพย์เหล่านี้มีเทวดาคอยรักษา โดยทั่วไปมักมีกำหนดว่า จะอยู่ตรงจุดนั้น ๆ เป็นเวลากี่ปี พอครบตามเวลา เทวดาก็จะพาย้ายหนีไปที่อื่น เรียกว่าทรัพย์เคลื่อนที่ เรื่องนี้ต้องถาม นายดาบตระกูล เปาริก แกเห็นทรัพย์เคลื่อนไปอยู่ใต้อาคาร จุดเดิมเป็นช่องขนาดโอ่งมังกร ลึกถึงไหนก็ประมาณไม่ได้…
    บรรดาแก้วแหวนเงินทองตามจุดต่าง ๆ ของประเทศ ถูกเทวดานำเคลื่อนเข้ามาภายในวัดเป็นจำนวนมาก ถ้าจะให้ประเมินคงเป็นพัน ๆ ตัน ที่อาตมาทราบแน่ ๆ คือขุมทรัพย์ที่ เขาพลอง จังหวัดชัยนาท และสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิที่ทะเลซับ(มักเขียนเป็นทะเลทรัพย์) จังหวัดชุมพร ถูกเคลื่อนมาอยู่ในวัดแน่นอน…
    แก้วแหวนเงินทองที่เขาพลองจำนวนก็เป็นตัน ๆ อยู่แล้ว ส่วนสมบัติจักรพรรดินั้นเป็นทองคำแท่งขนาดโตกว่าเสาซีแพ็คซะอีก แต่ละแท่งยาวเป็นเมตร นับไม่ถูกว่ากี่หมื่นกี่แสนแท่ง แค่สองแห่งก็เหลือคณาแล้ว
    แต่บรรดาเทวดาเขายังไม่พอ เฝ้าทรัพย์อยู่จะไปไหนก็ไม่ได้ เลยขนมาฝากวัดกันยกใหญ่ จนกระทั่ง “หลวงพ่อ” ต้องรีบสร้างกำแพงรอบที่ธุดงค์ร้อยกว่าไร่ เพื่อป้องกันคนขโมยขุดสมบัติ…
    ความจริงใครขุดเทวดาก็เอาตายอยู่แล้ว แต่ด้วยความเมตตาผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หรือป้องกันคนโลภจะเอาชีวิตมาทิ้งซะเปล่า ๆ “หลวงพ่อ” จึงต้องเสียเงินเป็นล้าน สร้างกำแพงล้อมไว้ซะเลย…
    อาตมาเป็นคนเชื่อยาก ดังนั้น เวลาสอนมโนมยิทธิให้เด็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง มี อ๊อด กุ๊ก เก๋ เพ็ญ เป็นต้น จึงพาเขาไปดูสมบัติเป็นพยานไว้ว่ามีจริงแน่ ๆ เด็ก ๆ ตื่นเต้นกันใหญ่ที่เห็นสมบัติจำนวนมหาศาลเหลือคณานับ…
    ยัง…เท่านั้นยังไม่สะใจ อยู่มาวันหนึ่ง “หลวงพ่อ” มีบัญชาให้สร้างเพิงให้เป็นที่หลบร้อนของสุนัขหกสิบกว่าตัวของท่าน บรรดาช่างจำเป็นมี พ ร ะ ส วั ส ดิ์ พ ร ะ สุ ธ น พ ร ะ สั ม ฤ ท ธิ์ (สามองค์นี้ลาสิกขาหมดแล้ว) พระชลอ และอาตมา ช่วยกันกะแปลน ขุดหลุมเป็นใหญ่…
    เสาคอนกรีตที่มีอยู่ยาว ๔ เมตร กะจะให้เพิงสูงสองเมตรครึ่ง ต้องฝังเสาลงดินเมตรครึ่ง จึงช่วยกันขุดหลุมก่อนอื่น พอจวนได้ ระดับเมตรครึ่งก็มีน้ำเจิ่งขึ้นมา ดินเริ่มเป็นทราย พอตักทรายจอบแรก ขึ้นมานั่นเอง…
    ประกายเหลืองอร่ามสะท้อนแสงอาทิตย์พราวระยับจับตา โอ้โฮ…ทองทั้งนั้นเลย…! ตักใหม่ก็ทองอีกนั่นแหละ เป็นทองธรรมชาติเม็ดละเอียดยิบ อาตมาและเพื่อน ๆ มองตากันอยู่ไปมา “นี่ถ้าเป็นฆราวาสละก้อ…เสร็จผมแน่…” อาตมาบอก…
    ตกลงขุดหลุมเดียว เอาเสาลงแล้วกลบ เสาที่เหลือใช้วิธีตัดให้สั้นแทน ขืนขุดต่ออาจมีเรื่องยุ่ง ขนาดนั้นก็ตาม อาตมาและพระทุกองค์ถูกเท้าลึกลับ ถีบร่วงลงจากเสาลงมาออกหัวออกก้อยกันครบครัน คนปากเสียคืออาตมา ได้แผลใต้ฝ่าเท้าเพิ่มมมากกว่าคนอื่น แผลเบ้อเร่อ ต้องเดินตะแคงเท้าบิณฑบาตเป็นอาทิตย์ ๆ ปวดจะตายชัก สมน้ำหน้าตัวเองอยากปากหมาดีนัก…!
    ๘ เมษายน ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    บันทึกเพิ่มเติม หลวงน้าสัมฤทธิ์มาบวชใหม่ ส่วนพระชลอคือ หลวงตาชลอ วิมโล วัดศาลพันท้ายนรสิงห์
    ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙
    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ที่มาจาก หนังสือ กระโถนข้างธรรมมาสโดยพระอาจาย์เล็ก สุธัมมะ ปัญโญ

    11393264_706223966156016_5525963289192735840_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ทุกครั้งที่พ่อทำการบันทึกเสียง ขณะที่พ่อพูด พ่อเหนื่อยมาก เพราะตรากตรำงานมาทั้งวัน เวลาที่พ่อพูด ใจก็ยังสั่นระริก ร่างกายก็ยังงง เกือบจะทรงตัวไม่ไหว และพ่อก็เกรงว่า ร่างกายของพ่อมันจะทนต่อการใช้งานไม่ไหว อาจจะต้องจากลูกไปวันใดวันหนึ่งก็ได้ เรื่องของชีวิตและก็เรื่องของขันธ์ 5 ขอลูกรักของพ่อจงอย่าสนใจกับมันมากนัก เพราะว่าร่างกายมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้าเราไปยุ่งคิดว่ามันเป็นเรา เป็นของเราอยู่ตลอดเวลา มันก็จะเป็นทุกขัง คือ อารมณ์ใจจะเป็นทุกข์ แต่อย่าลืมว่า ในที่สุดมันก็เป็นอนัตตา คือ ตายไปในที่สุด ความแก่ของพ่อเป็นตำราที่ดีของลูก ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนในขันธ์ 5 ของพ่อ ก็เป็นตำราที่ดีของลูก และก็ในที่สุด พ่อถูกด่า ถูกว่า ถูกนินทา ถูกตำหนิ ถูกโจมตี ก็เป็นตำราที่ดีของลูก ขอลูกรักทั้งหลายจงอย่าสนใจกับคำนินทา และสรรเสริญ
    ลูกรักของพ่อทุกคนจงจำไว้ ถ้าร่างกายมันยังมีอยู่ จงอย่าปรารภว่าตนเป็นคนดี เพราะว่าสิ่งที่เราเกาะอยู่นี่มันเลว คือ ขันธ์ 5 ได้แก่ ร่างกายมันทั้งสกปรก มันทั้งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลง มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีการตายไปในที่สุด ร่างกายมันเป็นส่วนรับทุกขเวทนา
    ฉะนั้น ขอลูกรักทุกคนจงอย่าสนใจ กับร่างกายของตนเองและของบุคคลอื่น คำว่าไม่สนใจหมายความว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็เลี้ยงดูมันไปตามสภาพ มันหิวก็ให้มันกิน มันร้อนก็หาของเย็นให้ มันหนาวก็หาของอุ่นให้ และก็จงบอกกับมันว่า เอ็งตายคราวนี้ ฉันเลิกคบเอ็งละนะ ทั้งนี้ เพราะเอ็งไม่ดีเลย เอ็งมันเลวมาก ประคับประคองเท่าไร เอ็งก็ไม่ตามใจข้า ถ้าภาษาไทยชัดๆ ก็พูดว่า เมื่อมึงไม่ตามใจกู กูก็ไม่คบมึงอีกต่อไป
    จากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ) ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง หน้าที่ 228

    11430107_706278319483914_4777111016113825937_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงตอบปัญหาธรรม
    “ หลวงพ่อครับ เพื่อนของผมเวลานั่งสมาธิแล้วมีอาการเหมือนตัวใหญ่หนาขึ้น และตัวจะเอนลงไปข้างหลัง จะแนะนำให้เขาปฏิบัติอย่างไรต่อไปครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “ ก็ต้องขอแนะนำว่า เวลาปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น อาการทางกายมันจะเกิดขึ้นอย่างไร ก็อย่าไปสนใจ เพราะเป็นอาการของจิตที่จะเข้าถึงอุปจารสมาธินี่ ต้องเข้าถึงปีติก่อน
    ปีติ แปลว่า ความอิ่มใจ แบ่งเป็น ๕ ขั้น
    ขั้นที่ ๑ ขนลุกขนชัน ขนพองสยองเกล้า เวลาทำไปบางทีขนลุกซู่ซ่า
    ขั้นที่ ๒ น้ำตาไหล
    ขั้นที่ ๓ ร่างกายโยกโคลง
    ขั้นที่ ๔ มีอาการสั่นเทิ้มเหมือนกับปลุกพระ หรือว่าตัวลอยขึ้นบนอากาศ
    ขั้นที่ ๕ มีอาการซาบซ่าน ถ้ามีขนาดถึงที่สุด จะมีความรู้สึกว่าตัวไม่มี มีแต่หน้า
    รวมความว่าอาการ ๕ อย่างๆใดอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดขึ้นก็ต้องปล่อยมัน เรารักษากำลังใจของเราให้เป็นสุขก็แล้วกัน อาการอย่างนั้นมันเกิดขึ้นก็จริง แต่ใจมันจะทรงสมาธิ นั่งสบายๆ มีอารมณ์เป็นสุข เป็นอาการของปีติ ในเมื่อสมาธิมันสูงขึ้นมันก็ผ่าน อาการอย่างนั้นมันก็หายไป ”
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    ___________________________________________
    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๖๙ – ๗๐ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี…จัดทำโดยคณะธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง อุทัยธานี.

    11401026_706486689463077_7496292644097150678_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ” การเมตตาอยากให้เขาดีมากเกินไป จนเราเดือดร้อนเองก็ไม่ควร ต้องอุเบกขาเสียบ้าง ใช้ปัญญาคิดให้รู้จัก ทำและรู้จักวางเฉยเสียบ้าง แต่ละคนมีกรรมมีทิศทางของตน เขาต้องเต็มใจทำความดีเองด้วย จึงจะมีผล
    จงภูมิใจที่มีโอกาสสร้างคุณงามความดีนานาประการ เช่นงานธรรมะ งานสาธารณะประโยชน์ การสงเคราะห์คน โดยมีพ่อของเราเป็นต้นแบบมาช้านาน ซึ่งคนอื่นไม่มีโอกาสเช่นนี้ เพราะต้องมีกำลังใจสูงมากจึงทำได้ ”
    โอวาททานแม่ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    ____________________________________________
    จากหนังสือ เสียงเพลงเป็นธรรม หน้า ๓๙- ๔๐ โดยถอดจากเทปธัมมะของหลวงพ่อ(พระมหาวีระ ถาวโร)พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี..,รวบรวมจัดพิมพ์โดยคุณแม่ปาริชาติ แสงหิรัญ

    11423933_706960589415687_5399897092562945373_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อเล่าให้ฟัง พระนารายณ์กับพระพิคฆเนตร
    ” สักประมาณ ๑๐ ปีมาแล้ว คืนหนึ่งมันว่าง คือไม่ได้ว่างมาก เขาเจริญกรรมฐานแบบนี้ละนะ พอเลิกแล้วประมาณ ๔ ทุ่มกว่า ๆ เวลาไปพักมันก็ยังไม่หลับ ๖ ทุ่ม หรือตี ๒ เป็นธรรมดา ถ้าอยู่ถึง ๖ ทุ่มต้องอยู่ถึงตี ๒ ถ้าขืนหลับ ๖ ทุ่มอาจจะเลยเวลา เพราะเจริญ พระกรรมฐานตอนตี ๒ ถึงเวลาว่าง ก็เที่ยวไป เที่ยวมา เที่ยวมาเที่ยวไป ตามเรื่องตามราวใช่ไหม ก็ไปนึกถึงพระนารายณ์ได้ นึกนารายณ์อยู่ชั้นไหน แล้วเทวดาไหนเป็นนารายณ์ เข้าไปหาในกามาวจรทั้งหมด ไม่พบพระนารายณ์ ถามแต่ละชื่อไม่มีนารายณ์เลย ไอ้ความโง่ของฉันนะ……
    ก็ย่องไปพรหมอีก ถามพระนารายณ์ที่พรหมไม่ได้ กลับมาหาโยม ถามโยม พระนารายณ์ที่พราหมณ์ตั้งชื่อให้ มีตัวจริงไหม ท่านบอกว่าตั้งฉันเป็นเทวดาไม่เคยมีเลย โยมท่านเป็นเทวดา ๒ รอบ พระอินทร์ ๒ รอบนะ เมื่อสมัยพระพุทธเจ้า
    ทรงพระชนม์อยู่ หมดอายุไปทีแล้วฟังเทศน์ แล้วจุติเป็นพระอินทร์ใหม่ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าพระอินทร์หนุ่ม ท่านอยู่ถึง ๒ รอบ ยังไม่รู้จักพระนารายณ์
    ไล่ไปไล่มาถาม
    ” ถ้าเขาบนพระนารายณ์ เทวดาองค์ไหนรับ..?”
    ท่านบอกว่า ” มี ก็ มเหสักขา อย่างไรล่ะ ” มเหสัก แปลว่า มีฤทธิ์มาก ”
    ” ท่าน พิคฆเนตร ชื่อ ปิยสิขะ ” เพึ่งบอกเดี๋ยวนี้ละนะ มีสิทธิ์ในความรัก แม้แต่เขาให้หัวเป็นช้างยังชอบเลย..”
    ผู้ถาม : ” อย่างนี้เราก็บนได้ซิ ”
    หลวงพ่อ : ” ถ้าจะบนท่านนะ ตอนให้พร บอกให้หมูต้ม ชิ้นหนึ่ง ไม่ต้องโต กับข้าวปากหม้อ เท่านั้นนะ “…
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    _________________________________________________
    จากหนังสือโอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๕ หน้า ๑๕๒โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี.,,รวบรวมจัดพิมพ์โดย ศจ.ดร.ปริญญา นุตาลัย

    17767_707456849366061_4874953846475435219_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ความมุ่งหมายในการเจริญสมาธิ โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
    การเจริญสมาธิมีความมุ่งหมายดังนี้คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระพุทธประสงค์เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ มีการเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน เป็นต้น ถ้าจะเกิดก็ต้องการให้เกิดเ
    ป็นมนุษย์ชั้นดี มีรูปสวย เสียงไพเราะ มีโรคน้อย มีอายุยืนยาวนานถึงอายุขัย มีทรัพย์สมบัติมาก มีความสุขเพราะทรัพย์สิน และทรัพย์สินไม่ถูกทำลายเพราะโจร ไฟ น้ำ ลม
    มีคนในปกครองดีไม่ฝ่าฝืนคำสั่ง มีเสียงไพเราะ ผู้ที่ฟังเสียงไม่อิ่มไม่เบื่อในการฟัง พูดเป็นเงินเป็นทอง รวยเพราะเสียง ไม่มีโรคประสาท หรือโรคบ้ารบกวน มีหวังพระนิพพานเป็นที่ไปแน่นอน หรือมิฉะนั้นเมื่อยังไปนิพพานไม่ได้ ไปเกิดเป็นพรหมหรือเทวดาก่อนแล้วต่อไปนิพพาน แต่ความประสงค์ของพระพุทธองค์ มีพระพุทธประสงค์ให้ไปพระนิพพานโดยตรง
    เกิดดี ไม่มีอบายภูมิ เมื่อยังต้องเกิด ก็เกิดดี ไม่มีการไปอบายภูมิ ท่านให้ปฏิบัติดังนี้ เราเป็นนักสมาธิคือมีอารมณ์มั่นคง ถ้ามุ่งแต่สมาธิธรรมดาที่นั่งหลับตาปฏิบัติ ความดีไม่ทรงตัวได้นาน ต่อไปอาจจะสลายตัวได้ มีมากแล้วที่ทำได้แล้วก็เสื่อมและก็เสื่อมประเภทเอาตัวไม่รอด คือสมาธิหายไปเลย ตัวอย่างในอดีตเช่น พระเทวทัต ขนาดได้อภิญญายังเสื่อมแล้วก็ลงอเวจี ในปัจจุบันนี้ที่ได้แล้วเสื่อมก็มีมาก เพื่อเป็นการป้องกันการเสื่อมและเป็นผู้มีหวังในการเกิดที่ดีแน่นอนท่านให้ ทำดังนี้
    คิดว่าชีวิตนี้ต้องตายแน่แต่เราไม่ทราบวันตาย ให้คิดตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า “เธอทั้งหลายจงอย่าคิดว่าวันตายจะเข้ามาถึงเราในวันพรุ่งนี้ ให้คิดว่าอาจจะตายวันนี้ก็ได้” เมื่อคิดถึงความตายแล้วไม่ใช่ทำใจห่อเหี่ยว คิดเตรียมตัวว่าเราตายเราจะไปไหน จงตัดสินใจว่าเราต้องการนิพพาน ถ้าไปนิพพานไม่ได้ขอไปพักที่พรหมหรือสวรรค์ ถ้าต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์จะต้องไม่ลงอบายภูมิ
    แล้วพยายามรักษากำลังใจให้ทรงตัวในความดีที่เป็นที่พึ่ง เพื่อให้เราเข้าถึงได้แน่นอนตามที่เราต้องการ คือยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ โดยปฏิบัติในพุทธานุสสติ ตามที่แนะนำมาแล้วอย่าให้ขาด เคารพในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยใจนึกถึงความตายอย่างไม่ประมาท ทรงอารมณ์ไว้ใน อานาปานุสสติกรรมฐาน และกรรมฐานข้ออื่น ๆ ที่ทำได้แล้วเป็นปกติ อย่าให้กรรมฐานนั้น ๆ เลือนหายจากใจในยามที่ว่างจากการงาน เวลาทำงานใจอยู่ที่งาน เวลาว่างงานใจอยู่ที่กรรมฐาน ยอมรับนับถือพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามพระธรรมของพระพุทธเจ้า ที่พระสงฆ์นำมาแนะนำเลือกปฏิบัติตามที่พอจะทำได้
    ข้อต่อไป ปฏิบัติและทรงกำลังใจใน ศีลและกรรมบถ ๑๐ อย่างเคร่งครัด ไม่ยอมละเมิดศีลและกรรมบถ ๑๐ อย่างเด็ดขาด เว้นไว้แต่ทำไปเพราะเผลอไม่ตั้งใจ สำหรับศีลควบกรรมบถ ๑๐ ท่านให้ปฏิบัติดังนี้
    อันดับแรก จงมีความเข้าใจว่าการปฏิบัติคือการใช้อารมณ์ให้เป็นสมาธิ หมายถึงว่าจำได้เสมอไม่ลืมว่า ศีล และ กรรมบถ ๑๐ มีอะไรบ้าง เมื่อจำได้แล้วก็พยายามเว้นไม่ละเมิดอย่างเด็ดขาด ใหม่ ๆ อาจจะมีการพลั้งเผลอละเมิดไปบ้างเป็นของธรรมดา เมื่อชินคือชำนาญที่เรียกว่าจิตเป็นฌาน คือปฏิบัติระวังจนชิน จนกระทั่งไม่ต้องระวังก็ไม่ละเมิด อย่างนี้ท่านเรียกว่า เป็นฌานในศีล และกรรมบถ ๑๐ ประการ ผลที่ทำได้ก็มีผลในขั้นต้นก็คือไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ชั้นดีตามที่กล่าวมาแล้ว ผลของศีลและกรรมบถ ๑๐ มีดังนี้
    ๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์และทรมานสัตว์ให้ได้รับความลำบากตลอดชีวิต เว้นอย่างนี้ได้ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ใหม่จะเป็นคนมีรูปสวยมาก ไม่มีโรคเบียดเบียน อายุยืนยาวครบอายุขัย ตายใหม่ไม่ต้องลงอบายภูมิต่อไป จนกว่าจะเข้านิพพาน
    ๒. เว้นการถือเอาทรัพย์สินที่คนอื่นไม่เต็มใจให้ หรือขโมยของเขาตลอดชีวิต และมีการให้ทานตามปกติเว้นตามนี้ได้และให้ทานเสมอตามแต่จะให้ได้ ถ้ายังไม่มีพอจะให้ได้ก็คิดว่าถ้าเรามีทรัพย์เราจะให้เพื่อเป็นการสงเคราะห์ อย่างนี้ถ้าตายไปจากชาตินี้ ก็ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม หมดบุญจากเทวดาหรือพรหมมาเกิดเป็นคนจะเป็นคนร่ำรวยมาก มีความปรารถนาในทรัพย์สมหวังทุกอย่าง ทรัพย์ไม่ถูกทำลายเพราะโจร ไฟ น้ำ ลม และจะรวยตลอดชาติ
    ๓. เว้นจากการทำชู้ ลูกเขา ผัวเขา เมียเขา ตลอดชีวิต เว้นอย่างนี้ได้ตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมแล้วลงมาเกิดเป็นคนจะมีคนในปกครองดีทุกคน จะไม่หนักใจเพราะคนในปกครองเลย
    ๔. เว้นจากการพูดปด
    ๕. เว้นจากการพูดหยาบ
    ๖. เว้นจากการพูดยุให้ชาวบ้านแตกร้าวกัน เว้นจากการพูดวาจาที่ไม่เป็นประโยชน์ตลอดชีวิต เว้นอย่างนี้ได้ หลังจากเป็นเทวดาหรือพรหมแล้วมาเกิดเป็นคน จะเป็นคนที่มีวาจาเป็นที่รักของผู้รับฟัง ไม่มีใครอิ่มหรือเบื่อในการฟัง ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านท่านเรียกว่ามีวาจาเป็นมหาเสน่ห์ หรือมีเสียงเป็นทิพย์ คนชอบฟังเสียงที่พูด การงานทุกอย่างจะสำเร็จเพราะเสียง ทรัพย์สินต่างๆ จะเกิดขึ้นเพราะเสียง ถ้าพูดโดยย่อก็ต้องพูดว่ารวยเพราะเสียงหรือเสียงมหาเศรษฐีนั่นเอง
    ๗. เว้นจากการดื่มน้ำเมาที่ทำให้เสียสติทุกประการตลอดชีวิต เว้นได้ตามนี้ เมื่อเกิดเป็นคนใหม่ จะไม่้มีโรคปวดศีรษะ ไม่เป็นโรคประสาท ไม่มีโรคบ้ามารบกวน เป็นคนมีมันสมองดีปลอดโปร่งในอารมณ์ เป็นคนฉลาดมาก
    ๘. เว้นจากการคิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นเอามาเป็นของตน ข้อนี้ไม่ได้ขโมยและไม่คิดว่าจะขโมยด้วย เป็นการคุมอารมณ์ใจ
    ๙. ไม่คิดประทุษร้ายจองเวรจองกรรมจองล้างจองผลาญใคร มีจิตเมตตาคือความรักในคนและสัตว์เหมือนรักตัวเอง
    ๑๐. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสั่งสอนทุกประการ ไม่สงสัยในคำสอนและผลของการที่ปฏิบัติตามคำสอนแล้วมีผลความสุขปรากฏขึ้น ผลของการเว้นในข้อ ๘,๙,๑๐ นี้เมื่อเกิดใหม่จะเป็นคนมีอารมณ์สงบสุข ไม่มีความทุกข์ทางใจอย่างใดอย่างหนึ่งเลย และเป็นผลที่ทำให้เข้าถึงพระนิพพานง่ายที่สุด
    เมื่อท่านเว้นตามนี้ได้ การเว้นควรเว้นแบบนักเจริญสมาธิ คือมีอารมณ์รู้เพื่อเว้นตลอดเวลา เมื่อเว้นจนชิน จนไม่ต้องระวังก็ไม่ละเมิด อย่างนี้ถือว่าท่านมีฌานในศีลและกรรมบถ ๑๐ ประการท่านเรียกว่า เป็นผู้ทรงฌานใน สีลานุสสติกรรมฐาน
    อานิสงส์ที่ได้แน่นอน อานิสงส์คือผลของการปฏิบัติได้ครบถ้วนและทรงอารมณ์คือไม่ละเมิดต่อไป ท่านบอกว่าเมื่อตายจากความเป็นคนชาตินี้ไม่มีคำว่าตกนรก เป็นต้น ต่อไปอีก ในระยะแรกก่อนปฏิบัติท่านจะมีบาปหนักหรือมากขนาดใดก็ตาม บาปนั้นหมดโอกาสลงโทษท่านตลอดไปทุกชาติจนกว่าท่านจะเข้าพระนิพพาน
    เมื่อไรจะไปนิพพาน
    ในเมื่อท่านปฏิบัติได้ตามนี้ครบถ้วนแล้ว จะไปนิพพานเมื่อไรท่านตรัสไว้ดังนี้คือ
    ๑. ถ้ามีอารมณ์เข้มข้นคือบารมีเข้มแข็ง บารมีคือกำลังใจ มีกำลังใจมั่นคงปฏิบัติแบบเอาจริงไม่เลิกถอนหรือย่อหย่อน แต่ไม่ทำจนเครียด เอาแค่นึกได้เต็มใจทำจริง อยู่ในเกณฑ์อารมณ์เป็นสุข อย่างนี้ท่านบอกว่าตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมลงมาเกิดเป็น มนุษย์ชาติเดียว ในชาตินั้นเองเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานในชาตินั้น
    ๒. ถ้ามีบารมี คือกำลังใจปานกลาง ทำไปไม่ละแต่การทำนั้นอ่อนบ้างเข้มแข็งบ้าง อย่างนี้เกิดเป็นมนุษย์อีกสามชาติไปนิพพาน
    ๓. ประเภทกำลังใจอ่อนแอ ทำได้ครบจริง แต่ระยะการกระตือรือล้นมีน้อย ปล่อยประเภทช่างเถอะตามเดิม ฉันรักษาได้ไม่ขาดก็แล้วกัน อย่างนี้ท่านว่ามาเกิดเป็นมนุษย์อีกเจ็ดชาติไปนิพพาน
    รวมความแล้วประเภทแข็งเปรี๊ยะไปนิพพานเร็ว ประเภทแข็งบ้างอ่อนบ้างไปนิพพานช้านิดหนึ่ง ประเภทอ่อนไม่ค่อยจะแข็ง แต่ไม่ยอมทิ้งความดีที่ปฏิบัติได้ เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง อย่างนี้ถึงช้านิดหนึ่ง แต่ก็ต้องถือว่าเป็นผู้มีโชคดีเหมือนกันหมด คืองดโทษบาปที่ทำมาแล้วทั้งหมด มีกำลังเข้าพระนิพพานแน่นอน ถ้ายังไปนิพพานไม่ได้แต่เมื่อมาเกิดเป็นคน ก็เป็นคนพิเศษ มีรูปสวยรวยทรัพย์เป็นต้น ตายจากคนก็เป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ต้องถือว่าโชคดีมาก เป็นอันว่า กรรมฐานปฏิบัติด้วยตนเองแบบง่ายๆ แต่ไปถึงนิพพานได้ ก็ยุติกันเพียงเท่านี้
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    _____________________________________
    จาก : หนังสือวิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่าย ๆ หน้า ๓๒ – ๓๘ โดย พระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ. อุทัยธา

    11401360_707823442662735_7805047303124926065_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    “..ปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า ปัญญา จงเป็นผู้มีความรอบรู้อยู่เสมอ จงใช้ปัญญาพิจารณาอารมณ์จิตว่า เวลานี้อารมณ์จิตของเรายังมีความผูกพันอยู่กับร่างกายหรือเปล่า ยังเห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเราหรือเปล่า หรือว่าเราไปพอใจร่างกายของบุคคลอื่นเขาหรือเปล่า ถ้าอารมณ์อย่างนี้มีอยู่ก็แสดงว่าเราเลวเกินไป
    สำหรับในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้ว ไม่ฟัง ไม่ปฏิบัติตาม เป็นอันว่าสัญชาติของเราก็ไม่น่าจะเป็นสัญชาติมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์มีสัญชาติคือมีอารมณ์ใจสูง ถ้าเราไม่เชื่อฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหุ้มห่อร่างกายด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ก็แสดงว่าเราเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานประเภทเลว เพราะว่าสัตว์ประเภทนั้นมันยังไม่เอาผ้าเหลืองไปหุ้มกายมัน มันเป็นการหลอกลวงชาวบ้าน นี่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาตัวของตัวให้ดี กระจกไม่มีก็ไปดูนํ้าใสๆ ชะโงกดูเงาว่าสภาวะรูปร่างของเรา แม้แต่ความเป็นอยู่ของเรามันเหมือนชาวบ้านเขาหรือเปล่า
    ปัญญาต้องใช้จุดนี้นะ พิจารณาอัตภาพร่างกายนี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา หรือว่าด้วยขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่มันไม่ใช่เรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา แล้วปัญญาก็พิจารณาต่อไปว่า เวลานี้เราสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาหรือเปล่า ถ้าสงสัยใช้ปัญญาแก้ซะให้ชัดว่า พระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ที่ทรงสอนน่ะ มันจริงหรือไม่จริง พระพุทธเจ้าโง่หรือว่าเราโง่ ใช้ปัญญานะอย่าใช้สัญญา
    แล้วปัญญาก็มาพิจารณาศีลที่เราจะพึงรักษาตามสภาวะของตัว ถ้าพระก็มีสิกขาบท ๒๒๗ รวมทั้ง อภิสมาจาร ด้วยเป็น ๓๐๐ เศษ สามเณรก็มีศีล ๑๐ สิกขาบท แล้วก็มี เสขิยวัตร อีก ๗๕ รวมเป็น ๘๕ สิกขาบท สำหรับอุบาสกอุบาสิกาก็มีศีล ๕ ศีล ๘ ตามอัธยาศัยที่พึงจะทำได้ ใช้ปัญญาใคร่ครวญพิจารณาศีลของเราให้เป็นปกติ อย่าให้มันด่างมันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้บกพร่อง ถ้ามีปัญญาซะอย่างเดียว ไม่มีอะไรยาก
    แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่า ร่างกายของคน ร่างกายของสัตว์ที่เรียกกันว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เอาร่างกายคนก็แล้วกัน คนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี มันสกปรกหรือสะอาดให้พิจารณาใน “กายคตานุสสติ” และ “อสุภกรรมฐาน” หาความจริงในร่างกายของคนและสัตว์ แม้แต่ของเราให้ได้ว่ามันมีอะไรน่ารักตรงไหน มันมีอะไรยืนยงคงทนตรงไหน มันมีสภาวะทรงตัวหรือว่ามันสลายตัวไปในที่สุด ต้องเอาชนะอารมณ์นี้ให้ได้นะ จะไปติดอยู่ในตัวรักไม่ได้ ต้องเป็นตัวคลายความรัก
    แล้วก็พิจารณาอารมณ์ที่เราโกรธ อารมณ์ที่กระทบกระทั่งคือ ปฏิฆะ อารมณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งสร้างความไม่พอใจ มันเป็นเพราะอะไรจึงไม่พอใจในบุคคลอื่น ที่เขากล่าวอย่างนั้น ที่เขาทำอย่างนั้น เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาดูว่าที่เราไม่พอใจ ที่เราโกรธเขา ที่เราเกลียดเขา คิดอาฆาตมาดร้ายเขาเพราะเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียวใครจะว่าอะไรมันก็ไม่หนัก
    ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า
    “นินทาและสรรเสริญนี่ของธรรมดาของโลก เขาสรรเสริญเราว่าดี ถ้าเราเลวมันก็ไม่ดีไปตามคำเขาพูด เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราดีเราก็ไม่เลวไปตามคำเขาพูด”
    ดูที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูก พระนางมาคัณฑิยา จ้างคนด่า ไปบิณฑบาตเขาก็ตามไปด่า ไปเทศน์ที่ไหนก็ตามไปด่า ไปอยู่พักผ่อนที่ไหนก็ตามไปด่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเฉย ไม่เคยสะดุ้งสะเทือน ต่อมา ท่านสัญชัยปริพาชก ท่านก็นั่งด่า นั่งด่าเฉยๆ ไม่พอ ก็ด่าฝากคนอื่นไปให้พระพุทธเจ้าทราบด้วย พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงหนักใจ
    ต่อมาอีกพวกหนึ่งก็ได้แก่ สุปิยปริพาชก นั่งด่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดคืนยันรุ่ง พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงหนักใจ พระองค์ก็ทรงเฉย ไม่เดือดร้อน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระองค์ดีเสียแล้ว
    ฉะนั้น ในฐานะที่เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ไอ้เรื่องที่ใครเขาจะทำดีเขาจะทำชั่วนะ จะไปนั่งโกรธเขาเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าไม่ถูกใจเราก็แสดงว่าใจของเรามันยังเลว มันยังมีกิเลส อาการที่เขาทำมาที่เขาพูดมาจึงเป็นที่ไม่ถูกใจจึงโกรธ แล้วไอ้ความโกรธมันตัวกิเลสคือ อารมณ์ของความชั่ว จงสังหารความชั่วอันนี้เสียด้วยอำนาจ “พรหมวิหาร ๔” และ “สักกายทิฏฐิ” ร่วมกัน
    ทีนี้ในข้อต่อไปก็ใช้ปัญญาพิจารณาใน รูปฌาน และ อรูปฌาน ว่ารูปฌานและอรูปฌานทั้ง ๒ ประการนี้ เป็นกำลังของจิตที่จะดึงปัญญาเป็นสะพาน ให้ปัญญาเข้าประหัตประหารกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานเท่านั้น ไม่ใช่ดีอยู่แค่นี้
    แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า ไอ้การที่เราจะถือตัว ถือตน ถือเรา ถือเขา ถือพวก ถือพ้อง ถือหมู่ ถือคณะ ว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา มันไม่มีประโยชน์ คนเกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน ไม่ควรจะเอาอะไรเข้าไปเปรียบเทียบ ให้เป็นการแข่งกันและกัน หรือว่าถ่อมเกินไปอะไรพวกนี้ไม่ควรคิด คิดว่าทุกคนเกิดมาก็แก่เหมือนกัน ป่วยเหมือนกัน ตายเหมือนกัน รักสุขเหมือนกัน เกลียดทุกข์เหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกันได้แบบสหาย จะเสมอไม่เสมอ จะดีกว่า จะสูงกว่า จะตํ่ากว่า ฉันไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าฉันเป็นมิตรที่ดีของท่านเท่านี้พอ
    อุทธัจจะ ใช้ปัญญาเข้าควบคุมกำลังใจว่าอารมณ์ใดที่จะเกิดขึ้นนั้น เราไม่ต้องการ เรามุ่งเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว
    อวิชชา ใช้ปัญญาเข้าจำแนกแจกลงไปว่า อวิชชา ตัวเกาะ เกาะในอารมณ์ที่เป็น “อนุสัย” ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝันท้อแท้อยู่เลย คิดว่าถ้าเราเป็นอนาคามี ราก็มีความสบายไม่ควรทะเยอทะยานมากเกินไปให้มันเหนื่อย ก็ใช้ปัญญาสอนมันว่า ถ้าสิ่งใดก็ตามถ้าเรายังไม่เสร็จกิจ เราก็ต้องทำต่อไป ไหนๆ เมื่อเวลามันมีก็ทำลายให้มันพินาศไป ให้มันหมดกิจไปเสีย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหมด อย่าให้ปรากฏว่ามีในจิต
    ปัญญาตัวนี้ องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรกล่าวว่า เป็นผู้เข้ามีความเข้าใจใน “อริยสัจ ๔” เห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ป่วยเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ มีกินเป็นทุกข์ ไม่มีกินก็เป็นทุกข์ โลกนี้มันเป็นทุกข์ไปหมด ที่มันจะทุกข์ก็เพราะว่าอาศัยตัณหาความทะยานอยาก เราจะตัดตัณหาความทะยานอยากได้ก็เพราะอาศัย
    (๑) มีศีลบริสุทธิ์
    (๒) มีอารมณ์สมาธิตั้งมั่น
    (๓) มีปัญญาพิจารณา
    มีความเข้าใจว่าขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือว่าที่เราเรียกว่ากายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เมื่อจิตใจของเราวางขันธ์ ๕ เสียได้เมื่อไร ก็ชื่อว่าเราเข้าถึง “อริยสัจ” เมื่อนั้น จัดว่าเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงคือ “พระอรหันต์” นี่เราว่ากันถึงปัญญา..” —

    11416218_707909465987466_6480633338128149768_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เวลานี้ลูกรักของพ่อกำลังรบ กับสงครามสำคัญ คือ กิเลส สงครามภายนอกน่ะมันเรื่องเล็ก สงครามกิเลสมีความสำคัญมาก เจตนาของพ่อก็มีอยู่ว่า ความเกิดมันเป็นทุกข์ ลูกทุกคนเวลานี้ต่างคนต่างก็มีความทุกข์กันหมด แต่ว่าให้ทุกข์มันมีเฉพาะขันธ์ 5 จิตเราจงอย่าทุกข์
    บรรดาลูกรักของพ่อทุกคนต่างคนต่างมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา พ่อดีใจ เวลาฟังพ่อพูดพยายามใช้สมาธิให้คล่องตัว สำหรับอภิญญาสมาบัติ อิทธิฤทธิ์ ยกจิตไปตามที่ต่างๆ ทำให้คล่อง ทิพย์จักขุญาณทำให้แจ่มใส ศีล สมาธิ ปัญญา ดีแล้วจะเห็นชัดเจน
    จุตูปปาตญาณ มองหน้าคน มองหน้าสัตว ์ อยากรู้ว่าก่อนเกิดมาจากไหนจะรู้ได้ทันที ตายแล้วไปไหนก็รู้ได้ทันที
    เจโตปริยญาณ ถ้าเราอยากรู้วาระน้ำจิต ของคนอื่น ให้รู้กระแสจิตของตนเอง ไว้เสมอก่อน เรารู้ได้ไม่ยาก
    คนที่มีกิเลสหนามีความชั่ว ใจจะมีสีดำบ้าง แดงบ้าง ขาวบ้าง แต่เป็นเนื้อ
    ถ้าใจดีปานกลาง ใจจะเป็นแก้ว
    แต่คนที่ดีจริงๆ จะเป็นแก้วประกายทั้งดวง เหมือนดาว นี่ไม่ยากแต่รู้แล้วก็นิ่งเสีย
    ปพเพนิวาสานุสติญาณฝึกให้คล่อง นึกถอยหลังเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่อย่าไปไล่ทีละชาติเลย เห็นอะไรก็นึกว่าเราเคยเกิดไหม เช่น เห็นสัตว์เราก็นึกว่า เราเคยเกิดเป็นสัตว์ชนิดนี้ไหมกื่ชาติ ภาพจะปรากฏชัด เป็นอันว่า ธรรมะ ส่วนนี้มีความสำคัญ
    พ่อให้ลูกไว้เพื่อชำระจิตของลูกให้บริสุทธิ์ ถอยหลังไปดูการเกิดแต่ละคราวเต็มไปด้วยความทุกข์ ดูบรรดาบรรพบุรุษกษัตริย์ทั้งหลาย ที่พ่อพูดมาและคนทั้งหลายที่กล่าวถึง ต่างคนต่างตายไปหมดแล้ว
    ผืนแผ่นดินไทยที่เราเดินอยู่นี่ ถ้าเราใช้อตีตังสญาณ ก็จะรู้ว่าเราเดินอยู่บนร่างกาย และเลือดเนื้อของบรรดาบรรพบุรุษของเรา
    ฉะนั้น ถ้าใครเขาจะมาเชือดเฉือนเอาร่างกาย เลือดเนื้อบรรพบุรุษของเราไป เราก็ไม่ควรยอม นี่พูดกันอย่างทางโลก คือ โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย
    จากหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน ( พิเศษ ) ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง หน้าที่ 95 ~ 96 ุ

    11412346_707911322653947_6568328624781446481_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ” อย่า ลืมว่าพระโสดาบันทรงคุณธรรมเพียง ๓ ประการเท่านั้น คือนึกอยู่เสมอว่า เราจะต้องตายเป็นปกติ เห็นความเกิด ความแก่ ความกลัดกลุ้มใด ๆ ก็ตามมันเป็นของธรรมดา แต่ความโลภอยากรวยยังมีอยู่ ความโกรธยังมีอยู่ ความหลงยังมีอยู่ แต่ความอยากสวย อยากรวย อยากโกรธ อยากหลง มันอยู่ในขอบเขตของศีล อยากสวยก็สวยโดยไม่ผิดศีล อยากรวยได้มาโดยไม่ผิดศีล ไม่คดไม่โกงใคร โกรธได้แต่ทำร้ายใครเขาไม่ได้ กลัวศีลขาด ยังหลงในร่างกายว่าเป็นเรา เป็นของเรามีอยู่ แต่ว่ารู้อยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย จิตใจมันปล่อยได้ งานทุกอย่างทำตามหน้าที่ แล้วมีอารมณ์ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นปกติ นี่แค่นี้เอง พระโสดาบัน ”

    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๑๓๐ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต,น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    11214074_708077319304014_7339030340040377742_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน เรื่อง
    พิธีสะเดาะเคราะห์ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    คำว่า เคราะห์กรรม เป็นวิธีเรียกของพรหมณ์ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า กฏของกรรม คณาจารย์ต่างๆ เรียกไม่เหมือนกันแต่ผลมันเหมือนกัน นั่นคือ ความทุกข์ ถ้าอยากทราบว่า ความทุกข์มาจากไหน ก็จะเล่าให้ฟัง

    ประการแรก การป่วยไข้ไม่สบายทางร่างกาย มาจากกรรมปาณาติบาต การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

    ประการที่ ๒ ความทุกข์เกิดจากไฟไหม้บ้าง ขโมยปล้น ขโมยจี้ ลมพัดให้บ้านพัง น้ำท่วม
    มาจากโทษอทินนาทาน การลักขโมยของเขาจากชาติก่อน

    ประการที่ ๓ เคราะห์กรรมที่ทำให้คนใต้บังคับบัญชาดื้อด้าน ว่ายากสอนยากไม่เชื่อฟัง
    มาจากโทษกาเมสุมิจฉาจาร เจ้าชู้จัดในชาติก่อน

    ประการที่ ๔ เราพูดดีแต่คนอื่นไม่ชอบฟัง ไม่เชื่อฟัง มาจากโทษมุสาวาทจากชาติก่อน

    ประการที่ ๕ การเป็นโรคปวดหัวบ่อยๆ หรือโรคประสาทก็ดี เป็นบ้าก็ดี
    เป็นโทษมาจากกฏของกรรม คือ ดื่มสุราเมรัย ในชาติก่อน อันนี้เป็นหลักหยาบๆ หลักใหญ่นะ

    อย่างคนตาบอด ในสมัยชาติก่อน เขาทำบุญเห็นแล้ว แกล้งทำเป็นไม่เห็น

    อย่างคนหูหนวก เขาทำบุญสุนทาน เขาฟังเทศน์ฟังธรรมกันแกล้งส่งเสียงกลบ
    เขาฟังเทศน์ฟังธรรม เขาคุยกันด้วยความเคารพในธรรม เราแกล้งส่งเสียงกลบ
    เกิดเป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติอย่างนี้เป็นต้น

    ก็รวมความว่า ขึ้นชื่อว่า เคราะห์กรรม คือ กฏของกรรมเก่าของเราในชาติก่อน
    คนทุกคนที่เกิดมานี้ที่ไม่มีกรรมเก่า ที่กรรมไม่ดี ไม่มีนะ ไม่เคยทำบาปนี้ไม่มี…

    ทีนี้คำว่า สะเดาะเคราะห์ หมายความว่า ทำให้เคราะห์หมด
    คำว่า สะเดาะเคราะห์ไม่มีศัพย์ในทางพระพุทธศาสนา เป็นศัพย์ของคณาจารย์ต่างๆ ในทางพระพุทธศาสนาไม่มี ในเมื่อไม่มี ทำไมวัดท่าซุงจีงบอกว่า สะเดาะเคราะห์ ก็เลยบอกว่าพูดตามเขา ทีนี้การทำคราวนี้ไม่ใช่สะเดาะเคราะห์ เป็นการสร้างความดี ความโชคดีให้เกิดขึ้น คือ หมายความว่าทำบุญให้มีกำลังสูง

    คำว่า เคราะห์ คือ บาป เราล้างไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าทำความดีให้มีกำลังสูงกว่า คำว่า เคราะห์จะเปรียบเทียบให้ฟัง เหมือนกับคนยืนอยู่กลางแดดจัดๆ เวลานี้อยู่ในร่มมันก็ร้อน ถ้ายืนกลางแดดมันก็ร้อน ถ้าทำบุญน้อยๆ ก็เหมือนกับมีร่มเล็กๆไปกางบังอยู่มันก็เย็นไปหน่อยหนึ่ง ทำบุญที่มีอานิสงส์มากๆ ก็เหมือนกับมีคนเอาน้ำไปราดให้ ก็มีความเย็น ถ้าทำ บุญที่มีกำลังสูงใหญ่อย่างเราเจริญกรรมฐาน เหมือนกับเราแช่ในอ่างน้ำ ถึงเราจะอยู่กลางแจ้ง กลางแดด ความร้อนมันก็น้อยไป ข้อนี้ฉันใด การสะเดาะเคราะห์ก็เหมือนกัน การสะเดาะเคราะห์ไม่ได้ทำให้หมดไป

    ตัวอย่าง : ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ในครั้งหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมครูทางเทศน์เรื่อง กายคตานุสสติกรรมฐาน กับ อสุภกรรมฐาน สองอย่าง คำว่า กายคตานุสสติกรรมฐาน หมายถึงการพิจารณาร่างกายของตนเอง …
    อสุภกรรมฐาน ให้เห็นว่าร่างกายทุกคนเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกทั้งหมดพระ ๖๐ องค์เศษๆ ฟังแล้วพิจารณาตามเกิดความสลดใจเห็นว่าร่างกายของคนมีความสกปรกมาก มีความเบื่อหน่าย หลังจากเทศน์จบองค์สมเด็จพระจอมไตร ทรงบอกว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฉันจะเข้าไปอยู่ในถ้ำ ๑๕ วัน ขณะที่อยู่ในถ้ำ ๑๕ วันห้ามมิให้คนอื่นเข้าพบ นอกจากพระที่ส่งอาหาร

    บรรดาพระ ๖๐ องค์เศษๆ เหล่านั้น เมื่อฟังเทศน์จบก็พิจารณาร่างกายว่ามันสกปรก มีความรังเกียจร่างกายมาก ท่านเปรียบเทียบบอกว่า เหมือนหนุ่มสาวที่อาบน้ำใหม่ๆ แต่งตัวสวยๆ แล้วมีคนเอางูเน่ามาคล้องคอ หรือเอาสุนัขเน่ามาแบกที่บ่าหรือใส่ที่บ่า มีความรังเกียจขนาดนั้น ในที่สุดก็ฆ่าตัวตายเองบ้าง จ้างคนอื่นฆ่าบ้าง พอครบ ๑๕ วันพระพุทธเจ้าก็ออกจากถ้ำ ก็มีพระถามว่า การที่พระองค์ทรงเทศน์ กายคตานุสสติ อสุภกรรมฐาน ทั้งสองอย่าง
    ทรงทราบหรือไม่ว่าพระ ๖๐ องค์เศษๆ จะฆ่าตัวตาย หรือจ้างคนอื่นฆ่าตัวตาย พระพุทธเจ้าบอกว่าทราบ ในเมื่อทรงทราบพระก็ถามว่า ทำไมจึงเทศน์ทั้งที่ทราบว่าเขาจะฆ่าตัวตาย พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า ขึ้นชื่อ กฏของกรรม ไม่มีใครหนีพ้น จะเทศน์อย่างนั้นหรือไม่เทศน์ก็ตาม เขาก็ต้องฆ่าตัวตาย หรือจ้างคนอื่นฆ่าตัวตาย เพราะกฏของกรรมเดิม กรรมเดิมที่พระพวกนี้เคยเป็นพรานฆ่าเนื้อ ฆ่าสัตว์มาก่อน มันติดตามมาทัน เขาต้องตายแบบนั้น

    ฉะนั้นก่อนจะตาย ตถาคตจึงเทศน์กายคตานุสสติกรรมฐาน อสุภกรรมฐานสองอย่างรวมกัน
    ให้เขาพิจารณาเบื่อในร่างกาย ในเมื่อเขาตาย เขาไปนิพพานไม่ดีกว่าหรือ

    ทีนี้การทำคราวนี้ ก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ทำลายให้เคราะห์หมดไป การทำลายเคราะห์ คือ บาป ทำลายไม่ได้โยม แต่ว่าเราทำบุญให้มีกำลังสูงขึ้น อย่างญาติพุทธบริษัทที่มานั่งที่นี่ทุกคน ไม่ใช่มีแต่เคราะห์ โชคก็มี คือชาติก่อนมีทั้งความดีมีทั้งความชั่ว มีทั้งบุญและบาป ขณะใดที่มีการป่วยไข้ไม่สบาย นั่นคือผลของบาปเข้าสนอง
    แต่ว่าทุกคนมีทรัพย์สินอยู่ได้เพราะผลของทาน ทานการให้ในชาติก่อน ทำให้คนมีทรัพย์สิน แต่การมีทรัพย์สินทำไมจึงไม่เสมอกัน อย่างทานที่มีกำลังสูงสุดในด้านวัตถุก็คือ วิหารทาน เป็นทานที่มีกำลังสูงมาก ทานที่รองลงมาก็คือ สังฆทาน สังฆทานนี่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่เคยถวายสังฆทานแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต ตายแล้วเกิดกี่ชาติก็ตาม ถ้ายังไม่เข้าพระนิพพานเพียงใด จะไม่พบกับความยากจนเข็ญใจ
    จะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีทุกชาติ ทีนี้คนที่เขาเป็นเศรษฐมหาเศรษฐีเพราะว่า เขาเคยถวายสังฆทานในกาลก่อน อันนี้เป็นผลอันหนึ่งที่เราจะทำ เพื่อเป็นการหลีกเร้นกฏของกรรม คือ บาป บาปถึงแม้มันจะกลั่นแกล้งขนาดไหนก็ตาม แต่เรามีกำลังบุญสูง คือคล้ายๆ กับสุนัขไล่กัด ถ้าเราวิ่งเร็วมันก็กัดไม่ทัน ถึงกัดทันก็กัดไม่ถนัด

    ประการที่สอง ต่อนี้ไปจะให้ญาติโยมทั้งหลายรับศีล การสมาทานศีลมีอานิสงส์ ๓ อย่างคือ

    ๑. สีเลนะ สุคะติง ยันติ คนที่มีศีลอยู่แล้ว เวลามีชีวิตอยู่ก็มีความเป็นปกติสุข
    ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้ามีความสุข

    ๒. สีเลนะ โภคะสัมปะทา ในขณะที่มีชีวิตอยู่เรามีศีลบริสุทธิ์ ทรัพย์สินก็ไม่เปลือง
    ก็มีการเป็นอยู่ดีในการครองทรัพย์สิน ตายไปก็ร่ำรวยมาก

    ๓. สีเลนะ นิพพุติง ยันติ คนที่รักษาศีลได้ดี จะไปนิพพานได้โดยง่าย

    นี่คืออานิสงส์ของศีล หลังจากนั้นไปจะให้ญาติโยมพุทธบริษัท เจริญวิปัสสนา คือเจริญกรรมฐาน ใช้กำลังพุทธานุสติกรรมฐานเป็นกำลัง นี่เป็นบุญใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา บุญในพระพุทธศาสนามี ๓ ชั้น คือ ทาน ศีล ภาวนา ภาวนานี่เป็นบุญใหญ่ที่สุด
    จะให้ญาติโยมภาวนาว่า พุทโธ เป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ ใช้เวลา ๑๐ นาที จงอย่านึกว่าแค่ ๑๐ นาที จะมีบุญน้อย ความจริงไม่ใช่น้อย มีกำลังมากเหลือเกิน การนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่าง มัฏฐกุลฑลีเทพบุตร หรือ สุปติฏฐิตเทพบุตร ซึ่งเขาไม่เคยนับถือพระพุทธเจ้า เขานึกถึงท่านอยากให้ท่านมารักษาโรคให้หาย เพียงเท่านี้ไม่ได้เคารพอย่างเรา เขาตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบน สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก แต่นี่เรา เจริญพระกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยอารมณ์ของความเคารพจริงๆ อานิสงส์มากไปกว่านั้น ปรารถนานิพพานในชาตินี้ยังได้

    หลังจากนั้นจะมีพระเจริญพระอภิธรรม สวดอภิธรรมมาติกา คำว่า มาติกา เขาสวดสำหรับคนตาย และพวกเราตายแล้วหรือยัง แต่ความจริงเขาไม่ได้สวดเพื่อคนตาย คนตายไม่ได้ฟัง เขาสวดให้คนที่ยังไม่ตายฟัง เพราะบทมาติกานี่อานิสงส์มากเพียงแค่รับฟังอย่างไม่รู้เรื่อง อย่างค้างคาว ๕๐๐ ตัว ฟังสวดอภิธรรมเพียงแค่เพลิดเพลิน ไม่ทราบผู้สวดเป็นพระ ไม่ทราบว่าธรรมที่สวดเป็นธรรมะ เพลินไป ผลที่สุดเท้าก็หลุดจากที่เกาะหล่นลงมาตายทั้ง ๕๐๐ ตัว
    หลังจากตายจากความเป็นค้างคาวแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลกในเมื่อพระพุทะเจ้าองค์นี้มาตรัส เขาเกิดเป็นลูกชาวประมง ในที่สุดเขาก็ฟังอภิธรรม เพียงแค่จบเดียวโดยย่อ ก็บรรลุพระอรหันต์ทั้งหมด นี่แค่สัตว์เดรัจฉานนะเขาไม่รู้เรื่อง
    ยังมีอานิสงส์อย่างนี้ ฟังแล้วชาติเดียวเกิดเป็นเทวดาและหลังจากนั้นมาก็เป็นพระอรหันต์

    ท่านทั้งหลายฟังแล้วด้วยความเคารพ รู้ว่าท่านผู้สวดเป็นพระ คำสวดเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนและฟังด้วยความตั้งใจจริงอย่างนี้ ถ้าปรารถนิพพานชาตินี้ยังได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้าหรือพรหม เวลานั้นก็เจอะพระศรีอาริยเมตตรัย
    ฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์จบเดียวก็ป็นพระอรหันต์ นี่เป็นของไม่ยาก ง่ายๆ นะ ตั้งใจให้ดีนะหลังจากนั้นพิธีสะเดาะเคราะห์จะเกิดขึ้นนั่นคือว่าจะให้ พระบังสกุลตาย

    ตอนที่ พระบังกุลตาย ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ให้ตั้งใจคิดว่า เวลานี้ขอผลของความชั่วทั้งหมดบาปกรรมที่ทำมาแล้วจาก… (การละเมิดศีล ๕)…ที่ทำให้จิตใจเรามีความทุกข์ มีความเร่าร้อน ให้มันสลายตัวไป พร้อมกับคำบังสกุลตายของพระ

    หลังจากนั้นพระจะ บังสกุลเป็น ตอนนั้นบรรดาพุทธบริษัท ก็ตั้งใจคิดว่า เวลานี้เราเกิดใหม่พร้อมความดี คือ

    ๑. ศีลที่เราสมาทานแล้ว

    ๒. สังฆทานที่เราทำแล้วมีอานิสงส์ใหญ่

    ๓. การภาวนาซึ่งเราทำแล้ว

    ๔. วันนี้บวชเณร ๘๕ องค์ บวชชีพราหมณ์ ๖๐ องค์เศษๆ คนทั้งหมดที่บวชเป็นนักเรียนโรงเรียนสุธรรมยานเถระวิทยา เป็นนักเรียนที่ได้สมาบัติ คือได้ฌานโลกีย์ทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาบัติขั้นอภิญญา เขาสามารถไปเที่ยวสวรรค์ นรกได้ เพราะโรงเรียนนี้มีกฏบังคับ เด็กที่เข้าโรงเรียนนี้ ต้องเจริญกรรมฐานก่อน ต้องสอบกันก่อนว่าเที่ยวสวรรค์นรกได้หรือเปล่า ระลึกชาติได้หรือเปล่า
    ถ้าทำไม่ได้เข้าโรงเรียนนี้ไม่ได้ เมื่อเข้ามาได้แล้วก็มีการซักซ้อมทุกอาทิตย์ เป็นอันว่าเณรและชีพวกนี้เป็นผู้ทรงฌาน เป็นผู้ปฏิบัติตนเพื่อพระโสดาปัตติมรรค ทำบุญมีอานิสงส์มาก

    ฉะนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าต้องการทำบุญให้มากขึ้น เวลาเลิกแล้วก็เอาสตางค์มาใส่ขัน ตั้งใจบวชเณรบวชชี มากก็ได้น้อยก็ได้ ๕ สตางค์ก็ได้ ๑๐ สตางค์ก็ได้ สลึงก็ได้ บาทก็ได้ ตามชอบใจ ตามที่จะพึงทำได้ ให้ตั้งใจคิดว่า เวลานี้เราบวชเณรบวชชี

    สำหรับการบวชเณรนี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าเป็นพ่อแม่ของเณร ถ้าลูกบวชหนึ่งองค์ เขาจะมีอานิสงส์เกิดเป็นเทวดานางฟ้า หรือเป็นพรหมได้คนละ ๑๕ กัป ลูกชายได้ ๓๐ กัป ญาติโยมที่ไม่ใช่พ่อแม่ของเณรจะได้อานิสงส์คนละ ๔ กัป ทีนี้มัน ๘๕ องค์นี่ เอา ๔ คูณ ๘๕ เข้าได้เท่าไหร่ ก็รวมความว่าก็ได้ ๓๐๐ กัปกว่า ถ้าเราตายจากชาตินี้เป็นเทวดาหรือพรหมก็สามารถเป็นเทวดาหรือพรหม อยู่ได้ถึง ๓๔๐ กัป ในเมื่อท่านทั้งหลายมีบุญขนาดนี้ก็อยู่ไม่ถึง ๓๐๐ กัป ไปนิพพานแน่ ก็เป็นอันว่ามีความดีใหญ่

    (จากหนังสือสมบัติพ่อให้หน้า ๒๔๓ -๒๔๘)

    10156024_708090372636042_8835256904745830617_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    “ความจริงแล้ว วัตถุทานนี้ แม้ไม่มีเงินสักบาทเดียวก็ทำได้”
    “ความจริงแล้ว วัตถุทานนี้ แม้ไม่มีเงินสักบาทเดียวก็ทำได้”
    “ทำอย่างไรครับหลวงพ่อ?” ข้าพเจ้าถามอย่างสนใจ
    หลวงพ่อตอบ
    “ก็คอย โมทนา เขาไงล่ะ ใครถวายเงินแสน เงินล้าน คุณก็ยกมือไหว้ กำหนดจิตโมทนาไปกับเขาด้วย เขาได้บุญเท่าไร คุณก็ได้เท่านั้นแหละดีไหมล่ะ ไม่ต้องไปอิจฉาคนร่ำรวยให้เสียเวลาจริงไหม?”
    ข้าพเจ้าติดใจสงสัย “แบบนี้ไม่เป็นการเอาเปรียบผู้อื่นหรือครับ?”
    หลวงพ่ออธิบาย
    “ไม่เอาเปรียบหรอก เพราะคุณจะโมทนาหรือไม่ก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ผู้ทำบุญนี่ เขาก็ยังคงได้บุญของเขาเต็มที่อย่างเดิมนั่นแหละ แต่อย่างไรก็ตาม วัตถุทานนี้ก็เป็นเพียงทานเบื้องต้นเท่านั้นนะ ยังมีทานแบบอื่นที่ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ให้กุศลผลบุญได้สูงกว่าวัตถุทานเสียอีก”
    “ทำทานแบบใดละครับ?” ข้าพเจ้ารีบถามด้วยความสนใจ
    หลวงพ่ออธิบายยิ้มๆ
    “อภัยทานอย่างไรล่ะ ใครเขาทำผิดคิดร้ายต่อคุณอย่างไร คุณก็ไม่ถือโกรธ อภัยให้เขาไปเสีย เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านให้แก่บรรดาผู้คนที่มุ่งร้ายต่อองค์ท่านนั่นแหละ เห็นไหมไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียว แต่ได้กุศลผลบุญมากกว่าบริจาคเงินเป็นจำนวนมากๆเสียด้วยซ้ำไป”
    จากหนังสือ สู่แสงธรรมโดย พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป

    11390175_708094232635656_2366056394008773068_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  14. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    อย่าลืมคุมกำลังใจให้เป็นสมาธิ
    ” สำหรับการแนะนำในการเจริญพระกรรมฐานในวันนี้ จะขอนำปฏิปทาท่านผู้เฒ่ามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหรือการทรงกำลังใจ แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย หรือว่าพระโยคาวจรทุกท่าน อย่าลืมคุมกำลังใจให้เป็นสมาธิ
    เรื่องการรักษาอารมณ์ให้เป็นสมาธินี่มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอานาปานสติกรรมฐานนี่ให้ทรงตัว แล้วก็จริต ๖ ประการ ใคร่ครวญอยู่เสมอ จงอย่าเป็นผู้ยอมแพ้นิวรณ์ นี่อันดับต้น ถ้าอันดับต้นเรายอมแพ้นิวรณ์ เราก็ไม่อาจจะทรงฌานได้
    แล้วก็จงอย่าเป็นผู้ยอมแพ้กิเลส ถ้าเรายอมแพ้กิเลสแล้ว เราก็ไม่สามารถเป็นพระอริยเจ้าได้ คุณธรรมที่เป็นเครื่องบำรุงใจ ดูตัวอย่างท่านมหาบาลที่ผ่านมาแล้ว ใช้กำลังใจส่วนนี้ให้เหมือนท่าน จงคิดว่าท่านเป็นฆราวาส ท่านเป็นกฎุดพี หรือว่าเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก ท่านยังสามารถตัดสินใจอย่างนั้นได้
    แล้วก็เรา ถ้าจะกล่าวกัน ท่านมีกี่นิ้ว เรามีกี่นิ้ว หรือว่าท่านมีรูปร่างลักษณะอย่างไร มีอาการสามสิบสามหรือสามสิบห้า ความจริงท่านก็มีอาการสามสิบสอง เป็นร่างกายเท่ากับเราเรา ก็มีกาอาการสามสิบสอง ท่านกินข้าว เราก็กินข้าว ท่านเป็นคนเราก็คน ถ้าหากว่าท่านเป็นคนดีได้ เราเป็นคนดีไม่ได้ เรามันก็เลวเกินไป ”
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    _____________________________________
    ที่มาจาก..หนังสือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า หน้า ๕๖ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง)ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    11390149_708162049295541_3511625159790342452_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ตอนเช้าตื่นขึ้นมาใหม่ๆศีลยังบริสุทธิ์ยังไม่ได้ด่าใคร ด่านี่ศีลไม่ขาดแต่ศีลเศร้าหมอง เศร้าหมองนี่ก็ลงอบายภูมิได้ ตื่นขึ้นเช้าจับลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้านึกว่าพุท หายใจออกนึกว่าโธ ทั่วๆไปนะนึกถึงบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าท่านที่ได้มโนมยิทธิ แล้วพอตื่นขึ้นมาปั๊บวันนี้ศีลยังบริสุทธิ์ มีความมั่นใจในตัวเอง รวบรวมกำลังใจพุ่งไปที่พระพุทธเจ้าทันที หรือไปที่นิพพานอย่างนี้ได้เปรียบมาก พุ่งไปที่นิพพานไปไหว้พระพุทธเจ้า จิตยังบริสุทธ์ อารมณ์ยังบริสุทธิ์ก็คิดตัดใจว่า ถ้าร่างกายเราพังเมื่อไรขอมาที่นี่แห่งเดียว กลับลงมาเจอหน้าคนด่าเลย ช่างมันเราทำดีแล้ว คำว่าดีแล้วหมายถึงตอนนั้นเราดี แล้วความดีมันทรงตัว มาตอนหลังถ้าจิตมัวหมอง ศีลบริสุทธิ์บ้าง ไม่บริสุทธิ์บ้าง มันก็เป็นเรื่องเศร้าหมองของอารมณ์ แต่อารมณ์ดีมันไม่ได้สลายตัว ความดีมันจะขังตัวของมัน ความชั่วมันก็ขังตัว
    จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง (พุทธานุสติ หน้า 93)

    11412178_708165089295237_7726197047545892221_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    บุญชายผ้าหลืองลูกชาย โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    ” ตัวอย่างในพระสูตรที่มีมาในเรื่องของ เณรสุบิน ท่านกล่าวว่า เณรสุบินคนนี้ปรากฏว่า บิดามารดาเป็นพรานแต่ว่าลูกชายมีจิตเลื่อมใสในศาสนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคติไม่ตรงกัน พ่อชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม่ก็มีอารมณ์จิตเหมือนกันพ่อแต่ว่าสำหรับลูกชายกลับเป็นคนที่มีจิตน้อมไปในกุศล ในพระพุทธศาสนาหนีพ่อหนีแม่ไปบรรพชาเป็นสามเณรเป็นอันว่าพ่อแม่สามเณรไม่มีโอกาสจะพบกันต่อมาเมื่อกาลเวลาเข้ามาถึงพ่อและแม่ก็ตายจากความเป็นคนด้วยอำนาจกรรมที่เป็นอกุศล พระยายมก็สั่งคนมาเชิญไปเป็นแขกรับเชิญ
    คือ เชิญไปในขุมนรก เชิญไปในสำนักพระยายม ก็สอบสวนตามความเป็นจริงว่า ทำกรรมที่เป็นอกุศลอะไรบ้าง แกก็รับทุกอย่างว่า ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตั้งแต่สัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ อาศัยกฏของกรรมอันนี้ ก็ปรากฏว่าท่านทั้งสองต้องลงนรก เขาจึงนำไปเมื่อนำไปแล้ว ตามธรรมดาสัตว์นรกที่มีกรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมดเมื่อเข้าเขตของนรกแล้วก็ต้องลงขุมได้ทันทีแต่ว่าบิดาและมารดาของสามเณรนี้ลงไม่ได้นายนิรยบาลจึงจับโยนลงไปเข้าขุมนรกก็ปรากฏว่า มีหวายใหญ่มารองรับ เป็นหวายร่างแหรองรับเข้าไว้ ไม่ตกลงไปในนรกทำอย่างนี้ถึง ๓ วาระ คนทั้งสองคนลงนรกไม่ได้
    เพราะอะไร..เพราะว่าในเมื่อพ่อและแม่เห็นแสงไฟก็คิดขึ้นมาในใจว่า แสงไฟนี้คล้ายจีวรของพ่อเณรน้อยเพราะว่าเณรไปบวช ทราบว่าบวช ก็ไปทวงให้สึก เณรไม่สึกเห็นภาพเณรเพียงนิดเดียวเท่านั้น จิตใจนึกขึ้นมาได้ว่าเณรลูกชายของเรามีสีจีวรคล้ายเปลวไฟเพราะไฟบางตอนมันมีสีเหลือง จิตคิดเป็นอย่างนี้เป็นอันว่าบิดามารดาทั้งสองศรีลงนรกไม่ได้นายนิรยบาลก็กลับนำมาสำนักพระยายม
    พระยายมก็ถสอบถามว่า
    “กรรมใดที่เป็นกุศลน่ะ ท่านไม่เคยทำบ้างเลยหรือ?”
    สำหรับบิดามารดาของสามเณรก็กล่าวว่า
    “กรรมใดๆ ที่เป็นกุศล ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงตาย ไม่เคยทำ มีอย่างเดียว คือ มีลูกชายอยู่คนหนึ่งชื่อ สุบินเธอไม่พอใจในการทำอกุศลกรรมความชั่วสอนให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเธอก็ไม่ทำ ในที่สุดเธอก็หนีไปบวชเป็นสามเณรน้อยในพระพุทธศาสนา”
    เป็นอันว่าพระยายมก็ทราบว่า นี่บุญลูกชายบวชเณร
    ท่านจึงกล่าวว่า
    “ในเมื่อลูกชายบวชเณร เราสอบสวนในตอนก่อน ทำไมเจ้าจึงไม่บอก?”
    บิดามารดาของสามเณรบอกว่า
    “นึกไม่ออก เพราะกรรมที่เป็นอกุศลบัง มันกดปากเข้าไว้ บังใจไม่ให้นึกถึง”
    เป็นอันว่าในเมื่อพระยายมทราบอย่างนั้นจึงได้กล่าวว่า เพราะอำนาจกุศล ที่ลูกชายของท่านบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา จึงเป็นเหตุบันดาลให้ลงในขุมนรกไม่ได้ ฉะนั้นท่านจงได้รับผลของกรรม คือ ความดีต่อไปก็หมายความว่า ไปเกิดบนสวรรค์
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่องค์สมเด็จสวัสดิโสภาคย์แสดงให้เห็นว่า ท่านทั้งหลายที่มีบุตรชายบวชเป็นสามเณรก็ดี บวชเป็นพระก็ดี ในพระพุทธศาสนาแม้แต่ว่าท่านจะไม่ยินดีหรือไม่ทราบ ท่านก็มีอานิสงส์มาก..”
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี
    ______________________________________
    จาก หนังสือเรื่อง การอุทิศส่วนกุศล หน้าที่ ๒๙-๓๑
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    11020995_708424209269325_8745369286948949265_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงตอบปัญหาผู้ปรามาสการสร้างวัด ปลุกเสกพระ
    มีนักปราชญ์นอกคอกถามปัญหาหลายคน คนหนึ่งถามว่า
    “ท่านมีความเห็นอย่างไรที่สร้างวัดใหญ่โตอย่างที่เป็นอยู่นี้”
    ตอบเธอไปว่า “วัดนี้สร้างตามใจผู้มีศรัทธา ในเมื่อท่านให้เงินมาก็ทำตามที่ท่านประสงค์”
    คนที่สองถามว่า “ท่านมีเทคนิคอย่างไร จึงมีคนเขาอุดหนุนมากอย่างนี้”
    ตอบเธอว่า “ ฉันไม่มีเทคนิค มีแต่ความรู้สึกว่าเป็นพระเท่านั้น จริยาทุกอย่างทำตามที่พระท่านสอน ”
    คนที่สามถามว่า “ พระที่ท่านปลุกเสกการปลุกเสกเป็นอวิชชาใช่ไหม..?”
    ตอบเธอในทำนองอนุโยคว่า “ เธอรักษาศีล ๕ ครบแล้วหรือ? ”
    เธอตอบว่า “ไม่ครบ”
    จึงบอกเธอว่า “ เมื่อตนเองยังมีศีล ๕ ไม่ครบ จะรู้เรื่องอวิชชาได้อย่างไร พระที่ท่านทำการปลุกเสก ท่านใช้ฌาน ๔ บ้าง สมาบัติ ๘ บ้าง บางท่านใช้ผลสมาบัติ”
    ถามเธอว่า “สมาบัติที่ว่ามานี้เป็นวิชชาหรืออวิชชา..?”
    เธอไม่รู้เรื่องเลย น่าสงสารคนโง่ขนาดนี้ยังมีในเขตพระพุทธศาสนา
    คนที่สี่ถามว่า “ ที่บอกว่าคนรักษาศีล ๕ ยังหยาบอยู่มาก พระโสดาบันก็มีศีล ๕ ใช่ไหมครับ ?”
    ตอบเธอในทำนองอนุโยคว่า “พระโสดาบันมีกี่ขั้น..?”
    เธอตอบว่า “เธอไม่รู้ “
    จึงบอกให้เธอไปดูตำราเสียใหม่ เธออยากรู้ จึงบอกให้เธอทราบว่า
    พระโสดาบันมี ๓ ขั้น คือ สัตตักขัตตุง บารมีอ่อนมาก บำเพ็ญอีก ๗ ชาติไปนิพพาน
    โกลังโกละ บารมีอย่างกลาง บำเพ็ญบารมี ๓ ชาติ ไปนิพพาน
    และเอกพีชี บำเพ็ญบารมีอีกชาติเดียวไปนิพพาน ทุกขั้นต้องมีศีล ๕ ร่วมกรรมบถ ๑๐
    วันนี้ดึกมากแล้วขอลานอน..”
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี
    _____________________________________
    ที่มาจาก : หนังสือธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๑๔๘ หน้า ๔๓-๔๔ ประจำเดือน มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๖..,นิตยสารธัมมปฏิบัติ จัดทำโดยคณะธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง

    11406799_708425392602540_1444584698562005936_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    #การโมทนาบุญย้อนหลังไปนานๆ…
    #ผู้ถาม : “กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงลูกได้อ่านหนังสือที่มีรายชื่อทำบุญต่างๆเมื่อ ๑๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง ปรากฏว่าชื่นอกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก เลยนั่งยกมือไหว้โมทนาไปอย่างนี้เรียกว่าเป็นปัตตานุโมทนามัยหรือไม่ เพราะลูกเห็นว่านานเกินไป จำต้องเรียนถามหลวงพ่อเพื่อความแน่ใจ?”
    #หลวงพ่อ : “เป็น…เป็นปัตตานุโมทนามัย เขาเรียกว่า “โมทนาขั้นลายคราม” หลายร้อยปีแล้วนะนี่ ได้นะ มีผล ๑๐๐ %
    #โมทนา หมายความว่า #ยินดีด้วย ใช่ไหม… #มัย แปลว่า #สำเร็จ
    โมทนามัย..สำเร็จด้วยความยินดี ในเมื่อเรายินดีในการกระทำด้วยความดีของใคร เชื่อว่าผลนั้นสนองผล แต่จะนานเท่าไรก็ช่าง #บุญไม่สลายตัว ”
    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๙ หน้าที่ ๕๗

    1979650_708447282600351_2605189643685801332_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    บรรดาลูกรักทั้งหลายที่มีจิตประกอบไปด้วยศรัทธา มีบารมีครบถ้วนทั้ง 10 ประการ มีจิตใจหวังซึ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์
    จงพิสูจน์ดูเมื่ออารมณ์เข้าถึงจุดนั้น และก็จงทราบว่าเวลานั้นพ่อไม่ได้ใช้ฌานสมาบัติ เป็นแต่เพียงว่านอนทำใจสบาย ให้มันว่างจากอารมณ์แห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตเป็นอุเบกขารมณ์ ใจเป็นสุขแบบเบาๆ จิตในเวลานั้นจึงอยู่ในช่วงของอุปจารสมาธิ และอีกประการหนึ่งการเห็นของพ่อ ก็เป็นการแสดงของท่านพวกนั้น ไม่ใช่พ่อตั้งใจจะเห็น
    การเห็นมีได้ 2 อย่าง สำหรับคนที่ได้ทิพย์จักขุญาณ เขาบังคับการเห็นได้ ต้องการจะเห็นใครที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ ถ้าท่านที่ไม่ได้ทิพย์จักขุญาณ แต่ทว่าท่านผู้ต้องการให้เห็น จะมาพูดคุยด้วยก็เห็นได้เหมือนกัน ด้วยอานุภาพเทวดาหรือพรหม จงจำไว้ว่าการเห็นเป็นเช่นนี้
    เดินทางมาถึงจังหวัดกระบี่ มีสุสานหอย ฝรั่งเขาบอกว่านานประมาณ 35 ~ 75 ล้านปี แต่มีเทวดาท่านหนึ่งท่านบอกว่า 67 ล้านปี มันจะกี่ล้านปีก็ตาม มันก็คือหอยตาย หอยตายได้ฉันใดชีวิตของเราก็ตายได้ฉันนั้น สิ่งที่มันจะคงอยู่ได้ก็คือกระดูก คงนานหน่อย ในที่สุดมันก็จมพื้นปฐพี
    ขึ้นชื่อว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ว่าความตายเป็นของเที่ยง ก่อนที่เราจะตาย จงคิดว่าเราจะตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และไม่มีการตายต่อไปนั่นคือพระนิพพาน พ่อมั่นใจในกำลังใจและความดีของลูก ว่าพระนิพพานสมบัติ จะไม่ขาดไปจากกำลังจิตของลูก และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ลูกของพ่อต้องได้แน่นอน
    นี่เป็นความหวังของพ่อ แต่ทว่าถ้าลูกรักของพ่อลืมความดีนี้เสียเมื่อไร จิตใจไปพัวพันอยู่ในราคะก็ดี พัวพันอยู่ในโลภะความโลภก็ดี พัวพันอยู่ในความโกรธ ความพยาบาทก็ดี พัวพันอยู่ในความหลงก็ดี เป็นอันว่าลูกกับพ่อนี้ต้องแยกทางเดินกัน ไม่ใช่พ่อโกรธลูก แต่เวลาตายจริงๆ เราตามกันไม่ไหว
    หวังว่าลูกรักทุกคนคงจะจำได้ คงจะละสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ คือพยายามละ ทีละน้อย ปลดเปลื้องมันไป ไม่ช้ามันก็หมด
    จากหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน ( พิเศษ ) ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง หน้าที่ 120 ~ 121

    10151830_708482172596862_1596036256056303399_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    การเป็นพระโสดาบัน
    การเป็นพระโสดาบันก็ดี การเป็นพระสกิทาคา อนาคา อรหันต์ก็ดี เขาศึกษากันตัวเดียวคือ สักกายทิฏฐิ เมื่อตัดสักกายทิฏฐิได้ตัวเดียวก็เป็นพระอรหันต์ แต่ทว่าตอนที่จะตัดสักกายทิฏฐิเธอจงปฏิบัติตามนี้นะ
    ก่อนที่จะใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณ อันดับแรก เข้าฌานให้ถึงที่สุดที่เธอทรงได้ เข้าฌานออกฌานสลับกันมาสลับกันไปให้มันมีความทรงตัว แล้วทำจิตใจให้ทรงในฌานให้แนบสนิททรงตัวมีความสุขที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฮะทั้งหมดได้สมาบัติแปดมาแล้ว แล้วก็ศึกษาด้านอภิญญามาแล้วอย่างนี้เป็นของไม่ยาก ในด้านวิปัสสนาญาณ ใช้กำลังสมาบัติแปดเป็นกำลังใหญ่ ทรงใจให้ทรงตัวแล้วถอยหลังไปถึงอุปจารสมาธิ พิจารณาขันธ์ ๕ มันเป็นภัยสำหรับเรา เป็นวัตถุธาตุที่สร้างด้วยทุกข์สร้างด้วยโทษไม่มีอะไรเป็นปัจจัยของความสุข
    มองดูขันธ์ ๕ คือร่างกาย เราต้องเลี้ยงมันเท่าไร
    มันชอบอะไรเราให้มันกินทั้งหมด
    แต่เราไม่ต้องการจะป่วยมันก็ยังขืนป่วย
    เราไม่ต้องการจะเพลียมันก็เพลีย
    เราไม่ต้องการจะแก่อย่างฉันนี่ ฉันไม่เคยต้องการให้มันแก่มันก็แก่
    คนที่เขาตายไปก่อนเรา เขาไม่ต้องการตายมันก็ตาย
    ในเมื่อขันธ์ ๕ มันเลวทรามอย่างนี้จะคบค้าสมาคมกับมันเพื่อประโยชน์อะไร
    อันดับแรก จับจุดความเป็นพระโสดาบัน ระงับความพอใจในขันธ์ ๕ เสีย คิดว่ามันจะตายเสมอ แล้วทรงศีลให้บริสุทธิ์ ศีลควรทำเป็นศีลานุสสติกรรมฐาน ทรงศีลให้เป็นกำลังฌาน คำว่า เป็นกำลังฌาน ก็คือทรงอารมณ์อยู่ในศีลตลอดวันตลอดคืน ไม่ยอมให้ศีลบกพร่องจากใจ
    ไม่ใช่ว่าต้องไปนั่งหลับตาปี๋ เดินไปเดินมาเลี้ยงหมูเลี้ยงหมา คุยกับหมาคุยกับแมว ศีลทรงตัวใช้ได้ เจอหน้าคนเขา ด่าคนเขา ว่าเขา นินทาศีลไม่ด่างใช้ได้ น้อมใจเคารพในคุณพระรัตนตรัย ๓ ประการ คือทรงพระกรรมฐาน ๓ อย่าง ให้ฌานคือ พุทธานุสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ให้ทรงตัว
    ความจริงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เธอทรงได้หมดแล้วนี่ จะต้องมานั่งสอนอะไรกัน เว้นไว้แต่จิตอย่างเดียว คือ อารมณ์พระนิพพาน เธอยังไม่มั่นใจเท่านั้นเพราะฉะนั้นจงตัดสินใจทรงอุปสมานุสสติให้ทรงตัว ”
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    _____________________________________
    ที่มาจาก..หนังสือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า หน้า ๕๓ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง)ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    11393150_708520232593056_8053379955642297484_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...