เมืองไทย เมืองพุทธ หรือเมืองพราหม์ที่ใส่หน้ากากพุทธ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ถนนสีขาว, 8 พฤศจิกายน 2005.

  1. ถนนสีขาว

    ถนนสีขาว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +30
    อยากให้เพื่อน ๆ หรือผู้ที่สนใจออกความคิดเห็นเสริมหรือโต้แย้งกระทู้นี้หน่อยครับ

    เป็นที่รู้กันว่าเมืองไทยเราบอกว่านับถือพุทธศาสนาถึงประมาณร้อยละ 95 อยากให้ลองคิดดูนะครับว่าจะมีร้อยละเท่าไหร่ที่เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร อะไรเป็นพื้นฐานของความเป็นพุทธ อะไรควรปฏิบัติ จุดมุ่งหมายของพระศาสนาคืออะไร จะเข้าถึงได้อย่างไรได้อย่าง เสร็จก็คำถามเกี่ยวกับตัวบุคคลว่า จุดมุ่งหมายของชาตินี้คืออะไร และตั้งจิตอธิฐานอะไรให้ชาติต่อ ๆ ไปในระยะยาว ใครจะมีทัศนะคติที่ออกมาจากใจได้อย่างถูกต้องบ้าง

    ทำไมไปแต่งชื่อพระพุทธรูปเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ล่ะครับ พระพุทธรูปถูกสร้างมาเพื่อระลึกถึงคุณของพระพุทธองค์ไม่ใช่หรือ การแต่งชื่อพระพุทธรูปเป็นอย่างอื่นทำให้เป็นการสร้างภาพว่าพระพุทธรูปรูปนั้นไม่ใช่พระพุทธองค์เจ้าที่ละทิ้งคำสอนให้เรา แถมยังสร้างเครื่องรางค์ของขลังออกมาแข่งกัน นั่นเป็นของศาสนาพราหมณ์ชัด ๆ คนบ้านเราเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพระพุทธรูปที่อุปโลกชื่อแปลก ๆ ขึ้นมามากเกินไป ชนิดที่ไม่ได้คิดจะปรับปรุงตัวเองด้วยคุณธรรมอันใดแต่ไปนั่งไหว้ของนั่นขอนี่จากพระพุทธรูป เหมือนศาสนาพราหมณ์เลย พระที่ห้อยคอเป็นพวง ๆ จะปกป้องตัวเองได้จริงหรือ ถ้าเป็นคนที่ไม่คิดดีต่อคนอื่นหรือเป็นคนประมาทในการขับขี่ยวดยานพาหนะ ศาสนาพุทธเรา สอนให้มั่นใจกับสิ่งที่เราปฏิบัติว่าจะทำให้เกิดผล ดังนั้นอยากได้ดีก็ต้องขวนขวายปฏิบัติดีแล้วผลดีจึงจะเกิดกับตัวดีกว่า การขอเลขขอหวยก็ไปใหญ่ แสดงถึงความโลภที่ไม่อยากศึกษาหาความรู้ในวิชาชีพเพิ่มเติมเพื่อหาเงินได้มากขึ้นหรือไม่อยากทำงานหนักแต่อยากได้ลาภเป็นเงินก้อน มากไปกว่านั้นพระศาสนาของเราสอนให้ทุกคนทัดเทียมกัน (แต่ผมขอสถาบันเดียวที่พวกเรานับถือจริง ๆ เป็นเหนือพวกเรา คือ สถาบันพระมหากษัตริย์) นอกนั้นแล้วอย่าถือว่าใครดีกว่าใครเลยเพราะเราไม่ได้เป็นพราหมณ์ที่ถือชั้นวรรณะกัน

    สุดท้ายนี้ขอให้ท่านผู้อ่านได้ไตร่ตรองว่าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นในอดีตที่ทำให้บ้านเมืองเราเบี่ยงเบนไปเช่นนี้ คิดให้ดีว่าแบบอย่างที่ปฏิบัติต่อ ๆ กันมาดีทั้งหมดจริงหรือ ถ้าบางอย่างไม่ดีจะเปลี่ยนวิถีความคิดได้ยังไง จะมีวิธีไหนไหมที่จะช่วยให้บ้านเมืองเราร่มเย็นอยู่ใต้ร่มของพระศาสนาด้วยทัศนะของศาสนาที่แท้จริง (เพราะตอนนี้อาการของบ้านเมืองเราได้ออกฤทธิ์จากการที่เข้าใจหลักศาสนาผิด ๆ แล้ว)
     
  2. ถนนสีขาว

    ถนนสีขาว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +30
    เพิ่งได้ไอเดียเสริม ว่าบ้านเมืองเราไม่ถือความทัดเทียมกันระหว่างเพศ อะไรที่ถือความไม่ทัดเทียมกันถือว่ามาจากพราหมณ์เป็นส่วนใหญ่ เพราะศาสนาพุทธเราใช้ศีลเป็นเกณฑ์ความทัดเทียม ไม่ว่าหญิงหรือชายก็ทัดเทียมกันทีศีล 8 เมื่อต่างก็รักษาคำมั่นว่าจะออกจากกามารมณ์ในช่วงการรักษาศีลนั้น
     
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ผมสนใจแค่ 2 ข้อนี้
    1). ข้อนี้ ให้เจ้าของกระทู้ถามตัวเองด้วยนะครับ ว่ารูเรื่องพระพุทธศาสนาดีแล้วแค่ไหน ถึง 5% หรือยังครับ
    คนที่เข้ามาในส่วนใหญ่ ผมเชื่อว่าเป็นชาวพุทธ แต่อาจจะมาจากหลายสำนัก หลายอาจารย์ บ้างก็แตกต่างกันมาก บ้างก็น้อย แต่ทุกสำนักกก็บูชาพระรัตนตรัย และยึดพระไตรปิฎกเป็นแก่น ส่วนกระพี้ หรือเปลือก หรือสาระปลีกย่อยอาจจะแตกต่างกันอยู่บ้าง มากบ้าง น้อยบ้าง
    1.1). ทางมหายานเขาไม่ได้ทำเหมือนเรา พระไตรปิฎกเขาก็ไม่เหมือนเราทุกอย่าง คุณคิดว่าเขาผิดหรือถูก ใครคือคนที่จะบอกว่าผิดหรือถูกได้จริงๆ เป็นพวกเราที่กำลังสนทนากันอยู่นี่หรือเปล่า หรือต้องเป็นกรมการศาสนา หรือต้องเป็นรัฐบาล หรือต้องเป็นพระสงฆ์นิกายเถรวาท หรือต้องเป็นพระนิกายมหายาน ถ้าตอบอันใดอันหนึ่งออกมาก็จะถามต่อว่า แล้วผมหรือคุณหรือกรมการศาสนาหรือรัฐบาลหรือฯลฯ รู้แจ้งโลกแล้วหรือจึงใช้วิธีฟันธงได้ถึงเพียงนั้น ถ้าไม่ใช่ก็พึงสังวรณ์ไว้เลยว่า ตราบใดที่พวกเรายังคิด-เห็นกันอยู่บนพื้นฐานที่เจือไปด้วยหรือถูกขับดันด้วยกิเลสอาสวะแบบนี้ หาความจริงแท้แน่นอนอะไรยากเต็มที
    1.2) สำนักที่แตกแยกกันทั้งหลายเฉพาะในเถรวาทเรา ถ้าตามความคิดเห็นของผมนะครับ (ซึ่งแน่นอนว่าต้องเจือไปด้วยกิเลสอาสวะ เป็นปกติของคนที่ยังไม่สิ้นกิเลส-ดังนั้นจึงไม่อาจบอกได้ว่าจะถูกต้องจริงๆหรือเปล่า) ผมจะระรึกไว้เสมอว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเอาตัวรอดจากวัฏสงสารได้นั้น พระองค์เปรียบเอาไว้ว่าเหมือนใบไม้ในกำมือเดียว เมื่อเทียบกับใบไม้ทั้งป่า ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่รู้แจ้งในใบไม้ทั้งป่านั้น แต่เปล่าประโยชน์ที่จะสอนมนุษย์ในขณะนั้น เป็นอจินตัย ดังนั้นถามว่าเป็นไปได้ไหมที่จะมีครูบาอาจารย์บางท่านหรือหลายท่านไปรู้ไปเห็นอะไรนอกเหนือจากที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ไม่ได้หมายความว่ารู้มากกว่าพระพุทธเจ้านะครับ เพียงแต่ท่านหยิบเอาประเด็นที่พระพุทธองค์ท่านรวมเรียกว่าอจินตัยบางเรื่อง แค่เศษเสี้ยว มาพูดหรือสอนให้ลูกศิษย์ฟังเท่านั้นเอง
    ครูบาอาจารย์หลายท่าน ท่านไม่ธรรมดา เพราะท่านมีอภิญญา มีบารมีมากมาแต่ปางก่อน บางท่านปราถนาพุทธภูมิอยู่ แถมบารมีเต็มแล้วด้วย รอเพียงแต่จะให้ถึงคิวที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ส่วนบางท่านเคยปราถนาพุทธภูมิแต่ได้ลาไปเสียแล้วก็มีหลังจากได้บำเพ็ญมา 16 อสงขัย (พระพุทธเจ้าองคืปัจจุบันของเราบำเพ็ญมา 20 อสงขัยกับ แสนมหากัป) เห็นไหมว่าสูสีเลยทีเดียว แล้วแบบนี้มันจะแปลกอะไรถ้าท่านจะรู้อะไรมากมาย มากกว่าครูบาอาจารย์ในสายปริญัติที่เน้นศึกษาตามตำราทั้งหลาย ตามพยัญชนะทั้งหลายสอนเอาไว้ เขียนตำราเอาไว้ทั่วบ้านทั่วเมือง เราเราซึ่งเป็นคนที่มีการศึกษาพอสมควรขึ้นไป ก็นิยมไปซื้อหามาอ่าน เพราะเราไม่ค่อยมีเวลาเข้าไปหาครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย เพราะความที่เราอ้างว่าเราต้องทำงานหนัก มิหนำซ้ำ เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีครูบาอาจารย์ท่านใดบ้างที่เป็นพระอริยสงฆ์ เราใช้แต่สมองซีกซ้ายคิดแบบมีเหตุมีผลแบบโลกๆ แบบฟรั่งคิด เราก็ได้แค่นี้แหละ
    2). ปัจจุบันนี้นักฟิสิกส์รุ่นใหม่ๆทั้งหลาย หลังจากค้นพบความยิ่งใหญ่ของเอกภพแล้ว ได้พากันสรุปออกมาว่า "เราแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความเป็นจริงของเอกภพ" จากที่เคยเชื่อมั่นว่าวิทยาศาสตร์ของเราสามารถไขความลับอะไรต่างๆได้เกือบทุกอย่าง (ไปอ่านดูในกระทู้ String theory..ในห้องวิทยาศาสตร์ทางจิตนะครับ)
    ผมกำลังจะบอกว่ามิติต่างๆ นอกเหนือจากที่เราสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง 5 นั้นมันยังมีอีกมากมายนัก ผมไม่ใช่จะพูดมาลอยๆนะครับ ตัวอย่างเช่น ใครจะเชื่อว่ากาแล็กซี่ทั้งกาแล็กซี่จะสามารถหดเล็กลงจนมีขนาดเล็กกว่าปลายเข็มได้ เรานึกยังไงก็นึกไม่ออก คิดด้วยสมองที่เรามีอยู่นี่ มันก็คงไม่มีเหตุผมที่จะเป็นไปได้ แต่มันเป็นไปแล้ว เป็นมาตลอดนานแล้ว กำลังเป็นอยู่ตลอดเวลา และจะเป็นต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมันคือหลุมดำนั่นเอง
    ส่วนในเรื่องของอภิญญา อภินิหาร สิ่งศักดิ์สิทธ ของขลังทั้งหลาย ถ้าไม่มีอยู่จริงไฉนเลยครูบาอาจารย์ทั่วประเทศทั้งอดีตและปัจจุบันจึงได้ไม่ปฏิเสธ และท่านยังจัดทำจัดสร้างอยู่บ่อยๆ ข้อพิสูจน์ของความขลังความศักดิ์สิทธิ์ก็มีอยู่เนืองๆ หรือว่าคนที่พบเจอเรื่องแบบนั้น คือคนไร้การศึกษา คนโง่ หลงงมงาย ตามที่พระท่านหลอกอย่างนั้นเหรอ ส่วนคนที่ไม่หลง ไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง คือคนที่ฉลาด รอบรู้ รู้เท่าทัน อย่างนั้นเหรอ ทำไมเราไม่ลองทำบันทึกประวัติของคนทั้ง 2 กลุ่มเปรียบเทียบกันดูหละครับ ทำเป็นสถิติ เป็นกราฟออกมาเลย ว่าจะได้ผลเป็นอย่างไร แล้วคนที่โง่อาจจะเป็นเราเองก็ได้ ที่ปล่อยให้เรื่องดีๆผ่านไปแล้ว ผ่านไปเล่า
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเทศน์เอาไว้ว่า "สิ่งที่เราทำไม่ได้ ก็อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะต้องทำไม่ได้ด้วยสิ"
     
  4. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    อืม....ครับ
     
  5. บัวทิพย์

    บัวทิพย์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2005
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +38
    ถ้าให้เลือกระหว่างสิ่งที่เป็นวัตรถุมงคลกับมงคลชีวิต ๓๘ ประการ เราขอปฏิบัติอย่างหลังดีกว่า
     
  6. ถนนสีขาว

    ถนนสีขาว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอขอบคุณที่แสดงความคิดเห็นให้กับกระทู้นะครับ คุณ Chayutt ตอบได้กว้างขวางดี มีจุดหนึ่งที่ผมขอแสดงความคิด การที่คุณว่าเรามีความรู้ทางพระศาสนาถึง 5 เปอร์เซนต์หรือยัง ผมขอตอบว่าตัวผมเองจะรู้ถึง 0.0005% หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่ตามหลักของพระศาสนาแล้ว เราสามารถทำเมืองไทยให้น่าอยู่และเป็นเมืองที่มีเหตุมีผลได้แม้แต่ความรู้ของพระศาสนาเราเพียงเท่านั้น แต่ด้วยความรู้ที่เป็นเมล็ดพันธุ์ไม้นี้แหละ เราสามารถนำไปปลูกและบำรุงแล้วให้เกิดผลมากมาย (เมล็ดพันธุ์ไม้ที่ผมว่านี้ก็คือ การทำสมาธิ การปลูกและบำรุงก็คือการปฏิบัติสมาธิ) ด้วยการทำสมาธิที่ดีจิตใจต้องชุ่มเย็นด้วยบุญ และการไม่ล่วงละเมิดผู้อื่น ก็คือการปฎิบัติธรรมะเสริมรวมทั้งการให้ทาน และการรักษาศีล ถ้าคนไทยเราปฏิบัติอย่างนี้แล้วกระผมว่าจะเป็นแบบอย่างของชาวโลกและเป็นบุญดึงดูดความสนใจของชาติอื่นเป็นอย่างมาก แต่หากเมืองไทยหลงงมงาย คิดแบบพราหมณ์คือการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือ ให้รวย ไม่มีใครมาสนใจหรอกใช่ไหมครับ ผมจึงว่าตามหลักพระศาสนาแล้วเราสามารถให้เมืองไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่ได้ไม่ว่าการรักษาศีล 5 อยู่เป็นหลัก การให้ความทัดเทียมกันระหว่างชายหญิง และบุคคลไม่ว่าจะทำงานใหญ่โตหรือชาวบ้าน การทำหลักธรรมะเช่น ธรรมะเพื่อให้เกิดความสำเร็จ(ความรักความชอบในสิ่งที่ตนทำ การขยันหมั่นเพียรในการทำงานรวมทั้งศึกษาหาความรู้เพิ่มเพื่อพัฒนางาน ความใส่ใจในงาน และการทบทวนประเมิณผลของงานเป็นเนือง ๆ) การสละแรงกายแรงปัญญา แรงทรัพทย์เพื่อการพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ และมีสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายที่ไม่ต้องเข้าถึงธรรมะภายในเพื่อการการให้บ้านเมืองให้น่าอยู่

    ขอพูดเพิ่มถึงการที่คนเรามีความเท่าเทียมกันในสังคม ต่างคนต่างหน่วยงานทำงานอย่างตรงไปตรงมา หากใครทำผิดกฎก็มีคนกล้าแสดงออกความคิดเห็น ไม่ใช่คิดว่าเพราะเขาเป็นหัวหน้าแล้วเขาทำอะไรก็ถูกหมด พวกคนใหญ่คนโตก็ได้ใจโกงแล้วนำเงินมาจ่ายเป็นทอด ๆ เพื่อปิดปาก หากไม่มีใครกล้ายืนกรานระบบบ้านเมืองก็เป็นอย่างงี้เรื่อยไป ที่เมืองนอกที่เขาพัฒนาแล้วเรื่องอย่างงี้จะมีก็น้อยมาก ๆ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธแท้ ๆ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าได้ชื่อเลย เงินของชาวบ้านควรจะนำมาแจกจ่ายสู่สังคมอย่างเป็นธรรมเพื่อการพัฒนาสารณะประโยชน์จริงไหมครับ

    ใครจะเป็นลูกศิษย์ใครนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร การนับถืออาจารย์คนไหนก็ไม่แตกต่างเพราะอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านไปไกลแล้วนั้นเราก็แสดงความเคารพนับถือ แต่เราเองยังอยู่ในสังคมคนทำงานเพื่อพัฒนาประเทศเราก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ให้ดีที่สุดแล้วจ่ายภาษีให้รัฐบาลไป หากคิดว่าเงินทุกบาทที่เราจ่ายภาษีไปเป็นทานแบบไม่คิดว่าถูกบีบบังคับแล้วก็ถือว่าเป็นบุญ คุณเองก็คิดในข้อนี้ได้ ดังนั้นแล้วศาสนาเราเป็นศาสนาที่เป็นเลิศทั้งทางโลกและทางธรรม เพียงแต่จะมีใครหรือเปล่าที่คิดนำมาใช้ครับ
     
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ผมอ่านแล้วก็ชักหลงๆประเด็นอยู่เหมือนกัน
    แต่อย่างไรเสีย..ผมก็คงต้องขอบอกอีกครั้งหนึ่งนะครับว่า ถ้อยคำหรือความคิดเห็นใดๆของผม เป็นแต่เพียงมาจากแรงขับดันของกิเลสตัณหาส่วนตัวเท่านั้นเอง หาได้เป็นข้อเท็จจริงแต่ประการใดไม่ หากมีข้อผิดพลาดล่วงเกินก็ขอขมาลาโทษไว้ ณ.ที่นี้ด้วยนะครับ

    ครั้งที่แล้วผมได้แสดงความคิดเห็นเป็นเบื้องต้นเกี่ยวกับพวกเครื่องรางของขลังเอาไว้บ้างแล้ว..ตอนนี้ว่าจะมาต่ออีกสักเล็กน้อย เพราะว่าที่พูดไปยังไม่ครอบคลุมในจุดที่ต้องการเท่าที่ควร

    1.แน่นอนครับ ของจริงก็มี ของเทียมก็มี คนทำขึ้นมาหวังทรัพย์เป็นหลักใหญ่ก็ย่อมมี หวังช่วยให้บรรดาสาธุชนมีสิ่งที่เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวก็ย่อมจะมีด้วยเช่นกัน ไม่มีอะไร 100% ในโลกมัวๆใบนี้
    2.บ้านไหน เมืองไหนบ้างที่มีการฝึกจิต และพัฒนาจิตเหมือนเมืองพุทธอย่างเรา อย่างพม่า อย่างทิเบต และอย่างอีกหลายๆประเทศ (แต่เราก็เป็นที่หนึ่ง) ดังนั้นจิตที่ฝึกมาดีแล้วย่อมมีฤทธิ์ของจิต เป็นธรรมดา ทั้งในแง่ของการกำจัดกิเลสได้ มีพลังจิตต่างๆ เช่นได้วิชชา 3 อภิญญา 6 ญาน 8 ปฏิสัมภิทา 4 อะไรเหล่านี้เป็นต้น ขอยกตัวอย่างเฉพาะ ญาน 8 ได้แก่
    1. ทิพจักขุญาณ มีความรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์ เห็นผีนรก เทวดา นิพพานได้ สนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ได้
    2. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปเกิดภพไหนแดนไหน (ตายแล้วสูญแต่ขันธ์ 5 เท่านั้น จิตก็ไปตามบาปที่ทำไว้)
    3. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ สามารถระลึกชาติได้มากบ้างน้อยบ้าง
    4. เจโตปริยญาณ สามารถรู้อารมณ์จิตของผู้อื่นว่ากำลังคิดอะไร
    5. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตของคนสัตว์
    6. อนาคตังสญาณ รู้ว่าอนาคตตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน
    7. ปัจจุปันนังสญาณ รู้ว่าเวลานี้บุคคลที่กำลังนึกถึงมีสุขหรือมีทุกข์ อยู่ที่ไหนทำอะไร
    8. ยถากัมมุตาญาณ รู้สาเหตุว่าที่เรามีสุขหรือทุกข์ในปัจจุบันเพราะกรรมเก่าอะไร

    ฟังดูอาจจะดูพิลึก ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าเป็นไปได้ แต่สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ชัดเจน หาได้เป็นการเติมแต่งขึ้นมาภายหลังเพื่อหวังเอาปาฏิหารมาหลอกล่อให้ผู้คนสนใจและศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น เหมือนคำกล่าวของบางท่านไม่ (ท่านทำไม่ได้ ท่านก็เลยคิดว่าคนอื่นๆจะต้องทำไม่ได้ด้วย)
    อันเรื่องของฌานนั้น เป็น 1 ใน 4 อจินตัย คือเป็นเรื่องที่อยู่เหนือเหตุผลการคาดเดาได้ของคนธรรมดา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ฝึกจิตดีแล้วจะเข้าไม่ถึงนะครับ
    เมื่อจิตที่ฝึกมาแล้วดังนี้ จะถ่ายทอดพลัง จะอธิษฐานจิตใส่ในวัตถุใดๆก็ตาม วัตถุนั้นย่อมเป็นไปตามแรงอธิษฐานนั้นไม่มากก็น้อย หรือแม้ไม่ได้อธิษฐาน แต่ด้วยดวงจิตที่บริสุทธิ์ ที่มีฤทธิ์ของท่าน ก็ย่อมเหนี่ยวนำให้สิ่งรอบๆข้างพลอยได้รับพลังไปด้วย ตัวอย่างเช่นหางหมาก หรือคำมากของท่านที่ท่านเคี้ยวแล้วคายออกมา เส้นผมของท่านที่ท่านโกนทิ้งทุกๆวันโกน ผ้านุ่งของท่านฯลฯ ดังจะเห็นได้จากสิ่งเหล่านี้สามารถกลายสภาพเป็นพระธาตุได้ในเวลาต่อมา นี่ยังไม่ได้พูดถึงกระดูกและขี้เถ้าตอนฌาปนกิจท่านเลยนะครับ (ปกติอุณหภูมิที่จะทำให้ธาตุแคลเซี่ยมในกระดูกของเรา แยกตัวออกมาจากซิลิกอนได้ต้องใช้อุณหภูมิสูงประมาณ 2-3 พันองศาเซลเซียส แต่ตอนเผาศพในที่เผาศพทั่วๆไปจะใช้อุณหภูมิแค่ 8-9 ร้อยองศาเซลเซียสเท่านั้นเอง)
    สรุปว่าเรื่องของจิตเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของคนทั่วๆไปได้มากมายนัก และขอวกกลับมาที่เครื่องรางของขลังว่า
    1. ต่อให้ทำขึ้นมาเพื่อหวังเอาเงินเข้าวัดเป็นหลักใหญ่ ผมก็เชื่อว่าไม่ได้ผิดอะไร เช่น ท่านกำลังจะซ่อมแซมโบสถ์ที่ชำรุดทรุดโทรม คุณคิดว่าท่านควรทำอย่างไร บอกบุญไปยังญาติโยมก็หนึ่งหละ แต่ก็อาจจะได้ไม่มากพอ หรือจะนำวัดเข้าตลาดหุ้น นั่นก็ไม่ใช่วิสัย สรุปว่าอันนี้ก็เป็นทางหนึ่ง ประชาชนก็ได้ร้วมบริจาคด้วย เงินก็เอามาสร้างโบสถ์ แถมได้ของที่ระลึกด้วย บุญจากการร่วมบริจาคเงินสร้างโบสถ์ก็ได้ด้วย กำไร 2 ต่อนะเนี่ย
    2. แต่บางที ท่านไม่ได้จะสร้างอะไร แต่ท่านก็ทำของบูชาเอาไว้แจกญาติโยมของท่าน ที่ไปกราบท่าน ที่ไปถวายสังฆทานกับท่านประจำวัน ก็เพื่อให้เขาได้ชื่นอกชื่นใจ ได้มีสิ่งของที่ท่านตั้งจิตอธิษฐานไว้ในครอบครอง ยิ่งกว่าคำให้พรเสียอีก เพราะท่านให้พรใช้เวลาและสมาธิไม่มาก แต่การอธิษฐานจิตทำของขลังนี้ยิ่งกว่ามาก การได้มากราบท่าน ได้มาชมบารมีท่านใกล้ ได้มาทำทานกับพระอริยสงฆ์นี้ก็เป็นบุญมากแล้ว นี่ยังได้ของที่ท่านตั้งใจทำให้อีกก็โอ..ปลื้มทีเดียว (คุณคงไม่แย้งผมนะครับที่การทำให้จิตใจคนอื่นปลื้ม เป็นความคิดในแง่บวกนี่จะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง)
    อันนี้ก็ยังไม่ได้พูดถึง เรื่องความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งเหล่านั้นเลยนะเนี่ย สำหรับผมแล้ว มันเหมือนแม่เหล็ก ที่พออยู่ใกล้เหล็กชิ้นอื่นๆก็จะพลอยเหนี่ยวนำให้เป็นแม่เหล็กไปด้วย หรืออาจจะเปรียบได้กับเรามีปลั๊กไฟอยู่กับตัวพอเราต้องการใช้ไฟเราก็เสียบสายเข้าไปได้สะดวก หรือเหมือนกับเรามีโทรศัพท์มือถือ ที่พอต้องการโทรก็กดปุ่มได้เลย อันนี้ขอขยายความเพิ่มเติมว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีจิต ย่อมมีพลังจิต และใช้พลังนั้นได้ โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตชั้นสูง เช่น เทวดา พรหมทั้งหลาย อย่าลืมว่าท่านสื่อสารกันด้วยจิตดังนั้นเพียงแต่เรานึกถึงท่านท่านก็รู้แล้วว่าเรานึกถึงท่าน ท่านก็ส่งพลังมาช่วยเราได้ถ้าสถานการณ์เอื้ออำนวย นี่ถ้าเรามีอะไรบางอย่างที่เป็นเหมือนสื่อนำก็ยิ่งสื่อสารได้คล่องตัวขึ้น (อันนี้แค่ความเข้าใจของผมคนเดียวนะครับ)

    สรุปอีกทีว่า ผมไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลก เรื่องเสียหายแต่ประการใดที่เมืองไทยจะเกลื่อนกลาดไปด้วยสิ่งเหล่านี้ เพราะเมืองไทยเราเป็นเมืองที่ไม่เคยว่างจากผู้ปฏิบัติธรรม ไม่เคยว่างจากผู้ฝึกจิต และไม่เคยว่างจากพระอรหันต์เลย เหมือนกับว่าเรามีอะไรดี เราเด่นเรื่องไหน เรามีอะไรเยอะสินค้าส่งออกของเราก็ย่อมเป็นสิ่งเหล่านี้หรือสิ่งที่เกี่ยวเนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ ผมจะแปลกใจมากกว่าถ้าเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ แต่เต็มไปด้วยไม้กางเขนแบบคริสต์ เหมือนในด้านสังคมที่ไทยเราเป็นสังคมเกษตรกรรมก็ย่อมเต็มไปด้วยข้าว ปลา อาหาร คุณอาจจะแย้งว่าก็ไอ้พระเครื่องทั้งหลายหนะแหละไม่ใช่พุทธ ส่วนหนึ่งที่ไม่ใช่รูปพระพุทธเจ้าอาจจะใช่ แต่ส่วนที่เป็นรูปพระพุทธเจ้า หรือท่านใดก็ตามที่เป็นพระอริยสงฆ์ในศาสนาพุทธ เป็นเทวดา และพรหมที่มีกล่าวถึงในพระไตรปิฎก รวมถึงรูปของเจ้าแม่กวนอิมซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลก็คือพุทธทั้งหมดครับ

    ผมไม่ได้รวมความถึงคนที่เขาคาดหวังว่าพอได้ของขลังมาแล้วจะไม่ต้องทำอะไร นั่งรอโชคลาภวาสนาที่จะมาเพราะเหตุที่มีของขลังนะครับ เราพูดถึงคนที่มีกำลังใจดีขึ้น มีความหวังในชีวิตมากขึ้น ความคิดเป็นบวกมากขึ้น เพราะเหตุที่สบายใจขึ้น เพราะมีที่ยึดเหนี่ยว เพราะได้ของที่ระลึกที่เชื่อมั่นว่าจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้น จากการประกอบการงานในชีวิตประจำวันปกติ อุปสรรคก็จะคลี่คลายได้ง่ายขึ้น การที่พึงจะสำเร็จก็จะสำเร็จได้โดยง่าย เห็นไหมว่าเป็นความหวัง เมื่อมีความหวังก็มีกำลังใจ เมื่อมีกำลังใจก็ไม่ย่อท้อเพราะเชื่อมั่นอยู่แล้ว (อันนี้ก็เป็นเพียงยกประโยชน์ขั้นหยาบๆมากล่าวนะครับ ส่วนขั้นละเอียดขั้นอภินิหารนั้นไม่ขอกล่าวถึง เพราะอยู่เหนือการคาดคะเนของผม แต่ผมก็เชื่อว่ามีอยู่จริง ถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์จะยังพิสูจน์ไม่ได้ และผมคิดว่าไม่ใช่ทุกเรื่องที่วิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ได้หรอก คุณเองก็คงคิดเหมือนกันใช่ไหมหละครับ)

    2.เอ..แล้วทำไมครูบาอาจารย์บางท่าน ท่านถึงโจมตีพวกเครื่องรางของขลังหละครับ..งั้น..ลองถามท่านดูว่า
    2.1. ท่านเป็นพระอริยสงฆ์หรือยัง
    2.2. ถ้าเป็น เป็นพระอรหันต์หรือยัง
    2.3. ถ้าเป็น เป็นพระอรหันต์แบบไหน ซึ่งในพระไตรปิฎกพระอรหันต์ก็มีตั้ง 4 แบบนะครับ ได้แก่
    1. สุขวิปัสสโก คือ หมดกิเลสแล้ว แต่ไม่มีความรู้พิเศษ เห็นผีเห็นเทวดาไม่ได้ ได้แต่ปลงสังขาร ให้อารมณ์หยุดอยาก คือ ไม่อยากเกิด ไม่อยากมี ไม่อยากเอาดีกับชาวโลก เพราะเห็นว่าเมื่อยังเกิด ตราบใด ก็ยังต้องทุกข์ตราบนั้น ท่านเลยเบื่อเกิด ทั้งเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม ท่านไม่เอาด้วยทั้งนั้น สิ่งที่ท่านต้องการก็คือ พระนิพพาน
    2. เตวิชโช คือ ท่านทรงวิชชาสาม ได้แก่
    - ทิพยจักขุญาณ มีอารมณ์จิตเป็นทิพย์ รู้เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งอดีตและอนาคต ท่านรู้ได้คล้ายตาทิพย์
    - อันดับที่สอง สามารถระลึกชาติในอดีตได้ทุกชาติที่ท่านเกิดมาแล้ว
    - สาม ท่านละกิเลสหมดทุกอย่างเหมือนท่านสุกขวิปัสสโก
    3. ฉฬภิญโญ คือ
    - แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง เพราะอำนาจกสิณ
    - มีหูทิพย์ เพราะอำนาจกสิณ
    - มีทิพยจักขุญาณ
    - มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
    - รู้ความรู้สึกนึกคิดของคนและสัตว์ได้
    – ทำกิเลสให้สิ้นไป
    4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต คือ ท่านมีอำนาจฤทธิ์เหมือนท่านผู้ทรงอภิญญา แต่มีญาณพิเศษกว่า คือ มีปัญญาฉลาดเฉียบแฉลม สามารถคิดคำนวณพยากรณ์เหตุการณ์ทุกอย่างได้โดยฉับพลัน มีฤทธิ์คล่องแคล่วกว่าอภิญญา 6
    ท่านอันดับที่ 4 นี้แหละ ที่ท่าน ปิณโฑลภารทวาชะ และท่านโมคคัลลาน์ ท่านทรงได้
    ได้บรรยายเรื่องพระอรหันต์พอให้ท่านผู้อ่านทราบไว้เพียงย่อ ๆ จะได้ไม่เข้าใจผิด เพราะคนส่วนมากก็คิดว่าพระอรหันต์จะต้องเป็นพระมีฤทธิ์เหมือนกันหมดทุกองค์ ความจริงพระอรหันต์ไม่ใช่จะมีฤทธิ์มีเดชเหมือนกันหมดตามที่บอกมาแล้ว
    (จากเทศน์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    พอก่อนดีกว่า เขียนมาเยอะแล้ว
     
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอต่ออีกหน่อยนะครับ
    1). เรื่องกลไกการทำงานของเครื่องรางของขลังนี่ อาจารย์ปริญญา ตันสกุล ผู้ที่บอกว่าท่านได้รับการสื่อสารทางจิต จาก “จิตจักรวาล” ท่านพูดไว้ทำนองว่า (ต้องขออภัยหากผมจำรายละเอียดได้ไม่ครบถ้วน และอาจเพี้ยนไปบ้างเล็กๆน้อยๆ)
    ..จิตของมนุษย์มีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่ จิตสำนึก (ประกอบด้วยจิตแท้ของเราและจิตพี่เลี้ยงที่เรียกว่าพลียะเดี๊ยน) จิตใต้สำนึก (เป็นยานพาหนะของจิต เรียกว่าเมอร์คะบะ มีพลังอำนาจมาก ย่อ ขยายขนาดได้ดังใจ เดินทางได้เร็วกว่าแสง แต่คิดเองไม่ได้ ไม่รู้ผิดถูกดีชั่ว ต้องฟังคำสั่งจากจิตสำนึกอย่างเดียว)..
    ..เวลาเกิดเหตุการณ์วิกฤตแก่ชีวิตขึ้นมา เช่นรถชน ในวินาทีที่ชนนั้นจิตสำนึกเราจะกระตุ้นให้จิตใต้สำนึกทำงานอย่างกระทันหัน อาจจะทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้เรารอดพ้นจากอันตรายนั้นๆ แม้แต่โดยการทำให้ร่างกายเราโปร่งไปเลยในเสี้ยววินาทีนั้นๆ จนแรงกระแทกทำอะไรเราไม่ได้เต็มที่ ทำให้เราบาดเจ็บน้อยกว่าที่ควรจะเป็น..
    ..สำหรับคนที่ไม่มีสติดีพอ จิตสำนึกก็อาจจะไม่สามารถสั่งการจิตใต้สำนึกได้ทันท่วงที..แต่ถ้ามีของขลังที่ถูกโปรแกรมมาให้ทำหน้าที่ด้านแคล้วคลาดแล้วนี่ ของขลังก็จะทำหน้าที่กระตุ้นจิตใต้สำนึกแทน เหมือนการกดสวิสต์ให้จิตใต้สำนึกทำงานแทนนั่นเอง..แต่เงื่อนไขที่จะทำให้จิตใต้สำนึกทำงานได้ดีนั้นต้องทำให้มันเชื่อว่านี่คือคำสั่งของจิตสำนึกจริงๆ (ต้องสั่งซ้ำๆ อย่างจริงจัง ในสภาวะที่คลื่นสมองมีความถี่อยู่ในช่วง แอลฟ่า ลงมา) และต้องเชื่อมั่นว่ามันทำได้จริงๆ ต้องสั่งในเชิงให้กำลังใจด้วย..เห็นไหมก็จะเข้ามาสู่ประเด็นของการมีศรัทธาแล้ว ของขลังถึงแม้จะมีพลังที่ถูกโปรแกรมมาในแง่ต่างๆแล้ว ยังต้องอาศัยการทำงานร่วมกับพลังของจิตใต้สำนึกด้วย ไม่ใช่ว่าคุณไม่เชื่อถือเอาซะเลยแล้วคุณจะเอาไปใช้ประโยชน์ ผมว่าชาติหน้าคุณก็ไม่เห็นผล เพราะความที่ไม่เชื่ออยู่แล้ว ก็จะยิ่งทำให้คุณไม่เชื่อหนักเข้าไปอีก (แต่นี่ก็แค่ความคิดผมนะครับ ทุกอย่างย่อมต้องมีข้อยกเว้น)
    อือ…อ่านแล้วก็เหลือเชื่อนะ..แต่เรื่องของพลังจิตใต้สำนึกนี่มีพิสูจน์กันทั่วๆไปทั่วโลก..เช่น การนำมาใช้สกดจิต การนำมาใช้โปรแกรมจิต ฯลฯ มีหนังสือวางขายอยู่เกลื่อนกลาด ไปหาอ่านเอาได้ครับ
    บอกแล้วไงครับ ว่าความรู้ของมนุษย์เรายังไม่สมบูรณ์ เราอย่าเที่ยวไปฟันธงอะไรต่ออะไรไปทั่ว เพราะในความเป็นจริงแล้ว เรานี้แทบจะไม่รู้อะไรเลย..จริงไหมครับ..ยิ่งถ้าเรายิ่งศึกษามาก เราก็จะยิ่งรู้ว่าเราโง่มากแค่ไหน..ผมใช้คำว่าเรานะครับ
    2). ประเด็นถัดมา..”เอาเรื่องการทำมาหากิน การตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง ไม่เอาเวลาไปงมงายกับสิ่งเหล่านี้”
    แน่นอนทีเดียว..ไม่มีที่ผิดหรอกครับ..ถ้าไม่เหมารวม..ผมว่าไม่มีอะไร 100% ในโลกมัวๆใบนี้หรอกครับ (ฟันธงหรือเปล่าเนี่ย?..แต่อย่าใส่ใจนะครับ เพราะนี่ก็อวิชชาเหมือนกัน ผมยังไม่ใช่อรหันต์)
    ..มีคำกล่าวหนึ่งที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กแล้ว จนตอนนี้รู้สึกว่าไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนั้นแล้ว ที่ว่า “จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด” เพราะว่านิยามของคำว่าดี ว่าถูกต้อง นี่แหละคือตัวปัญหา ลองดูนี่นะครับ
    • โจรใต้เขาก็กำลังทำดีที่สุดของเขาอยู่นะเนี่ย เราต่างหากที่ผิดที่ไปขวางเป้าหมายการทำความดีในความคิดของเขา เป้าหมายของเขาอาจจะเป็น วันนี้จะต้องฆ่าให้ได้ 10 ศพ ต้องระเบิดสถานที่สำคัญๆให้ได้ 5 แห่ง อะไรแบบนี้เป็นต้น
    • USA เขาก็อาจคิดว่าเขาก็กำลังทำดีที่สุด เขาย่อมเห็นประโยชน์ของประเทศชาติเขามาก่อน ดังนั้น จะต้องไปถล่มใครที่ขัดขวางหรือไม่คล้อยตาม หรือต้องไปเอารัดเอาเปรียบใครเขามาก็ยอมได้ ก็เป็นการทำดีกับคนอเมริกันทั้งประเทศ ซึ่งเป็นประชากรเกรดพิเศษของโลก ประสาอะไรกับการแลกด้วยชีวิตของประชากรเกรดต่ำอื่นๆ อีกแค่ไม่กี่ร้อยกี่พันล้านคน
    สรุปว่านิยามใครนิยามมันนะเนี่ย..เพราะต่างคนต่างว่าตัวเองถูกแล้ว ดีแล้ว เลยตั้งหน้าตั้งตาทำกันใหญ่เลย..คำว่าพัฒนาเนี่ยผมว่าอยู่ในข่ายนี้อยู่นะ..หรือว่าไง..

    เอาหละครับ ผมว่าผมจะไม่แสดงความคิดเห็นอะไรอีกแล้วหละครับ เหลือไว้ให้คนอื่นๆบ้าง ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2005
  9. ถนนสีขาว

    ถนนสีขาว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +30
    ขออนุโมทนาสาธุที่เสียสละเวลาเขียนถึงขนาดนี้ครับ นับว่าเป็นเนื้อหาสาระที่ดี จุดมุ่งหมายหนึ่งของผมก็คือการที่ให้พวกเราอย่างงมงายอะไรที่ไม่ได้ทำเองโดยไปหวังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การจะมีสติหรือจิตใต้สำนึกที่ดีนั้นอยู่ที่การปฎิบัติธรรมครับ จะสังเกตได้เลยว่าช่วงเวลาที่เราปฏิบัติสมาธิทุกวันเราเดาอะไรก็มีเปอร์เซนต์ถูกกว่าปกติ เหมือนกับว่าจิตใต้สำนึกนั้นได้ถูกกระตุ้น ดังนั้นผมเชื่อว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไร ถ้าถึงคราวที่จิตใต้สำนึกต้องทำงาน และมีเปอร์เซนต์รอด ก็คงจะรอด แต่นั่นก็เป็นแค่ความเชื่อส่วนตัว ทางที่ดีเวลาใช้ยวดยานพาหนะก็ต้องระมัดระวัง และทำตามกฎจราจรเป็นดีที่สุด ส่วนของขลังทั้งหลายผมว่าแม้จะเป็นแค่อิฐไม่ได้ปลุกเสกอะไร ถ้าเรามีจิตใจยึดเหนี่ยวในพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้าและปฏิบัติธรรมอยู่เป็นเนือง ๆ แล้วมันก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้จากการที่เราปฏิบัติดี ดังนั้นคนไหน ๆ ก็มีพระเพียงองค์เดียวก็พอไม่ต้องไปส่องไปหาของแท้ของปลอม

    คริสตศาสนาเขามาในบ้านเมืองเราดูเหมือนจะรุ่งเรืองและเติบโตได้เร็วจริง ๆ นั่นก็เพราะว่าคนเราที่ว่าเป็นชาวพุทธไม่ได้รู้ความคิดรวบยอดของศาสนาเท่าที่ควร ผมอยากจะมีชมรมพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ สร้างหลักสูตรสั้น ๆ เพื่อเสริมความเข้าใจแก่ชาวบ้านแบบรวบเดียวครั้งเดียวจบ อยากให้มีชมรมพุทธศาสนาชุมชนที่เป็นที่แลกเปลี่ยนความรู้ทางศาสนาและมีกิจกรรมดี ๆ ร่วมกัน ทั้งนี้จะเป็นการสร้างสังคมให้น่าอยู่ขึ้นด้วย คริสตศาสนามีดีตรงที่ว่าเขาไม่มีพิธีรีตรองอะไร เขาเข้าถึงคนง่ายกว่าและก็มีกิจกรรมดี ๆ สนุก ๆ พร้อมเสริมความรู้ทางศาสนา ตอนนี้ผมรู้ตัวว่าผมออกประเด็นไปไกลแล้วเชียว เอาเป็นว่าอยากให้พวกเราสร้างสังคมไทยให้น่าอยู่โดยใช้พื้นฐานของศาสนาเรานะครับ
     
  10. dongtan

    dongtan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +100
    คัดลอกมาให้อ่านครับ

    Spiritual Bypassing - มายาภาพจิตวิวัฒน์
    วิจักขณ์ พานิช เขียน
    มีคำกล่าวในพุทธศาสนาฝ่ายวัชรยานกล่าวเตือนผู้ปฏิบัติธรรมไว้ว่า "ยิ่งเส้นทางที่เราเดินนำไปสู่ประสบการณ์ที่มีพลัง และลึกซึ้งมากเท่าไร กับดักก็ดูจะยิ่งกว้างและลึกตามไปมากเท่านั้น"
    คำกล่าวนี้ดูจะสะท้อนความจริงในวิกฤตพุทธศาสนาที่เรากำลังเผชิญอยู่ เมื่อเราได้ยินเรื่องของพระอรหันต์ อริยสงฆ์ การตรัสรู้ โลกพระศรีอารย์ การปกป้องพระศาสนา หรือแม้แต่ "จิตวิวัฒน์" เองก็ตามที คนมากมายกลับเข้าใจสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ภายนอกตัว ซึ่งดูจะต่างจากสิ่งที่บรรพบุรุษมนุษยชาติพยายามสืบค้น แสวงหาคำตอบ นั่นคือ เส้นทางของประสบการณ์การเข้าถึงความจริงสูงสุดภายใน การรู้จักตนเอง เข้าใจหน้าที่และศักยภาพสูงสุดของความเป็นมนุษย์ หลอมรวม เรียนรู้และก้าวข้าม เมฆหมอกของความไม่รู้ ที่ดูจะอยู่คู่กับสังคมโลกียะมาโดยตลอด
    เรื่องเหล่านี้จึงเป็นเสมือนดาบสองคม ที่เมื่อคนส่วนมากกลับชอบที่จะพูดถึง กลับมีน้อยคนที่จะค้นหา เรียนรู้ ปฏิบัติ และเผชิญหน้ากับชีวิต เพื่อการเรียนรู้เข้าถึงความจริงนั้นด้วยประสบการณ์ตรงของตนเอง มันกลับกลายเป็นกับดักตัวเอง จากการที่เรามัวแต่พูด ตีความถกเถียง ถึงสิ่งที่เราไม่เคยคิดที่จะเริ่มเรียนรู้ เปลี่ยนแปลงตัวเอง และสัมผัสความงามตามประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของชีวิตด้านใน เรากำลังหมกมุ่นกับมายาภาพที่ล่องลอย พอกพูนทับถมเมฆหมอกแห่งความสับสนและความไม่รู้ให้หนาแน่นหนักยิ่งกว่าเก่า แนวทางที่เราเลือกใช้กับกลายเป็น Outside In เลือกที่จะเชื่อ เพิ่มพูนความสับสนและติดขัดจากเสียงภายนอกที่ตายแล้ว แทนที่จะเป็น Inside Out จากพลังแห่งการเรียนรู้และตื่นรู้อันเป็นพื้นฐานแห่งเสียงด้านในที่มีชีวิต
    สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับในสถานการณ์ความเป็นจริงของโลกสมัยใหม่ ก็คือ เราทุกคนกำลังว่ายเวียนอยู่ในโลกแห่งข้อมูล ความเชื่อ แนวปฏิบัติ สิ่งที่บอกๆต่อกันมาจนไม่มีใครรู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ แม้แต่ในโลกแห่งธรรมะเองก็ตามที ที่ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป ว่าเราควรจะเชื่อถือใคร และเชื่อถืออะไรได้บ้าง เพราะทุกสิ่งดูจะท่วมท้นจากรอบด้าน หนังสือธรรมะเป็นหมื่นเป็นแสน วัดและศูนย์ปฏิบัติธรรมหลากหลายสำนัก ธรรมาจารย์ผู้อ้างตนเป็นอริยบุคคลผู้เข้าถึงความจริงสูงสุด กิจกรรมทางศาสนาที่ปนเปเข้ากับการแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ทางโลก จนยากที่เราจะแยกแยะกันได้อีกต่อไป
    ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณความตื่นของพระพุทธองค์ กำลังถูกบิดเบือนสู่มายาภาพของความเป็นพระพุทธองค์ภายนอก ไม่มีใครอยากที่จะค้นหา เรียนรู้ "พระพุทธองค์ภายใน" หรือไม่ก็คิดว่ามันไม่มีอยู่จริงเอาเสียเลย

    ในยุคมืดของมนุษยชาติ ที่กำลังถูกครอบงำด้วยกระแสอวิชชาอันเชี่ยวกราดทั้งไสยศาสตร์ตะวันตกและไสยศาสตร์ตะวันออก ด้วยพลังแห่งทุนนิยม วัตถุนิยมโลกาภิวัฒน์ วิทยาศาสตร์แยกส่วน อำนาจการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา สื่อ หรือแม้แต่อำนาจอวิชชาในคราบของศาสนาเองก็ตามที ที่แพร่กระจายไปยังทุกซอก ทุกหลืบมุมของผืนโลก เราควรต้องตระหนักได้แล้วว่า เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าต่อการพุ่งปะทะของวัฒนธรรมโลกสมัยใหม่ได้อีกต่อไปแล้ว ยิ่งเราพยายามหนีความเป็นจริงมากเท่าไหร่ ความจริงของมนุษยชาติที่เราพยายามแสวงหาก็ดูจะวิ่งหนีเราไปมากเท่านั้น
    แต่แล้วเมื่อเราเลือกที่จะวิ่งหนี นิพพาน จึงกลายเป็นดินแดนแสนสงบ ที่อยู่ไกลจากความเป็นจริง แยกขาดจากความทุกข์ ความสับสนในสังคม ผู้คนต่างก็วิ่งหนีปัญหาที่นับวันก็ยิ่งจะซับซ้อนขึ้น ทิ้งความกลัวให้ตกตะกอนนอนก้นอยู่ภายใน จากนั้นจึงใช้การปฏิบัติธรรมหรือการแสวงหาความวิเวก ในลักษณะของการสร้างมายาภาพของการหลุดพ้น บนฐานของความเพิกเฉยต่อโลกแห่งความเป็นจริง เสกให้นิพพาน หรืออรหัตผลปรากฏขึ้นอย่างแยกขาดจากชีวิตที่เราต่างเผชิญนั้น
    เป็นมายาภาพของความสุข สงบ เย็น หรือ "ความสำเร็จ"ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนปัญญาการมองเห็นธรรมชาติตามที่เป็นจริงของความทุกข์ที่ซับซ้อนในโลกสมัยใหม่เลยแม้แต่น้อย
    จอห์น เวลวูด (John Welwood) นักจิตวิทยาชาวตะวันตก ลูกศิษย์คนหนึ่งของเชอเกียม ตรุงปะ ได้เขียนถึงปรากฏการณ์การเลี่ยงเผชิญกับจริงในลักษณะที่ว่านี้ ในหนังสือ Toward a Psychology of Awakening เขาเป็นคนแรกที่ประดิษฐ์คำว่า Spiritual Bypassing เพื่อใช้อธิบายปรากฎการณ์กับดักทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นในสังคมของผู้ปฏิบัติธรรม หรือ ในกรณีของบ้านเราที่เป็นสังคมพุทธ ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นกับดักของคนไทยเกือบทั้งประเทศเลยก็ว่าได้
    "ตั้งแต่ทศวรรษ ๑๙๗๐ เป็นต้นมา ผมเริ่มสังเกตเห็นแนวโน้มอันน่าเคลือบแคลงอย่างหนึ่งในสังคมของผู้ที่เรียกตนเองว่า "ชาวพุทธ" หรือ "ผู้มีธรรมะ" เป็นแนวโน้มของการใช้ธรรมะเพื่อการเบี่ยง หรือ เลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับปมทางอารมณ์ หรือปัญหาส่วนตัวที่เกิดขึ้นในชีวิต มันกลายเป็นความปรารถนาที่จะหาทางออกในลักษณะการ "วิ่งหนี" จากความทุกข์พื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ดูจะท่วมท้นเรา ไม่ว่าจะเป็น กรรมเก่า เหตุปัจจัยต่างๆทั้งภายในและภายนอก ร่างกาย บุคลิก นิสัย อารมณ์ (รวมถึงอารมณ์ทางเพศ) จนถึง ครอบครัว สังคม และผู้คนรอบข้าง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแรงผลักให้ผู้คนหันมาสู่ศาสนา ทำให้เกิดแนวโน้มของการพยายามถีบตัวเองให้อยู่เหนือสิ่งที่เราไม่อยากจะเผชิญในตนเองและผู้อื่น"
    Spiritual Bypassing จึงอาจจะเปรียบได้กับ ความปรารถนาจะหาทางลัดหรือทางเบี่ยงสู่พระนิพพานในแบบที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ความทุกข์ ความเป็นจริงที่เจ็บปวดของชีวิต หลีกหนีที่จะเผชิญต่อจิตใจของตัวเองที่ยังเต็มไปด้วยความคับแคบ ความกลัว ความหมกมุ่น ความเย่อหยิ่งหรือ ความยึดมั่นถือมั่นตามความเชื่อของตน
    จอห์น เวลวูด ได้กล่าวถึงผลที่เกิดขึ้นว่า "คนเหล่านั้นกลับใช้ธรรมะและการปฏิบัติธรรมเป็นหนทางที่จะเสกสร้าง "ตัวตนทางจิตวิญญาณ (Spiritual Identity)" ซึ่งจริงๆแล้วมันก็คือ อัตตาที่คับแคบอันเดิม ที่พวกเขาไม่สามารถทนได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากที่จะเผชิญหน้ากับมัน Spiritual Bypassing จึงเป็นเสมือนกระบวนการบรรจุหีบห่อใหม่ให้กับตัวตนเก่า ดูน่ามองขึ้น"
    เราจึงเห็นคนจำนวนมากหรือแม้แต่เกจิอาจารย์หลายๆท่าน กำลังใช้ธรรมะ หรือการปฏิบัติธรรม เพื่อการปกป้องอะไรบางอย่าง ที่ไม่สามารถถูกเปิดเผย หรือตั้งคำถามได้ เป็นตัวตนทางจิตวิญญาณ "พระอรหันต์?" ที่ไม่มีใครสามารถท้าทาย หรือ วิพากษ์วิจารณ์ได้ "For example, those who need to see themselves as special will often emphasize the specialness of their spiritual insight and practice, or their special relation to their teacher, to shore up a sense of self-importance." (Welwood, p.12)

    วิกฤตพุทธศาสนาในบ้านเราดูจะสามารถเข้ากันได้ดีกับคำอธิบายในเรื่องนี้ของจอห์น เวลวูด เมื่อคนจำนวนมากกำลังสับสนวิถีพุทธ ให้กลายเป็นเป้าหมายสูงสุด แทนที่จะเป็นกระบวนการ หรือ วิถีปฏิบัติที่ง่ายงามในการเผชิญความจริงในชีวิตประจำวัน เมื่อเรากำลังทำให้ "ความจริง" ตัดขาดจาก "ชีวิตจริง" เราก็กำลังหยิบยื่นการเข้าถึงความจริง ให้กับคนหยิบมือหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นผู้ครอบครองความจริงไปโดยอัตโนมัติ และคงเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งนัก หากเรากำลังแสวงหา "ผู้ปลดปล่อย" "ผู้นำ" "ฮีโร่" หรือ "พระอรหันต์" ในฐานะเป็นสิ่งภายนอก ที่จะมาช่วยเรา โดยที่เราชาวพุทธทำได้เพียงแบมือขอ หรือ เชื่อศรัทธาอย่างงมงาย โดยไม่รู้จักที่จะยืนบนลำแข้งแห่งความ "ตื่นรู้" ที่มีอยู่ในตัวเราเอง เรากำลังยอมจำนนที่จะหยิบยื่นศักยภาพของความตื่น "พุทธสภาวะ" ที่เป็นธรรมชาติ "ธรรมดา" ของพื้นฐานชีวิตด้านใน ไปเลี้ยงดูตัวตนทางจิตวิญญาณของคนเพียงหยิบมือที่กำลังโฆษณาตัวเองเป็นผู้ปกป้องพระศาสนา ด้วยความหลับใหลอย่างไม่รู้ตัว [b-wai]

    ที่มา http://budpage.com/vijak03.shtml
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • vijak03b.jpg
      vijak03b.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.1 KB
      เปิดดู:
      45
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    พุทธพจน์:
    “... ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ผู้ที่มีวาทะอย่างนี้มีความเห็นอย่างนี้ว่า:
    ...ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
    ...การบวงสรวงไม่มีผล การบูชาไม่มีผล
    ...ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดี-ทำชั่วไม่มี
    ...โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี ฯลฯ
    ดังนี้ เป็นอันหวังข้อนี้ได้ คือ จักดำเนินอยู่ในอกุศลธรรม คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เพราะเขาเหล่านั้นไม่เห็นโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองแห่งอกุศลธรรม
    ...ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขากลับเห็นว่าโลกหน้าไม่มี ความเห็นของเขานั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ
    ...ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขาดำริว่าโลกหน้าไม่มี ความนึกคิดของเขานั้นเป็นมิจฉาสังกัปปะ
    ...ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขากล่าววาจาว่าโลกหน้าไม่มี วาจาของเขานั้นเป็นมิจฉาวาจา
    ...ก็โลกหน้ามีอยู่จริง เขากล่าวว่าโลกหน้าไม่มี ผู้นี้ย่อมทำตนเป็นปรปักษ์ต่อพระอรหันต์ผู้รู้แจ้งโลกหน้า
    ...เขาละคุณคือเป็นคนมีศีลแล้ว ตั้งไว้เฉพาะแต่โทษ คือความเป็นคนทุศีล อกุศลธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านี้ย่อมครอบงำเพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัยด้วยประการฉะนี้แล”

    พุทธพจน์:
    พ. “... ดูกรมาณพ เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดแต่กำเนิดเขาไม่เห็นรูปดำ รูปขาว ไม่เห็นรูปเขียว รูปเหลือง รูปแดง รูปสีชมพู รูปที่เสมอและไม่เสมอ หมู่ดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
    พ. เขาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ไม่มีรูปดำ รูปขาว ไม่มีคนเห็นรูปดำ รูปขาว ไม่มีรูปเขียว ไม่มีคนเห็นรูปเขียว ไม่มีรูปเหลือง ไม่มีคนเห็นรูปเหลือง ไม่มีรูปแดง ไม่มีคนเห็นรูปแดง ไม่มีรูปสีชมพู ไม่มีคนเห็นรูปสีชมพู ไม่มีรูปที่เสมอและไม่เสมอ ไม่มีคนเห็นรูปที่เสมอและไม่เสมอ ไม่มีหมู่ดาว ไม่มีคนเห็นหมู่ดาว ไม่มีดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ไม่มีคนเห็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์
    เราไม่รู้ไม่เห็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นย่อมไม่มี เมื่อเขากล่าวดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบหรือมาณพ”
    สุ. “... ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม รูปดำรูปขาวมี คนเห็นรูปดำรูปขาวก็มี รูปเขียวมี คนเห็นรูปเขียวก็มี รูปแดงมี คนเห็นรูปแดงก็มี รูปสีชมพูมีคนเห็นรูปสีชมพูก็มี รูปที่เสมอและไม่เสมอมี คนเห็นรูปเสมอและไม่เสมอก็มี หมู่ดาวมี คนเห็นหมู่ดาวก็มี ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ คนเห็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็มี เราไม่รู้ไม่เห็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นย่อมไม่มีผู้ที่กล่าวดังนี้ ไม่ชื่อว่ากล่าวชอบ ท่านพระโคดม ฯ”

    พุทธพจน์:
    “... ดูกรอัคคีเวสสนะ เปรียบเหมือนภูเขาใหญ่ไม่ห่างไกลบ้านหรือนิคม สหาย 2 คนออกจากบ้านหรือนิคมนั้นไปยังภูเขาลูกนั้นแล้วจูงมือกันเข้าไปยังที่ตั้งภูเขา
    ครั้นแล้วสหายคนหนึ่ง ยืนที่เชิงภูเขาเบื้องล่าง เอ่ยถามสหายผู้ยืนบนภูเขานั้นอย่างนี้ว่า “แน่ะเพื่อน! เท่าที่เพื่อนยืนบนภูเขานั้น เพื่อนเห็นอะไร?”
    สหายคนนั้นตอบอย่างนี้ว่า “เพื่อนเอย ! เรายืนบนภูเขาแล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์”
    สหายข้างล่างกล่าวอย่างนี้ว่า “แน่ะเพื่อน ! ข้อที่เพื่อนยืนบนภูเขาแล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ นั่น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสเลย”
    สหายที่ยืนบนภูเขาจึงลงมายังเชิงเขาข้างล่าง แล้วจูงแขนสหายคนนั้นให้ขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น ให้สบายใจครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามสหายนั้นว่า “แน่ะเพื่อน ! เท่าที่เพื่อนยืนบนภูเขาแล้ว เพื่อนเห็นอะไร”
    สหายคนนั้นตอบอย่างนี้ว่า “เพื่อนเอ๋ย ! เรายืนบนภูเขาแล้ว แลเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ ...”
     
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอแสดงความคิดเห็นอีกสักเล็กน้อยครับ

    อ้างถึง :
    "Spiritual Bypassing จึงอาจจะเปรียบได้กับ ความปรารถนาจะหาทางลัดหรือทางเบี่ยงสู่พระนิพพานในแบบที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ความทุกข์ ความเป็นจริงที่เจ็บปวดของชีวิต หลีกหนีที่จะเผชิญต่อจิตใจของตัวเองที่ยังเต็มไปด้วยความคับแคบ ความกลัว ความหมกมุ่น ความเย่อหยิ่งหรือ ความยึดมั่นถือมั่นตามความเชื่อของตน
    จอห์น เวลวูด ได้กล่าวถึงผลที่เกิดขึ้นว่า "คนเหล่านั้นกลับใช้ธรรมะและการปฏิบัติธรรมเป็นหนทางที่จะเสกสร้าง "ตัวตนทางจิตวิญญาณ (Spiritual Identity)" ซึ่งจริงๆแล้วมันก็คือ อัตตาที่คับแคบอันเดิม ที่พวกเขาไม่สามารถทนได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากที่จะเผชิญหน้ากับมัน Spiritual Bypassing จึงเป็นเสมือนกระบวนการบรรจุหีบห่อใหม่ให้กับตัวตนเก่า ดูน่ามองขึ้น"
    เราจึงเห็นคนจำนวนมากหรือแม้แต่เกจิอาจารย์หลายๆท่าน กำลังใช้ธรรมะ หรือการปฏิบัติธรรม เพื่อการปกป้องอะไรบางอย่าง ที่ไม่สามารถถูกเปิดเผย หรือตั้งคำถามได้ เป็นตัวตนทางจิตวิญญาณ "พระอรหันต์?" ที่ไม่มีใครสามารถท้าทาย หรือ วิพากษ์วิจารณ์ได้ "For example, those who need to see themselves as special will often emphasize the specialness of their spiritual insight and practice, or their special relation to their teacher, to shore up a sense of self-importance." (Welwood, p.12)"


    1. ไอ้ที่ขีดเส้นใต้ไว้ เพราะจะบอกว่าไม่มีใครห้ามหรอก แต่อาจจะแนะนำไว้ว่ากรรมจะเกิดแก่ผู้ทำอย่างนั้นนะ ทางที่ดีพึงสังวรณ์ระวังไว้นะ อะไรแบบนั้นหรือเปล่า..พระที่ถูกวิจารณ์ท่านไม่ได้ไปตั้งข้อห้ามเอาไว้หรอก มันเป็นอยู่มีอยู่ของมันเช่นนั้นเอง..

    2. ส่วนข้อความอย่างอื่น..มันก็คงถูกส่วนหนึ่ง แต่คงเหมารวมทั้งหมดไม่ได้

    3. ผู้มีปัญญาแล้ว ก็ต้องรู้ความจริงอย่างที่เขากล่าวมาว่า "ควรจะแสวงหาความจริงภายใน" "การตื่นรู้" ---> ทางนี้จะเป็นการปฏิบัติมหาสติปัฏฐาน 4 ( มีสติในทุกๆอริยาบท) อันนี้ครูบาอาจารย์ท่านก็พาปฏิบัติอยู่ สอนเอาไว้อยู่ ตามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่บางสายท่านอาจจะเริ่มจากการฝึกให้จิตมีกำลังและว่างจากนิวรณ์ 5 ก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาธรรม เพื่อที่จะได้ไม่เป็นการรู้ คิด ไปเองด้วยกำลังของจิตที่เคลือบด้วยกิเลสหนาๆมากนัก นั่นคือใช้สมถะ แล้ว ตามด้วยวิปัสนา แต่เผอิญว่า By product ของการใช้สมถะมันก็เป็นอะไรที่พิสดาร อย่างที่รู้กันอยู่ ซึ่งอาจจะมีได้น้อยถ้าใช้วิปัสนาเพียงอย่างเดียว ก็เลยเป็นเหตุให้เรามานั่งถกเถียงกันอยู่ ณ.ขณะนี้

    4.จากข้อ 3 ผมพูดถึงคนมีปัญญา จะรู้ค่าธรรมะที่แท้จริง แต่คุณคิดว่าในโลกเรานี้ มีคนโง่หรือฉลาดมากกว่ากัน มีคนดีหรือคนเลวมากกว่ากัน มีคนรวยหรือคนจนมากกว่ากัน ฯลฯ
    สรุปว่า ไอ้เรื่องดีๆหนะมันไม่ค่อยมีหรือเกิดขึ้นเยอะนัก ดังนั้นจะทำอย่างไรมันจึงจะเกิดขึ้นได้หละ
    - จัดหลักสูตรฝึกอบรมขึ้น บอกกล่าว หรือเผยแพร่ ความล้ำค่าของธรรมะของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงให้ชาวโลกได้รับรู้ บอกคุณประโยชน์ที่จะได้รับจากการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนั้นเหรอ โดยใคร โดยรัฐบาลหรือเปล่า โดยกรมการศาสนาหรือเปล่า หรือโดยผู้ปฏิบัติธรรมที่รู้จริงคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างนั้นหรือ จะใช้วิธีไหนกันหนอคนถึงจะหันมาสนใจ เรารู้ว่าเป้าหมายของพระพุทธศาสนาคือการพ้นทุกข์ ไปนิพพาน

    ...คุณจะเอาอะไรไปบอกเขา ว่าเขากำลังทุกข์อยู่
    ...ทำไมเขาจะต้องเชื่อว่าคุณคือผู้ที่เขาควรจะเชื่อถือคำพูดของคุณ สมมุติว่าแม้มันจะเป็นความจริงก็ตาม
    ...สมุตินะครับ สมมุติ สมมุติว่านิพพานคือสิ่งที่สามารถนำมาบรรจุอยู่ในภาชนะได้ ผมกล้าท้าเลยว่าให้คุณนำพระนิพพานบรรจุใส่กระป๋อง แล้วส่งออกไปขายทั่วโลก กระป๋องละ 5-10 บาท ถ้าใครซื้อไปแล้ว เปิดกระป๋องออกมาก็จะไปนิพพานได้ทันที ไม่ต้องฝึกฝนอะไรให้ยุ่งยากเลย คุณคิดว่าจะมีคนมาซื้อคุณกี่กระป๋อง แม้แต่คนไทยเองก็เถอะ...
    ...ทำไมเขาถึงไม่ซื้อหละ...ก็เขาไม่รู้..ก็เขาไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย..เขาไม่เห็นผลของประโยชน์ที่ว่านั้น..เผลอๆกลัวด้วยซ้ำ เปิดมาแล้วตายนี่ใครจะไม่กลัว
    ...แล้วทำอย่างไรเขาถึงจะรู้..จะสนใจ...มีแท็คติกอะไรบ้างไหม๊...ทางหนึ่งก็เอา By Product ออกมาเร่ขายก่อน..พอเริ่มติดตลาดแล้ว ก็เริ่มใส่ของจริงให้เข้าไป พอได้ที่แล้วหรือปัญญาเกิดแล้ว คนคนนั้นก็จะเสาะแสวงหาธรรมะอื่นๆต่อไปเอง..
    ...คนบางจำพวกมีบุญน้อย ไม่มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา..หรือบางจำพวกเจอแล้วแต่ไม่ใส่ใจ..การจะทำให้ใส่ใจนอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังต้องอาศัยบุญด้วยเช่นกัน คือทำให้เขามีบุญมากขึ้น บุญจะได้หนุนนำให้เกิดปัญญามากขึ้น ให้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรมีค่าไม่มีค่า ..แต่บังเอิญว่าวิธีทำบุญที่แตกต่าง ก็จะได้อานิสงค์ที่แตกต่างหลากหลายด้วย ก็อาจจะเรียกว่าเป็น By Product ด้วยเหมือนกันก็ได้ แต่ตราบใดที่ยังไม่ถึงนิพพาน บุญก็ยังมีความสำคัญอยู่นั่นเอง..

    ผมขี้เกียจอธิบายแล้ว เพราะผมรู้สึกว่ามันคงไม่จบง่ายๆ เอาเป็นว่า ผมก็ยังคงปฏิบัติธรรมของผมอยู่ต่อไป และผมก็เชื่อในบุญ บาป การเวียนว่ายตายเกิด รวมถึงปาฏิหารของพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณด้วย ใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ผมก็จะไม่ได้อะไร และก็จะไม่มีอะไรต้องเสียด้วยเช่นกัน

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
     
  13. ไอ้ใบ้

    ไอ้ใบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,254
    ค่าพลัง:
    +7,241
    สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ : ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน ดังนี้. จำได้ขึ้นใจประโยคเดียว ในบทสวดทำวัตรเช้า คำว่าไม่ใช่ตัวตน หมายถึงอะไรหนอ ? เราก็ไม่ค่อยจะเข้าใจซักเท่าไหร่ คั้นจะถาม ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยธรรม เราจะหาได้ที่ไหนล่ะ ในเมื่อ มันไม่ใช่ตัวตน อืม..ถ้าหาไม่ได้ เราก็ค้นพระธรรมดีกว่า เอ...แต่ สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน ดังนี้. หรือไม่ต้องไปหาอะไรเลย วางทุกอย่างให้เป็นกลาง ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ดิบ ไม่ไหม้ ไม่รับ ไม่ให้ ไม่กระทบ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่บ้า ไม่บอ แล้วไม่อะไรอีกดีล่ะ ? อืม เกี่ยวกับกระทู้ไหมเนี่ย ? [ กระทู้นี้โดนใจ ให้คะแนนครับ ]
     

แชร์หน้านี้

Loading...