เพราะโลกเกิดขึ้นด้วยเหตุและปัจจัย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-กาล, 24 กุมภาพันธ์ 2022.

  1. ธรรม-กาล

    ธรรม-กาล รอยต่อของลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +65
    เพราะโลก ประกอบขึ้นด้วยเหตุและปัจจัย ไม่โลกจะโลกนี้ โลกหน้า หรือโลกไหนๆในต่างมิติก็ประกอบขึ้นด้วยเหตุและปัจจัยทั้งสิ้น
    ในทฤษฏีสตริงที่บ่งบอกถึง มิติทั้ง 11 ที่มีอยู่ ก็ชวนให้คิดไปได้หลากหลายถึงมิติและจักรวาลที่แตกต่าง ความเป็นไปได้ที่มากมายนับไม่ถ้วน แต่หากลองคิดถึงเพียงสิ่งหนึ่ง คือโลกล้วนประกอบด้วยเหตุและปัจจัยแล้ว ก็กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดา ที่ไม่ต่างจากที่มิติปัจจุบันที่เรารู้จัก แม้ว่ากฏฟิสิกส์จะเปลี่ยน กฏทางเคมีจะเปลี่ยน ธาตุอื่นๆจะแตกต่าง มนุษย์อาจล่องลอยได้ดุจวิหค หายตัวได้ หรืออื่นๆ แต่ก็หนีไหมพ้นเหตุและปัจจัยทั้งสิ้น

    ในยุคปัจจุบัน ทางวิทยาศาสตร์ได้เจาะลึกไปถึงอนุภาคแบบควันตัม หาบทพิสูจน์มากมายเพื่อทดสอบทดลอง เพื่อความเข้าใจในรูปแบบที่เราสามารถเอาไปใช้งานได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่หน้ายินดี และน่าหวาดกลัวไม่ต่างกัน เพราะเราได้พบเหตุและปัจจัยอื่นที่จะสร้างให้เกิดเหตุและปัจจัยอันอื่นๆมากขึ้นไปอีก ความหลากหลายมันเกิดขึ้นมากกว่าเดิม คนเราก็จะยึดติดและหลงไปกว่าเดิมหรือไม่

    ฉะนั้น หากเราสามารถมองโลก ว่าประกอบขึ้นด้วยเหตุและปัจจัย เราอาจมองเห็นโลกที่แตกต่างออกไปจากมุมมองเดิม อาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม เพราะมันก็เป็นของมันไปอย่างนั้น หากก้อนหินจะลอยออกไปจากมือของเรา มันก็มีเหตุที่จะลอยออกไป แต่มันไปกระทบกับอะไรแล้วจะสร้างอะไรต่อ มันก็เป็นไปอย่างนั้น โลกเป็นเพียงภาวะที่ประกอบขึ้นมา แล้วสุดท้ายก็ทลายลงไป

    เราเลือกที่จะวิ่งหนีสิ่งที่สูญสลายแล้วหาสิ่งที่ไม่สูญสลายจากโลกแบบนี้หรือ แล้วมีสิ่งอื่นใดที่ไม่สูญสลายไปกับกาลเวลาหรือไม่ แม้กาลเวลายังมีการเปลี่ยนแปลง แม้แรงโน้มถ่วงยังสามารถสูญสิ้นได้ เราที่ยึดถือซึ่งโลกธรรมอยู่จะเป็นอย่างไร เชื่ออะไร ขออะไร ขอแล้วได้อะไร สุดท้าย เราจะเหลืออะไรหากเมื่อวันแห่งความสูญสลายได้มาทักทายในวันสุดท้ายแห่งชีวิต
     
  2. MUSAFA

    MUSAFA MUFASA AL-AMYADH

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +164
    . ความเชื่อสุดโต่งเรื่องหลังความตาย Afterlife มี 2 แบบ
    1. เชื่อว่าตายแล้วสูญไม่มีอะไรอีก
    2. เชื่อว่าตายแล้ว ยังมีโลกหลังความตายต่อไป
    ... ส่วนตัว เป็นแบบที่ 2
    . เกี่ยวกับช่วงความถี่ที่เราสามารถเห็น,ได้ยิน อย่างจำกัดครับ จริงๆร่างกายมันก็แค่เปลือก และร่างก็เป็นเพียงบ้าน,รถ จิตตัวในคือคนขับ,ผู้อยู่อาศัย
    # จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว
    คงเคยได้ยินคำว่า "อนันต์ภพ" มาบ้างใช่มั้ยครับ มันก็คือ "มิติช่องความถี่" ที่มีเป็นอนันต์ เหมือน FM 65.85 ,AM 36.25 , # FM, AM, SW เปลี่ยนเป็น รหัสประเทศ เลขช่อง เป็น รหัสประชาชน , ของเราๆก็จะเป็น TH เลขช่อง คือ รหัสประชาชน 13หลัก ,ถ้า อเมริกา ก็ U.S. เลขรหัสประชาชน , จีนก็ CN เลขรหัสประชาชน # รหัสช่องความถี่ โลกธาตุใครโลกธาตุมัน คนอื่นๆที่เราเห็น คือตัวแทน,ตัวโคลน,นักการฑูต ที่ตัวจริงเขาอยู่ในโลกธาตุตัวเอง โดยตัวแทนเราก็มีในโลกธาตุคนอื่นๆเช่นกัน , # ร่างตัวแทนมาจากไหน?? เวลาเราอยู่ที่ๆมีแสง แสงกระทบร่างเรา จะเกิดเงาทอดตัวไปตามพื้นตามผนัง ที่ซึ่งเท้าของเงาจะเชื่อมกับเท้าของเรา เงานั้นจะปรากฏเป็นร่างเสมือนเราในโลกธาตุคนอื่นๆก็เช่นกัน เราคือเฟืองอันหนึ่ง คนอื่นๆก็เช่นกัน เงาก็เช่นกัน เงาเราจะอย่างไรกับเขา ขึ้นกับเราขับเฟืองเราอย่างไร จะขับเฟืองเงาอีกที เขาในโลกธาตุเขา ขับเฟืองเขาอย่างไร จะต้านจะร่วมกับเฟืองเงาเราอย่างไร จะเกิดผลอย่างนั้น เขากับเราก็เช่นกัน....
    ... จริงๆในอนันตภพมันมีทุกรูปแบบทุกจินตนาการเลยนะ ทั้งดีและไม่ดี อยู่ที่ใจ ว่าจะไปเชื่อมต่อกับพวกไหน
    และมันจะมีเรื่อง "กรรม" เข้ามาเกี่ยวด้วย (อันนี้สำคัญมากๆ) อย่างการกระทำใดๆ ก็ตาม มันจะเกิดสายกรรมเชื่อมต่อกรรมเป็นเหมือนเส้นด้าย
    ถ้านึกไม่ออก ลองดูในผังการเขียนโปรแกรมฐานข้อมูล ที่มีการทำ LAYER ทางเลือกในผังฐานข้อมูล (สาย LAYER = สายกรรม)
    และระบบคอมพิวเตอร์อัตโนมัติแบบเรื่อง "แมททริกซ์" ประมาณนั้น ซึ่งหากจูนติดสัญญาณช่องความถี่สายกรรม จะสามารถเห็นสายกรรมได้ชัด

    . สำหรับเรื่องภพภูมิในคำสอนที่ระบุว่ามี 31 ภพภูมิ เมื่อผนวกกับ MultiVerses (อนันตภพ) 31 ภพภูมิที่ว่าก็กลายเป็น Species แต่ละมิติช่องความถี่ (Verse) มันก็มีพวกที่เหมือนกับล่องหนสำหรับ Verse อื่นๆ อยู่เยอะแยะ ที่มันเห็นเราเราไม่เห็นมัน

    . แต่ละมิติช่องความถี่ (Verse) มันก็มีพวกที่เหมือนกับล่องหนสำหรับ Verse อื่นๆ อยู่เยอะแยะ ที่มันเห็นเรา เราไม่เห็นมัน (ญิน ในอิสลาม #ผี)
    อยู่ที่ว่าสามารถปรับจูนต่อม(อวัยวะขนาดเล็ก)ตัวหนึ่งในสมอง ที่สามารถรับสัญญาณช่องความถี่ใดได้บ้างก็เท่านั้น
    Universe = เอกภพ (มิติช่องความถี่ หนึ่งช่อง # คลื่นความถี่ที่สามารถถูกเห็น/ได้ยิน/สัมผัส ได้)
    Multiverses = พหุภพ/อนันตภพ (มิติช่องความถี่ ที่มีจำนวนช่องเป็น "อนันต์" )
    . #ความเข้าใจของคนในปัจจุบันต่างกับเมื่อก่อนครับ
    . เดิมที "จักรวาล" ในพระพุทธศาสนาหมายถึง "โลกธาตุ" ในทางพุทธใช้เทียบกับวิทยาศาสตร์ว่า "จักรวาล = แกแล๊กซี่" ครับ ส่วน "เอกภพ" ใช้นิยาม SpaceTime อันหมายถึง มิติช่องความถี่ ช่องความถี่หนึ่ง อันประกอบไปด้วย พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์ และมีสารสาระ ควบคู่ไปกับ กาลเวลา
    เหมือช่องทีวีช่องวิทยุ ที่มีช่องเยอะแยะมากมาย และฉาย/ออกอากาศ,ดำเนินไปพร้อมกันในเวลาเดียวกัน เช่น ขณะที่เรากำลังชม ช่อง3,5,7 ในเวลาเดียวกัน BBC,CNN, al-Jazeerah , ช่องท้องถิ่นต่างๆ,เคเบิ้ลท้องถิ่นต่างๆ ,และอีกมากมายทั่วโลกที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยิน/รู้จัก ก็กำลังออกอากาศไปพร้อมกัน โดยมีใจความสาระต่างๆกันไปที่มีหลากหลายช่อง เราต้องปรับจูน หรือ ต้องมีกล่อง/มีจาน (# ที่เฉพาะเท่านั้น) จึงจะสามารถรับชมได้ แน่นอนว่ามันก็ฉายออกทางทีวีเครื่องเดียวกันเราก็สามารถเห็นมัน(ช่องต่างๆ) ผ่านจอเดียวกัน ได้ยินมันผ่านลำโพงเดียวกัน (เมื่อเราเปลี่ยนช่อง)
    . #อยู่ที่ว่าสามารถปรับจูนต่อม(อวัยวะขนาดเล็ก)ตัวหนึ่งในสมองที่สามารถรับ/แปลง สัญญาณช่องความถี่ใดได้บ้างก็เท่านั้น
    ต.ย. ต่อมรับ/แปลงสัญญาณที่ผิดปกติที่ รับ/แปลง สัญญาณช่องอื่นจนทำให้เห็น,ได้ยิน,สัมผัส ได้
    . เช่น ความผิดปกติของต่อมดังกล่าว อาจเพราะสารเคมีผิดปกติ หรือรับสารเคมีที่ส่งผลแก่ต่อม อย่างจากการใช้สารเคมี(ยาเสพย์ติด)ที่ส่งผล
    หรืออย่างการนั่งสมาธิแล้วกำหนดจิต(ตั้งค่าโปรแกรม) ปรับตัวจูนการ รับ/แปลง สัญญาณ หรือที่เรียกกันว่า "ตาทิพย์" ประมาณนี้

    . # สรุปคือ สิ่งมีชีวิตต่างดาวก็ดี สิ่งมีชีวิตต่างมิติก็ดี ล้วนแต่ลงมติเห็นชอบว่า "ต่างคนต่างอยู่" ไม่ควรยุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงกัน โดยมีกฏระเบียบ
    และแต่ละดวงดาวแต่ละมิติ(จักรวาล,อนันตภพ,มิติช่องความถี่) ก็ได้มีเจ้าที่เจ้าทาง(ผีผู้ปกครอง)คอยปกป้องคุ้มครองดูแลลูกหลานอยู่ตลอดเวลา
    (ที่ได้สร้างม่านพลังเหมือนเอากะลามาครอบไว้ เพื่อให้ลูกหลานได้รู้ได้เห็นอย่างจำกัด ตามความเห็นชอบของพวกเขา)
    เมื่อไหร่ที่การพยายามเชื่อมต่อกับกลุ่มอื่นๆ โดยหากมีความเห็นชอบจากผีผู้ปกครอง (Guardians) แล้ว ก็น่าจะติดต่อกันได้(อยู่ในสายตา,ดูแล)

    . ในอิสลามจะมีสอนอยู่เรื่องหนึ่ง "ญิน" ที่มีเรื่องราวความเป็น ไปในทางที่เป็นสิ่งลึกลับ เหมือนเรื่องผี(ทางจิตวิญญาณ) ที่มีการพบเจอในลักษณะ ที่ปรากฏเป็นคนที่เสียชีวิตไปแล้ว(ตามนิยาม ผี ตามความเชื่อของคนไทย)
    . ในส่วนตัวผม ผมจะมองไปทางเชิงวิทยาศาตร์ เช่น ปรโลก คือ มิติควอนตั้ม และผีตามนิยามของคนไทย ที่มีลักษณะแบบญินของอิสลาม
    . ว่าด้วย "ญิน" ทางทัศนะคติผม ญิน คือสิ่งมีชีวิตต่างมิติช่องความถี่ เหมือนอย่างวิทยุ/โทรทัศน์ ที่เป็นเครื่องเดียวกัน/จอเดียวกัน ที่เมื่อผู้ใช้งานทำการเปลี่ยนช่องสัญญาณ จะส่งผลให้เนื้อหาสาระที่ออกมาจากลำโพง/หน้าจอ เปลี่ยนไป อย่างโทรทัศน์ เมื่อเราเปลี่ยนช่อง เนื้อหาที่ปรากฏบนหน้าจอก็เปลี่ยนไป เสียงที่ออกจากลำโพงก็เช่นกัน เปลี่ยนไปตามช่องที่เปลี่ยน หากแต่การปรากฏ ก็คือหน้าจอเดียวกัน/ลำโพงเดียวกัน
    ทีนี้ เมื่อเทียบกับสมองคนเรา หากเราทำการจูนรับสัญญาณช่องความถี่อื่น ที่ปกติจะไม่เชื่อมต่อ/จูนรับสัญญาณ ซึ่งหากเราปรับแต่งให้รับสัญญาณได้ เราก็จะเห็น/ได้ยิน เพิ่มจากปกติ อย่างคลื่นเสียงความถี่ต่ำที่สัตว์บางชนิดใช้ในการสื่อสารกัน ที่ซึ่งมนุษย์เราจะไม่ได้ยินมัน เพราะสมองของมนุษย์ ได้มีการเซตค่า default standard เฉพาะมาแล้วตามสายพันธ์ ที่ไม่สามารถ รับจูน/แปลง สัญญาณความถี่อื่นๆอย่างเสียงความถี่ต่ำได้ โดยธรรมชาติของมนุษย์ๆสามารถรับรู้ความถี่เสียงได้ตั้งแต่ 20 เฮิรตซ์ - 20 กิโลเฮิรตซ์ อันเป็นเสียงจากการพูดคุยของมนุษย์ หรือจากเครื่องดนตรี เป็นต้น ในขณะที่มนุษย์กลุ่มหนึ่ง ที่ได้มีการปรับแต่งต่างไปจากปกติ เช่น จากการฝึก(สมาธิ)/ดัดแปลงแก้ไข/เป็นเองจากความผิดปกติ จะมีลักษณะหนึ่ง ที่ทางการแพทย์เรียกว่า กลุ่มอาการ ภาพหลอน,หูแว่ว อันเป็นลักษณะที่สมองได้มีการทำงานต่างจากปกติซึ่งส่งผลให้ เห็น/ได้ยิน ต่างไปจากคนปกติที่มีการกำหนดค่าเป็น default standard ก็เท่านั้น
    . ในส่วนที่ส่งผลการทำงาน/จูนรับสัญญาณ ที่ต่างจากปกตินั้น สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น จากการฝึกสมาธิวิปัสนากรรมฐานต่างๆ,จากอุบัติเหตุที่ส่งผลต่อการทำงานของสมอง,จากการใช้สารเคมีต่สงๆ(รวมถึงสารเสพย์ติด) และความผิดปกติจากกรรมพันธุ์ รวมถึงการดัดแปลงปรับแต่งค่าการทำงานของสมองโดยเจตนา(เช่นการทดลอง)
    ซึ่งล้วนแล้วส่งผลแก่การทำงานของสมองในลักษณะเกิดการจูนรับช่องสัญญาณต่างๆที่ผิดไปจากค่า default เริ่มต้น ประมาณนั้นครับ

    . ร่างกายเป็นที่เกาะเกี่ยวแก่จิตวิญญาณได้ใช้ ในลักษณะเป็นที่อยู่อาศัย,ยานพาหนะ บ้าน,รถ,รถบ้าน จิตวิญญาณเห็นตนเองมีตัวเป็นคนเป็นมนุษย์ เห็นร่างกายที่ตนใช้เกาะเกี่ยวปรากฏเป็นบ้านเป็นรถ
    . ว่าทางกายภาพ จิตเดิมคือตัว(body)เก่า ขณะใช้ชีวิตอยู่ จะเป็นการคีย์ข้อมูลให้ตัวใน(ตัวจิตในร่าง) เป็นไปตามกรรมตามการกระทำตามพฤติกรรม
    . หากกระทำตนมีพฤติกรรมอย่างเดรัจฉาน กลไกอัตโนมัติ จะคีย์ข้อมูลให้ตัวจิตในร่างกลายเป็นเดรัจฉาน หากมีพฤติกรรมเช่นสัตว์นรก จะเป็นการคีย์ข้อมูลตัวจิตในร่างเป็นสัตว์นรก
    . ที่ซึ่งเมื่อเสียชีวิต ตัวตนเก่าจะเป็นดั่งคราบ(งู,แมลง) เหมือนเสื้อผ้าชุดก่อนที่ถอดออก
    โดยร่างใหม่ จะเป็นไปตามตัวตนที่จริงกว่า โดยจะเป็นไปตามตัวจิตตัวในที่ซึ่งบุคคลนั้นๆได้คีย์ข้อมูลการทรานฟอร์มด้วยตนเอง
    การจะดูว่าใครเป็นเดรัจฉานในร่างคน หรือเปรต,สัตว์นรกในคราบคน คงดูออกได้ไม่ยาก ดูจากพฤติกรรม,การกระทำของบุคคลนั้นๆ ก็พอจะสามารถประเมินคร่าวๆได้
    . # เพื่อนน้อยแต่มีคุณภาพจะพากันเจริญ เพื่อนมากแต่แย่คุณภาพมักจะชวนกันไปตายหมู่
    . เลือกคบคนสักนิด เพื่อชีวิตที่เจริญ

    . จิต คือ USER,PLAYER
    . วิญญาณ คือ DATAs,SKILLs,MEMORIEs,EXPERIENCE
    . จิตวิญญาณ คือการประมวลผล,ตัดสินใจ,วิเคราะห์ โดยอิงกับข้อมูลวิญญาณที่มีทักษะมีความเป็นมีความเข้าใจ
    . เช่น จิตวิญญาณความเป็นครู(มีความเป็นครูอาชีพ),จิตวิญญาณความเป็นทหาร(มีความเป็นทหารอาชีพ) ,,มีความรู้ความสามารถมีทักษะการบริหารจัดในระดับมืออาชีพของนั้นๆชนิดมือโปรที่มีความชำนาญทางด้านนั้นๆ

    . จิตเที่ยง -ไม่แปรเปลี่ยน คงความเป็นตัวตนรูปลักษณ์ของตนเองดั่ง RARE ITEM ดุจดั่งมีเอกลักษณ์ จากการคงเส้นคงวา สะสมบุญวาสนา หมั่นเคลียร์บาปกรรมให้สลาย ขึ้นภพภูมิชั้นฟ้าในรูปลักษณ์ตัวตนของตนเอง มีออร่าเปล่งประกายออกมา ใครเห็นก็รู้สึกถึงความมีเสน่หาน่าหลงใหลน่าคบค้าสมาคม
    . จิตไม่เที่ยง -แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวตน กลายเป็นสัตว์ กลายเป็นจิตตก วิตกวิกลจริต ความเป็นตัวตนเดิมแปรเปลี่ยน,สูญสลายสูญหายไป กลายสภาพเป็นอย่างอื่นที่หากต่ำลงจะสูญเสียความน่าคบหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2022
  3. ธรรม-กาล

    ธรรม-กาล รอยต่อของลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +65
    ขอบคุณครับที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์แบบนี้

    หากมองกันตามตรง โดยไม่ต้องมองไปยังสิ่งที่มองไม่เห็น
    แม้ในสิ่งมีชิวิตอื่นๆ ก็มีเวลาที่ไม่เท่ากันกับเรา เมื่อมีเวลาที่ไม่เท่ากัน
    เช่นนั้นยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆจะเรียกได้ว่า ต่างมิติกันได้ไหม
    นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ออกมาในเชิงฟิสิกส์ได้บอกมาแล้วว่า
    คำว่าปัจจุบันในเชิงสากลที่เท่ากันนั้น ไม่มีอยู่จริง
    เช่นเวลาที่ผมพิมพ์อยู่ในแต่ละตัวอักษร
    ปัจจุบันนั้นแท้จริงอยู่ตรงไหน วางมือลง อดีตเกิดทันที และอนาคตก็รออยู่
    ตามกำลัง ตามแรงเหวี่ยง ตามความคิด ยิ่งถ้ามองให้สั้นลงไปจนใกล้เคียงกับ 0
    มือของเราจะเหวี่ยงจากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่งอย่างแน่นอน โดยที่เราไม่สามารถหยุดได้ทัน
    ในห้วงเวลานั้น ถ้าหากมีสิ่งมีชีวิตที่รวดเร็วเทียบเท่ากับแสง ก็จะมองออกได้ทันทีว่า
    มือของเราจะไปตกกระทบยังที่ใด
    เราจะมองเห็นการเกิดของเหตุและปัจจัย จนกลายเป็นผล แล้วเกิดเหตุปัจจัยลงไปอีก
    เหมือนอย่างเช่น หากเราเปลี่ยนมุมมอง จากเราไปยังมด มดจะเห็นเราเป็นอีกแบบ
    ปัจจุบันของมดจึงไม่ใช่ของเรา เพราะมดกำลังมองปางสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเองกำลังทำกิจกรรมบางอย่างอยู่

    แค่เราขยับมือ ก็จะเกิดอดีต และอนาคตตามมาเสมอ แต่อนาคตก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
    แต่เปลี่ยนแปลงในรูปแบบไหนกันละ แล้วถ้าสิ่งที่เราทำอยู่จากตอนนี้ไปจนตาย
    กลับเป็นเพียงแค่เสี้ยวเวลาหนึ่งของโลก จะยังทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน
    โลกก็ยังคงหมุน จากวันหนึ่งไปคืนหนึ่ง โดยที่ไม่สนใจเลยว่าเราทำอะไรในรอบ ชีวิต
    ที่ยกมานั้นคืออะไร ที่ยกมานั้นแค่เทียบไปยังมุมมองของเราใน Time line ที่กว้างขึ้น
    ใหญ่ขึ้น มันบ่งบอกว่าเราได้กำหนดชีวิตของเราจากวันนี้ไปจนวันตายแล้วใช่ไหม
    กำหนดการเกิดการตายไปแล้วใช่ไหม อะไรคือตัวกำหนด
    เราคือผู้กำหนดทางเดินที่ทอดยาวอันนี้ จากการกระทำที่ซ้ำไปซ้ำมาของเราเองใช่ไหม

    โดยการมองในรูปแบบนี้ โดยเทียบว่าเราคือหนึ่งในมิติของเวลา เราคือหนึ่งในมิติเวลาหนึ่ง
    และคนอื่นๆก็อยู่ในมิติเวลาหนึ่ง เพราะเราใช่ชีวิตของมิติเวลาที่ต่างกัน แต่เกิดผลร่วมจากการ
    กระทบกันใช่ไหม

    ที่นี่เรามาพูดถึงมุมมองของจิตกัน
    หากมองในแง่ของจิต โดยอ้างอิงจากพุทธ
    จิตของเราเกิดและดับตลอดเวลา ใช่หรือไหม ตรงนี้พิสูจน์จากอะไร แล้วเรารู้ตัวไหมว่าจิตเกิดดับ
    แล้วถ้าจิตเกิดดับ จะมีจิตที่เป็นนิรันดร์หรือ แบบนี้จะไม่ขัดแย้งกันเอง
    หากว่าเราอ้างจากคำของพระพุทธเจ้า ว่าจิตเกิดดับ เช่นนั้นจิต ไม่มีทางเป็นนิรันดร์

    ต่อมา จิตจึงมีสภาพเหมือนดังในอนุภาคควันตัม ใช่ไหม เพราะในมุมมองระดับควันตัม
    จะเห็นสิ่งที่เกิดดับรวดเร็ว ไปมา คล้ายกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดดับเลย ถ้ารวดเร็วขนาดนั้น
    เราจะรู้ได้ยังไงกันละว่าจิตเกิดดับ

    จากที่ได้ศึกษามา
    จิตอาศัยผู้อื่นในการเกิด อาศัย 1 รูป 3 นาม ในการเกิด หากไม่มี รูป ไม่มีนาม จิตเกิดไม่ได้
    ถ้ามองในรูปแบบวิทยาศาสตร์ ถ้าในสมมุติฐานว่า จิตมีคุณสมบัติคล้ายกับแสงที่เป็นได้ทั้งอนุภาค และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
    แสดงว่าจิตที่เกิดจากรูป ก็จะมีคลื่นในช่วงความถี่รูปแบบหนึ่ง(โดยไม่ได้แยกการเกิดตามอายตนะ)
    และจิตที่เกิดจากนาม ก็น่าจะมีคลื่นในช่วงความถี่ที่ต่างไปอีกเช่นกัน
    และถ้าจิต ไปเกิดที่ ตาแล้ว จิตย่อมดับไปจากที่ หูและอื่นๆ จริงไหม เช่นนั้นเราก็จะเห็นการเกิดดับของจิตว่าจริงอย่างที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้

    วันนี้ขอเอาไว้เท่านี้ก่อน วันหลังจะมาต่อ ร่ายเยอะมากไป เริ่มปวดหัวเอง ขอบพระคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ
     
  4. MUSAFA

    MUSAFA MUFASA AL-AMYADH

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +164
    จิต. นิยามได้ต่างๆกันไป. อย่างสัปปะรด ภาษากลาง บางแห่งแถวพัทลุง เรียกสัปปะรดว่า มะลิ. แถวตรังเรียกสัปปะรดว่า ยานัตถ์.
    ....จิต มีหลายนิยาม. เช่น. โฟกัส จุดเหวี่ยงการจับจุด ,การเพ่ง ดู,มอง,ฟัง,เปล่งวาจา(กระพือเสียง),เพ่งการรับรู้.สัมผัส.รู้สึก
    ....กับ จิตวิญญาณ. ที่เป็นเหมือน โปรแกรม,ข้อมูล ที่ใช้ประกอบการบริหารจัดการกลไกของร่างกาย กับประกอบของการคิดวิเคราะห์,การจินตนาการออกแบบ
    นิยาม จิตเกิดดับ น่าจะตรงกับ การเพ่ง เพ่งเสร็จวาง,เปลี่ยนจุด ,หรือว่าง โดยวางอารมณ์เพ่ง,จับจุด-เกิดอารมณ์ความรู้สึก(เวทนา)
    ...กับ จิต นามธรรม. .... USER,PLAYER.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2022
  5. ธรรม-กาล

    ธรรม-กาล รอยต่อของลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +65
    จากที่พูดถึง จิตมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา แม้ช่วงที่ผ่านมาไม่ถึงเสี้ยววินาที จิตก็พึ่งเกิดและดับผ่านไป คล้ายกับภาพนิ่งที่หยุดและเคลื่อนไหวในแผ่นฟิล์ม ที่ผ่านไปหลายๆเฟรม แต่ 1 เฟรมที่ผ่านก็คล้ายจิต 1 ดวงที่ดับ
    แล้วทฤษฏีโลกคู่ขนาน หรือ multivers นี้ไม่คล้ายกับภพอันเกิดจากจิตที่ไปเกาะกับตัณหาจนเกิดอุปาทานหรือเปล่า และเมื่อมีภพก็มีการเกิดตามมา คล้ายกับจักวาลและชีวิตได้เกิดขึ้นหรือไม่
    การเกี่ยวเนื่องในอารมณ์ตามความเพลิน จนเกิดชรามรณะ และก็เกิด ภพ ชาติใหม่ วนไปๆ พอมาพิจารณาอย่างนี้ก็เริ่มน่าคิด
    จักรวาลที่คนๆหนึ่งอาศัยอยู่ อาจไม่ใช่จักรวาลของเมื่อ 1 นาทีที่แล้ว แล้วถ้ามีอะไรเกี่ยวเนื่องกันไป ระหว่างบุคคลที่ได้กระทำบางอย่างร่วมกัน ทั้งทางความคิด ทางการกระทำ และมีปัจจัยที่สร้างผลกระทบหมู่ขึ้นมา แบบนั้นจักรวาลปัจจุบันจึงได้แปลกแยกมาจากจักรวาลเดิมของเมื่อ 1 นาทีที่แล้ว

    หากคิดตามแนวทางนี้ อาจเป็นไปได้ว่ายุคนี้ปัจจุบันนี้ที่มีโรคภัยอันนี้ อาจต่างจาก อีกจักรวาล หรืออีกภพหนึ่ง ที่จิตอีกดวงได้เกิด แต่ไม่ใช่จิตดวงนี้ในภพนี้ คล้ายๆกับเงาที่แยกตัวเราในกระจก เรามองเห็นเงาในกระจก แม้จะเหมือนเรามากแค่ไหน แต่นั้นก็ไม่ใช่เรา

    ฉะนั้น ถ้ามีเหตุปัจจัยขนาดกว้าง หรือความคิดอันเป็นภพของผู้คนเกิดขึ้นมาพร้อมๆกันในแนวทางคล้ายกัน เหตุการณ์ใหญ่ๆที่เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบก็จะเกิดขึ้นมาแบบไม่อาจคาดคิด คล้ายกับช่วงเวลาที่คนเราดูหนังซอมบี้ เกี่ยวเนื่องกับโรคระบาด ทั้งในเกมส์ ในภาพยนต์ ในซีรี่ ในการ์ตูน นิยาย แล้วความคิด ที่มากๆเข้าๆ เลยเป็นเหตุให้เกิดภพแห่งโรคระบาดในยุคนี้ ก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน

    ร่ายมาขนาดนี้แล้ว อาจต้องไปเข้า รพ เพราะความบ้าของตัวเราเองซะแล้วละมั้ง
     
  6. เค็นชิโร่

    เค็นชิโร่ Set zero

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2021
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +62
    ข้อดีเวลาเราไปศึกษาเรื่องโลก จักวาล... ถ้าจินตนาความกว้างใหญ่สุดๆ ตัวตนเรากลับยิ่งเล็กจิ๋ว....เป็นส่วนเล็กๆเหมือนฝุ่นผง ในจักวาล...ความรู้สึกที่ว่าเราใหญ่โต เป็นนั่นเป็นนี่ ตำแหน่งนั้นนี้ ดีงั้นงี้ ดูอัตตาจะหดจิ๋วไปเลย.... หรือความจริงมันไม่เคยมีอะไร ...เป็นแค่อัตตาที่ยิ่งใหญ่คับโลก ในจินตนาการของตัวเองแค่นั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...