::เพราะเหตุอะไร ทางภาคอิสานถึงได้มีพระสุปฏิปัณโณ พระอริยเจ้ามากกว่าภาคอื่น::

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สุชีโว, 17 มีนาคม 2014.

  1. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า มาร มารดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร เล่า จึงถูกเรียกว่า มาร พระเจ้าข้า ราธะ เมื่อ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาน มีอยู่ จะพึงมีมาร มีผู้ให้ตาย หรือ ว่าผู้ตาย.................ราธะ เพราะฉนั้นในเรื่องนี้ เธอจงเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน ว่าเป็น มาร เห็นว่าเป็นผู้ให้ตาย เห็นว่า ผู้ตาย เห็นว่าเป็นโรค เห็นว่าเป็นหัวฝี เห็นว่าเป็นลูกศร เห็นว่าเป็นทุกข์ เห็นว่าเป็นทุกข์ที่เกิดแล้ว ดังนี้ พวกใด ย่อมเห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญานนนั้น ด้วยอาการอย่างนี้ พวกนั้น ชื่อว่า เห็นโดยชอบ แล.................ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัมมาทัสนะ(การเห็นโดยชอบ) มีอะไรเป็นประโยชน์ที่มุ่งหมายเล่าพระเจ้าข้า---ราธะ สัมมาทัสนะ มี นิพพิทา(ความเบื่อหน่าย) เป็นประโยชน์เป็นที่มุ่งหมาย...............ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ นิพพิทา มีอะไรเป็นประโยชน์เป็นที่มุ่งหมายเล่าพระเจ้าข้า-----------ราธะก็ นิพพิทาแล มี วิราคะ(ความจางคลายไป) เป้นประโยชน์เป็นที่มุ่งหมาย............ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ วิราคะ มีอะไรเป็นประโยชน์เป็นที่มุ่งหมายเล่า พระเจ้าข้า----ราธะ วิราคะแล มี วิมุติ(ความหลุดพ้น)เป้นที่มุ่งหมาย..................ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ วิมุติ มีอะไรเป็นประโยชน์เป็นที่มุ่งหมายเล่าพระเจ้าข้า----ราธะ วิมุติแล มีนิพพาน เป้นประโยชน์เป็นที่มุ่งหมาย...................ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ นิพพาน มีอะไรเป็นประโยชน์ ที่มุ่งหมายเล่าพระเจ้าข้า---------ราธะ เะอได้ ถามเลยปัญหาเสียแล้ว เธอไม่อาจจะจับฉวยเอาที่สุดของปัญหาได้ ราธะ ด้วยว่า พรห์มจรรย์ที่ประพฤติกันอยู่นี้แล ย่อมหยั่งลึกสู่ นิพพาน มี นิพพานเป็นที่สุดท้าย---ขนธ.สํ.17/231/366:cool:
     
  2. comxeoo

    comxeoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +214
    การเข้าไปดูเข้าไปรู้มันเสี่ยงจะหลงทาง จะสงสัยว่าไหนผู้รู้ ทำไมรู้แล้วไม่หาหลักเกาะให้จิต จิตจะได้เห็นว่ามีตัวเทียบ ว่าตอนนี้จิตไม่ปรุงแต่งแล้ว เมื่อกี้จิตปรุงแต่ง อย่างนี้จะพอเห็นสัจธรรมได้บ้างครับ



    พระพุทธเจ้าประกาศธรรมครั้งแรก พระอัญญาโกณฑญะเกิดดวงตาเห็นธรรม ละสักกายทิฐิได้ ไม่มั่นหมายว่าเป็นตัวเรา พอฟัง อนัตตลักณสูตร พระพุทธเจ้าชี้มุมที่เป็นโทษ ของความไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตนของขันธ์5 ว่ามันไม่น่ายึดมั่น จิตเห็นความไม่เที่ยงไม่น่ายึดถือ ไม่ใช่ตัวตน จิตสลัดคืน หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ เห็นทางดำเนินของจิตของพระสาวกไหมครับ มันถูกเฉลยในอนัตตลักณสูตรแล้ว ทางที่เราจะเดินกันก็ทางนี้ ภิกษุปัญวัคคีย์อยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้า >>จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ พระพุทธเจ้าชี้ลงไปที่ ขันธ์5 ที่มีสภาพทุกข์ >> ภิกษุปัญวัคคีย์น้อมเห็นในจิต ถึงสภาพไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เมื่อจิตเห็นสภาพตามเป็นจริงในขันธ์ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส >>จิตหลุดพ้น เป็นพระอรหันต์ คราวนี้มาดูการปฏิบัติของเรา ก็เช่นเดียวกัน เราไม่ได้ฟังธรรมต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า เราปฏิบัติธรรมเป็นอุบายให้เกิด สัมมาสติที่เกื้อหนุนให้เกิดสัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่นเป็นกลาง ถ้าความคิดมันเกิดขึ้นมาแทรกทั้งที่เราตั้งใจระลึกอยู่แค่ที่กายหรือที่ลมใจแต่มันเกิดสังขารการปรุงแต่งขึ้นมาทั้งที่เราตั้งใจจะมาระลึกอยู่แค่ที่กายหรือลมหายใจ ธรรมชาติที่จิตมีธาตุรู้อยู่ จะเห็นการ เกิด-ดับของรูปบ้าง สังขารการปรุงแต่งบ้าง สัญญาบ้าง เวทนาบ้าง อยู่อย่างนี้ เห็นว่าขันธ์5ทั้งหลายเหล่านี้ ไม่สามารถควบคุมได้ มันทำงานไปเองตามเหตุปัจจัย พอเห็นกระบวนการที่มันทำของมันเอง ไม่เห็นมีเราอยู่ตรงไหน เพราะขันธ์ทั้ง5 ไม่ว่าจะความคิดปรุงแต่ง หรือสัญญาความจำที่ผุดขึ้นมาเอง เราไม่เคยไปบอกให้มันทำงานอย่างนั้นเลย >> เมื่อเห็นกระบวนการในขันธ์ที่มันทำงานของมันเอง โดนปราศจากตัวเรา แล้วไอ้ที่เคยไปคิดว่ามันเป็นตัวเรา ความคิดเรา ความจำเรา สุขเรา ทุกข์เรา มันมีซะที่ไหน เหมือนเฟืองในเครื่องจักรที่มันทำงานไปเองของมัน แต่เราไปทึกทักว่ามันเป็นเราเป็นของเราเอง ขันธ์5 มันทำงานไปเองตามปัจจัยข้างในที่มันเคยสะสมไว้ แต่มีจิตโง่ที่มีอวิชชา หลงไปคิดว่าเป็นตัวเรา อย่างเหนียวแน่น เป็นที่มาว่าทำไมเราต้องให้จิตตั้งมั่น จะเห็นธรรมชาติภายในจิต ในขันธ์5 พอเห็นแจ้งมันอย่างนี้ สภาวะจิตก็เข้าถึงความเป็นโสดาบัน มันขึ้นอยู่กับสภาวะภายในว่าเห็น ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตนของขันธ์5 มากแค่ไหน มากพอให้จิตเบื่อหน่าย คลายกำหนัดหรือเปล่า จิตจะสลัดคืน กลับสู่ธรรมชาติจิตเดิมแท้ ก็ถ้าที่นักปฏิบัติ ปฏิบัติกันอยู่มันเป็นไปเพื่อความเห็น ความเป็นไตรลักษณ์ของขันธ์5 หรือเปล่าก็พิจารณาของตนเอง ถ้าไม่ไปอย่างนี้ จะเอามรรคผลจากไหน ไม่มีแบบฟลุ๊ค จิตต้องเดินตามวิถีนี้ ธรรมทั้งหมดสนับสนุนเกื้อกูลกันทั้งหมด



    มรรคมีองค์8 เป็นทางเดียวที่สัตว์จะพ้นจากทุกข์ได้ ต้องอ่านที่พระพุทธเจ้าทรงอธิบาย ว่ามรรคมีองค์8 เป็นอย่างไร สัมมาทิฐิ
    ขั้นต้นเชื่อว่าทุกคนมีอยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่ปฏิบัติธรรมกัน แต่สัมมาทิฐิที่เกิดขึ้นระหว่างเจริญอานาปานสตินั้น คือการเห็น อริยสัจ4 >>จิตมันเข้าไปเห็นขันธ์5 มีสภาพทุกข์ คือมันเกิด-ดับ เป็นต้น .. ขันธ์5 บังคับไม่ได้ คือว่างจากตัวตน .. จิตเข้าไปเห็นทุกข์ คือข้อแรกของอริยสัจ และเห็นเหตุที่เข้าไปยึดถือเป็นตัวเป็นตน คือ สมุทัย.. เท่ากับจิตเกิดสัมมาทิฐิที่ถูกต้องแล้ว ธรรมมันเชื่อมโยงกันทั้งหมด




    คนที่กล่าวว่ากำลังไม่ถึง มันเป็นข้ออ้างของกิเลส ตอนที่ผมเริ่มปฏิบัติ สติ สมาธิไม่ต้องพูดถึงไม่มีกับเค้าเลย กำลังความมุ่งมั่น สำคัญที่สุด ธรรมวินัยนี้แพ้คนจริง ถ้าทำกันจริงและถูกทางมันหลุดกันไปแล้ว ถ้ายังเป็นฆราวาสครองเรือน ถ้ากำลังใจถึงซะอย่างเดียว เห็นแจ้งง่ายกว่าออกบวชซะอีก ผัสสะที่เข้ามากระทบ มันทำให้จิตเห็นไตรลักษณ์ได้ดีทีเดียว อารมณ์มันเปลี่ยนไปตลอด ต้องเอาการปฏิบัติสอดแทรกไปในชีวิตประจำวัน ถ้าจะเอากำลังใจถึงมรรคผลกันจริง ก็ต้องเอาจิตยึดธรรมเป็นหลัก แต่ชีวิตโลกๆ เป็นเรื่องรองมา
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    (นางวิสาขะ ถาม ธัมมทินนาเถรี(ภิกษุณี))---ข้าแต่แม่เจ้า อริยอัฎํงคิกมัค เป็นอย่างไรเล่า ---------อาวุโส วิสาขา อริยะอัฐฐังคิกมรรค นั้นได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.......ข้าแต่แม่เจ้า อริอัฐฐังคิกมรรค เป็น สังขตธรรม หรือ อสังขตธรรม อาวุโส วิสาขะ อริยะอัฐฐังคิกมรรค เป็น สังขตธรรม .........ข้าแต่แม่เจ้า ขันธิืทั้งสาม(สิล สมาธิ ปัญญา)สงเคราะกหืด้วยอริยะอัฐฐังคิกมรรค หรือ ว่า อริยะอัฐฐังคิกมรรคสงเคราะห์ด้วยขันธิ์ทั้งสาม....อาวุโส วิสาขะ ขันธิ์ ทั้งสาม ไม่ได้สงเคราะห์ ในอริยะอัฐัังคิกมรรค แต่ อริยะอัฐฐังคิกมรรคต่างหาก สงเคราะห์ลงในขันธิืทั้งสาม คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สามอย่างนี้สงเคราะห์ลงใน สิลขันธิ์ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สามอย่างนี้สงเคราะห์ลงใน สมาะิขันธิ์ สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปปะ สองอย่างนี้สงเคราะห์ลงใน ปัญญาขันธิฺื---มู.ม.12/549,555/508,513:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2014
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ"ภิกษุทั้งหลาย ถ้าปริพาชกเดียรถีย์ เหล่าอื่น พึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโส ธรรมทั้งปวง มีอะไรเป็นมูลราก ธรรมทั้งปวง มีอะไรเป็นแดนเกิด ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นสมุทัย ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นที่ประชุมลง ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นประมุข ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นอธิบดี ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นอันดับสูงสุด มีอะไรเป็นแก่น มีอะไรเป้นที่หยั่งลง มีแะไรเป็นที่สุดจบ ดังนี้แล้วไซร้...........ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่ปริพาชกเดียร์ถีย์เหล่านั้นอย่างนี้ว่า อาวุโส ทั้งหลาย...........ธรรมทั้งปวงมี ฉันทะ เป็นมูลราก ธรรมทั้งปวงมี มนสิการ เป็นแดนเกิด ธรรมทั้งปวง มีผัสสะ เป็นสมุทัย ธรรมทั้งปวงมีเวทนา เป็นที่ประชุมลง ธรรมทั้งปวงมีสมาธิเป็นประมุข ธรรมทั้งปวงมีสติ เป็นอธิบดี ธรรมทั้งปวง มีปัญญา เป็นอันดับสูงสุด ธรรมทั้งปวงมี วิมุติ เป็นแก่น ธรรมทั้งปวง มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง ะรรมทั้งปวง มี นิพพานเป็นที่สุดจบ ภิกาุทั้งหลาย พวกเธิถุกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่ปริพาชก อัญญเดียรืถีย์เหล่านั้นอย่างนี้แล---ทสก.อํ.24/113/58:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2014
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ภิกาษุประกอบด้วย ธรรมหกประการ ย่อมเป็นผู้มากไปด้วยสุขโสมนัส ในทิฐฐิธรรมเทียว และการกำเนิดของเธอนั้น จักเแป็นการปรารภเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะด้วย ะรรมหกประการเหล่าใหนเล่าภิกาุทั้งหลาย ธรรมหกประการคือ ภิกาุในกรณีนี้ เป็นธรรมมาราโม(มีะรรมเป็นที่มายินดี) เป็นภาวนาราโม(มีการเจริยภาวนาเป็นที่มายินดี) เป็นปหานาราโม(มีการละกิเลสเป็นที่มายินดี) เป็นปวิเวการาโม(มีความสงัดจากโยคธรรมเป้นที่มายินดี) เป็นอัพพยาปัฌาราโม(มีธรรมอันไม่เบียดเบียนเป็นที่มายินดี) เป็นนิปปปัณจราโม (มีธรรมอันไม่ทำให้เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี) ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรมหกประการ เหล่านี้แล ย่อมเป็นผู้มากด้วยสุขโสมนัส ในทิฎฐธรรมเทียว และการกำเนิดของเธอนั้น จักเป็นการปราภ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะด้วย-ฉกก.อํ.22/480/349..:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2014
  6. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    หากหาความสงบ หาสติไม่เจอ ->คุณพึงพิจารณาการใช้ชีวิต ให้มีศีล มีคุณธรรม มีความสำรวมกาย วาจา ใจ ศีลปกติ จิตใจก็มีสงบเป็นปกติ
    -> หากสติไม่ตั้งมั่น ก็ย่อมไม่เห็นความไม่เที่ยง
    ->ไม่ปรุงแต่ง คือ ไม่ต่อยอด หักเสียในสิ่งไม่ดีทั้งปวงในเบื้องต้นให้ได้ เพื่อได้เห็นไม่เที่ยง
    นามะรูปัง อนิจจัง นามะรูปัง ทุกขัง นามะรูปัง อนัตตา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2014
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ขอแก้ไขในส่วนที่ผิดพลาดตรงนี้นะครับ ส่วนที่ผมตอบไปอันนี้ยังไม่ถูกต้อง ยังไม่รู้อย่างชัดเจนด้วยตนเอง ท่านธรรม-ชาติมาตอบที่ถูกต้องให้แล้วนะครับ
     
  8. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    มักมีคนพูดว่าพระที่อีสานเป็นพระอรหันต์มาก อยากถามกลับว่ารู้ได้อย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2014
  9. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ก็เห็นเขาว่ากันอย่างนั้น
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  11. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    เขาว่าอย่างไรหรือครับที่พอจะดูออกว่าเป็นพระอริยะชั้นต่างๆ
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    เมื่อครั้งหลวงปู่มั่น ยังมีชีวิตอยู่ และหลังจากท่านนิพพานไปแล้ว100ปี พระอรหันต์ก็ลดลงตามลำดับ

    หลวงปู่มั่น ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ มีผู้ติดตามสายของท่านมากมาย เมื่อท่านลาพุทธภูมิ เหล่าผู้ติดตามก็ต้องลาด้วย คือสำเร็จนิพพานตามกันไปด้วย ขณะนี้ยังมีผู้ติดตามของท่าน ยังมีอยู่จำนวนหนึ่ง ที่เจริญรอยตามท่าน จึงไม่แปลกครับ

    เพราะหลวงปู่มั่นท่านเจริญรอยตามพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัดในศีล ธรรม ข้อวัตรปฏิบัติ ทั้งหมด ที่พระสงฆ์อื่นๆ ทำได้ไม่ดีเยี่ยมเท่าหลวงปู่มั่น พระอรหันต์ผู้ปล่อยวางได้หมดในกิเลส การเป็นอยู่ของท่านก็เรียบง่าย ไม่หรูหรา ไม่เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี
    อนึ่ง ทางภาคอีสานก็มีอานาบริเวณกว้างไกล เชื่อมติดหลายประเทศ ป่าเขาก็เหมาะแก่การปฏิบัติ การขบฉันก็เรียบง่าย การเป็นอยู่จำวัดก็เรียบง่าย ปัจจัยหลายอย่างเอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติธรรมถือสันโดษปลีกวิเวก

    และด้วยปฏิปทา วิธีการ แบบอย่าง วิถีปฏิบัติ ของหลวงปู่มั่นใกล้เคียงพระพุทธเจ้ามาก จึงกล่าวได้ว่า วิธีการของท่านจึงมุ่งตรงต่อพระนิพพาน ซึ่งต่างจากส่วนอื่นๆ ที่ไม่ได้มุ่งเน้นตรงทางเช่นนี้ เพราะปัจจุบันสายอรัญญวาสี คามวาสีก็จะเป็นพระเมือง ไปหมดแล้ว ห่างไกลทางพระนิพพาน เพราะมัวแต่อ่านพระไตรปฏิฏกแต่ไม่ยอมปฏิบัติกัน บางส่วนก็หวังลาภสักการะ ต่ำแหน่งเปรียญธรรม การปกครอง อันเป็นการเมืองของสงฆ์ จึงกลายเป็นสิ่งที่กล่าวได้ยากยิ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีพระอริยะ เพราะกระผมเคยทราบมา ท่านสมเด็จพระสังฆราชท่านก็ทรงเป็นแบบอย่างที่ดี สมเด็จท่านมหาธีราจารย์วัดชนะสงคราม ท่านก็ปฏิบัติดี เป็นแบบอย่าง ของผู้ปกครองสงฆ์ แต่ใครจะเอาเยี่ยงอย่างที่ดี มีหรือไม่นั้นก็ตอบยาก ก็เป็นเรื่องของท่าน
    สุดท้ายคือ ไม่ว่าจะที่ไหน เมืองไหน ประเทศไหน หากท่านพระสงฆ์เหล่านั้น เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เจริญรอยตามพระพุทธเจ้าได้จริง ก็ควรแก่การสักการะเช่นกันไม่มีแบ่งแยกครับ สาธุ
     
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    เรื่องการธุดงค์ ผมว่าเป็นสิ่งสำคัญ เป็นบทเรียน ราคาแพง เหมือน บัณฑิต ที่ต้องลงไปทำงานเองเพื่อทำวิทยานิพนธ์ หากไม่ลงพื้นที่จริง พบของจริง แล้วจะเข้าใจได้แท้จริงแล้วจะถือว่าเรียนจบได้อย่างไร

    เมื่อเรียนจบแล้ว รู้แล้วเข้าใจแล้ว ทีนี้มันแค่เริ่มต้น ต่อไปนั้นคือต้องออกไปผจญโลกของจริง ไม่ว่าจะไปอยู่วัดใดที่ใด มันก็ไม่ใช่สาระสำคัญแล้วเพราะเมื่อสอบผ่านธุดงค์แล้ว มันปล่อยวางรู้เข้าใจหมดแล้ว ที่เหลือคือเจริญรักษามรรคไว้ ให้ต่อเนื่องสืบเนื่องต่อไป อย่างนี้ บ้านเมืองเราศาสนาเราก็จะยืนยาว เพราะมีพระอริยะสงฆ์มากมาย พร้อมที่จะอบรมสั่งสอน ธรรม การปฏิบัติธรรม มีแบบอย่างที่ดีจริงมากมาย นี่แหละคือสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ใจผมอยากให้มีการญัตติเรื่องหลักสูตรธุดงค์เอาไว้ด้วย โดยเฉพาะพระที่สอบเปรียญธรรมมหา ขึ้นไป น่าจะต้องสอบผ่านธุดงค์ เวลากี่ปีก็แล้วแต่ตกลงกันตามความเหมาะสม
    เพราะพระสงฆ์นี่ ต้องอดทนต่อความยากลำบากให้ได้ อดทนต่อขันธ์ให้ได้ หากทำได้มีจิตใจชนะเหนือขันธ์ เหนือกิเลสได้แล้ว นั่นแหละแสดงว่าท่านได้ทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้แล้ว จึงเหมาะสมแล้วที่จะเป็นผู้แนะนำสั่งสอนผู้อื่นต่อไปครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...