เรื่องเด่น เมื่อข้าพเจ้าเจอผีนางตานี

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ไร้หนทาง, 26 ธันวาคม 2012.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    สวัสดีครับ อ.ทอง ขอสมัครเป็นลูกศิษย์ ติดตามอ่านด้วยคนนึงครับ สนุกดี...เมื่อตรุษจีนที่ผ่านมาผมเห็น หลายคนเอาดอกไม้ธูปเทียนไป ไหว้หัวรถ ผมก็นึกถึงลูกน้องผมคนนึงขึ้นมาเป็นคนใต้ เขาเคยบอกผมว่า ไหว้หัวรถ คือ ไหว้แม่ย่านางรถ ผมก็สงสัยน่ะครับ เคยได้ยินว่ามีแม่ย่านางเรือ ซึ่งเขาขุดต้นมาทำเรือเลยตามมาด้วย แล้วแม่ย่านางรถยนต์นี่เขามาได้อย่างไรครับ แล้วต่างประเทศทำไมไม่เห็นมีเลยน่ะครับ แล้วแม่ย่านางรถนี่ท่านแต่งตัวเป็นยังไงบ้างครับ เพราะแม่ย่านางไม้ก็นุ่งห่มสไบ ถ้าแม่ย่านางรถยนต์ จะต้องซิ่งต้องเปรี้ยวกว่าไหมครับ เพราะทำจากเหล็กไม่ได้ทำจากไม้ ขออาจารย์ทอง ได้โปรดแสดงความเห็น แก้คนขี้สงสัยด้วยเถอะครับ...
     
  2. ไร้หนทาง

    ไร้หนทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    376
    ค่าพลัง:
    +2,274
    ครับผม มีหลายอย่างเกียวกับเเม่ย่านางเลยละครับ

    ประวัติ ของเเม่ย่านาง มันมีหลายๆๆๆเลยละครับตามเเต่ละภาคเลยทีเดียว
    เเม่ย่านาง เเต่เดิมเป็นเทพนารีเล็กๆๆทีอยู่บนสวรรค์ก็มี

    อันนี้ผมก๊อปมาในเวปก้อีกตำนานหนึ่งครับ
    แม่ย่านาง ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์ในการออกเดินทาง ไม่ว่าทางน้ำ ทางอากศ หรือทางเรือ ปัจจุบันในเครื่องบินที่บรรจุผู้โดยสาร บางเครื่องมีองค์เทพแม่ย่านางตั้งอยุ่ด้วย เพื่อเป็นศิริมงคลและโชคโลภความปลอดภัยในการเดินทาง...อีกด้วย

    แม่ย่านาง คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยเคารพนับถือว่าคอยคุ้มครองปกป้องกันภัย ให้แก่พาหนะ เช่น รถ เรือ หรือเชื่อว่าสิงสถิตอยู่ในรถ ในเรือ และให้คุณให้โทษแก่ผู้ขับขี่โดยสารได้


    ตำนาน ความเชื่อเกี่ยวกับแม่ย่านางนั้นมีอยู่ว่า เมื่อพระอิศวรและพระแม่อุมาเสด็จประพาสทะเล กุ้งได้ออกมาร้องเรียนว่าตนเองเป็นสัตว์ที่ร่างกายมีแต่เนื้อ เปลือกห่อหุ้มบาง ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ทำให้ถูกบรรดาสัตว์น้ำอื่นๆ จับกินเสียมาก พระแม่อุมาจึงประทานพรให้กุ้ง มีเลื่อยสองคมปลายแหลมอยู่บนหัว มีหอกปลายแหลมอยู่ที่หาง เมื่อสัตว์ใดกินเข้าไปจะได้ใช้หางเจาะออกมาให้เข็ดหลาบ ซึ่งอาหารที่กุ้งสามารถกินเองได้ จะต้องเป็นของที่ตายเน่าเปื่อยเท่านั้น


    จาก นั้น ประชากรกุ้งจึงมีมากจนเสียสมดุล กั้งจึงมาชักชวนผสมพันธ์แล้วออกอุบาย ให้กุ้งใช้อาวุธติดตัวเจาะท้องเรือสำเภาให้จม เมื่อจีนคนไหนว่ายน้ำไม่เป็นก็จะจมน้ำตาย กลายเป็นอาหารส่วนหัวกุ้งแบ่งให้กั้ง ส่วนตัวกุ้งเอาไปกิน ด้วยเหตุนี้ เรือสำเภาจึงตกเป็นเป้าและได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก พวกนายสำเภาจึงได้วิงวอนขอให้เจ้าหมาจ่อช่วยบอกกล่าวเทพเจ้าให้มาช่วยเหลือ เจ้าหมาจ่อสงสารชาวเรือ จึงบอกให้นำของมาเซ่นไหว้พลีกรรม ได้แก่ ผ้าแพรสีแดง สีทับทิม สิ่งละสิบพับ กับดอกไม้ธูปเทียน สำหรับเจ้าที่ เมื่อได้รับของถวายเจ้าหมาจ่อจึงให้นายทหารนำของไปถวายเจ้าทั้งแปดทิศ แล้วร่วมปรึกษาหารือกันว่าจะนำความไปกราบทูลพระอิศวรและพระแม่อุมาเทวีให้ ตัดสินปัญหา พระแม่อุมาจึงสั่งให้พระอนันตนาคราชไปปราบกุ้งที่ผิดคำสัตย์และใช้อุบายทำให้ มนุษย์เดือดร้อน จากนั้นพระอนันตนาคราชรับโองการ ลงไปถึงพระคงคา กุ้งที่ทำผิดก็ร้อนตัวกลัวจนกระเพาะและของเก่าใหม่ขึ้นมาบนสมอง จากนั้นจึงถูกสาปให้เรือสำเภาน้อยใหญ่ที่พวกตนเจาะให้ล่มเข้าไปอยู่ในแก้ม ซ้ายขวา ถ่วงหัวไม่ให้เงยขึ้นมาเจาะเรือสำเภาได้อีก แล้วพระอนันตนาคราชจึงสั่งให้จีนเดินสมุทรทั้งหลายนับถือเจ้ายอดสวรรค์ ให้คุ้มครองรักษาเรือสำเภาทุกเที่ยวไปมาจนติดมากระทั่งทุกวันนี้วยเหตุนี้ แม่ย่านาง จึงได้กลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเทพ ผู้พิทักษ์ปกป้องคุ้มครอง พาหนะทุกประเภท ทั้งเรือ รถยนต์ จักรยานยนต์ เครื่องบิน ฯลฯ ที่ให้คุณให้โทษได้ ผู้ขับขี่จึงมีความเคารพยำเกรงต่อแม่ย่านาง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย ในสมัยที่การคมนาคมส่วนใหญ่ใช้ทางน้ำ ประชาชนนิยมโดยสารเรือเป็นหลัก ก็มีการบวงสรวงแม่ย่านางเรือ โดยเฉพาะเรือพระราชพิธีที่ใช้ในการพระราชพิธีที่สำคัญ เช่น กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ก่อนออกแล่นเรือจริงต้องมีการนำเครื่องบูชามาทำพิธีบวงสรวงเพื่อความเป็นสิริมงคล เข้าใจว่าเพื่อบอกกล่าวแม่ย่านางที่สิงสถิตอยู่กับเรือแต่ละลำได้รับรู้และ ปกปักรักษาอย่าให้เกิดอุบัติเหตุเภทภัยใดๆ เรือชาวบ้านก็มีการบวงสรวงเช่นกัน ผู้ที่มีความศรัทธามาก นิยมนำผ้าสามสีมาผูกที่หัวเรือ เพื่อแสดงความเคารพแก่แม่ย่านางและเพื่อเสริมสิริมงคลให้แก่เรือนั้นๆ

    ชาวประมงมีความเชื่อว่าแม่ย่านางจะคุ้มครองทุกคนให้ปลอดภัยในการเดินเรือและ ช่วยให้หาปลาได้มากๆ ดังนั้น ก่อนออกเรือจึงต้องมีการกราบไหว้แม่ย่านางทุกครั้งและเซ่นสังเวยแม่ย่านาง ก่อนที่จะนำเรือออกทำกิจการต่างๆ สังคมชาวประมงยังยึดมั่นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอย่างเหนียวแน่น การปฏิบัติตามความเชื่อใดทำให้แม่ย่านางพอใจต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดที่ สุด ไม่เช่นนั้นแม่ย่านางอาจจะไม่พอใจและจะนำความพินาศมาสู่เรือได้ เช่น

    1.ไม่ทะเลาะกันขณะอยู่ในเรือ
    2.ไม่ทำเรือสกปรก
    3.ไม่ดื่มสุราก่อนออกจากเรือ
    4.ไม่เหยียบโขนเรือ
    5.ไม่นำผู้หญิงมาร่วมเพศในเรือ

    ทุกวันพระ 15 ค่ำ วันสงกรานต์ และวันตรุษจีน ไต้ก๋งจะเซ่นไหว้แม่ย่านางในตอนเช้า เครื่องเซ่นได้แก่ หัวหมู ไก่ ขนมเปี๊ยะ ขนมถ้วยฟู ผลไม้ต่าง ๆ ดอกไม้หนึ่งกำ ธูปเก้าดอก และต้องจุดประทัดบอกกล่าวด้วย
    เเต่อันนี้ก็ใช้ในรถด้วยเหมือนกันครับ
    ครับ เเม่ย่านาง มักจะเป็นเทพนารี ทีอยู่ในรถยนต์ ทุกชนิด ไม่เว้นมอเตอร์ไซค์ ก็มีครับ ถ้าเรารู้จักไหว้ สมัยก่อนๆๆจะมีการไหว้ มากครับ สมัยนี้น้อยมากเลยละครับ
    ทีเราจะเห็น เพราะความเชื่อ แบบโบราณ มันหายไปเยอะครับ เรียกว่า รับ
    เอาวิถีชีวิต แบบอย่างของประเทศอื่นกันมาก เเละก็ศาสนาก็เช่นกัน
    ประวัติมันเยอะอยู่ครับเเต่ผมไม่ขอยกมากอ้างนะครับ
    ประเทศไทยมีสิ่งศักสิทธิอยู่มาก
    อย่าว่าเเต่ความเชื่อเลย ครูบาอาจารย์ ท่านก็ยังเก่งๆๆท่านก็ยังเคยบอกว่า
    เเม่ย่านางเรือหรือรถ ถ้าเราบูชาดีๆๆเขาก็จะรักษา ชีวิตเรา เมือประสพภัย
    ยกเว้น เราทำตัวเอง เช่นเมาสุรา ทำไม่ดีในรถหรือเรือ
    นอกจากเราถึงฆาตเเล้วเท่านั้นทีเเม่ย่านางจะช่วยไม่ได้
    ส่วนการเเต่งการ ก้เเล้วเเต่ตัวท่านเองเลยละครับ ของทิพย์ จะจำเเลงแปลงกายยังไงก็เเล้วเเต่เขาเลยละ เเบบมนุษย์เราละเบื่อชุดนี้ก็เอาชุดโน้น
    ก็คล้ายๆๆกันละ ส่วนต่างประเทศ เทพทีรักษารถหรือเรือ หรือยานภาหนะ
    มีครับเเต่ไม่เอกอุเท่าประเทศไทยครับ ความเชื่อของคนไทยโบราณเเน่กว่าครับ
    อย่างคาถาอาคมไงครับ ต่างประเทศยังยกนิ้วให้เลยละ
    เช่นสงครามเวียดนามไงครับ
    เทพทีดูเเลปกป้องรักษา ของเขามันไม่ดังเด่นเท่าบ้านเราครับ ก้เลยมองดุๆๆๆๆเหมือนไม่มีอะไรเเค่นั้นเอง นอกจากอินเดีย ฮินดูครับเขาก้มีอยู่ครับไหว้ รถเรือยานภาหนะ มีอยู่ครับ
    ความรู้เรื่องนี้ของผมมันยังน้อย อาจจะมีคนเก่งๆๆกว่าผมก้อาจจะทราบดีลองๆๆถามดูนะครับ
     
  3. ไร้หนทาง

    ไร้หนทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    376
    ค่าพลัง:
    +2,274
    ส่วนปอบ นะครับ มันก็มีอยู่หลายประเภทเลย
    1ปอบเชื้อ
    1ปอบของ
    3ปอบมนต์ดำ
    ............... "ผีปอบ" มีต้นกำเนิดมาจากผู้ที่มีวิชา ไสยศาสตร์ มนต์ดำจนแก่กล้า สามารถใช้อำนาจอันเข้ม ขลังจากเวทมนตร์คาถาไปกระทำร้ายหรือทำลาย ชีวิตผู้อื่นได้ เช่น ทำ เสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝัง รอยเสกหนังควาย เสกตะปูเข้าท้อง หรือใช้มนตราบังคับวิญญาณ ภูตผีไปเข้าสิง วิชาไสย ศาสตร์เหล่านี้มีข้อห้าม ข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย ผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์ซึ่งพระ พุทธเจ้า ทรงระบุว่า เป็นเดียรฉาน วิชา จะต้องระวังไม่ให้ละเมิด ข้อห้าม ข้อปฏิบัติโดยเด็ดขาด หากกระ ทำผิด ข้อห้าม ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า "คะลำ" ก็จะเกิดโทษหนักในข้อ "ผิดครู" วิญญาณบรมครู จะลงโทษ ให้กลายเป็น ปอบ หรืออีกประการหนึ่งของผู้ที่ กลายเป็นปอบก็คือ เล่น คาถาอาคม อย่างคลั่งไคล้ และใช้ความขลังแห่งวิชา มนต์ดำไปทำลาย ทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่กลัว บาปกลัว กรรมกระทำชั่วเป็นอาจิณกรรม กระทั่งถูกอาถรรพณ์ของไสยเวทย์ย้อนกลับมาเข้าตัวเองกลาย เป็น ปอบไปในที่สุด
    .................... "ผีปอบ" ยังแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น
    ................... . "ปอบ ธรรมดา" หมายถึงคนที่มีปอบสิงอยู่ใน ร่าง (คือตนเองเป็นปอบ ) เมื่อคนประเภทนี้ตายไป ปอบที่สิงสู่อยู'ก็จะ ตายตามไปด้วย
    .................... "ปอบเชื้อ" หมายถึงครอบครัวใดพ่อแม่เป็นปอบเมื่อพ่อแม่ตายไปลูก หลานก็จะสืบทอดให้ เป็นปอบต่อไป อีกประการหนึ่งเป็นกรรมพันธุ์ไม่ว่า จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม เรียกว่า เป็นปอบต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ
    .................... "ปอบแลกหน้า" หมายถึง ปอบเจ้าเล่ห์ถนัดเอาความ ผิดไปโยนให้ผู้อื่น กล่าวคือเวลาไปเข้าสิงใคร เมื่อถูกสอบ ถามว่ามีผู้ใดเลี้ยงหรือบังคับ ปอบ จะไม่บอกความจริงหากไปกล่าวโทษว่าเป็นคนนั้นคนนี้โดยที่ผู้ถูกระบุชื่อ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เลย
    .................... ปอบกักกึก (กึก ภาษาอีสานแปลว่า "ใบ้") หมายถึงปอบที่ไม่ยอมพูดอะไรเวลามีคน ถาม จนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ จึงจะยอมเปิดปากพูดว่าตนเป็นปอบของ ใครมีใครใช้ให้มา เข้าสิง ผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิงหรือที่ชาวอีสานเรียกว่า "ปอบเข้า" จะมีอาการแตกต่างกันไป บางคนแสดงกิริยาอาการ ดุร้ายบางคนจะนอนซมซึมคล้ายกับป่วยไข้อย่างหนัก บางคนจะ ร่ำไห้รำพันไปต่างๆ นานา แต่ไม่ว่าจะมีทีท่า อาการอย่างไร

    ....................ผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะเรียกร้องให้ นำอาหารสุกๆ ดิบๆ พวกหมูตับไก่ต้มมากิน เหมือนๆ กับเวลา กินก็แสดงความตะกละมูม มามและกินได้จุผิดปกติเมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าคนป่วยถูกปอบเข้าสิง เขาก็จะไปตามหมอ ผีให้มาไล่ปอบ การไล่ปอบให้ออกจากร่างมีหลายวิธีตามแนวทางที่หมอผีได้ร่ำเรียนมา บางคนจะเอาพริกแห้ง มาเผา ให้ควันรม คนป่วยจนสำลักควันน้ำตาไหลพาก ครั้นปอบ ออกจากร่าง แล้วหมอผีจะข่มขู่สอบถามว่าผีปอบเป็นใครมาจากไหน เมื่อปอบรับสารภาพ หมอผีก็ จะปล่อยไป คนป่วยได้สติหายเป็นปกตินัยน์ตาที่แดงก่ำเนื่องจากถูกควันพริกเผา รมจะหายไปทันที แต่เจ้าของ ปอบกลับมีอาการนัยน์ตาแดงก่ำด้วยสายเลือดจนต้องหลบ หน้าอยู่แต่ในห้องไม่กลัวให้ใครพบหน้า อีกวิธีหนึ่งที่ หมอผีทั่วไปนิยมใช้ไล่ผี คือใช้หวาย เฆี่ยนไล่ปอบซึ่งก็เท่ากับเฆี่ยนคนป่วยนั่นแหละหากปอบกล้าแข็งหมอผีจะ เฆี่ยนหนักๆ กระทั่งเนื้อตัวคนที่ถูกปอบเข้าสิงเขียวช้ำด้วยรอยหวาย เมื่อปอบยอมแพ้ออกจากร่างไป ร้อยหวายก็ จะจางหายไปทันที แต่วิธีไล่ผีปอบแบบนี้เคยเป็นเรื่องเป็นข่าวมาแล้ว
    ....................เนื่องจากผู้ป่วยไม่ได้ถูกปอบเข้าสิง หากป่วยเป็นโรคประสาท ญาติคิดว่าปอบ เข้าจึงไปตามหมอผีมาไล่ หมอผีจัดการเฆี่ยนคนป่วยด้วยหวายได้รับบาดเจ็บบอบช้ำจน หลายครั้งหลายหน โดยคิดว่าปอบฮึดสู้ไม่ยอม แพ้ในที่สุดคนป่วยก็เสียชีวิตร้อนถึงตำรวจ ต้องมาจัดการกับหมอผีและญาติตามกฎหมายและหมอผีคงคิดคุก ติดตะรางไปตามระเบียบ
    ....................อีกวิธีหนึ่งหมอผีจะนำสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวบางชนิดมาข่มขู่ให้ปอบกลัวเช่น คางคก ตุ๊กแก งู ในกรณีนี้ คนที่ ถูกปอบเข้าสิงมักจะเป็นผู้หญิงหรือตัวปอบเป็นหญิง แม้จะเป็นผีปอบ (เธอ) ก็ยังขยาดแขยงสัตว์ประเภทนี้ และ มักจะยอมออกจากร่างที่ เข้าสิงง่าย ๆ
    ....................ผีปอบที่แก่กล้าเวลาเข้าสิงใครจะอกยาก กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้ เข้าสิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย เมื่อหมอผีดำเนินการไล่ผีปอบจากร่างที่ถูกปอบสิงมี ข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ จะปรากฏเป็นก้อนกลมอยู่ใต้ ผิวหนังปูดนูนขึ้นมา เวลา หมอผีจี้อ้อนกลมๆนี้ด้วยไพลเสก มันจะเลื่อนหนีได้ และเมื่อก้อนกลมๆนี้หายไปหมอ ผีที่มีวิชาอาคมยังไม่เก่งนักมักคิดว่าปอบออกไปแล้ว แต่ที่แท้จริงๆ ปอบมันจะเลื่อน หนีไปซ่อนตามซอกขาหนีบ หรืออวัยวะเพศ ทำให้หาไม่พบ
    ....................สำหรับหมอผีรุ่นครูจะจู่โจมเข้ามัดข้อมือ ข้อเท้าและรอบคอ ด้วยด้าย สายสิญจน์เพื่อไม่ให้ปอบหนีออกจาก ร่าง จากนั้นก็จะใช้ไพลเสกจี้ลงไปที่ก้อนกลมๆ ใต้ผิวหนัง เรียกว่าก้อนกลมนี้หนีไปที่ใดก็จะตามจี้ไม่ยอมปล่อย เวลาที่ถูกไพลเสกจี้ ทางอีสานเรียกว่า "แทง" ปอยจะเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส (คนที่ถูกปอบสิงจะร้องโอด ครวญดังลั่น) หมอผีจะขู่บังคับให้บอกว่าเป็นใคร ซึ่งปอบมักจะยอมสารภาพโดยดี หลังจากทรมานปอบให้หวาด กลัวเข็ดหลาบแล้ว หมอผีจึงจะแก้มัดด้วยด้ายสายสิญจน์ ปล่อยให้ปอบออกไป หมอผีบางรายมีวิธีไล่ปอบชนิดดุเดือด ให้คนเป็นปอบอับอายขายหน้าเป็นที่เปิดเผยแก่ สาธารณชนทั่วไป โดยหมอผีจะไปหาหม้อดินของแม่ม่ายที่มีเขม่าควันไฟจับหนามา แล้วเอาหม้อดินครอบศีรษะคนถูกปอบสิง ใช้มีดโกนขูดเขม่าควันไฟ คล้ายกับโกนผมให้ หมดไปครึ่งศีรษะ จากนั้นปล่อยให้ปอบออกจากร่าง วิธีการ ไล่ปอบแบบนี้จะทำให้ผู้เป็น ปอบหรือเลี้ยงปอบไว้ต้องหลบซ่อนอยู่แต่ในห้อง หรือเวลาออกนอกห้องไปไหน มาไหน ต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะตลอดเวลา เนื่องจากเส้นผมแหว่งหายไปครึ่งศีรษะ
    ตำนานปอบที1

    " ผีปอบ " มีต้นกำเนิดมาจากผู้ที่มีวิชา ไสยศาสตร์ มนต์ดำจนแก่กล้า สามารถใช้อำนาจอัน
    เข้มขลังจากเวทมนตร์คาถาไปกระทำร้ายหรือทำลาย ชีวิตผู้อื่นได้ เช่น ทำ เสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝังรอยเสกหนังควาย เสกตะปู
    เข้าท้อง หรือใช้มนตราบังคับวิญญาณ ภูตผีไปเข้าสิง วิชาไสยศาสตร์เหล่านี้มีข้อห้าม ข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย ผู้ที่มีวิชาอาคม
    ทาง ไสยศาสตร์ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงระบุว่า เป็นเดียรฉานวิชา จะต้องระวังไม่ให้ละเมิดข้อห้าม ข้อปฏิบัติโดยเด็ดขาด
    หากกระทำผิดข้อห้าม ชาวอีสานจะเรียกกันว่า "คะลำ" จะเกิดโทษหนักในข้อ"ผิดครู" วิญญาณ บรมครู จะลงโทษ ให้กลายเป็น
    ปอบ หรืออีกประการหนึ่งของผู้ที่กลายเป็นปอบก็คือ เล่นคาถาอาคมอย่างคลั่งไคล้ และใช้ความขลังแห่งวิชา มนต์ดำไปทำลาย ทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่กลัว บาปกลัวกรรมกระทำชั่วเป็นอาจิณกรรม กระทั่งถูกอาถรรพณ์ของไสยเวทย์ย้อนกลับมาเข้าตัวเอง
    กลายเป็นปอบไป ในที่สุด

    "ผีปอบ" ยังแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น "ปอบ ธรรมดา" หมายถึง คนที่มีปอบสิงอยู่ในร่าง
    ( คือตนเองเป็นปอบ ) เมื่อคนประเภทนี้ตายไป ปอบที่สิงสู่อยู่ก็จะตายตามไปด้วย
    "ปอบเชื้อ" หมายถึง ครอบครัวใดพ่อแม่เป็นปอบเมื่อพ่อแม่ตายไปลูก หลานก็จะสืบทอดให้เป็นปอบ
    ต่อไป อีกประการหนึ่งเป็นกรรมพันธุ์ไม่ว่า จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม เรียกว่าเป็นปอบต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ
    "ปอบแลกหน้า" หมายถึง ปอบเจ้าเล่ห์ถนัดเอาความผิดไปโยนให้ผู้อื่น กล่าวคือ เวลาไปเข้า สิงใคร
    เมื่อถูกสอบถามว่ามีผู้ใดเลี้ยงหรือบังคับ ปอบ จะไม่บอกความจริงหากไปกล่าวโทษว่าเป็นคนนั้นคนนี้ โดยที่ผู้ถูกระบุชื่อ ไม่รู้เรื่อง รู้ราวอะไรเลย ปอบกักกึก (กึก ภาษาอีสานแปลว่า "ใบ้") หมายถึง ปอบ
    ที่ไม่ยอมพูดอะไรเวลามีคน ถาม จนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมด ผีมาขับไล่ จึงจะยอมเปิดปากพูดว่าตนเป็นปอบของใครมีใครใช้ให้มา เข้าสิง
    ตำนานปอบที2

    ผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิงหรือที่ชาวอีสานเรียกว่า "ปอบเข้า" จะมีอาการแตกต่างกันไปบางคน
    แสดงกิริยาอาการ ดุร้ายบางคนจะนอนซมซึมคล้ายกับป่วยไข้อย่างหนัก บางคนจะร่ำไห้รำพันไปต่างๆ
    นานาแต่ไม่ว่าจะมีทีท่า อาการอย่างไร ผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะเรียกร้องให้นำอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ พวกหมู
    ตับ ไก่ต้มมากิน เหมือน ๆ กับเวลา กินก็แสดงความตะกละมูมมามและกินได้จุผิดปกติเมื่อญาติพี่น้อง
    รู้ว่าคนป่วยถูกปอบเข้าสิง เขาก็จะไปตามหมอผีให้มาไล่ปอบ การไล่ปอบให้ออกจากร่างมีหลายวิธีตาม
    แนวทางที่หมอผีได้ร่ำเรียนมาบางคนจะเอาพริกแห้งมาเผา ให้ควันรม คนป่วยจนสำลักควันน้ำตาไหลพราก

    ครั้นปอบออกจากร่าง แล้วหมอผีจะข่มขู่สอบถามว่าผีปอบเป็นใครมาจากไหน เมื่อปอบรับสารภาพหมอผี
    ก็ จะปล่อยไป คนป่วยได้สติหายเป็นปกตินัยน์ตาที่แดงก่ำเนื่องจากถูกควันพริกเผารม จะหายไปทันทีแต่เจ้าของปอบกลับมี
    อาการนัยน์ตาแดงก่ำด้วย สายเลือดจนต้องหลบหน้าอยู่แต่ในห้องไม่กล้าให้ใครพบหน้า อีกวิธีหนึ่ง คือใช้หวายเฆี่ยนไล่ปอบ
    ซึ่งก็เท่ากับเฆี่ยนคนป่วยนั่นแหละ หากปอบกล้าแข็งหมอผีจะเฆี่ยนหนักๆ กระทั่งเนื้อตัวคนที่ถูกปอบเข้าสิงเขียวช้ำด้วย
    รอยหวาย เมื่อปอบยอมแพ้ออกจากร่างไปรอยหวายก็จะจางหายไปทันที แต่วิธีไล่ปอบแบบนี้เคยเป็นข่าวมาแล้ว

    เนื่องจากผู้ป่วยไม่ได้ถูกปอบเข้าสิง หากป่วยเป็นโรคประสาท ญาติคิดว่าปอบเข้าจึงไปตามหมอผีมาไล่ หมอผี
    จัดการเฆี่ยนคนป่วย ด้วยหวายได้รับบาดเจ็บบอบช้ำจนหลายครั้งหลายหน โดยคิดว่าปอบฮึดสู้ไม่ยอม แพ้ในที่สุด คนป่วยก็
    เสียชีวิต ร้อนถึงตำรวจต้องมาจัดการกับหมอผีและญาติตามกฎหมาย

    อีกวิธีหนึ่ง หมอผีจะนำสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวบางชนิดมาข่มขู่ให้ปอบกลัว เช่น คางคก ตุ๊กแก งู ในกรณีนี้ คนที่
    ถูกปอบเข้าสิงมักเป็นผู้หญิงหรือตัวปอบเป็นหญิง แม้จะเป็นผีปอบ ( เธอ ) ก็ยังขยาดแขยงสัตว์ประเภทนี้และ มักจะยอมออก
    จากร่างที่เข้าสิงง่าย ๆ
    ตำนานที3

    ผีปอบที่แก่กล้าเวลาเข้าสิงใครจะอดอยาก กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้เข้าสิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย
    เมื่อหมอผีดำเนินการไล่ผีปอบจากร่างที่ถูกปอบสิงมีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ จะปรากฎเป็นก้อนกลมอยู่ใต้
    ผิวหนังปูดนูนขึ้นมา เวลาหมอผีจี้ก้อนกลม ๆ นี้ด้วยไพลเสก มันจะเลื่อน

    สำหรับหมอผีรุ่นครูจะจู่โจมเข้ามัดข้อมือ ข้อเท้าและรอบคอ ด้วยด้ายสายสิญจน์เพื่อไม่ให้ปอบหนีออกจากร่าง
    จากนั้นก็จะใช้ไพลเสกจี้ลงไปที่ก้อนกลม ๆ ใต้ผิวหนัง เรียกว่าก้อนกลมนี้หนีไปที่ใดก็จะตามจี้ไม่ยอมปล่อย จากนั้นใช้ไพล
    เสกจี้ทางอีสารเรียกว่า "แทง" ปอบจะเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส (คนที่ถูกปอบสิงจะร้องโอดครวญดังสนั่น)หมอผีจะขู่บังคับ
    ให้บอกว่าเป็นใคร ซึ่งปอบมักจะยอมสารภาพโดยดี หลังจากทรมานปอบให้หวาดกลัวเข็ดหลาบแล้ว หมอผีจึงจะแก้มัดด้วย
    ด้ายสายสิญจน์ปล่อยให้ปอบออกไป

    หมอผีบางรายมีวิธีไล่ปอบชนิดดุเดือด ให้คนเป็นปอบอับอายขายหน้าเป็นที่เปิดเผยแก่สาธารณชนทั่วไป โดย
    หมอผีจะไปหาหม้อดินของแม่ม่ายที่มีเขม่าควันไปจับหนามา แล้วเอาหม้อดินครอบศีรษะคนถูกปอบสิงใช้มีดโกนขูดเขม่าควัน
    ไฟ คล้ายกับโกนผมให้หมดไปครึ่งศีรษะ จากนั้นปล่อยให้ปอบออกจากร่าง วิธีการไล่ปอบแบบนี้จะทำให้ผู้เป็นปอบหรือ
    เลี้ยงผีปอบต้องหลบซ่อนอยู่ในห้อง หรือเวลาออกไปไหนก็ต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะตลอดเวลา เนื่องจากเส้นผมแหว่งหาย
    ไปครึ่งศีรษะ
    ตำนานที4

    เรื่องของปอบนี้จะลงความเห็นว่าเกิดจาก "ความเชื่อ" หรือความงมงายไร้สาระเอาเสียเลยก็
    คงไม่ได้ เพราะเรื่องราวประหลาด ๆ เกี่ยวกับผีปอบยังเคยปรากฎกับพระอริยสงฆ์ เช่น หลวงปู่ดู่พรหม
    ปัญโญ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาแล้ว

    กล่าวคือ มีหมอผีไสยเวท ชาวเวียงจันน์คนหนึ่งมาที่วัดสะแก มานมัสการหลวงปู่ดู่ บอกท่าน
    ว่าตนมีวิชาดีเป็น วิชาบิดไส้ บิดฟัน ต้องการมอบวิชานี้ให้แก่ท่านเป็นการเฉพาะเพราะเห็นว่าไม่มีใคร
    รับถ่ายทอดวิชาเหล่านี้ได้ แล้วก็มอบคัมภีร์โบราณให้ผูกหนึ่ง หลวงปู่ดูดเห็นว่าเป็นวิชาแปลก ก็รับไว้
    โดยเสียค่าครูให้เป็นธรรมเนียม เมื่อได้คัมภีร์นั้นมาแล้ว หลวงปู่ก็ไม่ได้เปิดดูหรือให้ความสนใจเป็นพิเศษ
    ท่านนำไปวางไว้ที่โต๊ะหมู่บูชา และก็ลืม ๆ ไป ส่วนหมอผีไสยเวทชาวลาวยังไม่กลับไปทันที หากนอนพักค้างคืนที่วัดสะแก
    ต่อ 2 - 3 วัน

    คืนนั้น..... หลวงปู่ดู่เกิดฝันประหลาด ฝันว่าท่านออกไปหากินคล้าย ๆ กับเป็นปอบและไปกินควายชาวบ้าน
    ซึ่งอยู่ในตำบลใกล้เคียง เช้าวันรุ่งขึ้นท่านก็ยังไม่ฉุกคิดอะไร กระทั่งล่วงเข้าคืนที่สอง ขณะที่หลวงปู่นอนหลับ ท่านก็ฝัน
    ในลักษณะเดียวกันอีก คือ ออกไปกินไส้ควายของชาวบ้านที่อยู่ในละแวกใกล้ ๆ

    เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ได้มีชาวบ้านมาหาหลวงปู่ดู่ เล่าถวายต่อท่านว่า เมื่อคืนนี้ควายของเขาตาย กะทันหันโดยหา
    สาเหตุไม่พบ อีกทั้งลักษณะการตาย มีสภาพน่ากลัวหลายอย่าง หลวงปู่สอบถามว่าตั้งบ้านเรือน อยู่อาศัยที่ใด
    ชาวบ้านก็กราบเรียนให้ท่านทราบ คราวนี้ หลวงปู่ดู่ถึงกับสะดุ้ง เพราะที่อยู่ของชาวบ้านคนนั้นตรงกันกับบ้านที่ท่านฝัน
    ว่าไปกินไส้ควายมานั่นเอง หลวงปู่ดู่คิดว่า "อ้ายลาวไสยเวทคนนี้เห็นทีจะเอาวิชาชั่วร้ายมามอบให้ท่านเป็น ถึงได้เกิดเหตุการณ์
    ดังกล่าวขึ้น หากท่านเกิดฝันไปกินคนเข้า อาจทำให้ใครต่อใครตายได้และวิชาที่ท่านรับมาเห็นทีจะเป็นวิชาปอบ ดังนั้น
    หลวงปู่ดู่จึงได้นำคัมภีร์ตำรา เอามาเผาไฟ

    ลาวหมอผีรู้ว่าหลวงดู่เผาวิชาตำรามันทิ้ง มันก็แสดงท่าโกรธเคืองไม่ใช่น้อย ตอนจากวัดกลับถิ่นเดิมของมัน
    มันไม่ยอมมาบอกกล่าวกราบลา แม้แต่คำเดียว และนับแต่นั้นก็ไม่หวนหลับมาที่วัดสะแก อีกเลย
    (ผมก๊อปมาในเวป ตำนานผีปอป)
    ทางเหนือก็ปอบ ผีฟ้า หรือปอบเชื้อจ้าว
    อีสานปอบ ของ หรือมนต์ดำ
    เเละก็ปอบเชื้อ จากการถ่ายทอดอีกคนไปสู่อีกคน
    เรื่อราวผีปอบมันมีอีกเยอะ จะลงมาให้อ่านกันอีกนะครับ
     
  4. panaone99

    panaone99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +292
    เพิ่งเข้ามาอ่าน บางเรื่องของอาจารย์อ่านไปหัวเราะไป ข้าน้อยเลื่อมใสภูมิความรู้ของอาจารย์ยิ่งนัก
     
  5. ok_krub

    ok_krub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +103
    ไม่ได้แซวนะ อาจารย์ เป็นพระยายม กลับชาติมาเกิดป่ะนี่ ถึงได้ ถูกโฉลกกะผีๆๆ มากกว่าผู้ได แต่ก็ได้ อรรรถในการเพิ่มความรู้ไปยิ่งๆๆอีก ข้าน้อย คาระวะ 1 จอก (น้ำแดงนะจารย์) อัญเชิญเล่ามาเรื่อยๆๆ จะตามอ่านไม่สิ้นสุดเลย ครับ จารย์ เอิ๊กๆๆ สู้ๆๆ จารย์เมื่อยมือป่ะเด๋วข้าน้อยนวดข้อนิ้วให้ จะได้มีแรงพิมพ์เยอะๆๆ แฟนคลับรออ่านเพรียบ 5555
     
  6. ok_krub

    ok_krub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +103
    ก้อมาเล่า เสริมต่อ จาก อาจารย์ ท่านบ้างอ่ะนะ
    จะว่า ประมาณเดือนที่แล้ว มั๊ง จำไม่ผิด ประมาณ กลางๆๆเดือน ไปทำงานที่ร้านพี่สาว ที่ ตจว.รอบๆๆ กทม. หน่อยๆๆ ก้อพอดีว่า ทำงาน จนดึกๆ ก้อเลย กางมุ้งนอน ยุงโคตรมหาปะลัย รุมสะกัมสุดทน ก้อหลบเข้ามุ้ง ก้อนอนๆๆไป ตาม ความง่วง กำหนดจิตหลับไป เรื่อยๆๆ ซักประมาณ ตีสองกว่าๆๆ เห็นจะได้ เพลานั้นดึกสงัดแต่ รถกะหมาวิ่งรอบไปทั่ว ไม่เงียบเอาเล้ย สิบล้อแต่ละคันสนั่นได้ใจ แต่ก้อ หลับได้ แต่มันก้อไม่อาจจะสะเทือนดวงจิตดวงนึงได้ที่ ย่องมายามวิกาล รอบๆๆร้าน ที่ ผมนอนอยู่ แต่ก็ไม่เข้ามาในร้าน เพียงแต่ หลบๆๆแอบๆๆส่งจิตเข้ามากระทบ เพราะ ก่อน จะรู้สึกตัว ฝันแล้วว่า อะไร หมาดำและหญิงแก่ ปากดำ คือถูกจู่โจมทางความฝันก่อน พอรู้สึกตัวตื่นก้อ กำหนดจิตตรวจรอบร้านดู ....เอ่อไช่จิงๆ แหม คุณบอป ที่ ท่านอาจารย์เล่ามานั้นเอง (เรื่องนะไม่ไช่ตัวน้องป๊อบที่อาจารย์พูดถึง) เอาแล้วสิกรู นอนข้างนอกคนเดียว รอบด้านแม้นจะมีหมาสองตัววิ่งรอบกะรถสิบล้อวิ่งไปมา ก้อไม่อาจจะช่วยไรกรูได้อ่ะ เอ๊าทีนี้ สวดจ้า พุทโธ ๆๆๆ ร่ายไปๆๆๆ ทำไม่สนใจ ชี จะมา ประมาณไหนก้อไม่สนใจ หยุดที่หน้าร้านพอไม่ต้องเข้ามา สวดมนต์อยู่ ไม่ว่างรับแขก เค้าไม่สนหรอกตะเอง มองเข้าไป มองเข้าไป (กรูไม่หล่อถึง ณ เดช หรอก อย่ามองมากซิเฟ้ย ถึงจะเจอบ่อยแต่ก้อไม่ค้นเคยนะ ตะเอง) มาอะไรทำไม ไม่สนใจ พาเพื่อนคุย ดีก่า ชาวโลกทิพย์อยู่ไหน ไปไหนหมดเวลานี้ เจ้าพ่อเจ้าแม่ เทวดาไปไหนหมด ลงมาๆๆๆ เป็นเพื่อนหน่อย เอ่อ.. เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ยิ่งลูกกุมารอย่าไปเรียกมันเชียว มันด่าตายแน่ๆๆ ทีกลัวผีป๊อบล่ะเรียกหนู หนูกลัวเหมือนกันนะ อย่าเรียก ...เออ โดนปล่อยเกาะแระเรา เอ๊า... ไม่รีรอ สัพเพสัตตา เอ่อ ไม่เป็นผล จ้องเข้าไป จ้องเข้าไป ไม่ได้หล่อนะเฟ่ย หยุดอยู่หน้าร้านล่ะ อย่าเข้ามาไกล้ เค้าไม่ได้อาบน้ำนะ ....ไม่เป็นผล ขนเอ้ยขน มรึงจะลุกไปทำไมวะ สงบๆๆหน่อย นานสองนาน เอ๊า ไงก้อไง ถามก้อถามว่า มาจากไหน หยิ่งไม่ตอบ กำหนดจิตถามอีกไม่ตอบ สวยหรือไง ไม่ตอบอีก เอองั้น บาย นอนก่อนนะ ทีนี้ล่ะ ภาพพระยายม เอย พระเอย สว่างได้ใจจิงๆๆ ภาวนาไปเรื่อยๆ คุยกะครูบาอาจารย์ก้อได้วะ เพลิน ไปจนตีสี่ พี่สาวกะแม่ออกมาเตรียมของขาย ค่อยได้นอน อุ๊บ่ะ ป้าเล่นงี้เลย รวมความว่า เป็นปอบ คนลาวปล่อยมา เป็นวันพระพอดี เพราะระยะหลังคนลาวย้ายมาอยู่หอพักแถวนั้น แต่ไม่รู้จากไหน เพราะแต่ก่อนพี่สาวจะ ควักเครื่องในไก่ทิ้ง แบบไม่ได้ทำประโยชน์เล้ย หมาก้อเมิน มันก้อเลยอุดม พอท่านเจ้าแม่บังเกิดเกล้ามาเยี่ยมลูกหลาน โอว นิสัยแม่ค้า มีรึจะปล่อยเครื่องในไก่ทิ้ง จับมาทำห่อหมก เกลี้ยง ทีนี้ ป้าป๊อบเลย โดนเบียดเบียน อดอยากปากแห้งไปอีกวาระ เวงกรรม ข้าน้อยต้องมา โดนมองหน้า โอ้วๆๆ ช้านไม่อร่อยหรอกนะตะเอง ทั้งคืน อ่ะ ไม่ไหวๆๆ เช้ามานอนพอมีแรงแระก้อค่อยเล่า ทีนี้จะมาทำหวั่นกลัวหาประแสงไรล่ะมะคืนกรูโดนจ้องมาทั้งคืน ไม่หนุกเลย พี่สาวโดนสวดไปตามระเบียบ ดีนะไม่หล่อ ป้าป๊อบเลยไม่ติดใจ วันหลังก้อเลยไม่เจออีก หรือเราไม่ไปนอนที่นั้นก้อไม่รู้ 55555 จะขำหรือจะกลัวมะรู้ดิ อารมมันจะอยากเล่าแบบนี้อ่ะ หรือไม่รู้เรื่องอ่ะนะ ขออภัยเด้อคับ
     
  7. ok_krub

    ok_krub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +103
    เล่ามาแล้วก้อเล่าอีก ขำๆ ต่อเรื่องผีพราย น้ำ
    จากที่ ไปช่วยน้องเพื่อนทำบ่อปลา ก้อแวะไป เที่ยวบ้างเยี่ยมบ้าง บางทีก้อมีจัดงานที่นั่นบ้าง แถวๆๆโน้นเลย สมุทรสาคร ก้อไปดูแต่ แรกๆๆที่ได้ที่มา ตั้งสงตั้งศาลเรียบร้อย แต่ ยกเว้นที่นึง ท่าน้ำ อันนี้ไม่วุ่นวายด้วย เค้าพลันไปสร้างกระต๊อปไว้ สวยสุดในที่ เยย ใครก้ออยากไปนอน แต่ ข้าน้อย ขอไม่ไปจ๊ะ ขอไปนอนบนเรือนใหญ่ดีก่า เพื่อนก้อมองหน้า มีไรป่าววะ ไม่รู้จ่ะแต่ไม่ไป มีไรป่ะ เอิ๊กๆๆๆๆๆๆ อ้าว ทีนี้ ใครจะไปล่ะ ไม่รู้ ใครอยากนอนก้อไปนอนเองนะ ข้าน้อยขอไปนอนทรมานตรงโน้นดีก่า เอิ๊กๆๆๆๆๆๆๆ เรื่องของเรื่อง เรือนริมน้ำหลังนั้น ปลูกขึ้นไกล้ กะ วังน้ำวน พอดี มีพลายน้ำสาว อยู่ ตรงนั้น เรื่องไรจะไปนอนให้เธอมาทักทายเล่นล่ะ เอิ๊กๆๆ เธอก้อยิ้มสวยไปวันๆๆของเธอต่อไปนะจ๊ะแม่สาวงาม ข้าพเจ้าขอบาย ไม่ไปนอน หรอก เอิ๊กๆๆ น้ำนิ่งๆๆแต่ ใต้ลำน้ำนั่นจะมี พลายน้ำอยู่ เราก็ได้แต่แผ่เมตตาให้ไป พอได้สงเคราะห์กันไป ส่วนคนไหนไปนอนแล้วเป็นไง นี่ไม่เคยถามอ่ะ อิอิอิ
     
  8. ok_krub

    ok_krub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +103
    เอ๊า ล่าสุด เมื่อซัก 15 ก.พ.56 นี่ล่ะกัน

    มีภาระกิจต้องไป สุโขทัยแบบด่วนๆ จ้า ไปทั้งคืน กะว่าไปให้ถึง ที่หมาย คืนนั้น เลย จะได้ ทัน ไปนอนที่หมาย กัน บนรถ ที่นั้นคือ วัด และก้อคือวัดนั่นเอง แต่สภาพสวยงามดี ไม่น่ากลัวด้วยซ้ำไป แถมมีพระโบราณมากมาย น่ากราบไหว้ มีพระน่าจะอุ่นใจเนอะ .....แต่ไม่ไช่..... พระท่านก้ออยู่ส่วนพระ ผีไม่ไช่พระ พระไม่ไช่ผี....เอิ๊กๆๆ มันคนละอย่างกัน ....พอได้เวลา ไปถึง ที่วัด ที่จ.สุโขทัย เส้นทางผ่านเมืองโบราณมากมาย เพลานั้น ตี1ครึ่งเห็นจะได้ ถึงแระจอดนอนกัน หน้าวัดนี่ล่ะ พี่ๆๆ ได้ทีก้อนอน แต่ไอ้ก่อนจะหลับตาลงกำหนดจิตหลับภาวนาลง เอ่อ สังหรณ์ใจ ลึกๆๆไม่ดีว่ะ เหมือนจะโดน เออๆๆ นอนไป พุทโธๆๆ ไป เรื่อยๆๆ อุบ่ะ หลับไม่ทันไร ราวๆตี สองก่าๆๆ ได้ เออนี่ มาในฝันเป็นฉากๆๆตอนๆๆ แหมกำกับเอง โปรดิวเซอร์เองซะงั้น วิญญาณเด็ก ป.3-ป.6 เห็นจะได้ มากมาย 20-30 คนเห็นจะได้ มากมายกรูเข้ามาขอส่วนบุญกัน ไม่หวาดไม่ไหว ดิ้นล่ะสิคับทีนี้ จิงๆๆรู้ตัวก่อนแระ มันกึ่งหลับกึ่งตื่น เพราะจิตไม่ได้ละจาก สิ่งนั้น (ขณะนั้นเองพี่ๆๆ นั่งมองจ้องดูเราดิ้นไปมา ไอ้ทางนั้น นึกในใจเอาแล้วเฟ่ย เจอแล้ว เตรียม ไส่เกียร์หมาวิ่งเร็วสุด รอคำสั่ง จากเราทุกเมื่อ) ....และแล้วเราก้อลืมตา พร้อมกับ ป่ะไปนอนที่อื่นที่นี่นอนไม่ได้ ไปนอนเซเว่นเลยนะ เปิด 24 ชม. ไม่ได้ปิดเหมือนวัดที่นี่ พระท่านนอน รอบนอกคือยามเฝ้าหน้าวัด ที่ไม่มีเงินเดือนได้แต่ส่วนบุญเท่านั้น เอิ๊กๆๆ....หลวงพ่อท่านมิได้สงสารลูกหลานเยยน้อ อุตส่าห์เลือกที่ดีสุดแระนะ หอมดอกสะเดา มีศาลาพระอุ่นใจ ไฟฟ้าสว่าง กะนอนแค่รุ่งสาง .....แต่เราก้อจากไป ตรงจุดนั้น มุ่งหน้าหาที่นอนใหม่ ไปเยยพี่ ปวดฉี่ ตลาดสดครับท่าน มันตีสามก่าแระนี่ ไปนอนแม่งตลาดสดเลย จดรถนอนตลาดสด หน้าเซเว่น กันเลย สะใจนัก มาเยย ก่อนนอน อาราธนาพระ ภูมิเจ้าที่ แถวนั้น เมตตาลูกหลานด้วยนะ มาไกล มาทำคุณเพื่อพระศาสนา แผ่นดินเกิด คุ้มครองขอหลับนอนแป๊บนะเจ้าค๊า...ง่วงจุงเบย หลับต่อ เออ นอนได้แฮ่ะ เค้าคงนึกว่า มาส่งไข่มั๊ง เอิ๊กๆๆไข่เต็มรถ เช้ามา ค่อยเล่าให้พี่ๆๆฟัง อิอิอิ ไอ้พี่ๆๆก้อว่า อยู้ เห็นดิ้นหลายทีแระ ก้อเตรียมไส่เกียร์หมา วิ่งเร็วสุดเหมือนกัน ดูท่าจะเจอเพื่อนๆๆอีกมิติยามวิกาลแระนั่น แต่มิวาย ย้อนกลับมานอนรอหน้าวัดอีกรอบ ทีนี้ไปอีกด้านครับท่านไม่เอาแระด้านนี้ โดนกวน ไม่หยุดเฟ่ย ตามอีก ไม่สน ก่อนนอน ตีห้าว่ะ เด๋วแจ้งสว่างแระ เปิดทอสับบทสวดมนต์นอนเฉย ช้านจะนอน (ใจหวั่นๆๆกลัวมาบีบคออีก) ทีนี้หลับสบาย พร้อมบทสวด จนหลวงพี่มาเปิดประตูวัดเอ่อโล่งไป รอดๆๆ สาธุ คุณพระคุณเจ้าคุ้มกะลาหัวจิงๆๆ เอิ๊กๆๆๆ....เคยดูเด็กหอป่ะ เออแบบนั้นล่ะ โหย เล่นมายกแก๊งอ่ะ ใครจะอยู่อ่ะ เปิดแนบเยยจิ หลวงพ่อเจ้าขา ลูกช้างมาไกลก้อขอไปไกลก่อนะเจ้าค๊า ไม่ไหว ไป 7-11 ก่องเด้อ เด๋วมา คริๆๆ (ไปนอน) พอมีแรงค่อยกลับมา เฝ้าหน้าวัดใหม่ อิอิอิอิ
     
  9. กุมารกัณฑ์

    กุมารกัณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +112
    ขออนุโมทนากับ อาจารย์ ทอง ด้วยครับ
    กระผมก็อ่านอะไรมาเยอะแยะ และผมก็ยังอายุไม่เยอะ
    ไม่รู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ อายุ 18 ครับ
    แต่พบอ่านที่อาจารย์ทองพิมพ์มาทั้งหมด ผมรู้สึก ปิติ และชื่นชมในความเป็นตัวตนของ
    อาจารย์ทองอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เลยครับ ผมหวังว่า ถ้าโตไปผมจะต้อง
    มั่นสร้างกุศล และจะท่องเที่ยวคล้ายๆกับอาจารย์ ทองให้ได้ แต่ถ้าผมไม่ละทางโลกก่อนนะ เพราะผมเคยให้ คำกับตนเองไว้ว่า ถ้าหมดทางโลกจริงๆ ผมจะบวชตลอดชีวิต
    ถ้าเป็นไปตามที่กำหนดมาจากกรรมของผม เพราะเมื่อก่อนผมเป็นคนที่แย่มากกก
    ตอนนี้ผมศึกษาเรื่องนี้ จนผมมาอ่านของอาจารย์ ทอง ผมรุ้สึก รับรู้อะไรได้อีกมากมาย
    ขอฝากตัวด้วยครับ
     
  10. kitkun

    kitkun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +579
    เพิ่งได้อ่าน..ดีมากๆเลยค่ะ อนุโมทนาในธรรมด้วยค่ะ
    ขอโทษนะค๊ะ เห็นพูดถึงพัทลุง..เป็นคนจ.พัทลุงหรือเปล่าค๊ะ? ดิฉันเป็นคนพัทลุงค่ะ อายุก็เท่ากันกับท่านจขกท.ไม่ทราบว่า..เราจะเป็นเพื่อนหรือรู้จักกันหรือเปล่า หากไม่ใช่ก็ขออภัยด้วยค่ะ
    ถึงไม่ใช่ก็จะติดตามอ่านต่อไปค่ะ อนุโมทนาในธรรมอีกครั้งค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2013
  11. ไร้หนทาง

    ไร้หนทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    376
    ค่าพลัง:
    +2,274
    ขออภัยนะครับ พอดีผมกลับมาเอาของ เลยมาเปิดดูคอมนิดหน่อย เดียวจะมาต่อเรื่องผีให้ฟังอีกนะครับ
    ตอนนี้ผมพาพระอาจารย์ท่านไป ภูด่าง(ฝั่งลาวก่อน 1เดือน) ภุเขาฝั่งลาว ภูกี่ ภูมดง่าม
    เเละก้เลยไปภูใหญ่ (ภู คือคำเรียกของอีสาน ภูเขานะครับ) อาจจะหายไปพักละดียวมาครับผม
     
  12. ดอกข้าว

    ดอกข้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +1,462
    เบื่อเรื่องผีแระค่ะ กลับมาเล่าเรื่องปฏิหาริย์ เรื่องแปลกๆ บ้างนะคะ ไม่เอาเรื่องผีพราย ผีฯลฯ นะคะ เบื่อค่ะ
     
  13. ไร้หนทาง

    ไร้หนทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    376
    ค่าพลัง:
    +2,274
    ครับผม กลับมาเเล้วครับผมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    เรื่องเรื่องปฏิหาริย์ มันก็มีเเปลกเยอะครับมากเลยละ เเต่ผมมักจะไม่ค่อยได้เจอเท่านั้นเอง ส่วนอาศัยหลักธรรมมะเข้าช่วย เเบบว่าตายเป็นตาย ไม่ตายก้อยู่อะครับ
    ส่วนอิทธิฤทธิ์ มีเยอะครับจากครู บาอาจารย์หลายๆๆท่านด้วยกันมีเยอะเช่น เข้าเมืองลับเเล ฉันข้าวแบบไม่ต้องบิณบาตร ตั้งบาตรไว้ข้าวมาเอง
    เเต่มันเป็นความลับของพระป่าครับ ผมก้เลยไม่สามารถเล่าได้ สัญญาญ กันไว้เเล้ว
    ไม่อยากให้ท่าน ลำบากใจ ก็คงจะพอทราบกันนะครับว่า พระป่า ครูบาอาจารย์ทีอยู่อาศับในป่า ท่านจะไม่มายุ่งทางโลกมันยังมีอยู่เยอะทีเดียว ในสมัยนี้ เล่าไปก็เหมือนโกหกไป ไม่สามารถ บอกได้ ปัจจัตตังอย่างเดียว
    ปกติ เท่าทีผม โพส ไปหลายๆๆข้อความ ผมก็ อาจจะมีหลายๆๆท่านว่า โม้ โกหก
    โอ้อวด เเต่ผมไม่ถือ สาเอาความอยู่เเล้ว ผมมันก็เเค่คนป่า ติดตามครูบาอาจารย์เข้าป่าใหญ่ ภูเขาลึกๆๆ ตามวิสัยคนบ้าเเค่นั้นเอง เอิกๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ครับเดียวจะเล่าให้ฟังก้เเล้วกัน มีเยอะพอจะ โม้ได้บางละ เอิกๆๆๆๆ
    อย่าโมโห กันละ สนุกไว้ จิตเเจ่มใจใจเบิกบานกันนะครับ
    เมื่อเรามาจากไหนก็ตาม สุดท้ายก็กลับเข้าสู่ธุรี่ดิน อย่าได้เบียดเบียนกันเเละกัน
    มองโลกเเง่ของความดี เเม้คนข้างๆๆจะมีความชั่วอยู่บ้าง ตามวิสัยของคนธรรมดา
    เมื่อนั้น เราก็จะเห็นความดี กันเเละกัน (ไม่ใช่คอยจับผิดกันอย่างเดียวจนลืมว่าตัวเองก้ดีเเล้วหรือยัง ) ครับขอให้ทุกท่านทีได้อ่านข้อความของผม สมความตั้งใจในพระธรรม เเละบารมียิ่งๆๆขึ้นไป ความสุข ไม่ได้อยู่ทีมีเงินตราอย่างเดียว เเต่ขอให้ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียนทุกท่าน เเค่นี้ก้ดีประเสริฐเเล้วละครับ
    สวัดดีครับ
    เดียวผมไปติดต่อขอรูปคณะการเดินทางของผมก่อน ผมลืมเอากล่องไปครับ เเย่เลยละ
    ว่าจะถ่ายวิวทางลาวมาให้ชมเสียหน่อยอดเลย
     
  14. ใส้เดือน

    ใส้เดือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +2,085
    สวัสดีครับ ติดตามหลายวันครับ ได้ของดีมาก็แจกบ้างนะครับ รอแจกอยู่ครับผม
     
  15. ไร้หนทาง

    ไร้หนทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    376
    ค่าพลัง:
    +2,274
    ผมมีเรื่องเล่าให้ฟังครับ วิ่งหนีช้างละครับ เอิกๆๆๆๆๆๆ
    คณะของผมอีกกลุ่มไปทำอีท่าไหนไม่รู้หนีช้างกันเตลิดเปิดโปงเลยละครับ กลับฝั่งไทยไปเลยละครับ
    กลับมาเจอกันอีกทีเขาถึงเล่าให้ฟังเเบบอายๆๆเลยละ เอิกๆๆๆๆ
    เดินป่าดีๆๆๆไม่เจอช้าง ก็บอกว่าอยากจะเจอช้าง พอเจอช้าง ก้บอกว่าไม่อยากเจอช้าง
    โดนสิครับ ปากไม่ดี เอิกๆๆๆๆๆๆ
    เเต่ก็มีหลายๆๆๆท่านได้เจอพรายดวงใหญ่ลอยผ่านต่อหน้าต่อตากันเลย
    เเต่ผมชอบอยู่ทีหนึ่งไปเจอช้าง ครุบาอาจารย์ฝั่งลาวบอกกับช้างว่า
    พี่ชายๆๆ น้องขอเดินผ่านไปหน่อย อย่ายืนขว้างทางกันเลย จะเดินไปซ๊ายขวาก็มีเเต่เหว ช้างหลบให้เลย สุดยอดครับ อัศจรรย์ครับผม ปราฏิหารบังเกิดเเล้ว ลอดไป
    เอิกๆๆๆๆๆ
    เดียวผมจะกลับมาเล่าต่อนะครับ
     
  16. ไร้หนทาง

    ไร้หนทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    376
    ค่าพลัง:
    +2,274
    มีครับเยอะด้วย

    อุจาระช้างครับผม เอาไหมครับ ผมเกบมาเต็มถุงเลย เอามาต้มกินเเก้เบาหวานไงครับ เอิกๆๆๆ เดียวจะส่งเหล็ก งามไปให้รอรับนะครับผม
    จะงามกว่าเหล้กเกาะล้านอีกด้วนนะครับ พระฝั่งลาวท่านให้มาเเค่5องค์ครับ
    รอรับละกันครับคุณใส้เดือน
    เเม้ๆๆๆๆน่าเอามาปิ้งเนอะคุณใส้เดือน ทอดกรอบคงจะอร่อย เอิกๆๆๆล้อเล่นนะครับผม
     
  17. ใส้เดือน

    ใส้เดือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +2,085
    สุดยอดเลยครับคุณพี่ เมื่อคืนรู้สึกร้อนๆ ตัว มีคนอยากลวกนี่เอง
    คือมีความเชื่ออยู่ว่า ขี้ช้างตากแห้ง กันยุงดีนักแล ชนเผาอินเดียแดงเขาใช้กัน
    ภาพยนต์เรื่องนิเชาว์ก็มีตอนหนึ่งครับทีนำขี้ช้าแห้งไปไว้ที่ซุ้มนอนน่าจะเป็นภาคแรกครับ
    หากนำมาเยอะกระผมขอแบ่งบุญมาลองไล่ยุงดูจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับพี่ จะได้รู้ความจริงในความเชื่อนี้
    พอดีผมขึ้นภูเขาเก็บผักหวานป่า ในใจลองนึกขออะไรเจ้าที่สักอย่างที่เป็นศิริมงคล
    เดินไปเดินมาหินที่ไม่น่ากลิ้งก็กลิ้งลงไปราว 20 เมตร ภูเขาลูกนี้สูงและชันมากครับ ชาวบ้านถือว่าเป็นที่อยู่ของเมืองบังบด ผมเลยคิดในใจว่า หรือท่านจะให้ตามลงไปเอาหิน
    ก่อนเดินกลับบ้าน นั่งลงที่ก้อนหิน ทันใดนั้นหินข้างหน้ามีประกายระยิบระยับ
    โอ้?ใช่เลย ต้องเป็นหินชิ้นนี้แน่ ผมขอแล้วเอาลงมา ชาวบ้านเห็นเข้าเลยขอ ทำไงได้มีคนขอก็ต้องแจก เหลือไว้ก้อนเดียว
    ไม่รู้ว่าเป็นหินอะไร เดียวขึ้นเขาอีกทีจะส่งให้ท่านพี่นะครับ หากเจ้าที่ให้อีกรอบ รับรองเป็นรองเพชรนิดเดียว
     
  18. ใส้เดือน

    ใส้เดือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +2,085
    เดียวจะรอรับครับผม คุณพี่จัดให้มีแต่สวยๆ ยอมรับๆ ครับ
     
  19. sazukia007

    sazukia007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +710
    ปากพาซวยจัง 555+

    ว่าแต่ไปลาว อยากฟังเรื่องนาคจังอาจารย์
     
  20. ดอกข้าว

    ดอกข้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +1,462
    มารอด้วยคนค่ะ ทั่น หมดลูกชิ้นไปหลายไม้แระค่าาา
     

แชร์หน้านี้

Loading...