เพียงเปล่งเสียงตามบทสวดมนต์ ก็เปลี่ยนใจเราแล้ว : สุวีโรภิกขุ

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 13 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    อาจารย์ที่น่าเคารพของข้าพเจ้าท่านหนึ่งกำลังสนใจเรื่องการปฏิบัติภาวนา
    แต่ด้วยอายุวัยและสังขารร่างกายที่ไม่ใคร่จะเอื้ออำนวยนัก
    ไอ้ครั้นจะมาเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิ เธอว่า (เคยลองฝึกดูแล้ว) ไม่ไหวแน่ๆ
    เธอจึงหันมาอ่านหนังสือกับฟังซีดีธรรมะ เพื่อทำความเข้าใจด้วยตัวเองแทน
    ซึ่งมันก็น่าจะเป็นไปได้จริงมากกว่า ใช่ไหม ?
    แต่หลังจากได้อ่านอยู่หลายปีได้ฟังมาปีหนึ่ง
    กลับมองไม่เห็นความก้าวหน้าหรือการเปลี่ยนแปลงอันใด
    ที่น่าพึงพอใจในตัวเอง เอาเสียเลย


    อีกทั้งในช่วงเวลานี้หลังเกษียณยังต้องรับหน้าที่ดูแลมารดาวัยชรา
    ซึ่งป่วยไข้ด้วยโรคอันเกิดจากความเสื่อมของสมอง
    ก่อนออกจากบ้านมาทำงาน (หลังเกษียณยังรักที่จะทำงานช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป)
    จึงต้องตระเตรียมอาหารและสิ่งจำเป็นทิ้งเอาไว้ให้ผู้ดูแล
    อาหารเหลวที่เป็นของย่อยง่ายเหมาะกับวัย
    กลับมิใช่ว่าจะบริโภคเข้าไปได้ง่ายอย่างที่คิด
    หลายครั้งหลายหนอาจารย์จำต้องบังคับให้คุณแม่ทานเข้าไป
    บ่อยครั้งจึงมีปากเสียงกระทบกระทั่งกัน
    จนถึงขั้นคุณแม่ไม่ยอมกินและยังแถมคำด่าทอให้พรตามมาหลายชุด
    ซึ่งอาจารย์ก็น้อมรับด้วยความโมโหและพกติดใจเอาไปด้วยทุกเวลา
    ความรู้สึกไม่สบายใจจึงเกิดขึ้นเวียนวนไปมาพร้อมๆ กับกิจกรรมภายในบ้าน


    เธอถามตนเองว่า ทำไม ? ทำดีแล้วยังทุกข์อีก
    ยิ่งกระทำต่อมารดาด้วยแล้ว
    ไฉน ? เราจึงหาความสงบสุขภายในใจกับสิ่งดีๆ ที่ทำให้ไม่ได้เลย
    เพื่อนๆ และลูกศิษย์ต่างก็ช่วยพูดให้กำลังใจกัน
    “ในเวลาอย่างนี้ เป็นโอกาสที่ดีแล้วล่ะที่จะได้ทำความดีตอบแทนกลับคืน”
    นั่นสินะ แล้วถ้ามันดีจริงทำไม ? ครูถึงได้เป็นทุกข์และกลุ้มใจอย่างนี้ล่ะ


    เคยสังเกตุเห็นบ้างรึเปล่าว่า เพราะเหตุใด ?
    ...คุณความดีที่คิดเอาไว้และได้ทำต่อใครบางคนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
    จึงสามารถย้อนกลับมาสร้างความทุกข์บั่นทอนจิตใจตัวเอง
    หรือว่าเคยบ้างไหม ? ที่จะรู้สึกกังขาต่อความดีงามที่ตนเองกระทำให้กับผู้อื่นว่า
    มันคงจะไม่ดีจริง หรือมันดีได้ไม่สมดีใช่ไหม ? ถึงไม่สามารถเติมเต็มหัวใจเรา
    หรือว่ามีความต้องการทำดีเพื่อประโยชน์อื่นๆ ไปตามเรื่องตามราวในแต่ละเหตุการณ์


    คุณงามความดีมันก็ดีในแบบของมันอยู่หรอก
    ทว่ามันอาจไม่ได้ดีสมใจเราจริงๆ เท่านั้นเอง
    ถ้าอย่างงั้น...จะทำดีไปทำไม ? หากมันไม่เห็นผลอย่างที่คิด
    อีกทั้งยังเข้าไม่ถึงจิตใจเรา แค่ทำดีแต่ไม่หวังผล อย่างงั้นหรือ ?
    เพียรทำความดีเพราะเห็นว่ามันดี
    และทำได้ไม่เบียดเบียนใคร (รวมทั้งตนเอง) ก็เพียงพอแล้ว
    จะหาเหตุอ้างความชอบธรรมอันใดไปทำไมกัน
    เมื่อมิได้ทำเพื่อโอ้อวดหรือหวังผลอื่นใดแอบแฝง
    ส่วนที่ต่อจากนั้นจะเป็นไรไป หากแม้นจะเป็นทำดีไม่ได้ดีดังใจ
    ก็แค่รู้และยอมรับไปตามความเป็นจริง
    ของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเราที่เป็นอย่างงั้นเอง


    มีเพื่อนบางคนแนะให้อาจารย์สวดมนต์ลองดู
    เพราะผู้แนะนำก็ได้รับประโยชน์อันเกิดจากการสวดมนต์มิใช่น้อย
    อันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น
    แต่พออาจารย์เริ่มต้นสวดมนต์จริงๆ
    ในใจกลับมีความคิดความเห็นมากมาย
    ให้ไม่ยอมโอนอ่อนตามภาษาที่ตัวท่านเองไม่เข้าใจ
    และด้วยความเป็นนักวิจัยของท่านเอง
    จึงหาเหตุผลมาโต้แย้งในการสวดมนต์แต่ละครั้ง จนกระทั่งเลิกกิจกรรมนี้ไปในที่สุด


    ในงานวิจัยร่วมกันของ ดร.แอนดรู ไวลด์กับดร.ริชาร์ด เกอร์เบอร์
    ในหนังสือชื่อ Vibration Medicine กล่าวเอาไว้ว่า
    พลังสั่นสะเทือนที่เราได้จากการท่องคาถาสวดมนต์นั้นเป็นยาวิเศษ
    หากร่างกายได้รับพลังจากการสวดมนต์นี้จะช่วยเยียวยาอาการของโรคที่อวัยวะส่วนนั้นๆ
    เพราะว่าคลื่นเสียงที่เปล่งออกมาจากการสวดมนต์ที่กระทบโสตประสาทการรับฟัง
    ด้วยความดังสม่ำเสมอและมีจังหวะความถี่ในระดับเดียวกัน
    จะสามารถกระตุ้นกระบวนการทำงานภายในร่างกายและฟื้นฟูสุขภาพให้ดีขึ้น
    เมื่อเซลล์ประสาทของระบบประสาทสมอง
    สังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆ ชนิดบริเวณ ก้านสมอง
    และหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin)
    ออกมาจากปมประสาท (synapse) เพิ่มขึ้น
    ซีโรโทนินเป็นสารตั้งต้นสำคัญในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทชนิดอื่นๆ
    เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ, โดปามีน
    มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน
    นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินยังมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้น
    การหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน
    ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ


    ดังเช่นที่อาจารย์เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ได้เคยอธิบายว่า
    “เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือน
    ไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียง หรือตามวิธีเปล่งเสียง
    แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก
    บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน
    บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้นถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์
    จะเกิดพลังของการสั่น (Vibration)” พลังของการสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วย
    เสียงสวดมนต์จึงช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆให้ทำหน้าที่ปราบเชื้อโรคบางชนิด
    บทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน
    บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย
    ทำให้ต่อมต่างๆ ในร่างกายถูกกระตุ้นเมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆ เข้า
    ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น


    ดร.แอนดรู ไวลด์ ยังกล่าวอีกว่า การหายใจเข้า-ออกยาวใน ๑ นาทีไม่เกิน ๖ ครั้ง
    ยังช่วยแก้ปัญหาอาการปวดหัวไมเกรน ความเครียด และโรคนอนหลับ เป็นต้น
    เช่นนี้แล้วจะมีกิจกรรมใดที่ดีต่อร่างกายและทำได้ง่ายเท่ากับการสวดมนต์อีกเล่า
    เราจะสามารถหายใจยาวๆ ได้ในทันทีที่เปล่งเสียงออกมา


    หลังจากได้รับกำลังใจจากลูกศิษย์ลูกหาอย่างต่อเนื่อง
    เห็นจะไม่มีทางอื่นกระมัง ที่จะช่วยลดความไม่สบายใจ
    ได้ดีเท่ากับการสวดมนต์อีกแล้วในเวลานี้
    อาจารย์ของข้าพเจ้าจึงกลับมาสวดมนต์อีกครั้ง ทั้งๆ ที่รู้ความหมายของบทสวด
    แม้จะยังไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งกับเนื้อหาของบทสวดก็ตามที
    แถมเปิดอ่านท่องติดๆ ขัดไปอย่างนั้น หากท่านก็ยังทำอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ
    ซึ่งในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมขึ้นมา
    อาจารย์มีความสุข คุณแม่อาจารย์ก็มีความสุข พูดบ่นน้อยลง
    ยอมทานอาหารเหลวและมาร่วมสวดมนต์กับท่าน


    “ภาษาพระฉันไม่คุ้นเอาซะเลย” นั่นมันก็ดีนะ จะได้ไม่มีอะไรให้ต้องไปคิดต่อ
    แค่ปากว่าตามไปด้วยใจที่ยอมทำและทำเต็มที่ เท่านี้ก็ดีแล้ว
    เป็นความดีที่ไม่เบียดเบียนใจ เพราะมันหยุดคิดและเลิกรากับความวิตกกังวลไปเลย
    พอเริ่มออกเสียงเปล่งคำอักขระต่างๆอย่างต่อเนื่อง
    ความคิดทั้งหลายก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
    อาจารย์บอกว่า “ถึงครูจะสวดมนต์ ก็สวดไม่คล่อง แถมยังสวดผิดๆ ถูกๆ
    แต่ไม่รู้ทำไม อะไรๆ ต่างๆ มันถึงได้ดีขึ้นมา” นั่นสินะ มันดีก็ดีแล้วเนอะ
    เป็นความดีที่รู้จักยอมเปลี่ยนใจตัวเองให้กลับมาสวดมนต์อีกครั้ง ไงล่ะอาจารย์


    ที่มา...เครือข่ายพุทธิกา : เพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม

    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=32068
     
  2. มณีเมขลา20

    มณีเมขลา20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +446
    อนุโมทนาบุญสำหรับข้อคิดดีดีนี้นะคะ จะเริ่มลองเปิดบทสวดเพลงบรรเลงให้พ่อกับแม่ฟังเหมือนกันคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...