เพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 17 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ชีวิตยังรับกฎของกรรมไม่มีใครเก่ง

    กรรมฐาน คำว่าพระเก่งนะไม่มี
    ไม่มีพระองค์ไหนยอมรับว่าเก่ง ทั้งนี้ก็เพราะว่า
    ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครเก่ง
    เพราะยังสู้กฎของกรรมไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นพระ
    กฎของกรรมที่เป็นอกุศลมันก็ไม่เว้น
    อย่างโทษปาณาติบาตทำให้ป่วยไข้ไม่สบาย
    เวลานี้ฉันป่วยปกติทุกวัน แล้วก็ที่มานี่เครียดมาก
    นี่โทษปาณาติบาต

    นี่ถ้าเก่งจริงๆ ต้องหลบปาณาติบาตได้ใช่ไหม
    นี่ยังไม่เก่ง อทินนาทานยังไม่มี กาเมยังไม่มี
    มุสาวาทยังไม่มี สุรายังไม่มี แต่ปาณาติบาตมัน
    เล่นทุกวัน มาคราวนี้เครียดจัด ก็เป็นอันว่า
    เท่าที่ทำได้นะ เก่งไม่เก่งเลิกกันไปนะ

    พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    1504398964_394_ชีวิตยังรับกฎของกรรมไม.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ผลจากการเข้าฌานตาย

    เวลาจะตายเขาเข้าฌานตายกัน
    คนที่เข้าฌานตายมันไม่ตายเหมือนชาวบ้านเขา
    อาการตายเหมือนกัน แต่ความหนักใจของบุคคล
    ผู้ทรงฌานไม่มี ทั้งนี้เพราะถ้าจิตทรงฌาน
    อารมณ์ก็เป็นทิพย์ เมื่ออารมณ์เป็นทิพย์แล้ว
    ก็สามารถจะเห็นในสิ่งที่เป็นทิพย์ได้
    เห็นรูปที่เป็นทิพย ์ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้
    ในเมื่อเราเห็นรูปที่เป็นทิพย์ได้ ได้ยินเสียงที่เป็น
    ทิพย์ได้ เราก็รู้สภาวะความเป็นทิพย์ของเราได้
    คนที่เขาเข้าฌานตายนี่เขาเลือกไปตามอัธยาศัย
    ว่าเขาจะไปจากร่างกายอันนี้แล้ว เขาจะไปอยู่
    ที่ใหม่ เขาจะไปอยู่ที่ไหนนี่รู้ก่อน
    คนที่ทรงฌานจริงๆ สถานที่ที่จะพึงอยู่ได้คือ
    พรหมโลก ถ้าหากว่าเราจะไม่อยากอยู่พรหม
    อยากจะอยู่สวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งที่ต่ำลงมา
    อันนี้ก็เลือกได้

    โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑ หน้า ๘๘

    .jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    อย่าได้ทะนงตนในวิชาความรู้

    ขอท่านทั้งหลายจงเข้าใจว่า
    นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เลิกการทะนงในจิตเสีย
    ถ้าเรายังไม่ดีเท่าเขาหรือว่าเราดีเกินกว่าเขา
    จงวางอารมณ์เสีย มันเป็นมานะ
    ถ้ามีความรู้สึกอย่างนั้น ถ้าเรารู้ไม่จริง เห็นไม่จริง
    คนที่รู้ไม่จริง เห็นไม่จริงนี่สังเกตง่าย มักจะมีการ
    ทะนงตนถือความรู้สึกของตัวเองเป็นสำคัญ
    ใครเขาพูดอะไรมาถามว่านั่นอุปาทานใช่ไหม
    การที่เห็นอาจจะเป็นภาพอุปาทาน เสียงที่ได้ยิน
    เป็นอุปาทาน

    แต่ความจริงถ้าจิตเข้าถึงทิพจักขุญาณแจ่มใส
    จริงๆ ตามที่ผมพูดจิตไม่มีสี
    หรือการถอดกายภายในออกไปข้างนอก
    ที่เรียกกันว่ามโนมยิทธิ ประเภทนี้ถ้าไปได้จริงๆ
    คำว่าอุปาทานไม่มี แต่ก็ยังมีเหมือนกันบุคคล
    ผู้หลงผิดมันไปไม่ได้ แต่เป็นจิตหลอนอย่างนี้มีอยู่

    ที่มา : หนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑๔
    โดย…พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    1504398423_444_อย่าได้ทะนงตนในวิชาควา.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    อารมณ์ของวิปัสสนาญาณ

    คำว่า วิปัสสนาญาณ นี่มีกำลังอยู่อย่างหนึ่ง
    คือที่เราจะต้องรู้ คือ ยอมรับนับถือกฎของ
    ความเป็นจริง อันนี้มันไม่มีอะไรยากหรอก

    ทีนี้อารมณ์ของวิปัสสนาญาณ มันก็คือ ยอมรับ
    นับถือกฎของธรรมดา หรือว่ายอมรับนับถือกฎ
    ของความเป็นจริง ให้รู้ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา
    มันไม่ใช่ของเรา เพราะว่าอะไร เพราะว่ามันพังแน่
    ถ้ามันเป็นเราจริง มันเป็นของเราจริง มันจะอยู่ได้
    ยังไง มันก็ต้องตามใจเรา

    แต่นี่ทุกอย่างเราไม่ต้องการให้มันแก่ มันก็จะแก่
    เราไม่ต้องการให้มันป่วย มันก็ป่วย เราไม่ต้องการ
    ให้มันหิว มันก็จะหิว เราไม่ต้องการให้มันเหนื่อย
    มันก็จะเหนื่อย เราไม่ต้องการให้มันร้อน มันก็จะ
    ร้อน ไม่ต้องการให้มันปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ถึง
    เวลามันจะปวด มันก็ปวด มันไม่ตามใจเราสักอย่าง

    นี่เป็นอันว่ามันกับเราคบกันไม่ได้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็รู้แต่เพียงว่าร่างกายนี้เป็นที่
    อาศัยชั่วคราวของเราเท่านั้น

    เราคืออทิสสมานกาย หรือที่เรียกกันว่า จิตใจ
    ที่เข้ามาอาศัยกาย ร่างกายนี้นั้น มันเป็นปัจจัย
    ของความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก

    พอจิตใจเราเบื่อในร่างกาย คิดว่ามันไม่ดี ดินแดน
    ที่ดีมีแห่งเดียวคือ พระนิพพาน จิตจับพระนิพพาน
    เป็นอารมณ์แล้ว ความสงสัยในคำสั่งสอนของ
    พระพุทธเจ้าก็ไม่มี

    จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๕๖
    คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    .jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ฝึกคิดทุกวันละเล็กละน้อย
    ใกล้ตายอารมณ์รวมตัวไปนิพพาน:

    ในเมื่อนึกถึงความตายได้ นึกถึงพระพุทธเจ้า
    พระธรรม พระสงฆ์ได้ ทรงศิลได้ ก็ตั้งอารมณ์
    ไว้โดยเฉพาะพระนิพพาน ให้มีความเข้าใจตาม
    ความเป็นจริงว่าร่างกายของเรามีสภาพไม่เที่ยง
    มันเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สลายตัวไปในที่สุด
    ให้ถือว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกาย
    เป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว ไม่ช้ามันก็ตาย
    ถ้ามันตายเมื่อไร ขึ้นชื่อว่าร่างกายเลวๆ อย่างนี้
    เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการนิพพานจุดเดียว

    ถ้าคิดอย่างนี้ทุกวันนะ เวลาที่ป่วยหนักใกล้จะตาย
    อารมณ์ทั้งหมดที่คิดวันละเล็กวันละน้อย มันจะ
    รวมตัวเพื่อนิพพานโดยตรง จะวางเฉยทั้งหมด
    การที่จะไปนิพพานได้จริงๆ อารมณ์จิตมันจะ
    วางเฉยในทรัพย์สินต่างๆ ทั้งหมด ขณะที่เราป่วย
    ไร่นาสาโทบ้านช่องทรัพย์สินต่างๆ มันก็เฉยเมย
    ก็ไม่สนใจ จิตมันเฉยมีอารมณ์ทรงเกาะเฉพาะ
    พระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ หรือพระธรรม พระสงฆ์
    ด้วยก็ได้ตามใจชอบ แต่มันจะไม่สนใจใน
    ทรัพย์สิน ไม่สนใจกับร่างกาย ถือว่าร่างกายมัน
    จะตายก็เชิญตาย เราจะไปนิพพาน

    เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ฝึกไว้ทุก
    วันนะ ถึงเวลาใกล้จะตายเมื่อไร ไปนิพพานเมื่อนั้น

    จาก : หนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑๔
    โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    1504397883_783_ฝึกคิดทุกวันละเล็กละน้.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    จุดประสงค์ของการปฏิบัติธรรม
    (๒๑ ธันวาคม ๒๕๒๒)

    เรื่องการปฏิบัติธรรมนี่ เราปฏิบัติกันเพื่ออะไร
    ต้องรู้ก่อนนะ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนทั้ง
    หมดนี่ พระพุทธเจ้าไม่ให้หวังผลในชาติหน้า
    คือพระองค์ไม่ได้มีความประสงค์ อย่างนั้น
    พระองค์มีความประสงค์หรือต้องการผลในชาตินี้
    และการปฏิบัติศีลก็ดี การปฏิบัติธรรมก็ดี ก็เพื่อ
    ความสุขใจ

    แต่ว่าถ้าตายไปแล้ว จะไปขึ้นสวรรค์ จะไปพรหม
    จะไปนรก ก็เป็นเรื่องข้างหน้า ไม่จำเป็นต้องคิดถึง
    คิดถึงอย่างเดียวว่า อะไรเป็นเหตุของความสุข

    พระพุทธเจ้าทรงสอนบรรดาท่านพุทธบริษัท
    ก็หวังอย่างเดียวก็คือให้มีความสุขในชาติปัจจุบัน
    ถ้าวันนี้เรามีความสุข พรุ่งนี้เราก็มีความสุข

    นี่โยม ตั้งแต่ที่โยมเกิดมา โยมเจอวันพรุ่งนี้บ้างไหม
    วันนี้เราทำดี ถ้าเราไปคิดว่าวันโน้นจะทำดี พรุ่งนี้
    จะทำดี มะรืนจะทำดีน่ะ มันไม่ถึงหรอก ตื่นมาเช้า
    เมื่อไหร่ก็วันนี้ทุกที นี่ฉันเกิดมาก็แก่แล้ว ยังไม่ถึง
    วันพรุ่งนี้ซักทีเลย

    ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าต้องการความสุขใน
    ปัจจุบัน นี่ความสุขในปัจจุบัน เราใช้วันนี้น่ะมัน
    จะห่างไป คือ ธรรมะของพระพุทธองค์ก็ต้องการ
    เดี๋ยวนี้ใช่ไหม อีกประเดี๋ยวหนึ่งมันก็ไปไม่ถึง
    ความรู้สึกของเรามันเดี๋ยวนี้อยู่เสมอ ถ้าประเดี๋ยว
    นี้เรามีความสุข มันก็มีความสุขตลอด ถ้าชาตินี้มี
    ความสุข ถ้าหากเราจะไปเกิดชาติใหม่ มันก็จะมี
    ความสุข

    จาก : หนังสือ พ่อสอนลูก โดย…หลวงพ่อฤาษี
    วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    1504397644_523_จุดประสงค์ของการปฏิบัต.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พุทธประสงค์สร้างวัดท่าซุง

    เมื่อคืนนี้ตอนเช้ามืด ขึ้นไปหาองค์สมเด็จท่าน
    ท่านบอกว่าร่างกายต้องดีกว่านี้ งานของฉันยัง
    มีมาก ที่ฉันสั่งสร้างมากไม่ใช่เพื่อความใหญ่โต
    แต่ต้องการล่อให้คนไปสวรรค์เป็นอย่างต่ำ
    เลยถามท่านว่าเป็นอย่างไรครับ ท่านบอกว่า

    “แม้แต่เขาจะมาคราวเดียว แต่ที่เขาพักเขามี
    ความสุข กลับไปบ้านเขาก็คิดถึงวัด ถ้าจะตาย
    ถ้าเวลานั้นเขาคิดถึงวัด ก็ไปสวรรค์เป็นอย่างต่ำ”

    ที่ท่านทำที่จอดรถ ๑๐๐ ไร่เป็นถนนราดยาง
    จ่ายเขาเดือนละ ๓ แสน และก็จะทำทางเดิน
    กว้าง ๔ เมตร ยาว ๒๐๐๐ เมตร มีหลังคา และมี
    ห้องมหาเสน่ห์หลายสิบห้อง อย่างน้อย ๓๐ ถึง ๔๐
    ห้อง ลงจากรถปั๊บไม่ต้องวิตกกังวล เลี้ยวซ้ายเลี้ยว
    ขวาเข้าห้องมหาเสน่ห์เลย อารมณ์ก็โปร่งมีความ
    สุข มาถึงวัดก็ได้เดินรอบๆ บริเวณ มีห้อง
    มหาเสน่ห์เป็นระยะ

    ท่านบอกว่า เวลาที่รถมาจอดคนลงจากรถไม่มี
    หวังว่าจะพักที่ไหน อย่าลืมว่าทุกคนเขานั่งรถมา
    มันเหนื่อย มันเครียด ถ้าทำอย่างนั้นพอรถจอดปั๊บ
    มันอยู่ใกล้จุดไหนก็พักได้ และประการที่ ๒ ถ้าปวด
    อุจจาระขึ้นมานะ ก็มีส้วมไว้ ๓๐ ห้องแล้ว ใช่ไหม
    ท่านก็เลยบอกว่า ไอ้ที่ตรงนั้นมันเป็นทางเดิน แต่
    บางรายเข้ามาดึกๆ เขาไม่อยากจะไปนอนก็ได้ แล้วก็มีความสุข เวลาจะกลับเวลาไปตามคนมา
    เอาคนมาไว้ตรงนี้ มาอยู่ตรงนี้ ไปตามคนใหม่มา
    คนเก่าหายไปอีกแล้ว ก็เป็นจุดนั่งได้สบาย โอ…
    เหตุผลท่านดีมาก บอก

    เราต้องทำเพื่อความสุขของพุทธศาสนิกชน เท่า
    ที่พึงจะทำได้ ความสุขไม่พอเท่ากับเขาอยู่ที่บ้าน
    แต่ว่าให้มันมีความสุขมากขึ้นกว่าเก่า เมื่อเป็น
    อย่างนี้ เขาก็มีความเพลิดเพลินมีความเป็นสุข
    วัดก็สวย วิหารก็ใหญ่ จิตใจก็ผูกพัน แม้แต่มา
    ครั้งเดียว กลับไปบ้านก็อดคิดถึงวัดไม่ได้ จิตนึก
    ถึงแค่นี้ก็ไปดาวดึงส์

    (หลวงพ่อสรุปว่า)
    “การก่อสร้างทั้งหมดพระท่านสั่ง จึงต้องทำตาม
    ความประสงค์ของท่าน”

    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    วัดจันทาราม (ท่าซุง) จ.อุทัยธานี

    1504397404_849_พุทธประสงค์สร้างวัดท่า.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เรื่อง หลวงพ่อจงเดินไปวัดบางนมโค

    ในสมัยที่หลวงพ่อปานมีชีวิตอยู่ วันนั้นท่านจะทำ
    งานอะไรอาตมาจำไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะฉลอง
    ศาลา เป็นงานใหญ่มาก งานที่หลวงพ่อปานจัดไม่
    มีมหรสพ ปีพาทย์ก็ไม่มี ท่านบอกว่าท่านหนวกหู
    แล้วพระอื่นก็มาหมดแล้ว ถึงเวลาบ่าย ๓ โมงเย็น
    พระมาหมด เวลาที่จะลงมือสวดมนต์เย็นก็ประ
    มาณบายสี่โมง หลวงพ่อจงก็ยังไม่มา

    ท่านก็ให้อาตมาไปตาม นายพันธ์เป็นคนญวนเข้า
    มารับอาสา เอาเรือเร็วให้นั่งไป เขาเป็นคนขับ
    เมื่อไปถึงหลวงพ่อจงปรากฏว่าหลวงพ่อจงกำลัง
    จะรดน้ำมนต์ผู้ชาย ๔ คนอยู่ที่วัด ก็ขึ้นไปเรียน
    ท่านว่า เวลานี้พระที่สวดมนต์เย็นมาครบแล้วครับ
    หลวงพ่อปานให้มาตาม ท่านก็บอกว่าประเดี๋ยว
    ก่อน ฉันรดน้ำมนต์ก่อนเดี๋ยวฉันไปทัน

    ก็เลยกราบเรียนถามว่าหลวงพ่อไปเรือจ้างน่ะ ช้า
    ครับ กระผมเอาเรือเร็วมารับ ท่านก็บอกไม่ต้อง
    หรอก ฉันจะเดินไป เรือมันช้ากว่าเดิน แหมแต่
    ความจริงไปทางเรือไกลกว่าทางเดินประมาณ
    ครึ่งเท่า แต่ว่าถ้าจะเดินจริงๆ จากวัดบางนมโค
    ไปวัดหน้าต่างนี้ประมาณ ๔ กิโล แล้วเรือวิ่งประ
    มาณ ๑๐ นาที เศษๆ เดินถ้าเดินกันจริงๆ ก็ถึง
    ชั่วโมง หรือเกือบชั่วโมง เพราะไม่ใช่มีทาง ต้อง
    เดินลัดทุ่ง เดินไม่ถนัดนัก

    ท่านก็บอกว่าไม่ไปเรือ มันช้า ฉันจะเดิน ก็บอกว่า
    เรือเร็วขอรับ ท่านบอกว่า เร็วก็สู้ฉันเดินไม่ได้
    ไปก่อน ในที่สุดท่านก็ขับให้มา

    เมื่อท่านขับให้มาก็ต้องกลับ เมื่อกลับมาถึงวัดบาง
    นมโคแล้วก็ขึ้นไปกราบเรียนหลวงพ่อปานบอกว่า
    หลวงพ่อจงท่านกำลังจะรดน้ำมนต์คนอยู่ นิมนต์
    ให้ท่านมาเรือท่านก็ไม่มา ท่านจะเดินมา อีกสักครู่
    ท่านคงจะมาถึง หรืออาจจะเย็นหน่อย เพราะต้อง
    เดินลัดทุ่งมา

    พอหลวงพ่อปานฟังก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจ บอกว่า
    นี่เจ้าลิงดำ หลวงพ่อจงเล่นตลกกับแกเสียแล้วละ
    แกไปดูบนศาลาซิ ก็เลยกราบท่านแล้วขึ้นไปดูบน
    ศาลา ปรากฏว่าพบหลวงพ่อจงนั่งอยู่หน้า
    อาสนสงฆ์ นั่งอยู่หน้าพระองค์อื่นทั้งหมด เพราะ
    ท่านมีอาวุโสมาก พวกพระครูพระราชาคณะที่ไป
    ในที่นั้น ไม่มีใครนั่งหน้าหลวงพ่อจง เพราะถือ
    อาวุโสเป็นสำคัญ เว้นไว้แต่เข้าวัง เขาถือพัด
    พัดยศ ถือยศเป็นสำคัญ แต่ข้างนอกนี่เขาไม่ถือ
    ยศเป็นสำคัญ เขาถืออาวุโสเป็นสำคัญ

    ไปถึงก็กราบๆ ท่านถามว่ามาถึงนานแล้วรึ
    ก็กราบเรียนท่านว่าเพิ่งมาถึงขอรับ ไปหาหลวง
    พ่อปานสักสองนาทีก็มานี่ ท่านก็เลยบอกว่าฉัน
    บอกแล้วไงล่ะ ว่าไอ้เรือน่ะมันช้ากว่าฉันเดิน

    เลยมานั่งสงสัยว่าหลวงพ่อจงนี่เดินยังไง
    หลวงพ่อจงเดินแบบไหน นั่งเรือไม่ถึง ๑๕ นาที
    แล้วหลวงพ่อจงก็กำลังจะรดน้ำมนต์เขา ยังไม่ทัน
    จะรดเลย ขนะที่มากำลังทำน้ำมนต์อยู่ กำลังจะรด
    แต่ว่านั่งเรือเร็วมาท่านมาถึงก่อน นี่แปลกใจ

    กำลังนั่งคิดอยู่ท่านถามว่าแปลกใจรึ ก็บอกว่า
    แปลกใจขอรับ ท่านบอกว่าไม่มีอะไรแปลก
    เพราะในพระพุทธศาสนาถ้าปฏิบัติไปถึงขั้นเดิน
    เก่งละมันเดินเก่งทุกคนแหละ ถ้าปฏิบัติไม่ถึง
    มันก็ยังเดินไม่เก่ง

    จาก : หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม ๑
    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    1504397163_887_เรื่อง-หลวงพ่อจงเดินไปว.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พระคาถา


    ถ้ากลัวผี ภาวนา “พุทโธ” นะ “พุทโธ” นี่ผีกลัวแน่
    มีเด็กคนหนึ่งปรากฏว่าผีชอบหลอก เด็กคนนี้ก็
    ไปเรียนคาถากับพระว่า คาถาพุทโธ ผีกลัว
    แกก็เดินไปที่ตรงนั้น ผีหลอกจริงๆ แกบอกว่า
    “กูมากับพุทโธนะโว้ย” ผีวิ่งเลย โดนเด็กดีเข้า


    นะมะพะธะ “นะมะ” แปลว่า นมัสการ
    “พะธะ” แปลว่า พระพุทธเจ้า
    นะมะ พะธะ แปลว่า ไหว้พระพุทธเจ้า


    “นะมะพะธะ” นี่เขาแปลว่า ธาตุ ๔ คือ ดินน้ำ
    ลมไฟ เขาไม่ได้ภาวนา เขาพิจารณานะ
    คำว่า “นะมะพะธะ” ที่ท่านมาบอกจริงๆ
    บอกว่าไม่ใช่ธาตุ ๔ เป็นการนมัสการ
    พระพุทธเจ้า เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน


    “อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง
    ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด”

    หลวงพ่อปานท่านปลุกของทุกอย่าง
    คือว่าของที่เขาเสกมาแล้ว เวลาจะคล้องคอ
    ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ตั้ง นะโม ๓ จบ
    แล้วว่าคาถาบทนี้ ท่านใช้แบบนั้นนะ

    จาก : หนังสือ พ่อสอนลูก ปกสีเงิน
    หน้า ๓๑๓-๓๑๔
    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    .jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    การปฏิบัติจับภาพพระให้มีความแจ่มใส

    ขอแนะนำในการตั้งใจของท่านคือว่าใน
    อันดับแรก ขอให้ตั้งใจจับภาพพระ การจับ
    ภาพพระนี่ก็หนักใจอยู่นิดหนึ่ง ที่เราจะบังคับ
    ให้มีสภาพแจ่มใสหรือไม่แจ่มใส ก็เอาแค่ว่าเรา
    สามารถบังคับให้แจ่มใสได้

    ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังกายกำลังใจ จะนั่งอยู่
    จะยืนอยู่ จะเดินอยู่ จะนอนอยู่ จะทำอะไร
    อยู่ก็ตาม เห็นภาพพระอยู่ในอกมีความแจ่มใส
    สว่าง ถ้าเห็นเป็นแก้วธรรมดา แก้วใสหรือแก้วมัว
    หากว่าเป็นแก้วละก็จิตนั้นเริ่มเข้าถึงฌาน ๔
    ถ้าเป็นแก้วใสสะอาดจัดว่าเป็นฌาน ๔ ละเอียด

    นี่พูดกันถึงด้านอารมณ์จิตที่เป็นโลกียวิสัย
    ถ้าบังเอิญจิตใจของบรรดาท่านทั้งหลายที่มี
    วิปัสสนาญาณพอสมควร สภาพความใสของ
    แก้วทั้งภาพจะเป็นประกายออก ถ้าหากว่าเป็น
    อรหันต์จะเห็นเป็นดาวทั้งดวง เป็นประกายทั้ง
    ดวงมีความสวยสดงดงามเป็นกรณีพิเศษ

    จาก : หนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๔
    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    .jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ปลงสังขาร

    อย่าเมากายจนเกินไป อย่าเมาในชีวิต จงอย่า
    คิดว่าร่างกายของใครดี ดูร่างกายของเรานี้มัน
    สกปรกโสมม และมีความเสื่อมโทรมไปเป็น
    ธรรมดา ในไม่ช้ามันก็พัง

    อยู่คนเดียวมีความสุข สุขอย่างมีคนคนเดียว
    แต่ก็ทุกข์อย่างมีขันธ์ ๕ ฉะนั้นขอลูกทุกคนจง
    ตั้งหน้าตั้งตาปลงจิตคิดว่า

    อนิจา วัฏฏสังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ

    อุปปาทวยธัมมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็แก่ไปทีละน้อย
    คือทรุดโทรมไป

    อุปัตชิตวา นิรุตฌันติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วในที่สุดก็ตาย
    ให้เอาใจนึกถึงภาพคนตายว่าเวลานี้คนที่เขาตาย
    มานอนอยู่ข้างหน้าเรา สภาพมันเป็นยังไง

    เตสัง วูปสโม สุโข ร่างกายที่เปื่อยเน่าอย่างนี้ ถ้า
    เรางดไม่มีเสียได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว
    ตรัสว่า จะมีกายแก้วคือพระนิพพาน

    พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดํา)

    .jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พระเยซูไปอยู่ชั้นดุสิต

    พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระ
    โพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก
    ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้
    เข้าได้ ๓ พวกคือ

    ๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า
    ๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว
    ๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
    จึงจะอยู่ชั้นนี้ได้

    สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ
    ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่าทำไม
    พระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้ มาดูอารมณ์ตอน
    หนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน
    ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตาม
    พระบาลีบอกว่า “ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย
    ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ”

    นั่นเขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ ลองคิดดู
    ให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก ทำความดี
    ไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมอง
    หน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อย อย่างพระนาง
    มัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิด
    ถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริง
    โทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก
    แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน

    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    1504396204_360_พระเยซูไปอยู่ชั้นดุสิต.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ติดโลกธรรมเป็นอุปกิเลส

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็น
    โลกธรรม ถ้าเราติดเราก็มีความทุกข์ ลาภที่เรา
    มีมา ได้แล้วมันก็หมดเสื่อมไปได้ ถ้าเรายินดีใน
    การได้ลาภ ไม่ช้า กำลังใจก็ต้องเสียใจ สลดใจ
    เมื่อลาภหมดไป

    คำสรรเสริญก็เช่นเดียวกัน คำสรรเสริญไม่ใช่
    ของดี ถ้าเราติดในคำสรรเสริญ เราก็จะมีแต่
    ความทุกข์ เพราะว่าไม่มีใครเขามานั่งตั้งตา
    นั่งสรรเสริญเราตลอดวัน คนที่เขาสรรเสริญ
    เราได้ เขาก็ติเราได้

    ฉะนั้นจงจำไว้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า นินทา ปสังสา
    เป็นธรรมดาของชาวโลก ชาวโลกทั้งหมดเกิดมา
    ต้องพบนินทาและสรรเสริญ นี่ท่านมาติดลาภ
    ติดสรรเสริญ ก็ถือว่าเป็นอุปกิเลสอย่างหนัก

    ที่มา : หนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม ๒
    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    หมายเหตุ : อุปกิเลส คือ สิ่งที่ทำใจให้สกปรก
    ทำใจให้เสื่อมทราม

    1504395963_261_ติดโลกธรรมเป็นอุปกิเลส.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  14. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พิจารณาพระกรรมฐาน

    สมาธิก็ฝึกซ้อมไว้เป็นปกติ เวลาฝึกซ้อม
    ไม่ต้องไปนั่งหลับตา หลับตามันไม่เก่ง
    ลืมตาอยู่อย่างนี้แหละให้จิตมันทรงสมาธิ
    ลืมตาอยู่อย่างนี้แหละให้จิตมันทรงตัว
    ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาและความเป็น
    จริง เห็นอะไรเข้าตายหมด เห็นคนคนตาย
    เห็นสัตว์สัตว์ตาย เห็นวัตถุธาตุวัตถุธาตุพัง
    แล้วก็นึกถึงว่าเราจะต้องตายเหมือนกัน
    นี่ต้องถอยหน้าถอยหลังจะก้าวไปแต่ข้าง
    หน้าแล้วก็ไม่เหลียวหลัง

    ท่านทั้งหลายที่ระงับความวุ่นวายของจิตไม่
    ได้นั้นน่ะ เขาเรียกว่า สีลัพพตปรามาส เป็นผู้
    ลูบคลำในศีล จิตตปรามาส ลูบคลำในสมาธิ
    ปัญญาปรามาส ลูบคลำในวิปัสสนาญาณ
    ทำเท่าไรเท่าไรก็ไม่พ้นความวุ่นวายของจิต
    มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น โฉงเฉงโวยวาย
    ปราศจากเหตุผล คนประเภทนี้ทำกี่แสนกัป
    ก็ลงนรก เพราะสักแต่ว่าปฏิบัติ ไม่รู้จัก
    พิจารณาจิตตัวเองว่า ดีหรือชั่ว

    ที่มา : หนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑
    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    .jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ท้าวจตุโลกบาล

    วันนี้อารมณ์เริ่มทรงตัวขึ้นมาบ้าง ก็ใช้กำลัง
    ทรงตัวได้ แต่ถ้าใช้กำลังทรงตัวแน่นไปอีกก็
    ไม่เห็นอะไร พอขยับจิตเคลื่อนลงมานิดหนึ่ง
    อยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ ก็เห็นท่านท้าวมหาราช
    นั่งอยู่ข้างๆ ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ เขาเรียกว่า
    ท้าวจตุโลกบาล มีหน้าที่รักษาคุ้มครองชาว
    มนุษยโลก

    ถ้าสร้างความดีก็หาทางป้องกันช่วยเหลือ จะ
    ส่งเทวดาไปอารักขา ถ้าสร้างความชั่วก็สุดวิสัย
    ที่จะช่วยได้ก็อดใจไว้ และก็มีหน้าที่บันทึกความ
    ดีความชั่วของคนทั้งการพูด การคิด การทำ
    ทุกอย่าง

    สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชอยู่กึ่งกลางเขาพระสุเมรุ
    คนที่ตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้
    ต้องเคยได้ฌานสมาบัติ แต่เวลาตายไม่ได้เข้า
    ฌานตาย ถ้าขณะที่ตายเข้าฌานตาย ก็จะไปเกิด
    เป็นพรหม ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ

    ๑) ท่านท้าวเวสสุวัณ คุมด้านทิศเหนือ
    ๒) ท่านท้าววิรุฬหก คุมด้านทิศใต้
    ๓) ท่านท้าวธตรฐ คุมด้านทิศตะวันออก
    ๔) ท่านท้าววิรูปักข์ คุมด้านทิศตะวันตก

    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม
    (ท่าซุง) จ.อุทัยธานี

    .jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ขยัน ขี้เกียจ ตัวบารมี

    คำว่า บารมี นี่น่ะตัวขยันตัวขี้เกียจนั่นเอง
    ก็มีกำลังใจเต็มหรือไม่เต็ม มีกำลังใจเข้มแข็ง
    หรือไม่ ที่มีกำลังใจเข้มแข็งก็คือคนขยัน
    คนที่มีกำลังใจอ่อนไปหน่อยก็คือคนขี้เกียจ
    ว่าภาษาไทยกันมันฟังชัด

    ไม่อย่างนั้น แปลคำว่า บารมีๆ นี่นึกว่าหาได้
    ยาก ไม่ใช่ มันเป็นความขยันความขี้เกียจ
    ตัดสินใจตรงหรือไม่ตรง ทำถูกหรือไม่ถูก
    แล้วทำเฉพาะความดีหรือเปล่า ทำพอเหมาะ
    พอดีหรือไม่ ถ้าทำเกินพอดีก็โง่ ถ้าหากว่าทำ
    ไม่ถึงดีก็โง่ ต้องเอากันแค่พอดี

    ไอ้ตัวโง่ก็คือ อวิชชา คำว่า อวิชชา นี้ไม่ใช่
    แปลว่าไม่รู้ รู้เหมือนกันแต่รู้ไม่ค่อยจะตรง
    รู้ไม่ค่อยจะหมด รู้ไม่ครบไม่ถ้วน

    จากหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม ๘
    โดย…หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    -ขี้เกียจ-ตัวบารมี.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พระศรีอริยเมตไตรยปรารถนาพระโพธิญาณ
    จึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต:

    พระศรีอริยเมตไตรย ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวช
    เป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีท่านเป็นลูกศิษย์
    ของพราหมณ์พาวรี ท่านไปบวชเพื่อสร้างเสริม
    บารมี ต่อมาเมื่อ พระนางกีสาโคตมี ได้ทอจีวรด้วย
    มือของตนเองปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า

    เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระ
    มาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและ
    คุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่
    พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร
    ท่านพระสารีบุตรก็ส่งให้พระโมคคัลลาน์
    ท่านพระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆ กันไปหมดจนถึง
    องค์สุดท้ายคือท่านอชิตะภิกขุ ท่านไม่รู้จะส่งให้
    ใครเพราะนั่งอยู่ท้ายสุด เป็นอันว่าท่านก็รับไว้

    พระนางกีสาโคตมีก็เสียใจว่าอุตส่าห์ทำเองเลือก
    ด้ายชั้นดีมาทอกับมือเองเพื่อถวายพระพุทธเจ้า
    แต่พระองค์ไม่รับกลับไปให้กับพระที่ไม่ได้แม้แต่
    ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระ
    ปุถุชนคนธรรมดา

    องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัย
    จึงเทศนาโปรดว่า พระองค์สุดท้ายไม่ใช่พระ
    ธรรมดา ท่านอชิตะภิกษุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้
    ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีพระนามว่า
    “สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย”

    ปัจจุบันนี้ท่านมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต
    วิมานท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมีรัศมีกายสว่าง
    มาก หน้าตาผ่องใสยิ้มระรื่นน่าชื่นใจ ท่านได้บอก
    กับอาตมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
    อีก ๑ ล้านกับ ๒ ปี ท่านจะลงมาเกิดในเมืองมนุษย์
    แล้วเป็นปุโรหิต หลังจากนั้นเกิดความเบื่อหน่าย
    ก็ออกแสวงหาพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า
    ถ้าจะเทียบพื้นที่ในสมัยนี้ พระองค์จะตรัสทาง
    ทิศเหนือของพม่า แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้

    จาก : หนังสือ ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน
    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    .jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ฝึกนับลม

    นี่แบบหนึ่งการหัดทรงอารมณ์จิตแบบง่ายๆ แต่มี
    ผลดี แล้วก็ตั้งใช้อารมณ์ไว้น้อยๆ อย่าให้มาก
    ใหม่ๆ ตั้งอารมณ์ไว้ใช้สิบระยะของการหายใจเข้า
    ออก หายใจเข้าหายใจออกนับเป็นหนึ่ง แล้วก็นับ
    ถึงสิบ พอสิบรักษาอารมณ์ไว้

    ถ้าลมมันซ่าน นับหนึ่งใหม่ ถ้ามันยังไม่ถึงสิบ
    ถ้าถึงสิบแล้ว ถ้าใจยังสบายอยู่ ก็ว่าต่อไปอีกสิบ
    ถ้าเห็นว่าจะซ่านมากเกินไป เอาไว้ไม่ได้ก็เลิก

    เวลาท่านนอนก่อนหลับพยายามจับลมหายใจ ให้
    ได้สิบคู่ ถ้าสิบคู่แล้วถ้าจิตมันจะคิดก็เชิญให้มัน
    คิดไป ถ้าตื่นมาใหม่ๆ ยังไม่ลุกจากที่นอน ยังนอน
    อยู่แบบนั้นก็จับลมหายใจอีกสิบคู่ ภาวนาด้วยต่อ
    ไป เวลาที่ท่านเดินไปเดินมา แล้วนั่งบ้าง จับลมหาย
    ใจให้ได้อีกสิบคู่ ไม่ต้องเลือกเวลา

    ถ้าทำอย่างนี้จริงๆ ทรงอารมณ์จิตจริงๆ ภายใน สามเดือนนี่ ท่านจะเป็นคนทรงฌานที่ดีที่สุด
    อารมณ์ฟุ้งซ่านจะหายไป ไอ้หายเลยน่ะไม่หาย
    แต่มันจะเบาลง คนที่ไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านจริงๆ
    ก็คือพระอรหันต์

    อันนี้เป็นวิธีต้นที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    จะต้องพยายามฝึก ต้องพยายามทำ เอาชนะมัน
    นานไม่ได้เราก็ชนะเร็วๆ ยาวไม่ได้ เราก็สั้น
    อย่างไรวันหนึ่งๆ ให้ชนะให้ได้ ขึ้นชื่อว่าทุกวัน
    เราต้องเป็นผู้ชนะ ชนะมากไม่ได้เราก็ชนะน้อย
    ก็ชื่อว่าเป็นผู้ชนะ

    ที่มา : จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ
    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    .jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    แผ่นจารึกใต้พระประธานในพระอุโบสถ

    เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็น
    ผู้อุปถัมภ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่
    สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราชล่วงไป
    แล้ว ๒๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช
    นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจาก
    เชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์
    จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป
    คณะของเราขอโมทนา แต่อยู่ช่วยไม่ได้
    เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว

    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    คำจารึกในแผ่นทอง ใต้แท่นพระประธาน
    ในพระอุโบสถ วัดท่าซุง
    สร้าง พ.ศ. ๒๕๑๗ แล้วเสร็จ พ.ศ. ๒๕๑๙

    .jpg
    1504394464_420_แผ่นจารึกใต้พระประธานใ.jpg
    1504394464_814_แผ่นจารึกใต้พระประธานใ.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ทรงความดีก่อนตาย

    เรามีความรู้สึกอยู่เสมอว่า
    เราจะต้องตายแน่ จะตายเช้า ตายสาย
    ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายด้วยอาการปกติ
    หรือด้วยอุบัติเหตุก็ตาม ก็ขึ้นชื่อว่าจะต้องตาย

    เราไม่ประมาทในชีวิต ก่อนที่เราจะตาย
    จะกอบโกยความดีใส่กำลังใจไว้ให้มันครบ
    พระพุทธเจ้าทรงสอนแบบไหน ปฏิบัติให้จบ
    ให้ครบทุกประการ ให้บริบูรณ์ทั้งหมด ในฐานะ
    ที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต

    พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดํา)

    .jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...