เพ่งกระดูก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย huten, 5 ตุลาคม 2013.

  1. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229
    มีท่านใดสามารถ บอกวิธีเพ่งกระดูกในขั้นตอนของวิปัสสนามั้ยค่ะ

    บังเอิญว่าทำอยู่เพ่งยังไงๆ ก็ทำไม่ได้สักทีช่วยชี้แนะด้วยค่ะ..
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    เอ้า ตั้งใจภาวนา วันนี้ให้กำหนดอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเอง ทำไมจิตมันหลง แค่เขาถ่ายเงาเท่านั้นก็หลง เพราะไม่ดูอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเองอันมีอยู่ในร่างกายตัวตนของเราตั้งแต่กระดูกเท้า กระดูกแข้งขา เต็มอยู่จนถึงกะโหลกศีรษะ เพราะไม่ดูอัฐิกับกระดูก ๓๐๐๐ ท่อนของตัวเอง จึงได้เกิดความลุ่มหลงมัวเมาไม่ดูของจริง เมื่อของปลอมมาถึงเข้า เกิดความลุ่มหลงมัวเมา จิตไม่สงบ หลงใหลไปตามรูปตามเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เมื่อมันหลงไปหมดทุกอย่างทุกประการ เมื่อรู้อย่างหนึ่งได้ มันก็รู้ได้ทุกอย่างทุกประการ เวลานี้อย่าให้ใจคิดไปที่อื่น พุทโธก็ไม่ต้องว่า ฟังที่ท่านอธิบายไป จิตใจก็เพ่งดูตามที่ท่านอธิบายนั้น

    เริ่มต้นแต่กะโหลกศีรษะหรือว่ากระบอกตา ตัวคนเราทุกคนนี้ เรามองเห็นเป็นหนังหุ้มกระดูก แต่กระดูกอันมีอยู่ในตัวเราไม่ดู จึงได้หลงตา หลงหู หลงจมูก หลงลิ้น หลงกาย หลงใจ เพราะไม่พิจารณาดูกองกระดูกของตัวเอง

    อันนี้เป็นความประมาท จิตใจคนเรามันประมาท กระดูกมันสวยงามที่ไหน ดูกองกระดูกมันงามที่ไหน ดูกระบอกตากระบอกตานี้ก็ให้เพ่งให้เห็นเป็นกระดูก อย่าไปเพ่งเห็นเป็นลูกตา ลูกตานี้ไม่ให้เห็นเนื้อหนังมังสาไม่ให้มี เวลานี้เปรียบอุปมาเหมือนอย่างว่าร่างกายของเราทุกคนนี้มันตายไปนานแล้ว ยังเหลือแต่กองกระดูกให้เพ่งใจจิตเตือนจิตนี้ว่าอย่าคิดไปที่อื่น มันตายแล้วยังเหลือแต่กระดูกอ่อนกระดูกแข็ง เพ่งดูกระบอกตาตัวเองให้ดูให้รู้ตานี้มันโหว่เข้าไป ไม่ให้จิตคิดไปอื่น เพ่งในกระบอกตานั่น มันโหว่เข้าไปเหมือนกับไข่ที่เอาไปทำอาหารทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ โหว่เข้าไปลึกเข้าไปเป็นกระดูกไม่ใช่เนื้อหนัง เพ่งดูจนเห็นว่ามันเป็นกระดูกจริง ๆ โหว่เข้าไปจริง ๆ

    ถ้าดูจนเห็นมันโหว่เข้าไปลึกเข้าไปมันก็เหมือนผีหลอกในกระบอกตานั่นมันเป็นผีหลอก คือไม่ต้องให้เห็นลูกกระตาคนยังไม่ตาย เพ่งให้เห็นว่ากระบอกตานี่มันผีหลอกที่ว่าผีหลอกโหว่เข้าไปนี่แหละ ดูเดี๋ยวนี้เวลาเพ่งเดี๋ยวนี้เวลานี้ ให้มันเห็นกระบอกตาของตัวเองเมื่อไม่เห็นกระบอกตาตัวเอง อย่าได้ไปดูตาคนอื่น ตาเราก็ไม่ดู ดูกระบอกตา ดูให้มันเห็น เพ่งให้มันเห็น ระมัดระวังไม่ให้จิตมันแวบไปแวบมา

    ใจโลเลในกิเลสละให้หมด เพ่งดูกระบอกตาตัวเอง ให้มันเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ถ้าไม่เห็นแจ้งตามความเป็นจริง ก็ยังมาสำคัญว่าเราสวยเรางาม งามที่ไหนดูกะโหลกศีรษะตัวเอง ผีหลอกทั้งเพ มาหลงมันทำไม หลงกะโหลกศีรษะ หลงกระบอกตา จึงได้มาลุ่มหลงมัวเมาเกิดมาภพชาติใด ก็มายึดเอาถือเอากองกระดูกอันนี้ไม่มีที่จบสิ้น

    เมื่อดูกระบอกตาเข้าใจแล้ว ก็ให้ดูกะโหลกศีรษะนั้นมัดจอดกันเป็นซีก ๆ เรียกว่าเข้ากันสลับกัน สมัยเมื่อยังไม่ตาย กะโหลกศีรษะนี้มันป้องกันไม่ให้สมองในศีรษะนั้นแตกไปง่าย ๆ มีอะไรมาโดนมาตำเข้าหรือเส้นประสาทภายในนั้นจะได้ไม่เสีย สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ คือยังไม่ตาย แต่ว่าบัดนี้ใหดูเป็นกะโหลกกระดูก ข้างในก็ให้เห็นเป็นว่างไปทั้งนั้น แล้วก็ให้มองดูในกะโหลกศีรษะ จากกระบอกตาขึ้นไป เรียกว่า กระดูกหน้า กระดูกคิ้ว กระดูกหน้า กะโหลกศีรษะมันจอดกันเหมือนมะพร้าว กะโหลกศีรษะคนเราคล้ายกันกับมะพร้าวที่เขาเอาเปลือกมันออกแล้วยังเหลือแต่กะลาในนั้น กะโหลกศีรษะนี้ก็เหมือนกัน จอดกันเป็นชิ้น ๆ ดูข้างหน้ามันงามที่ไหน ยังเหลือแต่กระดูก ดูข้างหลังมันสวยงามที่ไหน ดูข้างซ้ายมันงามที่ไหนก็เป็นกระดูกเหมือนกัน ดูข้างขวาก็ให้เป็นกระดูก จิตอย่าไปเห็นเป็นเนื้อเป็นหนัง แล้วอย่ามาเห็นว่าเป็นกระดูกของเรา มันกระดูกผีตายมานานแล้ว จิตอย่าได้มาหลงเอายึดเอากะโหลกศีรษะนี้ ดูให้มันแจ้งให้มันเห็น เอาจิตจดจ่อให้มันเข้าใจ อย่าให้มันแส่ส่ายไปที่อื่น เพ่งดูกะโหลกศีรษะ

    ต่อจากกระบอกตาลงมาก็เรียกว่ากระดูกดั้งจมูก ดั้งจมูกก็ไม่ให้เป็นเนื้อเป็นหนัง ให้เห็นเป็นกระดูกโหว่เข้าไป มีช่องเข้าไปสำหรับหายใจ เมื่อสมัยยังมีชีวิตอยู่ บัดนี้มันตายแล้ว ยังเหลือแต่กระดูกโหว่เข้าไป มันงามที่ไหน ผีหลอกทั้งนั้น คางข้างบนก็มีเขี้ยวมีฟันเป็นซี่ ๆ ดูฟันให้มันเห็นทุกซี่ที่ฝังอยู่ในคางข้างบนนั่น แล้วก็ดูคางข้างล่าง ดูฟันข้างล่างเป็นซี่ ๆ ฟันข้างล่างนี้เรียกว่าแขวนอยู่ คางข้างล่างมันแขวนอยู่ แขวนอยู่ข้างล่าง สมัยเมื่อยังไม่แตกไม่ตายมันเอาคางข้างล่างนี้ตำบดเคี้ยวอาหาร ก็เหมือนครกเหมือนสากนั่นแหละ แต่ว่าคางข้างล่างนี้เรียกว่าเป็นสากธรรมชาติ ไม่ใช่สากตำน้ำพริกคนเราไม่ใช่ตำลงข้างบน ตำข้างล่างขึ้นมา บดเคี้ยวอาหารเมื่อสมัยยังไม่ตายเดี๋ยวนี้ไม่เกี่ยวแล้ว ยัง เหลือแต่คาง ยังเหลือแต่ฟันเป็นซี่ ๆ ทีนี้ถ้ากำหนดมาถึงนี่ก็ดูซิ ดูฟันข้างบนข้างล่างประกบกันดูไปจนถึงกระบอกตาหน้าดั้งจมูกกะโหลกศีรษะทั้งหมด แค่นี้ก็เป็นผีหลอกอยู่วันยังค่ำเป็นผีหลอกอยู่คืนยังรุ่ง เป็นผีหลอกตั้งแต่เกิดมา เป็นเด็กก็มีอยู่เท่านี้มาเป็นหนุ่มก็มีอยู่อย่างนี้ ปานกลางคนมันก็มีอยู่อย่างนี้ กะโหลกอันนี้ฟันอันนี้ คางอันนี้ ดูให้มันทั่วถึง ทำไมจิตมันจึงมาหลง มาหลงอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อน หลงรักใคร่พอใจ หลงโกรธให้กัน หลงฆ่ากัน ฟันกันก็เพราะไม่ดูกองกระดูกตัวเอง กิเลสความโกรธมันจึงเกิดขึ้น กิเลสราคะตัณหามันจึงเกิดขึ้น เพราะไม่เห็นกระดูกของตัวเองให้ดูเดี๋ยวนี้ กำหนดเดี๋ยวนี้ ภาวนาเพียรเพ่งดูเดี๋ยวนี้ จิตใจดวงผู้รู้ไม่ให้มันไปคิดที่อื่นคิดที่อื่นมาตั้งแต่อเนกชาติ ไม่มีความรู้ความเข้าใจประการใด จงดูกองกระดูกคาง ไม่รู้จักผีหลอก ผีมันหลอก ผีอื่นใดมันไม่หลอก ผีตัวเองหลอกตัวเองเพราะไม่ภาวนากับอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเองดูจริง ๆ กำหนดจริง ๆ จนไม่ให้มีอะไรมาปิดบัง เหมือนกับเราลืมตาดูอย่างนั้น ตรงใดมันเป็นอย่างใด ให้มันแสดงให้เห็นเดี๋ยวนี้ ขณะนี้แล้วต่อไปตลอดชาติ ก็ไม่ให้มันหลงเป็นอย่างอื่นไปอีกในกะโหลกศีรษะในหน้าในตา เห็นคนเห็นเราก็ให้เห็นว่าเป็นกระบอกตา เห็นเป็นดั้งจมูกโหว่ เข้าไป ไม่งามไม่มีการสวยงามธาตุแท้มันไม่ใช่งามกระดูกจริง ๆ ไม่งาม เอาให้ใครก็ไม่เอา เห็นเข้าก็ว่าผีหลอก กะโหลกผีหลอกเห็นไหมล่ะ มันหลอกลวง ไม่ให้หลง หลงให้ติดให้ข้อง ไม่ดูกะโหลกศีรษะตัวเอง

    ทีนี้กะโหลกศีรษะนี้เมื่อดูให้ทั่วถึงแล้ว ก็เอาไปตั้งไว้ที่ไหน กะโหลกศีรษะ ธรรมชาติก็เอามาก่อตั้งไว้ต่อกระดูกคอ กระดูกคอข้างบนเอามาต่อกับกะโหลกศีรษะนี้ เหมือนกับว่ากะโหลกศีรษะคนเอาไปตั้งไว้ในไม้ในโต๊ะ กะโหวกกะหวากอย่างนั้นแหละ แล้วกระดูกคนนี้เป็นกระดูกที่เลื่อนได้ เมื่อสมัยยังไม่ตายเวลาจะดูอะไรก็หมุนเอาที่คอนี่แหละ หมุนเอาที่คอนี้ดูข้างซ้าย ดูข้างขวา ดูข้างหลัง ดูข้างหน้า เรียกว่าเลื่อนได้ กะโหลกศีรษะมันเลื่อนตามกระดูกคอไป แล้วก็ดูให้ดีกระดูกคอมันก็ต่อกันเป็นข้อ ๆ เหมือนกัน กระดูกคอข้างล่างก็ต่อ กระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังก็มาต่อกับกระดูกคอนี้ ดูเพียรเพ่งดู ให้รู้ให้แจ้งในจิต แล้วไม่ให้ลุ่มหลงอีกต่อไปอีก กระดูกคอ เป็นอย่างไรดูข้างหน้า ดูข้างซ้าย ดูข้างขวา ดูข้างใน ดูข้างนอก มันว่ามันสวยงามไหมกระดูก เขาไม่ว่า จิตหลงไปว่าเขา

    ทีนี้ให้กระดูกสันหลังเป็นข้อ ๆ ขึ้นมาก็มีกระดูกเหง้าแขน ต่อจากกระดูกสันหลัง กระดูกหน้าอกออกไปเป็นแขนข้างซ้ายข้างขวา ท่อนบนเป็นอย่างหนึ่งต่อกันกับแขนข้างล่าง แขนข้างล่างมีสองท่อน เพื่อไม่ให้หักง่าย ๆ สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่แขนข้างบนแขนข้างล่างสองข้างเหมือนกัน ต่อลงไปก็เป็นกระดูกมือ กระดูกมือก็เป็นข้อ ๆ แล้วก็ไปต่อเป็นกระดูกนิ้วมือ กระดูกนิ้วมือก็เป็นท่อน ๆ เป็นข้อ ๆ ต่อกัน ทั้งสิบนิ้วเหมือน ๆ กัน ดูอย่าให้จิตไปที่อื่นดูกองกระดูกของตัวให้เห็นให้รู้ มีอยู่นี้ไม่รู้ไม่เห็น ไปที่ไหนจิตให้ตั้งมั่นเพียรเพ่งดู ไม่ใช่กระดูกมันดูให้จิตใจของตัวเองน่ะจิตใจดวงผู้รู้อยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้รู้อยู่ก็รู้อยู่นี่เพ่งดูกระดูก จนสุดกระดูกนิ้วมือดูขึ้นมาข้างบนทั้งสองข้างตามที่มันมีมันเป็นอยู่ มาถึงเหง้าแขนเหง้าแขนมันก็ต่อกับกระดูกสันหลัง กระดูกคอ กระดูกสันหลังนี้ กระดูกสันหลังก็เป็นท่อน ๆ แล้วก็มีกระดูกข้างต่อออกไปสองข้าง กระดูกข้างนั้นเป็นกระดูกป้องกันภัย อันตรายในสมัยที่ยังไม่ตาย เดี๋ยวนี้มันมีแต่กระดูกหน้าอก กระดูกไหปลาร้าเราก็ว่า ถ้าเอากระดูกคอออกแล้วมันก็เหมือนไหปลาร้า กระดูกข้าง กระดูกหน้าอก กระดูกสันหลังตั้งไว้ก็เหมือนไหปลาร้านั่น กระดูกบั้นเอว กระดูกบั้นเอวไม่มีกระดูกข้างดูกระดูกสันหลัง ดูให้มันเห็น ไม่เห็นอย่าไปเคลื่อนที่ โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เวลานี้ หรือเวลาเราไปนั่งคนเดียว เอาให้มันแจ่มแจ้งชัดเจนในจิตของตัวเอง

    ที่แท้มันก็กองกระดูกทำไมจิตมันมาหลงยึดหลงถือหน้าของกูตาของกู ตามันไม่มี หูมันไม่มี ยึดทำไมมีเหลือแต่กระดูกเท่านี้ ใครจะมาถ่ายวิดีโอวิดีอาไม่ต้องเกี่ยว ดูกองกระดูกของตัวให้รู้ไม่รู้ไม่เข้าใจอย่าไปกินข้าว นั่งภาวนาเพ่งดูให้มันเห็นอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเอง ดูกระดูกสันหลัง เป็นท่อน ๆ ต่อกับกระดูกบั้นเอว กระดูกบั้นเอวก็เป็นกระดูกต่อกับกระดูกตะโพก กระดูกก้นกบกระดูกตะโพก เขาก็ว่ามองให้เห็น กระดูกแท้ ๆ มีอยู่ไม่เห็นไม่ได้ ต้องเพ่งดูให้เห็นเดี๋ยวนี้ ขณะนี้เรื่อยไป ทำไมเขาว่าเป็นกระดูกก้นกบ ดูให้ดีของมีอยู่ไม่ดูไม่พิจารณาจึงได้เกิดความหลง โมหะ อวิชชาไม่รู้ แล้วก็มีกระดูกเหง้าขามาต่อกับกระดูกตะโพก กระดูกขาก็ต่อไปหากระดูก เข่า กระดูกเข่าก็คือว่าเป็นกระดูกที่แข้งขึ้นมาก็มาต่อกระดูกเข่า มีกระดูกสะบ้ากลม ๆ แล้วกระดูกแข้งต่อลงไปทั้งสองข้างขาแข้งเหมือน ๆ กัน กระดูกแข้งมันก็มีกระดูกสามเหลี่ยมกระดูกเล็กต่อลงไปเป็นกระดูกส้นแข้ง ข้างล่างมันต่อกับกระดูกเท้า กระดูกตีนเท้าก็คือว่าไปทางไหนมันเอาเท้าไปเรื่อย เท้าเดินเท้าหน้าไป ดูกระดูกเท้าเป็นข้อ ๆ ต่อออกไปจนถึงกระดูกนิ้วเท้า มันสวยงามที่ไหนทั้งสองข้างถ้าเอาไปยืนดู ยืนขึ้นต่อกันไว้ แขวนไว้ แล้วก็ดูซิ กระดูกนิ้วเท้า กระดูกเท้า กระดูกแข้งเป็นผีหลอกใหญ่ หลอกทั้งตัวเลย ที่จิตหลงเห็นเป็นของสวยของงาม เกิดราคะตัณหาเพราะไม่ดูกระดูกของตัวเอง จิตกิเลส จิตมัวเมา มันดูไปไม่ถูก ดูของปลอม ดูของจริงดูกระดูกซิ กระดูกมันเป็นของจริงไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปไหนตั้งแต่เกิดมามันเป็นกระดูกมันก็เป็นอยู่ เดี๋ยวนี้ก็เป็นกระดูกอยู่ เลยนี่ไปมันก็จะเป็นกระดูกอยู่อย่างนั้น โน่นแหละจนถึงวันตายมันก็เป็นกระดูกอยู่อย่างนั้น

    นี่แหละโครงร่างผีหลอก ผีหลอกของเรา อย่าไปหลอกผีตนอื่นอีก มันเป็นผีด้วยกันทั้งหญิงทั้งชาย คนจะเป็นชาติใดภาษาใดก็ไม่มีใครแปลกประหลาดกว่ากัน มันก็กองกระดูกนี่แหละ อย่าไปมัวคิดฟุ้งซ่านไปที่อื่น ดูกองกระดูกของตัวเองให้รู้ให้เข้าใจ เวลายืนก็กองกระดูกยืน ให้เห็นอย่างนั้น ไม่ต้องมองให้เห็นเนื้อหนังมองเป็นกองกระดูก ยืนก็ผีหลอกยืน โหวกๆ หวากๆ ไปหมด มันดีอย่างไรวิเศษอย่างไร จิตนี้จึงมาหลง มันไม่ดูกองกระดูกของตัวเองจึงได้มัวเมากองกระดูก เวลานั่งสมาธิภาวนาก็กระดูก ๓๐๐ ท่อนมันนั่งไม่ให้เห็นเป็นเนื้อเป็นหนัง เห็นกระดูกนั่ง จะนั่งแบบไหนก็กระดูก ๓๐๐ ท่อน มันนั่งมันยืนขึ้นก็กระดูก ๓๐๐ ท่อน มันยืนขึ้น ยืนอยู่ ทั้งนี้มันเดินไปมาที่ไหนก็ดูมันเดิน มันจะเอากระดูก ๓๐๐ ท่อนนี่แหละเดินโทกเทกๆ ไปมา เดินไปข้างหน้า เดินไปข้างหลัง เดินไปข้างซ้ายข้างขวา นี่แหละดูกระดูกให้มันเห็น มันอยู่ในอิริยาบถใดก็ดูตามความเป็นจริงในอิริยาบถนั้น มันเดินเป็นยังไง ดูมันขึ้นบนลงล่าง ไปไหนมาไหน ก็เห็นกระดูกมันเดินไปยังงั้นแหละ ระวังกระดูกมันจะหัวเราะให้ดู เวลากระดูกมันหัวเราะคางมันอ้าขึ้นมา ดีใจก็หัวเราะแฮก ๆ กระดูกน่ะเสียใจก็ร้องไห้ น้ำหูน้ำตาไหล ถ้ายังไม่ตาย ถ้ายังเหลือแต่กระดูก มันแห้งไม่มีน้ำตา ร้องไห้เป็นที่ไหน มันร้องไห้ก็ให้ดูกระดูกมันร้องไห้ ดูตั้งแต่กะโหลกศีรษะลงมา กระดูกคอ กระดูกแขนกระดูกสันหลัง กระดูกข้าง กระดูกขา กระดูกเท้า กระดูกนิ้วเท้า หมดจากมันเดินแล้วมันก็จะมานั่ง นั่งก็ดูมันนั่ง นั่งมันเอาอะไรลงก่อน กระดูก ๓๐๐ ท่อนนั้นแล้วมันเป็นยังไง นั่งพับเพียบแล้วมันเป็นอย่างไรกระดูก ๓๐๐ ท่อนนี้ นั่งคุกเข่ามันเป็นอย่างไรกระดูก ๓๐๐ ท่อน ดูมันทุกอิริยาบถเมื่อนั่งมันนาน ๆ มันเหนื่อยมันก็จะนอน กระดูก ๓๐๐ ท่อนมันนอนนอนก็ดูมันตั้งแต่กะโหลกศีรษะจนถึงปลายเท้า กองกระดูกระนาวไปหมดจิตอย่าได้มาหลง ไม่ต้องมาหลงเนื้อหลงหนังของมนุษย์ ดูกองกระดูกของตนให้มันทั่วถึง ให้มันได้ทุกขณะที่กระดูกมันเคลื่อนไหวไปมา นอนมันหลับไป หลับไปสักพักคนมันยังไม่ตายก็ตื่น ตื่นขึ้นมากระดูกมันก็เคลื่อนไหวไปมา มันไปนั่งในห้องน้ำ นั่งในส้วม มันก็กองกระดูกมันก็เคลื่อนไหวไปมา มันไปนั่งในห้องน้ำ นั่งในส้วม มันก็กองกระดูกมันเดิน กองกระดูกมันยืน กองกระดูกมันนั่ง กองกระดูกมันนอน กองกระดูกมันถ่าย กองกระดูกมันพูดจาปราศรัย หัวเราะ ร้องไห้ อะไรต่อมีอะไรจิปาถะ กองกระดูกมันแสดงบทบาททั้งนั้น เอาให้มันเห็นเงากองกระดูก ไม่ต้องเห็นเงาหน้าตาคนธรรมดา เขาฉายถ่ายวิดีโอก็ถ่ายเอากองกระดูกนี่แหละ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจะเป็นของดีของวิเศษเกินกระดูกไปได้ไม่เกินตาย ตายแล้วมันก็กระดูกอ่อนอย่างนี้แหละ จิตหลงจิตมาร จิตกิเลส จิตไม่รู้ จิตอวิชชา ตัณหา จิตตาบอด จิตมันเป็นนะโมตาบอด คือสิ่งที่มันเป็นจริงอยู่ไม่ดู ไม่เห็น เรียกว่าตาบอด ตาอวิชชาตัณหา ตาราคะ ตาโทสะ ตาโมหะ มันไม่เห็นแจ้งด้วยปัญญาอันชอบ ดูให้มันเห็นแจ้งให้มันเข้าใจในใจของตัวเอง เมื่อไม่เห็นกระดูกของตัวเองก็เรียกว่าฟังธรรมก็ได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ไม่เห็นของจริง ถ้าเพ่งให้เห็นกระดูก ๓๐๐ ท่อน นับได้ให้มันเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์นับได้ ๓๐๐ ท่อน มันอยู่ที่ไหนบ้างมีอยู่ในร่างกายนี้แหละมีอยู่ในกองกระดูก ดูกองกระดูกของตัวเองตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันแตกตายไม่ให้มันหลงใหลไปได้

    นี่แหละอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อน พระพุทธเจ้าสอนมาแล้วตั้งสองพันปีกว่า จิตใจคนเราก็ยังไม่สนใจ ยังไม่เอามาคิดมาอ่านโลเลไป โลเลอยู่ โลเลกิน โลเลนอน โลเลไปตามอำนาจกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ไม่พิจารณาอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเอง ก็มาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาไข้ มาตายก็เพราะแบกกระดูก ๓๐๐ ท่อนไม่รู้จักปล่อยวางให้โลกเขาสับมะกอกอยู่ทุกวันทุกคืน ให้เขาด่าอยู่ทุกวัน ทุกคืน ไม่เห็นไม่รู้ไม่เข้าใจ เขาเอาค้อนตีหัวตีกะโหลกศีรษะก็ตีกองกระดูก ช่างมันที่สุดมันก็ตายแหละ อย่าไปก่อกรรมทำเข็ญต่อไปอีกเกลียดชังใครก็อย่าไปฆ่าอย่าไปแกงกัน กองกระดูกไม่ถึง ๑๐๐ ปีมันก็ตายแล้ว ๙๙ ปียังไม่เต็มก็ตาย เหมือนหลวงปู่แหวนเราน่ะ ตายแล้วก็เห็นไหม อยู่ในหีบนั่น เขาถ่ายรูปไว้ ไม่เห็นมีฤทธิ์มีเดชหมดเรื่อง พวกเรายังอยู่ตัวเรายังอยู่ก็เหมือนกัน ดูกระดูกให้มันเห็นชัดเห็นแจ้ง พระก็สมมติเณรก็สมมติ ผ้าขาวก็สมมุติ มันก็กองกระดูก นั่นแหละ หญิงก็กองกระดูกชายก็กองกระดูก คนชาติใดภาษาใดก็กองกระดูก ไปหลงกองกระดูกมันทำไม โหวก ๆ หวาก ๆ ไม่เห็นมันสวยมันงามที่ไหน ทำไมจึงไม่กำหนดพิจาณา ต้องกำหนดพิจารณา ดูให้มันเห็นแจ้งด้วยสติด้วยสมาธิปัญญา เห็นแจ้งในจิตในใจของตัวเองจนไม่ต้องไปถามคนอื่นว่ากระดูกตรงไหนมันเป็นอย่างไร คือยังไม่ดูไม่พิจารณา ถ้าดูพิจารณาแล้วมันเห็นแจ้งเห็นชัดในหัวใจของตัวเองไม่ต้องไปถามใคร ข้ารู้หมดนี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านรู้ เจ้าสังขาร มาสร้างกองกระดูกให้เราตถาคตลุ่มหลงมัวเมามาอย่างนี้ตั้งแต่อเนกชาติแล้ว ต่อไปเจ้าสังขารจะไม่ได้สร้างอีก เราได้ทำลายแล้ว ทำลายอวิชชาจิตไม่รู้ พระองค์ทำลายฆ่ามัน พระองค์เห็นแจ้งในอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนแล้วจิตใจของพระองค์ก็ไม่หลงเพลินเพลินในกองกระดูก นั่งก็ไม่หลงกองกระดูก กระดูกคนอื่นก็ไม่หลง กระดูกตัวเราก็ไม่หลง กินก็กระดูกมันกิน พูดก็กระดูกมันพูด เอาให้มันทันกองกระดูก พิจารณากองกระดูกของตัวให้มันเข้าใจ ให้มันเห็นแจ้งเห็นชัด เหม็นหอมมันก็มาจากระดูกมันมีสมัยเมื่อยังไม่ตาย ยังไม่เป็นกองกระดูก เหม็นก็อยู่นี่ หอมก็อยู่นี่ กินถ่ายอยู่ตลอดวันตาย ตื่นเช้าก็แสวงหาอาหารมากิน กินเข้าไปเลี้ยงกองกระดูก กินแล้วก็ถ่ายเทออกมา ดีวิเศษอะไรจิตให้รู้ให้เข้าใจภาวนาดูให้เข้าใจ ละกิเลสโลเล จิตใจโลเลออกไปให้หมด เป็นจิตที่แน่วแน่เพียรเพ่งดูให้มันทะลุปรุโปร่งตามความเป็นจริง ของจริงและกระดูกจริงอย่างนั้นถ้าไม่เห็นมันก็ยังหลงของปลอมนี่อีก ถ้ามันรู้มันเห็นแจ้งว่าอัฏฐิกังกระดูก ๓๐๐ ท่อน พระพุทธเจ้าสอนให้ดูให้รู้แจ้งในใจ จึงไม่ลุ่มหลงมัวเมาต่อไป ถ้าไม่เห็นแจ้งในอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อน มันก็มาวนอยู่เข้าใจว่าเป็นสวยของงามไป สวยที่ไหนงามที่ไหน ผีหลอกทั้งเพ ผีหลอกตั้งแต่กะโหลกศีรษะลงมาจนถึงปลายมือปลายเท้า ผีหลอกทั้งนั้น ไม่ว่าหญิงว่าชายพิจารณากองกระดูกตัวเองให้รู้ อย่าให้หลงใหลต่อไป

    อัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อน ดูให้แจ้ง ดูให้เห็น กำหนดให้ได้ กำหนดให้ได้ทุกเวลา กระดูกกำหนดไปถึงไหนถึงวันตาย ตายเมื่อใดก็ดูกระดูก ๓๐๐ ท่อนมันไป นั่งก็กระดูก ๓๐๐ ท่อน ไปหลงมันทำไม พูดก็กระดูก ๓๐๐ ท่อนไปหลงมันทำไม ถ่ายภาพถ่ายรูปก็เงา ไปหลงเงาทำไม เงากระดูก เหตุไม่ดูกระดูกของตัวเอง จึงได้หลงกองกระดูกคนอื่น เดี๋ยวนี้เวลานี้ให้ดูกระดูกของตัวเอง ดูจนนับได้ อ่านได้ด้วยตนเอง จึงเรียกว่าพิจารณา ถ้าไปถามคนอื่นบอกมันเรื่องของจริงมันอยู่ที่กระดูก เห็นแจ้งกระดูก กระดูกเขา กระดูกคนทั้งโลกก็เหมือนกัน จะไปทะเยอทะยานวุ่นวายไปทำไม เมื่อมันถึงขั้นตายเป็นกองกระดูกแล้วมันหาบสมบัติในโลกไปได้กี่ชิ้น กี่อัน ไม่มีอะไรก็ทิ้งเปล่า ๆ อัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนทั้งหมดละ ตายเมื่อใดมันเอาอะไรไปไม่ได้ แต่ถ้าไม่เห็นแจ้งในอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อน จิตมันก็โลเลไม่ตั้งมั่นเที่ยงตรง

    นี่แหละเราท่านทั้งหลาย อัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อน ต่อไปภายหน้าอย่าได้มีความลุ่มหลงมัวเมา ให้กำหนดให้ทั่วถึงรอบคอบทุกชิ้นทุกอัน แล้วก็จะต้องกำหนดอยู่จนถึงวันสิ้นชีวิตจึงจะเข้าใจในธรรมปฏิบัตินี้ ดังแสดงมาก็สมควรแก่กาลเวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

    พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
    วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
    http://www.dharma-gateway.com/monk/m...index-page.htm
     
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ต้องเพ่งกระดูก จนภาพปรากฎเป็นปฏิภาคนิมิต

    ปฏิภาคนิมิต คือ เหมือนเรานั่งดูทีวี
    จะมีความคมชัดแบบลืมตามองตรงหน้า
    เป็นแต่กระดูก ที่เราเพ่ง

    หากเอาชนะความขี้เกียจได้ ปฏิภาคนิมิตตรงนี้จึงจะเกิด

    พอมาถึงจุดนี้ จิตจึงจะเริ่มเดินวิปัสนาได้ ต่อจากการเพ่งกระดูก


    ทีนี้ทำยังไงกระดูกที่เพ่งจะเป็นปฎิภาคนิมิต

    คือ ต้องทำบ่อยๆ เนืองๆ อัดซ้ำๆ แต่อย่างเดียว


    สิ่งที่ช่วยให้เป็นเร็วคือ
    เวลาฝึกก็ฝึกอาราธนาศีล
    สวดมนต์ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ กรวดน้ำก่อนเสมอ

    และ หัดพยายามทำตัวตรงต่อเวลา

    กิน ดื่ม ขับถ่าย ตรงเวลา อาบน้ำ ตรงเวลา
    เวลาอาบน้ำ ใช้อะไรก่อนจนสุดท้าย ก็ทำแบบนั้นซ้ำๆเดิมๆ

    จะใส่เสื้อหรือกางเกงก่อน ก็ทำแบบเดิมๆ
    อันนี้เป็นสิ่งที่ช่วยเอื้อ อย่างดี
    เนื่องด้วย ชีวิตประจำวันพวกนี้เราต้องเจอบ่อยๆ
    ต้องเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์

    ตั้งปฏิภาคนิมิตได้เมื่อไรค่อยมาว่ากันใหม่
     
  4. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229
    ขอขอบคุณ ทุกๆท่านค่ะ ได้ข้อมูลมาจะลองทำตามคำแนะนำค่ะ....
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    จขกท ต้องแยกออกจากกันก่อนนะ

    เพ่ง ก็ สมะถะ แยกออกจาก วิปัสสนา ครับ

    ถ้าจะเพ่ง กระดูก ก็จะเป็น สมาธิ ฌาน ครับ

    ถ้าจะ วิปัสสนา ก็คนละแนวทางครับ


    กระดูกนะ จะเพ่งก็ได้ หรือ จะวิปัสสนา ก็ได้แล้วแต่ตัวบุคคล

    คำถามของ จขกท

    1.ถามว่า วิธีเพ่งกระดูกในขั้นตอนของวิปัสสนามั้ยค่ะ

    2.บังเอิญว่าทำอยู่เพ่งยังไงๆ ก็ทำไม่ได้สักที


    ตอบ ข้อ 1. นะครับ

    เพ่งกระดูก ในขั้นตอนวิปัสสนา

    1.ทำสมาธิ หรือ ฌาน ให้ได้ก่อน แล้ว เข้าสมาธิ เรียก นิมิต กระดูก ออกมา แล้ว ทำการวิปัสสนานิมิตกระดูก ครับ


    ตอน ข้อ 2

    2.เข้าสมาธิอยู่ หรือ ปฐมฌาน เรียกนิมิต กระดูก ออกมาแล้ว ให้เลิก เพ่ง ครับ ให้ วิปัสสนา แทนการ เพ่ง ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...