เพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 17 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  2. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  3. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  4. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  5. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f603.png ช่วงนี้อาจจะบอกบุญบ่อยสักหน่อยใครพอมีกำลังก็มาร่วมบุญกันนะคะคนละเล็กละน้อยตามกำลังค่ะ..
    1f64f.png ขอเชิญญาติธรรมร่วมบุญเครื่องขยายเสียงในงานกฐินของสวนพุทธธรรมหลวงปู่ใหญ่ สุพรรณบุรีในวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2561 นี้ค่ะ
    1f50a.png เครื่องขยายเสียงงบประมาณ 4,500 บาทค่ะ
    ขอแบ่งเป็น45กองบุญๆละ100บาทนะคะ..
    1f64b.png หรือท่านใดจะรับเป็นเจ้าภาพทั้งหมดยินดีค่ะ
    ติดต่อเข้ามาที่ฝนได้เลยนะคะ
    1f4f2.png โอนร่วมบุญได้ที่ธ.กสิกรไทย023-3-52102-7
    1f33a.png น้ำฝน บุญสิงห์
    1f343.png 1f33a.png 1f50a.png อานิสงส์ของการถวายเครื่องขยายเสียง
    1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png 1f50a.png
    2728.png 2b50.png 2b50.png 2728.png ส่งผลให้เกิดภพชาติใดจะมีชื่อเสียงโด่งดัง ไปทั่วทุกสารทิศ ไปไหนก็มีคนรู้จักเคารพนับถือ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็จะเจริญก้าวหน้า
    1f50a.png เป็นผู้มีวาจาดังกังวาน 2728.png และคำพูดศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่น่าเกรงขาม น่าเชื่อถือ น่าเคารพ ยังส่งผลให้ติดต่อค้าขายเจรจาดีมาก มีความจำเป็นเลิศ อายุยืนยาว

    1f50a.png แก้กรรม ให้กับผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้ชื่อเสียง หรือ เสียงอย่างนักร้อง ผู้ที่มีความบกพร่องทางเสียง พวกเสียงแหบ เสียงแห้ง ทั้งหลาย และคนที่ต้องติดต่อทำการค้า เจรจาต่อรอง
    ติดตามรายละเอียดของงานบุญทุกงานได้ที่
    https://www.facebook.com/profile.php?id=100004016811944

    43202993_1657309057714164_8400207860557938688_n.jpg
    43221156_1657309091047494_7100617616544235520_n.jpg
    43089978_1657309127714157_3831588269481525248_n.jpg
    43053179_1657309164380820_6306039990950297600_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    อานิสงส์ของทานและการชักชวนคนอื่นทำบุญ..โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    การให้ทานนี้อย่างลืมนะว่าถ้าใจยังไม่หนักแน่นพอ คนที่เรายังไม่ชอบใจอย่างเพิ่งให้ ให้แต่คนที่เรารักหรือคนที่เราไม่เกลียดต่อไปถ้ากำลังใจสูงขึ้น จิตสบาย มีอุเบกขาดี มีเมตตาบารมีสูง ก็ให้ไม่เลือก ให้เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ คือกิเลสของเรา

    กำลังใจในการให้ทานน่ะเป็นจาคานุสสติ ก่อนที่จะคิดให้เป็นจาคานุสสติ อันนี้อนุสสติอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีประจำใจแล้วมันก็ตกนรกไม่ได้ จะยกตัวอย่าง มันก็ยาวเกินไป จะขอพูดถึง อานิสงส์การให้ทาน ที่สมเด็จพระพิชิตมารทรงตรัสว่า สมัยพระพุทธกัสสปท่านเทศน์อย่างนี้ ท่านบอกว่า

    บุคคลผู้ใดให้ทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนคนอื่น ตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดใหม่จะมีทรัพย์สมบัติมาก จะเป็นคนร่ำรวย เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี แต่ว่าขาดเพื่อน ขาดคนเป็นที่รัก มันก็โดดเดี่ยวแย่เหมือนกัน

    บุคคลผู้ใดดีแต่ชักชวนบุคคลอื่น แต่ว่าตนเองไม่ให้ทาน ท่านบอกว่าตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดชาติใหม่ มีพรรคพวกมาก แต่ยากจน

    บุคคลใดให้ทานด้วยตนเองด้วยแล้วก็ชักชวนบุคคลอื่นด้วย ตายจากชาตินี้ไปเกิดใหม่ เป็นคนรวยด้วย มีพวกมากด้วย

    บุคคลใดไม่ให้ทานด้วยตนเองด้วย แล้วไม่ชักชวนชาวบ้านด้วย จะไม่มีทรัพย์สมบัติเป็นคนยากจนเข็ญใจ เกิดเป็นคนยากจนไม่มีคนคบหาสมาคม ขอทานก็ยาก เป็นยาจก ขอทาน แล้วขอก็ไม่ค่อยจะได้ ไม่มีใครเขาอยากจะให้ มีแต่คนรังเกียจ

    การให้ทานที่ก่อนจะถึงนิพพานน่ะ เราจะต้องมีความสุขในทรัพย์สมบัติก่อน จะไปคิดว่าการให้ทานเป็นการกำจัดโลภะความโลภ หรือมีผลอันน้อยแค่กามาวจรอันนี้ไม่ถูก ถ้าเราจะไปนิพพาน ถ้าเราลำบากมันไปยาก ใจไม่สบาย จะเล่านิทานสักเรื่องหนึ่ง เอาไหม มันจะช้าก็ช้า จะจบเมื่อไรก็ช่าง ก็เล่าสู่กันฟัง

    ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่มีคนหนึ่งเขามาเกิด แต่คนคนนี้น่ะในชาติก่อนๆ เวลาบำเพ็ญบารมีตัดทานบารมีออกจากใจ แต่ความจริงเขาก็ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร เขามีจาคานุสสติกรรมฐานเป็นปกติ ได้จาคานุสสติกรรมฐาน ตัวนี้เขาไม่ได้ให้ แต่จิตเขาละความโลภ คือละความอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นที่ใครไม่ให้เขาโดยชอบธรรมน่ะเขาไม่เอา เขาไม่อยากได้ แต่ว่าเขาไม่ให้ทาน ที่ว่า “ทานัง สัคคโสน ปาณัง” ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ทานเป็นบันไดให้ไปเกิดบนสวรรค์” เขาบอกว่ามันต่ำไป เอาบุญที่เป็นปรมัตถบารมีดีกว่า คือ

    ๑. มีศีลบริสุทธิ์
    ๒. สมาธิตั้งมั่นก็ระงับนิวรณ์
    ๓. มีปัญญาแจ่มใส เพื่อตัดกิเลส

    ก็เป็นการบังเอิญว่าชาตินั้นเขายังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าก็ต้องตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดา ก็สงสัยอาจจะเป็นเทวดาคนจนก็ได้ ทิพย์สมบัติอาจจะสู้ชาวบ้านเขาไม่ได้ ทีนี้ก็กลับมาเกิดใหม่ มาเกิดเป็นลูกหญิงแพศยา เป็นโสเภณี
    โสเภณีเวลานั้นถือว่าเป็นตระกูล เป็นอาชีพอาชีพหนึ่งสังคมหรือสมาคมหนึ่ง แต่ว่าโสเภณีน่ะเขาต้องการเฉพาะลูกผู้หญิง เขาไม่เหยียดหยามเหมือนสมัยนี้ว่าโสเภณีเลวไม่ใช่อย่างนั้น เขาถือว่าโสเภณีก็เป็นตระกูลหนึ่งที่มีศักดิ์ศรี พอออกมาเป็นลูกผู้ชาย เขาไม่ต้องการ เขาก็เลยไปหมกป่าไว้ ทิ้งปล่อยให้ตาย ก็สืบตระกูลเป็นโสเภณีไม่ได้
    เวลานั้นโสเภณีผู้ชายยังไม่มี ถ้าบังเอิญมีโสเภณีผู้ชายอย่างสมัยนี้ บางประเทศก็จะหากินคล่องเหมือนกัน เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของบุคคลแต่ละคน
    ก็รวมความว่าเขาเกิดมาไม่มีความสุข ถูกปล่อย แต่เขาก็ไม่ตาย เขาไม่ตายเพราะอะไร เพราะว่ามีบุญรักษา เขาจะเป็นอรหันต์ในชาตินี้ เขาถูกหมกอยู่อย่างนั้นไม่ตาย ถูกแวดล้อมไปด้วยสัตว์รักษาไว้ จนกระทั่งเป็นหนุ่มเดินไปเดินมา เดินเที่ยวไปก็ไม่มีอะไรจะกิน แต่บุญรักษาเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่ต้องกินอาหาร
    ต่อมาวันหนึ่งเดินเข้าไปชายป่า เห็นคนเขาเอาอะไรมาฝังไว้เป็นลูกเขาออก เอารกมาฝังก็แอบดู พอเขาไปแล้วก็ย่องเข้าไปขุดเห็นรกเด็ก เลยนำรกมากิน ในชีวิตเขาได้กินเท่านั้นอย่างเดียว นี่การขาดทานบารมี หลังจากนั้นก็เดินไปเดินมาเห็นพระท่านมีความสุข เลยขอบวช พระอุปัชฌาย์ก็ให้บวช
    ในเมื่อบวชแล้วเวลาบิณฑบาตตอนเช้า พระใหม่ก็ต้องเดินข้างหลังตามระเบียบ เพราะเดินตามอาวุโส ชาวบ้านใส่บาตรจากหน้า พอจะถึงองค์หลัง ข้าวหมดพอดี นี่อานิสงส์ของการไม่ให้ทาน ท่านก็เดือดร้อน ไม่ได้กินข้าว อุปัชฌาย์ต้องแบ่งให้ ถึงอุปัชฌาย์จะแบ่งให้ หาเองไม่ได้ ใจก็ไม่สบาย
    วันที่สอง ท่านอุปัชฌาย์บอกว่า “วานนี้เขาใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันนี้คุณเดินข้างหน้า ทุกคนใส่จะต้องถึงคุณ” แต่ความจริงพระอุปัชฌาย์เป็นพระอรหันต์ อย่างต่ำก็ต้องเป็นวิชชาสามหรืออภิญญาหกแน่ เพราะรู้เรื่องในใจดี รู้กฎของกรรมดี ท่านต้องการพิสูจน์ผลว่า คนไม่ให้ทานนั้นมันมีผลเป็นอย่างไร
    วันที่สอง ชาวบ้านว่า “วานนี้ใส่หน้าไม่ถึงหลังวันนี้รวมกันใส่จากหลังมาหาหน้า” พอจะถึงองค์หน้าข้าวหมดพอดี แต่ความจริงเขาตั้งใจจะให้ถึง แต่กฎของกรรมมันบันดาลให้ตักข้าวหมด
    วันที่สาม อุปัชฌาย์บอกว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณยืนกลาง เขาใส่ทางไหนมันพอทั้งนั้น” เป็นอันว่าท่านยืนกลาง วันที่สาม ชาวบ้านบอกว่า “วันต้นใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันที่สอง ใส่หลังไม่ถึงหน้า วันนี้เราแบ่งเป็นสองพวก ใส่จากข้างหน้ามาหนึ่งพวก ใส่จากข้างหลังมาหนึ่งพวก” เขาก็ทำตามนั้น ปรากฏว่าทั้งสองพวกพอจะถึงองค์กลางข้าวหมดพอดี
    วันที่สี่ พระอุปัชฌาย์บอกว่า “ยืนรองฉัน มันใส่แบบไหนถึงทั้งนั้น
    ในวันต่อมาเขาใสบาตรตามระเบียบ ใส่บาตรที่ ๑ เขาไม่เห็นบาตรที่ ๒ ไปใส่บาตรที่ ๓ พอวันต่อมาอุปัชฌาย์บอกว่า “คุณยืนรองฉัน” ท่านเอามือจับบาตรไว้ เขาจึงเห็นบาตรของท่าน
    นี่การให้ทานถ้าบารมีไม่เต็มจริงๆ ถ้าไปโดนเข้าแบบนี้เราจะถูกความหิวทรมานขนาดไหน แต่นั่นบังเอิญเป็นบารมีของท่านเต็มจะได้เป็นพระอรหันต์ ยังต้องถูกทรมานจิตใจแบบนั้น เห็นโทษเห็นทุกข์แห่งการเกิด อุปัชฌาย์แนะนำไม่นานนักท่านก็เป็นอรหันต์ เมื่อเป็นอรหันต์แล้วชาวบ้านก็เห็นบาตรเพราะเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว

    43145674_1657543684357368_5292057985424556032_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    #การอุทิศส่วนกุศล
    ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ลูกทำสังฆทานให้สัมภเวสี ถ้ากลับไปแล้วจะ กรวดน้ำ ให้ได้ไหมคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “การอุทิศส่วนกุศล ในพระพุทธศาสนานี่ไม่มีน้ำ แต่ว่าที่พระเจ้าพิมพิสารทำเป็นองค์แรก เพราะว่าศาสนาพราหมณ์ เขาถือว่าถ้าจะให้อะไรกับใคร ต้องให้คนนั้นแบมือแล้วเอาน้ำราดลงไป และตอนที่พระเจ้าพิมพิสารทำ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ห้าม เพราะเป็นประเพณีนิยม

    เวลาที่พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนกุศลต้องใช้น้ำ เพราะว่าท่านเพิ่งพบพระพุทธเจ้า ประเพณีของพราหมณ์ยังชินอยู่ แต่ว่าใจท่านตั้งตรง เวลาอุทิศส่วนกุศลจริงๆ ในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องใช้น้ำ ผีกับเปรตต้องรีบวิ่งกลับ เพราะไม่ได้กินแน่ เพราะฉันเคยพบมาแล้ว แต่ไม่มีน้ำน่ะว่า “อิมินา” เพลินไป ยังไม่ถึงครึ่ง ก็มีคน ๒ คนถือโซ่มาคล้องคอปั๊บลากไปเลย”

    ผู้ถาม :- “มีบางคนบอกว่า “กรวดน้ำแบบแห้ง” ตายไปชาติหน้าจะแห้งแล้งเพราะไม่มีน้ำ โบราณพูดอย่างนี้จะจริงหรือเปล่าคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “เขาพูดได้ยินหรือเปล่า คนที่พูดมาได้ยินหรือเปล่า … คนโบราณพูดอย่างนี้ คนโบราณพูดหรือเปล่า … ถ้าได้ยินแสดงว่าเขาพูดจริง แต่ก็ไม่ได้แห้งแล้งจริง

    การอุทิศส่วนกุศล พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใช้น้ำ ฉันใช้น้ำวันเดียววันบวช ว่าไม่ถูกเลย ต้องระวังน้ำหยดอีก ผีไม่ได้กินน้ำ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันไม่เคยใช้น้ำเลย ก็เห็นผีได้รับ แต่ชาติหน้าถ้าจะทำอย่างนั้น ถ้าฉันยังไม่ตายก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรนะ กินน้ำเกลือเผื่ออยู่แล้ว เผื่อชาติหน้าจะอด”

    ผู้ถาม :- “อ้อ… มิน่าละ หลวงพ่อถึงให้น้ำเกลือบ่อยๆ”

    หลวงพ่อ :- “ใช่ มีทั้งน้ำสะอาด น้ำเกลือ น้ำหวาน เผื่อไว้ตลอด

    รวมความว่า เวลาจะอุทิศส่วนกุศล ให้ใช้ภาษาไทยสั้นๆ อย่างทำบุญสังฆทาน เราก็ตั้งใจว่า “การบำเพ็ญกุศลในวันนี้ ผลนี้จะมีแก่ข้าพเจ้าเพียงใด ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่ …(บอกชื่อ)… ขอให้มาโมทนารับผลเช่นเดียวกับข้าพเจ้า”

    และตอนที่พระสงฆ์ให้พรนี้ ก็ขอเจ้าภาพทุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว ตั้งจิตปรารถนาเอาตามประสงค์ สมมติท่านทั้งหลายตั้งใจเพื่อ พระนิพพาน อันนี้ก็ต้องเผื่อไว้ด้วยว่าหากสมมติว่าเราตายจากชาตินี้แล้ว ยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงไร สมมติว่าเราตาย ถ้าเราไม่เผื่อไว้ละก็มันจะขลุกขลัก ฉะนั้นการอธิษฐานจิต คือตั้งอธิษฐาน เขาเรียกว่า อธิษฐานบารมี

    เจริญพระกรรมฐานก็ดี ถวายสังฆทานก็ดี อธิษฐานว่า “ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน แต่ทว่าถ้าหากข้าพเจ้ายังเข้าไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด จะเกิดใหม่ไปในชาติใดก็ตาม ขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฎแก่ข้าพเจ้า” ถ้าเราต้องการอะไรให้มันมีทุกอย่าง จะไม่รวยมากก็ช่าง เท่านี้ก็พอแล้ว”

    ผู้ถาม :- “เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลัง จะได้ไหมคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่ง สักกี่ปีๆ บุญก็ยังมีอยู่ ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้วเดี๋ยวเดียวมันหายไป ไม่ใช่อย่างนั้นนะ”

    ผู้ถาม :- “แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศล จะได้บุญเต็มที่ไหมคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศลนี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียว ใช่ไหม … ทีนี้ถ้าเราให้เขา ของเราไม่หมด อีกส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบจากของเดิม

    อย่างเรื่องของ พระอนุรุธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคน เกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะ จะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านมารับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    “สมมติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม แล้วคบทุกคนก็สว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไหม…?”

    ท่านอนุรุธ ก็บอกว่า ไม่ยุบ

    แล้วท่านก็บอกว่า “การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเรา เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์”

    ผู้ถาม :- “การแผ่ส่วนกุศลไปให้แก่บิดามารดา ท่านจะได้รับผลไหมคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “การได้รับส่วนกุศลนี่ ถ้าหากท่านมีโอกาสโมทนา ท่านก็ได้รับ ถ้าท่านไม่มีโอกาสโมทนา ก็ไม่ได้รับ เหมือนเราเอาสิ่งของไปให้ แต่ผู้รับเขาไม่รับ เขาจะได้ไหม … ถ้าพวกเขาอยู่ในนรก ไฟไหม้ทั้งวัน ถูกสรรพาวุธสับฟันทั้งวัน ถ้าเราเอาขนมไปให้กิน เขากินได้ไหม”

    ผู้ถาม :- “ไม่ได้ค่ะ”

    หลวงพ่อ :- “อยู่ในแดนเปรต ๑๑ จำพวก ไม่ได้รับ แต่ถ้าเป็นพวกที่ ๑๒ ปรทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้มีโอกาสโมทนา”

    ผู้ถาม :- “แล้วผู้สร้างจะได้ไหมคะ”

    หลวงพ่อ :- “ไม่แน่ ถ้าสร้างดีก็ได้บุญ ถ้าสร้างไม่ดีก็ได้บาป”

    ผู้ถาม :- “เป็นไงคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “คือก่อนทำบุญ ก็กินเหล้าก่อน พอพระไปก็กินเหล้ากันแล้ว ถ้าหากมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีบาป มีแต่บุญ ผู้สร้างได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คือบุญนี่จะได้แก่ผู้สร้างก่อน แล้วผู้สร้างอุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่น ถ้าเขามีโอกาสโมทนา ก็ได้รับ”

    ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ คำว่า เจ้ากรรมนายเวร นี่หมายถึงใครบ้างครับ …?”

    หลวงพ่อ :- “เจ้ากรรมนายเวรนี่ตัวตนไม่มีหรอก มันเป็นเรื่องของกรรม ที่เป็น อกุศลกรรม ถ้าบอกว่า เจ้ากรรมนายเวร ก็หมายถึง บาปที่เป็นอกุศลที่เราทำไว้

    ตัวจริงที่เราเคยทำเขาไม่มายุ่งกับเราหรอก อย่างเราฆ่าปลาตาย ปลาเขาก็ไม่มายุ่งกับเรา แต่ว่ากฎของกรรมมันมาเล่นงานเรา ถ้าปลานั่งจองเวรคอยลงโทษเรา แกก็ไม่ต้องไปเกิดละ

    คำว่า เจ้ากรรมนายเวร นี่นะ ถ้าพูดตามส่วนจะว่าไม่มีก็ไม่ได้ ถ้าหากเราปฏิบัติถึงขั้น สุกขวิปัสสโก เราจะบอกว่าไม่มีตัวเพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่ เตวิชโช ขึ้นไปเขาเห็น ต้องพูดตามขั้นนะ ถ้าเราว่ากันตามหนังสือก็คิดว่าจะไม่มี”

    ผู้ถาม :- “แล้วถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เขาจะได้รับไหมคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “คือว่าอุทิศไปให้เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผลให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลที่เราทำไปแล้ว เราไปยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเราทำกรรมดีมีกำลังเหนือมันก็กวดไม่ทันเหมือนกัน

    สำหรับคำอุทิศส่วนกุศลที่ใช้อยู่เดี๋ยวนี้ ก็ยาวเหมือนกัน แต่ยาวตามท่านบอก บทอุทิศส่วนกุศลท่อนแรก ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร นั่นหลวงปู่โตมาบอก แล้วก็บทอุทิศส่วนกุศลอีก ๓ ท่อน พระยายมราชบอกมา

    สำหรับตอนที่สองที่ให้เทวดาโมทนา ท่านบอกว่า
    “เวลาอุทิศส่วนกุศลน่ะ ขอบอกให้ผมเป็นพยานด้วย”

    ท่านบอกว่า
    “ลูกหลานของท่านก็คือลูกหลานของผม และมันก็ไม่แน่นักหรอก บางทีไปอยู่สำนักผม มันอาจจะลืมก็ได้ เขาอาจจะนึกถึงบุญไม่ออก ถ้านึกถึงบุญไม่ออก ผมก็จะได้บอกว่า เขาสั่งให้เป็นพยาน

    มันเป็นธรรมดา ถ้าทำทั้งบุญทั้งบาป บางทีกรรมบางอย่างมันปกปิด เวลาถามเรื่องบุญนี่มันนึกไม่ออก ถ้านึกไม่ออกก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องปล่อยตกนรก หากว่าถาม ๓ เที่ยวนึกไม่ออก ผมจะได้ประกาศว่า นี่เขาเคยบอกฉันไว้ เวลาทำบุญเขาบอกให้ฉันเป็นพยาน แล้วก็ประกาศกุศลนั้น ก็ได้ไปสวรรค์”

    ผู้ถาม :- “ทีนี้การอุทิศส่วนกุศลแก่บุคคลต่างๆ ที่ตายไปแล้ว จำเป็นไหมครับว่าจะต้องออกชื่อ รู้สึกว่ามีมากเหลือเกิน”

    หลวงพ่อ :- “ถ้านึกได้ก็ออกชื่อเขาก็ได้ ถ้าออกชื่อน่ะดีอยู่ อย่างถ้ากรรมหนาอยู่นิด ถ้าออกชื่อเจาะจงเขาได้เลยนะ ถ้านึกไม่ออกก็ว่ารวมๆ “ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี” เอายังงี้ดีกว่า ถ้าขืนไปไล่ชื่อ น่ากลัวจะไม่จบ

    มันมีอยู่คราวหนึ่ง นานแล้ว ไปเทศน์กัน ๓ องค์ บังเอิญที่ไปก็มีอารมณ์จิตคล้ายคลึงกัน เวลาเพลเขาก็ถวายอาหาร ก็มีพระอื่นด้วยรวมแล้ว ๕ องค์

    ทีนี้ตาทายกเขานำอุทิศส่วนกุศลวันในนั้น แกก็ออกชื่อคนตาย แล้วก็บรรดาญาติทั้งหลายที่ตายไปแล้ว บอกเท่านั้นแหละ พวกผีก็เข้ามาเป็นหมื่นล้อมรอบศาลาอยู่ ไอ้คนที่เป็นญาติรับโมทนาแล้วผิวพรรณดีขึ้น ไอ้พวกที่มิใช่ญาติก็เดินร้องไห้กลับ

    พอเขานิมนต์ขึ้นไปเทศน์ ตอนลงท้ายเขาถามถึงว่าการอุทิศส่วนกุศลทำยังไง องค์ที่มีปากร้ายอยู่สักหน่อยบอกว่า

    ญาติโยมที่นำอุทิศส่วนกุศล อย่าให้ใจแคบเกินไปนักซิ อย่าลืมว่าการทำบุญแต่ละคราว พวกปรทัตตูปชีวีเปรตก็ดี พวกสัมภเวสีก็ดี จะมายืนล้อมรอบ อย่างสวดบท “อยัญจะโข” น่ะ พวกบรรดาผีทั้งหลายทั่วบริเวณจะคอยโมทนา แต่ถ้าเราให้แต่ญาติ ญาติก็จะได้ แต่บุคคลอื่นไม่ใช่ญาติจะไม่ได้ ฉะนั้นก็ควรจะให้ต่อๆกันไป คือว่าให้ทั้งหมด “ทั้งญาติและไม่ใช่ญาติ”

    ของฝากจากพระยายม

    (เรื่อง การอุทิศส่วนกุศล ท่านพระยายม (ลุงพุฒิ) ท่านมาสั่งหลวงพ่อให้บอกลูกหลาน เมื่อวันปวารณาออกพรรษาปี ๒๕๓๑ ซึ่งหลวงพ่อได้เล่าให้ฟังดังนี้)

    หลวงพ่อ :- พระยายมกับท่านลุง (นายบัญชี) มาเที่ยววันออกพรรษา บอกว่า “คนที่ผมจะช่วยได้ ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักผมเท่านั้นนะ”

    ถามท่านว่า “ลุงมีข่าวอะไร ส่งข่าวบ้างล่ะ”

    ท่านบอก “ไม่มี ผมหยุดนรกการ ๓ วัน”

    รู้จักไหม … ชาวบ้านเขาหยุดราชการ ใช่ไหม … ท่านหยุดนรกการ ๓ วัน เมื่อวานนี้ (ออกพรรษา) วันนี้ (ปวารณา) และพรุ่งนี้

    ถาม “ทำไม”

    ท่านบอกว่า “วันสำคัญนี่ วันมหาปวารณาผมไม่สอบสวน”

    เลยถามว่า “ถ้าเวลาที่ลุงไม่สอบสวน พวกที่คอยการสอบสวน เขามีอิสระใช่ไหม…”

    ท่านบอกว่า “ตามปกติเขาก็มีอิสระอยู่แล้ว ไอ้ที่ไปยืนที่นั่น เขายืนรอคนไม่ให้ลงนรกเท่านั้นเอง”

    คือว่าท่านมีหน้าที่ไม่ให้ลงนรก แต่ก็ต้องไปตามกฎของกรรม ถ้ารู้กฎของบุญนิดหนึ่ง ท่านให้ไปสวรรค์ก่อนเลย ท่านจัดอย่างนั้น

    เลยถามท่านว่า “ถ้าเขามีอิสระอย่างนี้ เขาไปได้ไหม”

    ท่านบอกว่า “เขาไปไหนก็ได้ ถึงเวลาสอบสวนเขาก็มาเอง กฎของกรรมมันบังคับ”

    หมายความว่าเขาจะต้องถูกสอบสวน ไม่งั้นเขาจะลงนรกทันที ถ้าเขามาที่นั่น ยังมีโอกาสพ้นหรือไม่พ้น ยังไม่แน่

    เลยถามว่า “ถ้าบรรดาญาติเขาอุทิศส่วนกุศลให้ เขาจะมีโอกาสได้รับไหม..?”

    ท่านบอกว่า “ถ้าญาติฉลาด ได้รับทุกคน”

    ญาติฉลาด หมายความว่า ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ตรงให้คนเดียว อย่าให้คนอื่น แต่ต้องออกชื่อนะ เพราะเวลานั้นยังเป็นเวลาปลอดอยู่ มีสภาพคล้ายสัมภเวสี

    ก็ถามท่านว่า “ทำบุญอย่างไหน พวกนี้จึงจะไปสวรรค์ชั้นสูง มีความสุขมาก มีความสุขน้อย หรือไม่ได้รับเลย”

    ท่านบอกว่า “แดนใดที่ไม่มีบุญ ทำแล้วก็ไม่ได้รับเหมือนกัน”

    หมายความว่า พระเรานี่ละ เป็นพระแต่หัวแต่ผ้าเหลืองมีไหม … นี่แหละทำไปเท่าไรเจ๊งหมด ขาดทุน

    ท่านบอกว่า อย่างนี้ทำเท่าไรก็ไม่มีผล อุทิศส่วนกุศลให้แก่พวกนั้น เขาก็ไม่ได้รับ เพราะรับไม่ไหว ถ้าทำบุญที่เขตมีบุญน้อย เขาก็มีอานิสงส์น้อย เขาก็มีความสุขน้อย นี่เราไม่ต้องพูดกัน ทำบุญที่มีอานิสงส์ใหญ่ที่เป็นบุญมาก ก็ได้รับผลมาก

    ก็ถามถึงบุญ ท่านบอก “สังฆทาน” นี่ดีที่สุด

    แล้วท่านก็บอกว่า “ไปบอกชาวบ้านเขานะว่า คนที่ผมช่วยได้จริงๆ ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักผมเท่านั้นนะ”

    อย่างสัมภเวสี เปรต อสุรกาย ไม่ผ่านท่าน ท่านช่วยไม่ได้ แล้วคนที่ลงนรกทันทีทันใด ก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่ได้ผ่านสำนักท่าน เมื่อผ่านสำนักท่านก็ต้องไปคอยอยู่

    เลยถามท่านว่า “ทำอย่างไรถึงความแน่นอนจึงจะปรากฏ ลุงจะช่วยได้”

    ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ เวลาเขาทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้แก่คนตาย ถ้ายังไม่มั่นใจ ให้บอกว่า “ถ้าบุคคลนี้ยังไม่มีโอกาสโมทนาเพียงใด ขอพระยายมเป็นพยานด้วย ถ้าหากพบเธอเมื่อใด ขอให้บอกเธอโมทนาเมื่อนั้น”

    ท่านบอกว่า “เพียงแค่เท่านี้แหละ ผมก็ไม่ต้องสอบสวน มันโผล่หน้าเข้าไป ผมก็บอกว่า เฮ้ย! ข้าทำบุญอย่างโน้นมึงโมทนาเว้ย… มันก็ไปสวรรค์เลย แค่นี้ละผมก็ไม่ต้องเหนื่อย”

    (แล้วหลวงพ่อก็จบการสนทนาระหว่างท่านกับพระยายมเพียงแค่นี้ และขอนำเรื่อง พยานบาป-พยานบุญ ที่หลวงพ่อได้เล่าในหนังสืออ่านเล่น เล่ม ๑ มาเสริมเพื่อให้เรื่อง การอุทิศส่วนกุศล นี้สมบูรณ์ขึ้น)

    พยานบาป

    หลวงพ่อ :- “ท่านลุงชวนเดินต่อไป ผ่านอาคารสอบสวนไปทางทิศตะวันออก มองเห็น ไก่ เป็ด หมู วัว ควาย และสัตว์ต่างๆ ที่มนุษย์กินอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ถามไก่ว่า มีเท่าไร ไก่บอกว่านับแสน ถามเป็ด เป็ดก็บอกว่านับแสนเหมือนกัน หมู วัว ควายก็เป็นแสนเหมือนกัน

    ถามพวกเธอว่า มารวมกันทำไมมากมายอย่างนี้ พวกเธอบอกว่า มาเป็นพยานให้พระยายม เมื่อท่านเรียกผู้ฆ่าสัตว์มาสอบสวน เธอจะเข้าไปรายงานก่อนว่า คนนี้ฆ่า เชือด จับให้เชือด หรือสั่งให้ฆ่า เป็นต้น

    เป็นอันว่า วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๓๑ เป็นวันสารทจีนของคนจีนพอดี เลยทำให้คิดว่า สารทจีนทั่วโลก ต้องฆ่าสัตว์นับล้าน ก็น่าคิด”

    พยานบุญ

    หลวงพ่อ :- “เมื่อเดินเลยไปอีก ก็มี คน สัตว์ อีกจำนวนมาก แต่ไม่มากเท่าพยานบาป เมื่อถามเธอ เธอบอกว่ามาเป็นพยานบุญที่เขาช่วยเหลือไว้ เมื่อพระยายมถามถึงบุญที่เขาทำ ถ้าเขานึกไม่ออก เธอจะเข้าไปรายงานพระยายมว่าเขาเคยช่วยชีวิตไว้ เมื่อพระยายมฟังแล้ว จะให้เขาไปสวรรค์ก่อน ชมมาถึงแค่นี้ใกล้เวลาจะเพล จึงกลับ”

    (จึงขอให้ท่านระลึกอยู่เสมอว่า จะทำดีหรือทำชั่ว มีพยานคอยเราอยู่แล้วที่สำนักพระยายม)

    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑ หน้า ๘๐-๙๐
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

    43226043_1659248967520173_479005981557129216_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  9. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f64f.png บุญสองเด้ง..
    1f343.png ขอเชิญทุกท่านร่วมบุญเป็นเจ้าภาพผ้าไตรกฐินจีวรจำนวน1ไตร(ผ้ามิสลินอย่างดี1,800บาท)
    1f449.png และร่วมบุญเป็นเจ้าภาพโรงทานขนมปังไส้มะพร้าวจำนวน1,000ชิ้นในงานกฐินของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    2728.png ตรงกับวันอาทิตย์ที่28ตุลาคม2561ค่ะ
    โรงทานชื่อว่า 2728.png เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยานโดย น้ำฝน บุญสิงห์และคณะญาติธรรมค่ะ 2728.png
    1f449.png ขนมปังไส้มะพร้าวชิ้นละ7บาท(รวมค่าขนส่ง)1,000ชิ้น7,000บาท(ถ้ามีเงินเกินมาจะนำร่วมบุญกฐินที่วัดท่าซุงทั้งหมด)
    โอนร่วมบุญได้ที่ธ.กสิกรไทย004-3-88112-4
    น้ำฝน บุญสิงห์ค่ะ
    1f449.png ปิดรับวันที่25ตุลาคม2561
    2728.png เป็นความศรัทธาของน้ำฝนและคณะญาติไม่เกี่ยวข้องกับวัดท่าซุงแต่อย่างใด

    43349957_1661357917309278_2494101493200715776_n.jpg
    43248252_1661357970642606_7414943187489259520_n.jpg
    43191763_1661358003975936_5076707191331749888_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f337.png 1f33b.png 1f33a.png การเทียบบารมี ๓ ระดับ โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง 1f33a.png 1f33b.png 1f337.png

    . 1f337.png 1f33b.png .การเทียบบารมี เขาจัดเป็น ๓ ชั้น บารมีต้น ท่านเรียก “บารมี” เฉยๆ บารมีตอนกลางท่านเรียก “อุปบารมี” บารมีสูงสุดท่านเรียก “ปรมัตถบารมี”

    . 1f337.png .ถ้าคนที่มีบารมีต้นในขั้นเต็ม ท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะ “ทานกับศีล” เขาจะทำสะดวกเฉพาะ “การให้ทาน” กับ “การรักษาศีล” แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล ๘ อย่างเก่งก็มีกันแค่ศีล ๕ ท่านผู้นี้จะไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าชวนในการเจริญสมาธิทำกรรมฐาน ท่านบอกว่าทำไม่ได้ กำลังใจไม่พอ หรือจะพูดให้ดีอีกนิดท่านบอกว่าไม่ว่างพอ เวลาไม่มีนี่สำหรับคนที่มีบุญบารมีขั้นต้นจะอยู่กันแค่นี้

    . 1f337.png .ถ้ามีบารมีเป็น อุปบารมี เขาเรียกว่า บารมีขั้นกลาง อุปบารมี นี่พร้อมที่จะทรงฌานโลกีย์ บารมีนี้พร้อมเรื่องฌานโลกีย์นี่ทรงได้แน่ ท่านพวกนี้จะพอใจในการเจริญพระกรรมฐานแล้วก็พอใจในการทรงฌาน แต่ว่าถ้าจะชวนในขั้นบุกบั่นในวิปัสสนาญาณ ท่านจะบอกว่าไม่ไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิวิปัสสนาญาณ อาจจะมีบ้างแต่ก็ไม่เข้มแข็งนัก เพราะว่าสมถะกับวิปัสสนานี่แยกกันไม่ได้ ต้องอยู่คู่กัน แต่กำลังด้านวิปัสสนาญาณจะต่ำ จะเข้มแข็งเฉพาะสมถภาวนา แล้วท่านพวกนี้ถึงแม้ว่าจะพอใจในการเจริญกรรมฐาน ถ้าเราบอกว่าหวังนิพพานกันเถอะ ท่านพวกนี้ก็บอกว่าไม่ไหว กำลังใจไม่พอ จะชวนไปนิพพานขนาดไหนก็ตาม เขาจะไม่พร้อมจะไป และก็ไม่พร้อมจะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ อันนี้เป็นอุปบารมีนะ

    . 1f337.png .ถ้าเป็นปรมัตถบารมี เราจะเห็นว่าอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อยพอสมควร อาศัยบารมีเก่าเพิ่มพูนหนุนขึ้นมาก็มีความต้องการเรื่องพระนิพพาน พวกที่มีจิตหวังนิพพานนี่จะไปชาตินี้ได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานกันจริงๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ คือต้องหวังหลายๆชาติ ถ้าจิตหวังนิพพานจริงๆพวกนี้ก็มีหวัง ที่เรียกว่ามีบารมีเป็นปรมัตถบารมี

    . 1f337.png .ฉะนั้นคนที่จะมีบารมีเข้าถึงปรมัตถบารมีก็ดี อุปบารมีก็ดี ท่านพวกนี้ต้องผ่านความเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมกันมามาก เพราะว่าบารมีขั้นต้นก็สามารถเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าได้ แต่เป็นพรหมไม่ได้ เพราะบารมีขั้นต้นนี่จะไม่มีฌานโลกีย์ พรหมนี่จะทำบุญแบบไหนก็ตาม ถ้าไม่มีฌานโลกีย์จะไม่สามารถเป็นพรหมได้ สำหรับอุปบารมีนี่เขาพร้อมในการทรงฌาน แต่ว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย ก็ไปเป็นพรหมไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเวลาจะตายเข้าฌานตายก็ไปเป็นพรหมได้ เขาพร้อมแล้ว

    . 1f337.png .สำหรับท่านที่มีบารมีเป็น ปรมัตถบารมี บางทีก็จะเห็นว่าเรายังบกพร่องในความดีอยู่มาก ศีลก็บกพร่อง สมาธิก็ไม่ทรงตัว ปัญญาก็ไม่แน่นอนนัก ไอ้อย่างนี้มันก็ไม่แน่นอน เพราะคนที่จะไปนิพพานจริงๆ มันอยู่แค่หัวเลี้ยวหัวต่อ อาศัยความเคยชิน อาศัยการฝึกไปบ้าง มากบ้าง น้อยบ้าง ทำผิดบ้าง ทำถูกบ้าง แค่ว่าอารมณ์ชินของอารมณ์ดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ “ไม่ต้องการเกิด” มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่าการเกิดขึ้นมามันเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเกิดอย่างนี้จะไม่มีกับเราอีก เราจะมีความเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย วันหนึ่งถ้าคิดอย่างนี้สัก ๒ นาที คิดทุกวัน อารมณ์นี้มันจะชิน คำว่าชินก็คือฌาน ฌานก็คือชิน

    . 1f337.png .ในเมื่ออารมณ์คิดจนชินเกิดขึ้นมา แต่มันก็ไม่มากนัก เห็นทุกข์วันละ ๒ – ๓ นาทีนอกจากนั้นก็เผลอเห็นเป็นสุข หรือเมื่อมีงานเข้ามาคั่น เขาไม่ได้นึกถึงตัวทุกข์ ก็จะหาว่าเขาเลวไม่ได้ ต่อเมื่อมีเวลาใกล้จะตายขึ้นมาจริงๆ มันป่วยไข้ไม่สบาย การป่วยไข้ไม่สบายมันบังบคับจิตให้เห็นว่าร่างกายมันเป็นทุกข์ว่า คนป่วยไม่มีส่วนไหนของร่างกายเป็นสุข แม้แต่ลมก็มีการขัดข้องอยู่เสมอ ก็เห็นว่าการเกิดมันไม่ดีแบบนี้ ร่างกายก็ป่วยอารมณ์ก็ขัดข้อง อาศัยที่จิตคิดจนชินว่า ร่างกายเกิดเป็นของไม่ดี เป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการมัน อารมณ์นี้ก็จะเกิด ถ้าอารมณ์นี้เกิดขึ้นมาจริงๆ ก่อนหน้าจะตาย ถ้าเป็นฆราวาสอารมณ์นี้มันจะหนักแน่นในวันนั้นแล้วก็ตายวันนั้น มันอาจจะเกิดมาตอนก่อนๆ มันอาจจะอ่อนไปหน่อย

    . 1f337.png .ถ้าจิตคิดจริงๆ ว่าการเกิดเป็นของไม่ดี มันเป็นทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการมัน อีกจิตหนึ่งวางเฉย เข้าขั้น สังขารุเปกขาญาณ เป็นวิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย สังขารุเปกขาญาณนี่ญาติโยมฟังแล้วเข้าใจด้วยนะ สังขารุเปกขาญาณหมายความว่าวางเฉยในร่างกาย ร่างกายคนอื่นไม่สำคัญ สำคัญร่างกายเรา เรามีความรู้สึกว่าร่างกายของเรานี่มันไม่ดีจริงๆ เวลานี้เราปวดหัวที่โน่นบ้างเสียดที่นี่บ้าง ขัดที่โน่นบ้าง ยอกที่นี่บ้าง มันมีความหิวโหยบ้าง หมดแรงบ้าง จิตใจเพลียไปบ้าง สรุปแล้วร่างกายทั้งร่างกายไม่มีอะไรดี ถ้าความรู้สึกว่าร่างกายไม่ดีเกิดขึ้นในวันนั้น แล้วความจริงใจก็เกิดขึ้นว่าเราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก จิตก็เข้าถึงการวางเฉย ไม่ต้องการอีก มันจะตายก็เชิญตาย เราจะเชิญมันตายหรือไม่เชิญมันตาย มันก็ตาย ใช่ไหม ในเมื่อมันจะตายแต่เราไม่หนักใจในความตาย เราถือว่าถ้ามันตายเมื่อไร เราไปนิพพานเมื่อนั้น แต่วว่าเวลานั้นจะนึกถึงหรือไม่นึกถึงนิพพานก็ไม่สำคัญ ถ้านึกว่าเราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก อารมณ์พระอรหันต์มีแค่นี้นะ วันนั้นท่านจะเป็น พระอรหันต์ จิตใจจะวางเฉยในร่างกาย เห็นร่างกายของเราเราก็เฉย ไม่ต้องการมันอีก เห็นร่างกายคนอื่นเราก็เฉย อย่างนี้เขาเรียก “สังขารุเปกขาญาณ” ถ้าตายเมื่อไรก็ไปนิพพานทันที นี่ว่าถึงพวกปรมัตถบารมีนะ

    . 1f337.png .ถ้าใช้ศัพท์วิปัสสนาญาณถามว่าตัวไหนเป็นตัวสูงสุด ก็ต้องตอบว่าสังขารุเปกขาญาณสูงสุด ในวิปัสสนาญาณ ๙ เขาไปจบที่ สังขารุเปกขาญาณ แล้วก็สังขารุเปกขาญาณนี่ ทำยากหรือง่าย แต่ความจริงถ้าบอกว่ายากก็ยาก สำหรับคนมีบารมีไม่ถึง ถ้ามีบารมีเข้มข้นจริงๆ ก็เป็นของทำไม่ยาก เพราะใช้ปัญญาเข้าใจตามความเป็นจริงเท่านั้น
    . 1f33f.png
    . 1f33f.png
    1f337.png หลวงพ่อพระราชพรหมยาน 1f337.png
    1f339.png วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี 1f339.png
    269b.png 269b.png 269b.png 269b.png 269b.png 269b.png 269b.png 269b.png 269b.png 269b.png 269b.png 269b.png
    1f337.png กราบขอบพระคุณที่มาจาก คอลัมน์ คำสอนที่สายลม ๑๐ ธ.ค. ๓๑ นิตยสารธรรมะปฏิบัติรายเดือน ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๙๕.หน้า ๖๖-๖๘ .รวบรวมจัดพิมพ์โดยคณะเจ้าหน้าที่ธัมมวิโมกข์วัดท่าซุงอุทัยธานี 1f33b.png
    . 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png

    43385894_1662513860527017_4390227149479477248_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    คำสอนหลวงพ่อเรื่อง “ให้ทานตัดกิเลส”..

    .. ความจริงการให้ทานมันมีอยู่
    ๒ อย่าง “ให้ด้วยวัตถุและให้ด้วยกำลังใจ”
    การให้ทานแก่คน การให้ทานแก่สัตว์
    การถวายทานกับพระสงฆ์ในพระพุทธ
    ศาสนา การช่วยกันบำรุงในส่วน
    สาธารณประโยชน์ ทุกคนทำแล้วทั้งหมด

    ทั้งหมดนี่องค์สมเด็จพระบรมสุคต
    ว่าการให้แบบนั้นน่ะดี ไม่ใช่ไม่ดี ถ้าให้
    เพราะเป็นเจตนาทั้ง ๓ กาล ก็มีอานิสงส์
    มาก ถ้ายิ่งให้กับท่านที่มีความบริสุทธิ์
    เป็นแต่เพียงเชื่อว่าผู้รับเป็นพระอริยเจ้า

    เราเองขณะให้มีจิตใจบริสุทธิ์
    วัตถุทานไม่เบียดเบียนมาจากบุคคลอื่น
    ก็มีอานิสงส์ใหญ่ นี่การให้ไปแล้วครั้ง
    หนึ่งหรือหลายครั้งก็ตาม ถ้าจะหวังผล
    ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ยิ่งไปกว่านั้น

    นอกจากจะคิดว่าเราให้ทานเพราะ
    ตายไปชาติหน้าเราจะเกิดมาเป็นคน
    ที่จะไม่อดตาย นี่อย่างหนึ่ง แล้วประการ
    ที่สองถือว่า “ทานัง สัคคโส ปาณัง”
    ทานนี่เป็นบันไดให้เกิดบนสวรรค์
    นี่อย่างหนึ่ง

    ท่านบอกว่าให้อย่างนี้ก็มีผลดี
    แต่ว่าผลยังสั้นไป ผลแห่งการให้ทาน
    ยังมีดีกว่านั้นอีก ถ้าเรานึกถึงการให้ทาน
    ไว้เป็นปกติ ก่อนจะหลับคิดน้อมไปว่า
    ตั้งแต่เราเกิดมานี่เราเคยให้อะไร
    เป็นทานไว้บ้าง

    ถ้าเราจะทำได้ การใส่บาตรหน้าบ้าน
    กับพระสงฆ์ก็เป็นการถวายทาน ให้ทาน
    กับคนยากจนเข็ญใจเราก็เคยให้ เมื่อ
    เพื่อนบ้านใกล้เคียงขัดสนยากจนใดๆ
    เกิดขึ้น ถ้าไม่เกินวิสัยเราจะสงเคราะห์
    เราก็เคยให้ ให้ทานกับขอทานเราก็เคยให้

    เป็นอันว่าการให้ประเภทนี้ที่เราให้ไป
    “เราให้แล้วไม่ได้หวังผลตอบแทน” เรามี
    ความตั้งใจอย่างเดียวเพื่อจะเปลื้องให้
    เขาหมดทุกข์ตามกำลังที่เราจะพึงทำได้
    ก่อนจะหลับนึกถึงทานการให้

    อย่างเคยถวายสังฆทานก็ยิ่งไป
    กันใหญ่ ถวายสังฆทาน ทอดกฐิน ทอด
    ผ้าป่า แล้วก็สร้างวิหารทาน อันนี้ยิ่งหนัก
    มาก เป็นอานิสงส์หนักบอกไม่ถูก เรา
    คิดถึงอย่างนี้อยู่เป็นปกติ แล้วเวลาตื่น
    จากที่นอนใหม่ๆ เราน้อมใจนึกถึง
    ทานการให้

    ทำจิตให้ผ่องใส ถ้าหากว่าท่าน
    ทั้งหลายคิดอยู่อย่างนี้เป็นปกติ มีจิต
    พร้อมที่จะบริจาคทานเพื่อเป็นการ
    บรรเทาบำบัดทุกข์บำรุงสุขของบุคคล
    ผู้รับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้อง
    ให้กันจนหมดตัว

    ให้ในสิ่งที่เราไม่เกินวิสัยให้ แล้ว
    ไม่เดือดร้อน เรามีสิบบาท อาจจะให้ได้
    แค่ห้าบาท ถ้าจิตใจของบรรดาท่าน
    พุทธบริษัทจับอยู่ในอารมณ์ของทาน
    อยู่อย่างนี้ ท่านกล่าวว่า “เป็นจาคานุสสติ”
    แต่ว่าทานประเภทนี้เป็นขั้นลงทุน

    ถ้าเราไม่ให้เงินเราก็ต้องให้ของ
    ให้วัตถุ แล้วมีทานอีกประเภทหนึ่ง
    มีอานิสงส์สูงมากกว่าวัตถุทาน แต่ว่า
    วัตถุทานนี้ก็ต้องยันไว้ก่อนนะ ประเดี๋ยว
    ไม่ถึงนิพพานมันจะยุ่งทำไมให้วัตถุทาน

    การให้วัตถุทานย่อมเป็นเครื่อง
    ค้ำจุนเราให้มีความสุขในขณะที่มีชีวิต
    ถ้าไม่มีวัตถุทานเสียเลยจะลำบาก ทาน
    อีกประเภทหนึ่งที่มีอานิสงส์สูงกว่านั้น
    ก็คือ “อภัยทาน” ทานตัวนี้มีกำลังใหญ่
    และไม่ต้องให้ด้วยวัตถุ

    แต่ให้ด้วยกำลังใจ คือให้อภัย
    กับคนที่เขามานั่งด่าเรา เขามานินทาเรา
    เขาคิดทรยศ คนเรานี้เคยเกื้อกูลมาแต่
    กลับเนรคุณ ไอ้การที่เขาเนรคุณ เราไม่
    โกรธ นี่ลองน้อมใจพิจารณาดูว่า
    การให้อภัยอย่างนี้มันเป็นอะไร

    “การให้ทานด้วยวัตถุเป็นปัจจัย
    ตัดโลภะ ความโลภที่มีอยู่ในจิต” ให้ไป
    กี่ครั้งไอ้ความโลภมันขาดไปทุกชิ้น
    ครั้งละชิ้นๆ ให้บ่อยๆ ความโลภมันก็
    หมดไป ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธ
    บริษัทให้อภัยทานมันตัดตัวไหนล่ะ

    “ถ้าเราให้อภัยทานมันก็ตัดโทสะ
    ความโกรธกับพยาบาท การจองล้าง
    จองผลาญ” นี่เป็นทานใหญ่จริงๆ ทั้ง ๒
    ประการนี้ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัท
    มีครบถ้วน กำลังใจของท่านพุทธ
    บริษัทจะมีแต่ความสุข มีแต่ความ
    เยือกเย็น

    ถ้าตัดสองตัวนี้ไปไหน ใกล้นิพพาน
    เต็มที ใกล้จริงๆ เพราะอะไร คนที่จะไป
    นิพพานไม่ได้มันก็มีแก่งอยู่ ๓ แก่ง คือ

    ๑.”โลภะ” ความโลภมันถ่วงใจ
    ๒.”โทสะ” ความโกรธ หรือความ
    จองล้างจองผลาญที่เรียกกันว่า
    พยาบาท อีกตัวหนึ่งมันถ่วงใจ
    ๓.”โมหะ” ความหลง อีกตัวหนึ่ง

    มันมีอยู่ ๓ ตัว ถ้าตัดความโลภไป
    ได้แล้ว ตัดความโกรธเสียได้แล้ว มันก็
    เหลือแต่โมหะตัวเดียว

    ความหลง นี่ไอ้เจ้าโมหะนี่ ถ้ามัน
    ขาดเพื่อนที่รักของมัน คือความโลภกับ
    ความโกรธ มันก็สิ้นกำลังเหมือนกัน
    จะมีกำลังเหลือก็แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
    นี่ถ้าเราเชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตร
    ท่านบอกว่า

    “จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา”
    ถ้าก่อนจะตาย ใจมีอารมณ์เศร้าหมอง
    ตายแล้วไปสู่อบายภูมิ

    “จิตเต ปาริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา”
    เวลาที่ก่อนจะตาย ถ้าจิตใจผ่องใส
    นึกถึงทาน ศีล นึกแต่ผลความดีที่เรา
    เคยทำและเราเคยภาวนา ถ้าอารมณ์จิต
    เป็นอย่างนี้ ตายแล้วไปสู่สุคติโลก
    สวรรค์ เป็นต้น ..

    (พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
    ที่มาจาก.. หนังสือทางสายเอก
    (ลิขสิทธิ์เป็นของ “ทีมงานเว็บวัดท่าซุง”)

    43557808_1665290243582712_2724305473909030912_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    264a.png พระ๕โยมระวังจะลงอเวจีนะ 264a.png
    “อาหารที่เขาถวายบิณฑบาตรมาได้แบ่งเอาเข้าบ้านมีขนมดีๆ กันไว้ให้ลูกเมียที่บ้าน พระ๕โยมน่ะ มีโยมพ่อ โยมแม่ โยมตา โยมยายและโยมเมีย(หัวเราะ)หลวงพ่อปานอธิบาย..ว่าไอ้พวกพระ๕โยมนี่..ระวังจะลงอวจีนะ
    “คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง”

    43629426_1665774973534239_6931211440531439616_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  14. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    คำสอนหลวงพ่อเรื่อง “ความรัก”..

    .. “ปิยโต ชายเต โสโก” พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “ความเศร้าโศกเสียใจเกิดแก่ความรัก” สิ่งที่เรารัก ทั้งๆ ที่เราทราบอยู่แล้วว่า “มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา”

    เราไม่สามารถจะห้ามปรามมันได้ แต่เรา “ก็ยังฝืนรักมัน” เมื่อเราฝืนรักขึ้นมาแล้ว มันก็ต้อง “พลัดพรากจากกัน” ตามสภาวะของมัน เราก็เกิด “ความเสียใจ”

    ที่เราเสียใจ เราเสียใจเพราะ “ความโง่” ไม่ได้เสียใจเพราะความฉลาด เพราะสภาวะทั้งหลายเหล่านี้ “มันไม่ใช่ของทรงตัว” เป็นของที่มีอันจะต้อง “สลายตัวไป” ในที่สุด ..

    (พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

    44025000_1669573616487708_5428618858602692608_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พระใหญ่ให้โอวาทแก่ท่านสัมพเกษี

    “สัมพเกษี” เตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะว่า. ให้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่ามีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจร เมื่อเวลาเขาทำความชั่วอะไรมาก็ช่างเถิด เวลาก่อนจะนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดีแล้วเอาใจนี่ จับไว้ว่านี่เรามีวิมานแก้ว 7 ประการ ไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาเราจะตายเราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบายไม่ต้องเอาอะไรนึกถึงคุณพระรัตนตรัยคือ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จะนึกถึงพระพุทธก็ได้พระธรรมก็ได้พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วก็ตั้งใจว่าเราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะถ้าเขาตายจะถึงสวรรค์ชั้นกามาวจรทันที

    จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน

    44027516_1670973593014377_7497183899877900288_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  17. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    “ความสุขหรือความทุกข์นี่มันป็นธรรมดา ธรรมดาของคนที่เกิดมา เราจะไปยอมยึดถือมันเพื่ประโยชน์อะไร อารมณ์ใจที่มีความสุขก็ดี อารมณ์ใจที่มีความทุกข์ก็ดีมันไม่มีสภาวะที่ทรงความแน่นอนได้เลย

    เราจะเอามันสุขจริงๆ ก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันก็กลับทุกข์ เวลามันทุกข์เราก็หนักใจเกือบตาย คิดว่าจะหาความสุข มันก็ไม่แน่นัก เดียวก็กลับมีความสุขใหม่ เป็นอันว่าเอาอะไรแน่นอนไม่ได้

    ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเตือนว่า เราพิจารณาแล้ว จงพิจารณาคิดว่าสักแต่เพียงว่ารู้

    ที่เรารู้แล้วน่ะคิดว่าสักแต่เพียงว่ารู้ ก็หมายความว่ารู้แล้ว จงอย่ายึดถือว่านี่มันเป็นความสุขหรือเป็นความทุกข์ ที่เราควรจะยึดถือเข้าไว้
    แล้วเธอทั้งหลาย จงเห็นอาการทั้งหลายเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลที่เกิดมาแล้ว ย่อมมีอารมณ์อย่างนี้ เมื่อมันหาสภาวะความแน่นอนไม่ได้อย่างนี้ เราก็ไม่ควรยึดถือมันไว้เลย”
    ………………………………………………………………
    จาก รวมคำสอนธรรมปฏิบัติเล่ม ๑๑ หน้า ๓๐
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    44135721_1672652166179853_4688153530266025984_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    *ธรรมปกิณกะ เรื่อง : สาเหตุที่พระลงนรกมากกว่าฆราวาส…

    “การที่จะไปนิพพานนี้ พระไปมากกว่าฆราวาสใช่ไหมคะ…?”

    หลวงพ่อ : “ฆราวาสไปมากกว่าพระ”

    “ทำไมค่ะ…?”

    หลวงพ่อ : เพราะฆราวาสมากกว่าพระ (หัวเราะ) อ้าว!…ไปมากจริงๆนะ เวลานี้ไปตั้งเยอะแล้วนะ เพียงแค่ ๑๐ ปีกว่าๆ นี่เยอะแล้ว ไม่ใช่น้อยนะ
    พระเสียอีก ลงล่างบานเลย ไปดิ่งเลย”

    “สาเหตุ เพราะอะไรค่ะ…?”

    หลวงพ่อ : “ประการที่ ๑ ที่ง่ายที่สุด เรื่องเงินที่ถวายเข้ามา นี่ง่ายมาก เงินที่เขาถวายเข้ามาเป็นส่วนกลาง เผลอไปใช้เป็นส่วนตัว นี่ไม่เว้นเลย สตางค์เดียวลงอเวจี

    ประการที่ ๒ เงินที่เขาถวายเป็นส่วนตัว ใช้นอกรีดนอกรอย

    ที่ถวายหลวงพ่อโดยตรง หลวงพ่อใช้ได้แน่ ใช้ในฐานะหลวงพ่อ แต่ว่าใช้ในฐานะเจ้าสัวเมื่อไร ก็เมื่อนั้นแหละ นอกทางพระ ใช่ไหม

    แต่ฉันใช้เงินง่าย เพราะอะไร เพราะใช้ในเรื่องของสงฆ์ ใช้อะไรได้ ทั้งหมดที่ใช้ไป เป็นเรื่องของสงฆ์…”

    * คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (พระมหาวีระ ถาวโร-หลวงพ่อฤาษีฯ)
    วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    -ธัมมวิโมกข์ : ปีที่ ๓๗ : ฉบับที่ ๔๑๕
    ตุลาคม ๕๘ : หน้า ๘๖

    44096314_1672654222846314_2899882624572981248_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  20. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f339.png 1f33b.png 1f337.png หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม เรื่องจำเป็นต้องตัดต้นไม้ใหญ่ออกต้องทำอย่างไรขอรับ ..? 1f337.png 1f33b.png 1f339.png

    1f333.png ผู้ถาม :- “หลวงพ่อเจ้าขา ลูกซื้อที่ดินตั้งใจจะปลูกบ้านใหม่ แต่บังเอิญมีต้นก้ามปูใหญ่ต้นหนึ่ง จำเป็นต้องตัดต้นไม้นี้ทิ้ง วิธีที่จะตัดนี้ลูกเกรงว่าจะไปกระทบกระเทือนเทวดา เรามีวิธีจะพูด…จะบน…จะบ่นอย่างไร เพื่อให้เทวดาท่านอโหสิ ไม่มีโทษ ไม่มีเวรมีภัยต่อกัน?”

    1f339.png หลวงพ่อ :- 1f339.png “เอายังงี้ซิ บอกท่านดีๆนะ “เทวดาเจ้าขา…เทวดาเจ้าขา กรุณาฉันเถิด…ตามมีตามเกิด ปลูกศาลให้ ๑ หลังเจ้าค่ะ” ศาลพระภูมิเล็กๆนะ ว่าได้ไหม…(หัวเราะ) จำเป็นต้องปลูกบ้านตรงนี้ ต้นไม้มันขวางที่ใช่ไหม…ในเมื่อเราโค่นลงไปวิมานท่านก็สลายตัว ถ้าเราปักเสา เอาศาลภูมิเทวดา ศาลเล็กๆก็แล้วกัน วิมานแค่แปะได้ ใช้ได้ เป็นการแทนกัน” 1f339.png

    1f333.png ผู้ถาม :- “แล้วในกรณีที่เป็นชาวสวนชาวไร่ล่ะครับ จำเป็นต้องใช้รถแทรกเตอร์ปรับพื้นที่ในที่บางแห่ง อาจจะมีต้นไม้ใหญ่น้อยล้มลงมากมาย อย่างนี้ควรจะตั้งศาลอย่างไรดีครับ?”

    1f339.png หลวงพ่อ :- “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตั้งศาล ๔ เสาเสียเลย…หมดเรื่องกัน ” 1f33b.png 1f339.png
    .
    .
    1f337.png หลวงพ่อพระราชพรหมยาน 1f337.png
    1f337.png วัดจันทารามท่าซุงอุทัยธานี 1f337.png
    1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png
    1f337.png กราบขอบพระคุณที่มาจากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้า ๑๓-๑๔
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ. อุทัยธานี.,จัดทำโดยคณะเจ้าหน้าที่ธัมมวิโมกข์ โทร (๐๕๖) ๕๑๑ ๓๖๖
    1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png

    44428304_1677804975664572_5779311085874053120_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...