เมื่อตายแล้ววิญญาณ ต้องไปรับกรรมต่อไหม?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Pra_THoNG, 19 กรกฎาคม 2012.

  1. Pra_THoNG

    Pra_THoNG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +739
    คือ ผมสงสัยครับ

    อย่างในรายการ คนอวดผีจะบอกว่า มีวิญญาณ อยู่ที่นี่มาหลาย ปี เป็นสิบๆปี อย่างเช่น วิญญาณ คุณยาย ในช่วงศูนย์บรรเทาทุกข์ผี หรือ วิญญาณตามบ้านร้าง
    ความจริงก็น่าจะหมดอายุไขของเขาแล้ว ทำไมเขาจึงอยู่ได้


    แล้วววว ทำไม นายนริยบาล ไม่มารับวิญญาณ พวกนี้ไปให้พระยายมราช ตัดสิน เพื่อไปรับกรรมหรือเสวยบุญกุศลครับ

    ...........คือผมแค่สงสัยอ่ะครับ รบกวนผู้รู้ตอบที
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    อืมกรณีที่สงสัยมี 2 กรณีครับ..
    1.กรณีที่ตายตามอายุไข คือร่างกายเสื่อมไปโดยธรรมชาติ แล้วช่วงที่เสียชีวิต ญาติๆ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ แต่วิญญานดวงนั้นยังมีจิตผูกพันธ์กับที่พักหรือยังห่วงลูกหลานอยู่ บวกกับอานิสงค์ของบุญที่ญาติทำให้เลยทำให้เป็น วิญญาณบรรพบรุษ หรือ คล้ายเจ้าที่นั่นหละครับท่านยังมีอานิสงค์ส่วนนี้อยู่ คือท่านจะอยู่แบบสบายๆหน่อยไม่เดือดร้อนเหมือนสัมพะเวสีทั่วๆไป...ไว้หมดอานิสงค์หรือท่านตัดเรื่องความผูกพันธ์ กับลูกหรือหลานได้เมื่อไร ตอนนั้นค่อยมาดูอีกทีว่า วิญญานดวงนั้นวางใจเป็นกลางหรือเปล่า และมีผลบุญจากลูกหรือหลานอีกหรือไม่ค่อยลุ้นต่อไปว่า จะเปลี่ยนภพภูมิขี้นหรือลง..ซึ่งระยะเวลาตรงจุดนี้อยากที่จะกำหนดได้...​

    2.กรณีที่ตายก่อนสิ้นอายุไข หรือ การที่มีเหตุให้วิญญานออกจากร่างก่อนที่ร่างกายจริงๆจะเสื่อมสลาย..กรณีนี้ญาติๆทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ แต่ดวงวิญญานจะยังไม่ได้รับเต็มที่เพราะจะมีผลของกรรมที่ทำให้วิญญานออกจากร่างคอยปิดบังไว้อยู่..และส่วนมากพอเวลาผ่านไปนานๆจนอายุที่ร่างกายบนโลกเสื่อมสลายหมดลง..แต่ญาติๆเข้าใจว่าเคยทำบุญให้แล้วเลยไม่ได้ทำบุญให้อีก..จุดนี้จะกลายเป็นสัมพะเวสี..ต้องรอจนกว่าจะมีกระแสบุญจากการอุทิศส่วนกุศลให้..ส่วนมากๆญาติที่เคยทำบุญให้ก็ได้จากโลกไปแล้ว.มักจะไม่มีใครทำบุญให้..เลยต้องลุ้นว่าจะเจอใครที่พอจะเข้าใจและอุทิศส่วนกุศลให้..แต่ถ้าบังเอิญจังหวะที่อายุร่างกายเสื่อมสลายหมดไป แต่วิญญานยังมีจิตอาฆาตหรือพยาบาทอยู่ ก็จะได้ลงไปสู่ภพภูมิข้างล่างทันที​

    3.ส่วนกรณีตายตามอายุไขทั่วไป..ไม่ต้องห่วงครับ..ไปตามผลกรรมหรือบุญที่ทำไว้แน่นอนครับ..​
     
  3. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ตายแล้ว เพราะยังเหลือ จึงยังมีผลของกรรม
    มันไม่เหลือ แต่มันไม่สูญหายไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2012
  4. Pra_THoNG

    Pra_THoNG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +739
    ขอบคุณมาก สำหรับ ความรู้ครับ จากทุกท่าน
    ผมจะ หมั่นทำ เจริญ สติภาวนา ผมขอตุนบุญของผมดีกว่า เพราะตายไปจะมีใครมาทำให้ป่าวไม่รู้..........^^
     
  5. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ตามหลักที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนไว้ว่า
    เมื่อสัตว์โลกตายลงหรือเรียกจุติเมื่อยังมีกิเลสยังหลงเหลืออยู่ย่อมเกิดอีก
    ดังที่ว่าจุติต้องปฏิสนธิทันทีโดยไม่มีระหว่างคั้น หมายถึงว่าตายแล้วต้องเกิดทันที(ยกเว้นพระอรหันต์)
    จะไม่มีวิญญานล่องลอยแสวงหาที่เกิดอีกดังที่เข้าใจกัน และคำว่าวิญญาณก็คือจิต
    และคำว่าผีนั้นก็เป็นภพภูมิหนึ่งที่เป็นเทวดาชั้นจาตุมฯ เปรต อสุรกาย ซึ่งเป็นภพภูมิที่ผุดเกิดขึ้นได้ทันที
    โดยมิต้องอาศัยครรภ์มารดา ภพภูมิเหล่านี้อยู่ใกล้กับมนุษย์มาก อย่างเช่นสัตว์เดรัจฉานทั่วๆไป
    แต่เรามองเห็นสัตว์เดรัจฉานได้เขามีร่างกายหยาบ แต่ภพภูมิของ เปรต อสุรกาย เทวดา นั้น
    เขามี่ร่างกายที่ละเอียดไม่สามารถมองได้ด้วยตาเนื้อ อายุขัยของพวกเหล่านี้เขามีอายุขัยานกว่าเรามาก
    เช่นเทวดาชั้นจาตุมฯ มีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ เทียบกับอายุของมนุษย์เท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์
    และเทวดาชั้นจาตุมฯนั้นยังแบ่งได้อีก ๓ ประเภท
    ๑. ภุมมัฏฐเทวดา เทวดาที่อยู่บนพื้นดิน เช่นภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร บ้านเจดีย์ ศาลา ซุ้มประตู จอมปลวก เป็นต้น
    ๒. รุกขเทวดา เทวดาที่อยู่บนต้นไม้ บางพวกไม่มีวิมานอาศัยอยู่บนต้นไม้ กิ่งไม้ หรือในเนื้อไม้
    ๓. อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่อยู่ในอากาศ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว เป็นต้นที่เป็นวิมาน
    หรือแม้ว่าเปรตก็ยังแบ่งประเภทได้ถึง ๑๒ จำพวกหรือ ๒๑ จำพวก แต่พวกใหญ่ๆมี ๔ พวก แต่จะไม่อธิบาย
    และอสุรกายก็ยังแบ่งเป็นพวกเทวดา พวกเปรต พวกสัตว์นรก
    หาอ่านได้ในหนังสือวีถิมุตตสังคหะ
    นายนิรยบาล พวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกันเพราะเขาอาศัยกรรมของเขาที่ทำไว้เป็นที่ไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กรกฎาคม 2012
  6. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    กรณีนี้ ด้วยเมื่อครั้งเป็นมนุษย์มีชีวิตดำรงอยู่ การสร้างบาบกรรมและการสร้างกุศลความดีมีกำลังพอประมาณใกล้เคียงกัน ท่านนิริยบาลมารับจิตคุณยายไปแล้ว และท่านยมบาลพร้อมด้วยท่านยมราชพิจารณาดูแล้ว ด้วยบุญกุศลที่สั่งสมมาไม่มากนักแต่ก็ทำบุญและอยู่ในศีลธรรมดีพอประมาณ
    จึงพิจารณาว่าไม่ต้องไปอยู่ในนรก และด้วยยังพอมีบุญเก่าจึงให้เคลื่อนจิตไปสุ่อัตภาพ ในชั้นจาตุมหาราชิกา จงไปเลือกอยู่ยังสถานที่อันเหมาะแก่เธอ[ยาย]
    เมื่อเป็นเช่นนัี้ยายของเธอจึงเคลื่อยอัตภาพนั้น มาดำรงสภาพจิตอยู่ในเคหะสถานเดิมที่เคยอาศัยอยู่ ด้วยเหตุดังนี้คือ
    1ด้วยมีความรักและผูกพันในเคหะที่ตนเคยอาศัยอยู่ อันเป็นสถานที่อันคุ้นเคยอยู่แล้ว
    2ด้วยกุศลเดิมที่เคยอุทิศและแผ่กุศลให้เจ้าที่สิ่งศักดิ์ที่รักษาเคหะแห่งนั้นซึ่งเขาอนุญาตุให้อยู่ร่วมในเคหะแห่งนี้ได้
    3ด้วยกุศลเก่ายังคงมีอยู่ส่งผลให้คุณยายมีสภาพจิตที่บริบุรณ์เหมือนคนปกติธรรมดา ไม่ต้องทรมานกับการเป็นอยู่หรือการอดอยากมากนัก
    4ด้วยเหตุว่าการดำรงอยู่ในเคหะดังกล่าวอันด้วยความผูกพันธ์เสน่หา ยังให้ใกล้ชิดบุตรหลานและจะได้ดูแลช่วยเหลือส่งเสริมต่อไป
    แต่สิ่งหนึ่งเมื่อเนิ่นนานไปบุญกุศลเก่าให้ผลลดน้อยลง ตามกำลังบุญที่เสื่อมถอยลง
    ก็ต้องอาศัยบุญกุศลที่ผู้อื่นอุทิศให้ด้วยจึงไม่ทุขเวทนามากนัก

    อย่าสงสัยเลยว่าเหตุใดคำตอบเราจึงแปลกแตกต่างกับความเห็นอื่นอย่างเกือบสิ้นเชิง ก็ด้วยเหตุแห่งการดับจิตและเหตุแห่งการสั่งสมบุญและบาบเป็นปัจจัยเกื้อหนุน จึงยากนักหยั่งถึงการจากไปว่าเขาเหล่านั้น จากไปแล้วเขาจะเคลื่อนจิตไปสู่อัตภาพใด สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2012
  7. sawok B

    sawok B เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +230
    ผิดจากพระพุทธเจ้าแล้วครับ
    วิญญาณคืออะไรครับ วิญาญาณคืออารมณ์ที่อยู่ในขันธ์ห้าครับ แล้วตัวที่เวียนว่ายตายเกิดคืออะไร ก็คือสัตว์ ผู้มีอวิชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผู้ แล่นไปอยู่ ท่องเที่ยวไปอยู่ ในสงสารวัฏ หรือย่อๆ คือ สัตว์ตานัง ครับ คือตัวที่เวียนว่ายตายเกิดครับ
    ในพุทธกาลมีคนที่เขาใจผิดเกี่ยวกับวิญญาณเหมือนกันครับ
    เช่น เรื่องสาติ เกวัฏบุตร ภิกษุ ได้กล่าวว่า วิญญาณเป็นผู้เวียนว่ายตายเกิด เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งได้ยิน สาติ พูด ภิกษุรูปน้นก็ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงเรียกสาติ ภิกษุ มาสอบถามว่า ภ.สาติ จริงหรือ ที่เธอกล่าวว่า วิญญาณนี่นี้แหละ ย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป หาใช่สิ่งอื่นไม่ ดังนี้.
    สา. จริงพระเจ้าข้า .
    ภ.เธอไปเอามาจากใหนเราไม่เคยกล่าวว่าวิญญาณเป็นปริยาย เรากล่าววิญญาณว่า เป็นอารมณ์รับรู้ในขันธ์ทั้งสี่ ดังนี้.
    ดูก่อนโมฆะบุรุษ(บุรุษว่างเปล่าจากความดี) เราไม่เคยกล่าวว่าวิญญาณเป็นผู้แล่น ไป เที่ยวไป รับผลของกรรมนั้นๆ
    ดูก่อนโมฆะบุรุต เธอกล่าวว่าจาเช่นนี้ ก็เหมือนกล่าวตู่เราเพราะคำที่ไม่จริง ถือเอาผิดด้วย เธอจะประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก และจะเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจะสำคัญความข้อนี้เป็นอย่างไร ว่า ภิกษุสาติ เกวัฏบุตร ผู้นี ถือว่าจะพอนับว่าเป็นสงฆ์ในธรรมวินัยนี้(จะไล่สาติภิกษุออกจากพระสงฆ์เลยน่ะ) ได้บ้างไหม
    ภิกษุตอบ หามิได้เลยพระเจ้าข้า
    จากนั้นสาติ ภิกษุจึงก้มหน้าลง ทำเงียบๆ
    เห็นไหม วิญาญาณไมไ่ด้เวียนว่ายตายเกิด เพราะเป็นเพียงธาตุในร่างกายเราเท่านั้น แล้วมันจะเกิดดับตลอดเวลา เช่น เมื่อคุณคิดเรื่องหนึ่ง วิญญาณ(อารามณ์รับรู้)ก็จะเกิด พอเราไม่คิดเรื่องนี้แล้ว วิญญาณก็จะดับไป พอคิดเรื่องใหม่ วิญญาณก็จะเกิด เพื่อรับรู้ใน ขันทั้งสี่ วิญญาณมันเกิดดับตลอดแหละน่ะ ชาวพุทธควรเข้าใจเสียใหม่น่ะว่า วิญาญาณคืออะไร ตัวที่รับกรรมในภพต่างๆคืออะไร
     
  8. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,117
    ค่าพลัง:
    +2,136
    ถ้าจะว่ากันตามปริยัติจริงๆ ก็ต้องเป็นเช่นนี้
    แต่ถ้าจะว่ากันตามปริยัติจริงๆ แล้วไม่สามารถสอนธรรมะให้คนเข้าใจได้ จะมีประโยชน์ได้อย่างไร?
     
  9. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ถูกต้องแล้วครับ เรื่องคำอธิบายเรื่องวิญญาณ แต่คนไทยเรา มักติดปากและเรียกๆสั้นๆว่า วิญญาณ ที่จริงก็หมายถึงจิต ของผู้ตายนั่นเอง บางทีคนไทยเราก็จะเรียกว่าจิตวิญญาณ
    เพราะคนที่มีกิเลส ก็จะมีวิญญาณขันธ์ยังเกาะตามจิตเป็นสัญญาขันธ์ ตามไปก็มี

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านกล่าวว่า อัน อาทิสมานกาย กายละเอียด กายทิพย์ก็ดี นี่มีความละเอียดต่างกันนะ ขึ้นอยู่ว่า มีกิเลสที่เกาะอยู่มากน้อยไม่เท่ากัน ก็เลยทำให้นึกถึงวิญญาณขันธ์ที่เกาะอยู่กับจิตขึ้นมาได้ ว่าเป็นวิญญาณขันธ์แบบไหน แบบบุญหรือบาบ มากน้อยแล้วแต่นะ
    ก็ลองพิจารณาดูเองนะครับ
     
  10. MaximusDeximus

    MaximusDeximus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +117
    1.รายการ คนอวดผี เป็นรายการเมคทั้งหมดครับ ส่วนผู้มีพลังพิเศษ 2 ท่านนั่นละไว้ในฐานที่เข้าใจ

    2. “จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา
    เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป

    จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา
    เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นที่ไป”

    ตายแล้วเกิดทันทีตามกรรมที่ทำไว้ โดยที่สภาพจิตใจ ขณะตาย เป็นตัวกำหนดภพภูมิที่จะได้ไปเกิดต่อดังพุทธพจน์ [ยกเว้น อนันตริยกรรม]

    เช่น เป็นโจรฆ่าคนมาตลอด ก่อนตายลูกชายบวชเกิดความปลื้มปิติมากก็อาจได้ไปสวรรค์ก่อน หรือ ทำบุญมาตลอดแต่ก่อนตายกำลังโมโหสามีก็อาจไปทุกขติได้

    แต่...
    ปกติคนที่ทำความเลวมาทั้งชีวิต พอจะตายจริงๆจะกลัวมาก เพราะทุกคนเสี้้ยววินาทีก่อนตายจะเห็นภาพทุกกรรมที่ตนได้ทำตั้งแต่เกิดจนตาย เห็นแต่ภาพฆ่าคน ฆ่าหมุ ฆ่าไก่ ใจก็หมอง นรกก็รอ

    กลับกัน..
    ผู้ที่ทำบูญมาตลอด มีธรรมะในตน ย่อมเห็นความตายเป็นเพียงการเปลี่ยนภพภูมิ ไม่อาลัยอาวรณ์ หรือเกรงกลับต่อความตายนั้น อีกทั้งเมื่อภาพกรรมที่ทำไว้มาปรากฏก็เห็นแต่ภาพการทำกรรมดี จิตก็ผ่องใส ย่อมไปสุขติ

    ทั้งหลายทั้งปวง..
    จะประมาทมิได้ ให้รู้รักษาสติตนตลอดโดยเฉพาะก่อนตาย เพราะคนทำดีมาทั้งชีวิตมาตกม้าตายตอนท้ายก็มี มิใช่ไม่มี ดังเช่นเรื่องของพระนางมัลลิกา [ มก. เล่ม ๔๒ หน้า ๑๖๖]

    3.กรณีที่ใจไม่หมองไม่ใส
    เป็นกายละเอียดอยู่แถวที่ตายนั่น ระหว่างนั้นก็คล้ายๆ ผีที่เรารู้จักคือ คนมองไม่เห็น คนที่ใกล้ชิดอาจเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น [เพราะอายตนะตรงกัน] เพราะผีนั้นพยายามสื่อสารครับ
    .... ครับกำหนด 7 [เป็นที่มาของการทำบุญ 7 วัน เพราะยังอยู่ในช่วงที่รับผลบุญที่อุทิศไปให้ได้]วันนายนิรยบาลก็รับตัวไปยมโลกไปตัดสินบุญบาป พญายมราชท่านเป็นยักษ์ที่ทำหน้านที่นี้ แต่ไม่มีเขาแบบในขายหัวเราะหรอกนะครับ ท่านก็จะพยายามพูดให้เรานึกถึงบุญให้ออกจะได้ไปเสวยผลบุญก่อน


    4.ที่กล่าวมานั้นไม่นับรวมพวก เจ้าที่ รุกเทวา นางไม้ และอื่นๆที่นับรวมเป็น 'ผี' ในความหมายของการพูดถึงโดยทั่วไป แต่จริงๆแล้วที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นภพภูมิหนึ่งที่เป็นไปตามกรรมและกำลังบุญของผู้ที่ไปเกิดในภพภูมินั้นๆ

    5. สรุปโดยกว้างๆ ตายแล้วไปไหน
    A. ขณะตาย ใจหมอง >>> ไปทุกขติภูมิ สัตว์ เปรต อสุรกาย นรก[ขุมในก็ตามบาปที่ทำ]
    B. ขณะตาย ใจใส >>> ไปสุขติภูมิตั้งแต่ เจ้าที่ไปจนถึงพรหมณโน่นเลย[ตามกำลังบุญ]
    C. ไม่หมองไม่ใส >>>> ผี 7 วันไปยมโลก, สัมภเวสี[ยังไม่หมดอายุขัย]

    ปล. ผมรู้คร่าวๆแค่นี้
    กรณีกลายเป็นคนนั้นก็ได้ครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่ายังไงบ้างจึงยังไม่ขอเอ่ยถึง แต่โดยปกติได้เกิดเป็น 'คน' นี่บุญมากแล้วนะครับ ถ้าบุญไม่มากก็โน่น หนอนในส้วม
     
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,276
    ค่าพลัง:
    +82,733
    กิเลสทั้งปวงนั้น ความหลงนับว่ารู้ได้ยาก ละได้ยากที่สุด

    เด็กน้อยเอย .... อ่านหนังสือแล้วอย่าหลงหนังสือนะคะ
    อย่ายึดมั่นถือมั่น จนลืมคำเตือนของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม
     
  12. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    476
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,858
    ญาณทิพย์นั้นจะไม่เสื่อมหากเป็นไปเืพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์โดยมิหวังสิ่งตอบแทน หากเป็นไปเพื่อโลภ โกรธ หลง แล้วไซร้ เสื่อมแน่นอนครับ
     
  13. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,666
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ถ้าเป็นสัมภเวสี ก็แปลว่ายังไม่หมดอายุขัย
    ถ้าหมดอายุขัยแล้ว ก็แปลว่าไม่ใช่สัมภเวสี
    นายนิรบาลก็ไม่ได้มีหน้าที่รับวิญญาณ
    พระยายมราชท่านก็ไม่ได้เป็นผู้ตัดสิน

    ไว้ไปเห็นเองแล้วค่อยถามแล้วกัน
    ไม่รู้จะเริ่มต้นอธิบายยังไง
    สงสัยต้องเริ่มตั้งแต่อนุปุพพิกถา
     
  14. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    เคยฝึกมโน เคยถามท่านพระยายมราช
    ท่านนำสมุดให้ดูเป็นสมุดปกสีทอง ข้างในมีรายชื่อของมนุษย์ทุกคนที่มาเกิด จะมีชาตะและมรณะ ถามท่านว่า มีครบทุกคนหรือเปล่า ท่านบอกว่ามีไม่ครบ จิตที่หนีจากนรกมาเกิดจะไม่ทราบ แต่ถ้ารู้จากเมืองนรก ก็จะรีบไปตามกลับมารับโทษ

    ส่วนเรื่องบุญและบาบ ท่านจะทราบได้อย่างไรและจะพิจารณาว่าคนนั้นต้องไปนรกหรือสวรรค์ ท่านตอบว่ามีการบันทึกด้วยกันหลายวิธี ตั้งแต่การบันทึกลงกระดาษทิพย์ การบันทึกจากท้าวจตุมหาราช ที่มีหน้าที่ตรวจดูมนุษย์ทุกวันพระ
    โดยจะทำการบันทึกลงสมุดข่อยแต่การบันทึกจะทำการบันทึกด้วยอิทธิฤทธิ การตรวจดูกองบุญและบาบ ที่เกิดขึ้นของเขาในนรกภูมิและสวรรค์ การตรวจดูจากการถูกเจ้ากรรมนายเวร ฟ้องร้องเป็นพยาน
    การสืบสวนจากการสอบถามจิตเหล่านั้น แต่ก่อนสอบถามจะมีการให้ดื่มน้ำสัจจอธิฐาน คือต้องกล่าวแต่ความจริง ท่านพระยายมราชกล่าวว่า เมื่อดับจิต เดชะบุญที่เขาได้กระทำไว้และกรรมจะตามติดเขามาเมื่อ มาถึงการพิจารณาตัดสินก็ทราบได้ทันที อนึ่งจิตที่ได้สั่งสมบุญไว้มาก ส่วนใหญ่จะไม่ต้องมาที่นี่ โดยด้วยเดชะบุญแลเทพเทวดา ราชรถมารับไปสู่สวรรค์ชั้นภพของเขาก่อนทันทีครับ<!-- google_ad_section_end -->

    =====
    อนึ่ง จิตบางดวงด้วยแรงบูญและบาบ ให้เคลื่อนอัตภาพไปรับกรรม ตามนั้น ทันทีอาจจะไม่ได้รอท่านยมฑูต มารับ และผมเคยถามว่าแล้วอย่างนี้จะทราบได้อย่างไร
    ท่านพระยายมบาลกล่าวว่า ทราบได้ด้วยการ
    1 กรณีที่ลงนรกไปก่อนนั้น ทางนายนิริยบาลจะมีการบันทึกรายชื่อไว้หมด ก็จะมีการส่งรายชื่อมาให้โดยตลอด ก็จะต้องนำมาตรวจสอบเปรียบเทียบกันให้ถูกต้อง
    2กรณีที่ไปเป็นเทวดาก็เช่นกัน ไปอยู่วิมานใดเมืองใดบนสวรรค์เขาก็จะส่งสารแจ้งให้ทราบ
    ซึ่งจะทำการตรวจสอบและเปรียบเทียบให้ถูกต้อง
    ท่านพระยายมราชจะตรวจสอบดูแลไม่มีตกหล่น กรณีหายไปแสดงว่ามีการหนีไปเกิดหรือหลบซ่อนอยู่ เรร่อนอยู่ก็ต้องให้ท่านยมฑูตไปตามมาพิจารณาคดีบุญบาบให้ได้ไม่มีข้อยกเว้น ครับ
     
  15. sawok B

    sawok B เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +230
    ตัวที่เวียนว่ายตายเกิดที่จริงไม่ใช่วิญญาณหรือจิตหรอกครับ แต่เป็นสัตว์ครับ
    ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า สัตว์ผู้มีอวิชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครืองผูก ย่อมแล่นไปอยู่ ท่องเที่ยวไปอยู่ ในสงสารวัฏ หรือเรียกสั้นว่าสัตว์ หรือสัตว์ตานัง ครับ ควรเข้าใจเสียใหม่น่ะครับ ไม่งั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าจะหายไปจากพุทธศาสนาเหลือแต่คำแต่งใหม่ที่เข้าใจผิดของ มนุษย์โลกบัญญัติไว้ครับ
     
  16. มหาอธิษฐาน

    มหาอธิษฐาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +418
    สังสารวัฏเป็นการเกิดดับของ สภาวะ ไม่มีคนหรือสัตว์ในนั้น ผู้ยังเข้าใจว่ามีคนหรือสัตว์มีตัวมีตนย่อมหลงอยู่ใน
    สักกายทิฏฐิ

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2012
  17. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,117
    ค่าพลัง:
    +2,136
    ขยายความ นะครับ
    จริงๆ แล้ว คำว่า วิญญาณ กับ จิต ที่เราเอาไปเรียกว่าเวียนว่ายตายเกิด กันนี่ เราใช้คำผิด
    ที่ถูกต้อง ต้องใช้คำว่า สัตว์ ถูกต้องแล้ว
    สัตว์ นั้นคือ ผู้ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดทั้งหมด นับรวมทุกภพภูมิ ตั้งแต่พรหมสูงสุด จนถึงอบายล่างสุด จะเป็นกายหยาบ กายทิพย์ เรียกรวมว่าเป็นสัตว์ทั้งนั้น

    ส่วนสำหรับท่าน sawok B
    ก็เข้าใจนะครับ ว่าท่านพยายามยึดเอาตามคำพระพุทธองค์แท้ๆ แต่ว่าคนที่จะเข้าใจความหมายของคำพวกนี้ ตามที่ท่านต้องการสื่อ จะมีสักกี่คนกัน แล้วแบบนี้จะสื่อธรรมะกับคนทั่วไปเข้าใจได้ไหมเนี่ย???
     
  18. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    =====

    แล้วธรรมอันใดเล่า เป็นเหตุให้สรรพสัตว์เกิดและดับ ติดอยู่ในสังสารวัฏครับ

    อะไรละคือสักกายะทิฏฐิ ความไม่มีย่อมมีอยู่ในความไม่มี เราไม่ควรนำธรรมมากล่าวอ้างแบบขวานผ่าซาก แต่เราควรพิจารณาในธรรมให้ละเอียดลึกซึ้ง เพื่อความเข้าถึงธรรมโดยแท้จริง ไม่ยึดติดในธรรมทั้งหลายทั้งปวง เพื่อความหลุดพ้นเป็นที่สุด
     
  19. ไกลฝัน

    ไกลฝัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +171
     
  20. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    การฝึกมโนมยิทธิฝึกจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเป็นบรมครูด้านนี้ ท่านสอนให้เราเริ่มจากการกำหนดสมาธิจิต เพื่อการเคลื่อนจิตไปสู่สภาวะใดสภาวะหนึ่ง ที่ผ่านมาผมได้รับการสอนและหลังจากที่ท่านดับสังขารไปแล้ว ท่านก็จะแวะมาติดตามดูเป็นครั้งคราว ผมไม่เคยได้ไปที่วัดท่าซุง แต่จะพบท่านที่อื่น และก็เคยไปกราบ ท่านที่วัดวีระโชติ ที่แปดริ้่วและที่ถ้ำเขาวงพระนารายน์ สระบุรี ครับ

    การฝึก
    ต้องเริ่มจากการ รักษาศีล การฝึกสติ การฝึกสมาธิ ทรงอารมณ์ที่ตัดละความรู้สึกทางกาย คือจิตอยู่ในระดับญาณซึ่งจะสงบนิ่งมากเหลือแค่จิตกับตัวรู้ที่ทรงอารมร์อยู่ ให้ใช้สภาวะนี้แหละ แล้วกำหนดจิตเคลื่อนกายทิพย์ของเราไปยังสถานที่ต่างๆ ต้องค่อยๆเริ่ม ทำไป จากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวจนไกลตัว แรกๆผมก็กำหนดจิตกำหนดกายทิพย์ไปรู้เห็นโดยไม่ค่อยจะสนใจอะไรมากนัก ประกอบกับมีคำถามและสงสัยว่า นี่จิตเราปรุงแต่งไปหรือเปล่า จนเป็นบ่อยๆก็เลย ถามครูอาจารย์

    ท่านก็เฉลยว่าก็พิสูจน์สิ ก็เลยตั้งสัจจะอธฺิฐานแล้วเจริญสมาธิ เคลื่อนไปยังวัดๆหนึ่ง เข้าไปในอุโบสถ เข้าไปกราบไหว้และเห็นทุกอย่าง พระประทานและชุกกะชีเป็นอย่างไร
    การจัดวางโตีะหมู่เป็นอย่างไร กระถางธุปหน้าพระประทานทำด้วยทองแดงรมดำใหญ่ วางอย่างไร พื้้นหลังคาโบสถ์ เป็นอย่างไร พื้นโบสถ์เป็นหินอ่อนลายอะไร ตรงส่วนที่พระสงฆ์นั่งทำพิธี เป็นพรมสีแดงปปูทับอยู่กับไม้สักที่ยกพื้นขึ้นมาจากพื้นหิน่ออนสูงประมาณ12นิ้ว

    หลังจากตรวจดูเสร็จก็จำไว้ แล้วในเช้าวันถัดมา ผมก็ไปทำบุญและขออนุญาตุท่านเจ้าอาวาธ ขอไปไหว้พระประทานในอุโบสถ ซึ่งโชคดีท่านก็อนุญาตุ เมื่อไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป ข้าพเจ้ารู้สึกปิติน้ำตาไหลออกมาอย่างตื้นตันใจ ทุกอย่างเป็นจริงเช่นนั้น ตั้งแต่พระประทาน จนถึงพื้นหิน่ออนของอุโบสถ และจึงมีศรัทธาเชื่อในรื่องเหล่านี้ และขอพรจากพระประทานอุโบสถ ลูกจะขอตั้งใจปฏิบัติ และมีสัมมาทิฏฐิ ขอให้ลูกมีญาณสมาธิหยั่งรู้แจ้งในธรรมทั้งหลายทั้งปวงด้วยเทอญ และจะตั้งใจทำทำบุญสุนทานตั้งใจทำความดี ประกอบเสมอเป็นนิจศีล ตลอดไป

    วัดนั้นมีชื่อว่าวัดน้ำซับสังฆาราม คนที่นั่นรู้จักผมดี
    ก่อนหน้านี้เมื่อ2ปีมาแล้ว ชาวบ้านเขาบอกว่าเขาฝันว่าด้านหลังวัดมีพระพุทธรูปอยู่ใต้ดินจมอยู่นานแล้วท่านอยากจะให้เรานำขึ้นมาเพื่อเป็นที่สักการะบูชา
    ทางพระที่วัดจึงให้ผมช่วยดูว่ามีจริงหรือไม่ ซึ่งก็มีจริงๆปู่บอกว่าท่านจะขึ้นมาให้เราสักการะบูชา แต่ต้องไปฺกระทำพิธีให้ถูกต้อง
    หลังจากกนั้น ผมก็แจ้งให้ทางวัดทราบ ทางวัดก็นำรถมาขุดหาพระแต่สุกท้ายก็หาไม่เจอ จนผมกลับมาทำพิธีใหม่ ขออนุญาตุสิ่งศักดิ์สิทธื์ จึงได้พบท่านท้าวเวสสุวรรณและปู่ฤาษี ในสมาธิบอกว่า พวกเรากระทำไม่ถูกพิธี ให้กระทำดังนี้
    1ให้นุ่งชุดขาวห่มขาว ให้มีแต่งกายเป็นพราหม7คน
    2ให้ทำบายสีเทพพรหม ปากชามพวงมาลัยถวายพร้อมด้วยหมากพลูบุหร่
    3ให้ใช้จอบเสียบเท่านั้นในการขุด
    4..ให้ทำพิธีโดยการสวดมนต์ภาวนาก่อนแล้วทำน้ำมนต์ธรณีสารเปิดโลกเปิดธาตุดินน้ำลมไฟ พร้อมให้โยงสายสินธ์ล้อมรอบ
    อาณาบริเวณ
    5ให้กล่าวขอขมาและขออัญเชิญพระขึ้นขอให้ทำได้ให้สำเร็จ
    เมื่อกระผมทำตามดังกล่าว บวงสรวงและสวดมนต์กล่าวถูกต้องตามนี้แล้ว
    จึงล้อมสายสินธ์จำได้ว่าเริ่มทำพิธีตอน20.00และเสร็จพิธีตอนประมาณ21.00 เริ้มขุดจอบเสียม
    แค่เวลาผ่านไปประมาณ15-20นาทีเราก็พบพระพุทธรูปองค์ดังกล่าว ยังความปิติดีใจเป็นที่สุด
    ทุกวันนี้พระพุทธรูปองค์นี้ เราถวายพระนามว่า หลวงพ่อพุทธนิมิต ศิลปะเชียงแสนหนึ่ง อายุราว700ปี
    ผมและชาวบ้านที่นั่นตลอดจน ผู้ใจบุญที่อื่นๆหลายที่ช่วยกันสร้างวิหารเป็นที่สถิตเสร็จเรียบร้อยสวยงามล้ว
    สนใจหากจะไปสักการะ ก็เชิญที่วัด น้ำซับสังฆาราม ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...