เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. 99kansita

    99kansita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +310
    ประกาศๆ ท่านใดจะมาฟังวิทยากรรูปหล่อ
    โปรดต่อแถวรอลงทะเบียนคร่าาาchearrchearr

    น้าๆ อย่าแซงคิว:z8
     
  2. *พอส*

    *พอส* Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +98
    มาต่อคิวด้วยคร้าบ กระทู้ดีมีสาระเดินหน้าเต็มตัวเลยครับกับตัน toplus99:cool:
     
  3. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    คงจะเป็นเดือน ตุลาคม กระมังคะ และขอระลึกถึงคุณความดี ดร.สาทิศ ค่ะ
     
  4. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    มาลงทะเบียนรายงานตัวค่ะ ขอนั่งแถวสองมุมขวา หลบระเบิดกลัวหัวโนคร่า..[Embarrass
     
  5. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ว๊าแย่จัง!..

    ดูในข่าวอื่นก็เป็นเดือนตุลาคม นี้จริงๆ
    นี่Toplus99 ก๊อปเขามาทั้งดุ้นเลย เปล่าเขียนเองนะ
    แต่ในฐานะผู้ลงประชาสัมพันธ์ ออกสื่อก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกันpig_cryy2(cry)

    สงสัยคนเขียนข่าว ต้องใช้ปฏิทินปลอมแน่ๆเลย ชอบลงวันเวลาผิด
    ให้คุณ ภิศรณ์จับได้อยู่เรื่อย ...ยังงี้ต้องเรียกมาตักเตือนหน่อยหละ

    ดีครับช่วยกันตรวจสอบ ความผิดพลาดสังคมไทยจะได้ดีขึ้น

    ดังสำนวน เผ่ากระเหรี่ยงคอเอียง ที่ว่า...

    ฮะแอ้มๆ..."อยู่บ้านท่าน อย่านิ่งดูดาย..จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟให้ลูกท่านด้วย"
     
  6. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ฤาษีดัดตน "ฤาษี" หรือฤษี ความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หมายถึงนักบวชพวกหนึ่ง มีมาก่อนพุทธกาล สละบ้านเรือนออกไปบำเพ็ญพรตแสวงหาความสงบ
    ประวัติและความเป็นมาของ “ฤาษีดัดตน”

    ในตำนานหรือนิทานโบราณ มักจะเรียกผู้ที่เป็นนักพรตหรือนักบวชที่อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ว่า "ฤาษี" ซึ่งเมืองไทยในอดีตน่าจะมีนักบวชประเภทนี้ที่แสวงหาความสงบสันโดษอยู่ตามป่าเขา เมื่อได้บำเพ็ญเพียรสมาธินานๆ อาจมีอาการเมื่อยขบ จึงได้ทดลองขยับเขยื้อนร่างกาย มีการยืดงอและเกร็งตัว ดัดตน ทำให้เกิดเป็นท่าดัดต่างๆ ซึ่งทำให้อาการเจ็บป่วย เมื่อยขบหายไปได้ จึงได้ข้อสรุปประสบการณ์บอกเล่าสืบต่อกันมา หรืออาจเกิดจากการคิดค้นโดยบุคคลทั่วๆ ไป เพราะในสังคมไทยกว่า 2,000 ปี เรามีศาสนาพุทธเป็นที่ยึดเหนี่ยว ในการปฏิบัติตน ดังนั้น นักบวช นักพรต อาจเป็นชาวพุทธที่นิยมนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน หรืออาจเป็นอุบาสกอุบาสิกาและแม้แต่พระสงฆ์

    สำหรับการปั้นเป็นรูปฤาษีนั้น ไม่มีหลักฐานว่าพระมหากษัตริย์ไทยลอกแบบมาจากที่ใด แต่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าคนไทยเคารพนับถือฤาษีเป็นครูบาอาจารย์ การปั้นเป็นรูปฤาษีและระบุชื่อฤาษีเป็นผู้คิดค้นท่าเหล่านั้น อาจเป็นกลวิธีให้เกิดความขลัง เพราะผู้ฝึกต้องมาฝึกท่าทาง ต่าง ๆ กับรูปปั้นฤาษีเปรียบเสมือนได้ฝึกกับครู เพราะฤาษีเป็นครูของศิลปะวิทยาการต่าง ๆ

    จากที่ผ่านมามีผู้ศึกษาบางคนพยายามเชื่อมโยงว่าคนไทยเลียนแบบท่าฤาษีดัดตนจากท่าโยคะของอินเดีย แล้วพยายามนำท่าไปเทียบเคียงกัน ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วพบว่าไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะท่าดัดตน ของไทยไม่ใช่ท่าผาดโผนหรือฝืนร่างกายจนเกินไป ส่วนใหญ่เป็นท่าดัดตามอิริยาบถของคนไทย มีความสุภาพและคนทั่วไปสามารถทำได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในจำนวนท่า ฤาษีดัดตน 80 ท่า มีท่าแบบจีน 1 ท่า ท่าแบบแขก 1 ท่า ท่าดัดคู้ 2 ท่า แสดงถึงการแลกเปลี่ยน ความรู้กัน และมีการระบุไว้ชัดเจนว่าเป็น ของต่างชาติ ซึ่งเชื่อว่าเป็นการปั้นเพิ่มเติมขึ้นภายหลัง เพราะมนุษย์ต่างแสวงหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือตนเอง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีอายุยืนยาว เช่น อินเดีย มีการบริหารร่างกายที่เรียกว่า โยคะ จีนมีการ รำมวยจีนที่เรียกว่า ไทเก๊ก ไทยมีการบริหารร่างกายด้วยท่าฤาษีดัดตน เป็นต้น

    ท่าฤาษีดัดตน
    ท่าฤาษีดัดตนตามแบบดั้งเดิมมีประมาณ 127 ท่า แต่ในปัจจุบันนี้มีหลายสถาบันที่นำองค์ความรู้นี้มาพัฒนาเป็นท่าออกกำลังกาย เช่น สถาบันการแพทย์แผนไทย โรงเรียนแพทย์แผนไทยวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) เป็นต้น ซึ่งแต่ละสถาบันจะมีรูปแบบ และ สไตล์ที่ต่างกัน

    ในปัจจุบันท่าฤาษีดัดตนเป็นการนำท่าต่างๆ จากต้นฉบับที่มีการบันทึกไว้ที่วัดโพธิ์มาคัดเลือกท่าที่ปลอดภัยเหมาะสม มาเป็นท่าการออกกำลังกาย โดยเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้าๆ ควบคู่กับ การหายใจ เข้า- ออก อย่างช้าๆ และมีสติ

    การคัดเลือกท่าพื้นฐาน

    สถาบันการแพทย์แผนไทย ได้ดำเนินการคัดเลือกท่าฤาษีดัดตนพื้นฐาน 15 ท่า จากท่าฤาษีดัดตนที่ได้รวบรวมไว้ทั้งหมด 127 ท่า โดยมีแนวคิดและหลักการคัดเลือก ดังนี้

    1. เป็นท่าที่เป็นตัวแทนของอิริยาบถต่าง ๆ และสามารถบริหารร่างกายได้ครอบคลุมทุกส่วน ตั้งแต่คอ ไหล่ แขน อก ท้อง เอว เข่าไปจนถึงเท้า

    2. เป็นท่าพื้นฐานทั่วไป สำหรับการเริ่มต้นฝึกปฏิบัติให้เกิดความเคยชินและช่วยให้เห็นความสำคัญของการจัดโครงสร้างร่างกายของตนเองให้สมดุล

    3. เป็นท่าที่เลือกมาจากท่าฤาษีดัดตนซึ่งมีมาแต่ดั้งเดิมแล้วปรับประยุกต์ใช้ในท่าต่าง ๆ เช่น นั่ง นอน หรือยืน มีการสรุปความเคลื่อนไหวต่อเนื่องหรือนำท่าเดิมหลายท่ามาเคลื่อนไหวต่อเนื่องกัน

    4. การคัดเลือกท่าต่างๆ จะใช้แนวคิดเกี่ยวกับความสมดุลของโครงสร้างร่างกายและการบริหารร่างกายตามแนวต่าง ๆ เช่น แนวดิ่ง แนวราบ แนวเฉียง โดยเพิ่มเติมการตรวจร่างกายอย่างง่าย ๆ เพื่อให้ทราบถึงโครงสร้างร่างกายของตนเองที่ไม่สมดุล โดยอาศัยแนวคิดด้านดุลยภาพของ รศ . พญ . ลดาวัลย์ สุวรรณกิตติ มาใช้ในการคัดเลือกท่าที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถฝึกหัดได้โดยไม่ทำให้โครงสร้างที่เสียสมดุลอยู่เดิมมีความเสียหายมากขึ้น

    5. ในการคัดเลือกท่าฤาษีดัดตน ได้เพิ่มท่าบริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้า ซึ่งคิดค้นโดยร . ศ . นพ . กรุงไกร เจนพาณิชย์ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกระดูกและข้อ และเคยศึกษาการนวดไทยจากอาจารย์ณรงค์สักข์ บุญรัตนหิรัญ หมอนวดราชสำนัก ก่อนที่จะเสียชีวิตสามารถคิดค้นท่านวดกล้ามเนื้อบนใบหน้า 7 ท่าขึ้นมา

    6. การคัดเลือกท่าต่าง ๆ ไม่เน้นการรักษาเฉพาะโรค แต่เป็นการเตรียมพร้อมการปรับสมดุลโครงสร้างร่างกายอย่างง่ายด้วยตัวเอง

    7. ท่าที่คัดเลือกไว้นี้ แม้จะมีการวิเคราะห์โดยใช้ความรู้ทางแพทย์แผนปัจจุบันทั้งในแง่ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลแล้วก็ตาม สถาบันการแพทย์แผนไทย ก็ยังมีแนวคิดที่จะสนับสนุนให้เกิดการวิจัยควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้มีการฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง

    การฝึกลมหายใจ

    การฝึกท่าฤาษีดัดตนนั้นในตำรามิได้มีการระบุชัดเจนเกี่ยวกับการหายใจ แต่อย่างไรก็ตาม ในศาสนาพุทธมีการนั่งสมาธิ โดยการฝึกการบริหารลมหายใจเช่นกัน ดังนั้นท่าฤาษีดัดตนจึงน่าจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดลมหายใจและการกลั้นลมหายใจ ดังนั้นก่อนที่จะบริหารร่างกายด้วยท่าฤาษีดัดตน ควรเริ่มต้นนั่งสมาธิและการฝึกการหายใจให้ถูกต้อง

    หายใจเข้า – สูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ค่อย ๆ เบ่งช่องท้องให้ท้องป่องออก อกขยาย ซี่โครง สองข้างจะขยายออกปอดขยายใหญ่มากขึ้น ยกไหล่ขึ้น จะเป็นการหายใจเข้าให้ลึกที่สุด กลั้นลมหายใจไว้สักครู่ ในช่วงนี้ผนังช่องท้องจะยุบเล็กน้อยหน้าอกจะยืดเต็มที่
    หายใจออก – ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ โดยยุบท้อง หุบซี่โครงสองข้างเข้ามา แล้วลดไหล่ลง จะทำให้หายใจออกได้มากที่สุด
    กายบริหารแบบไทย ท่าฤาษีดัดตน เป็นการบริหารร่างกายของคนไทยที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งเน้นการฝึกลมหายใจและใช้สมาธิร่วมด้วย จึงเป็นทั้งการบริหารร่างกายและบริหารจิต รวมทั้งช่วยในการบำบัดอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นได้ในระดับหนึ่ง


    ประโยชน์ของการฝึกท่าฤาษีดัดตน
    การบริหารร่างกายด้วยท่าฤาษีดัดตน นอกจากใช้เป็นท่าในการบริหารร่างกายแล้ว ทำให้ ร่างกายตื่นตัว แข็งแรง และเป็นการพักผ่อน ท่าต่าง ๆ ที่ใช้ยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคเบื้องต้นได้อีกด้วย นับว่ามีประโยชน์เป็นอันมาก ได้แก่

    1. ช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของแขนขาหรือข้อต่างๆ เป็นไปอย่าง คล่องแคล่ว มีการเน้นการนวด โดยบางท่าจะมีการกดหรือบีบนวดร่วมไปด้วย

    2. ทำให้โลหิตหมุนเวียน เลือดลมเดินได้สะดวก นับเป็นการออกกำลังกาย สามารถทำได้ในทุกอิริยาบถของคนไทย

    3. เป็นการต่อต้านโรคภัย บำรุงรักษาสุขภาพให้มีอายุยืนยาว

    4. มีการใช้สมาธิร่วมด้วยจะช่วยยกระดับจิตใจให้พ้นอารมณ์ขุ่นมัว หงุดหงิด ความง่วง ความท้อแท้ ความเครียด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการหายใจหากมีการฝึกการหายใจให้ถูกต้อง

    จากการที่สถาบันการแพทย์แผนไทยได้เผยแพร่มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 ถึงปัจจุบันยังไม่พบข้อเสีย หรืออันตรายจากการใช้ท่าฤาษีดัดตน และโดยลักษณะการเคลื่อนไหว เป็นการเคลื่อนไหวอย่างช้า และไม่ได้ตัด หรือฝืนท่าทางอย่างมากมาย ดังนั้นจึงมีความปลอดภัยกับผู้ที่จะใช้ออกกำลังกายโดยเฉพาะผู้สูงอายุ

    http://www.panyathai.or.th

    ++++++

    บริหารด้วยท่าฤาษีดัดตน ภูมิปัญญาไทยเพื่อสุขภาพ (ไทยโพสต์)
    ท่าบริหารร่างกายฤาษีดัดตนนั้น เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยซึ่งมีมาช้านาน นอกจากท่าฤาษีดัดตนจะช่วยบำบัดตน รวมทั้งส่งเสริมสุขภาพแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคเบื้องต้นได้อีกด้วย ซึ่งท่าส่วนใหญ่ของฤาษีดัดตนนั้น เป็นการเลียนแบบท่าทางหรืออิริยาบทของไทย ขณะเดียวกันก็ใช้หลักการเคลื่อนไหวร่างกาย ให้สอดคล้องกับลมหายใจเข้าออก ผลลัพธ์ที่ได้คือสุขภาพแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า และช่วยให้ผู้ฝึกมีสมาธิมากยิ่งขึ้น

    สำหรับท่าฤาษีดัดตนนั้นมีทั้งหมดประมาณ 127 ท่า แต่มี 15 ท่าพื้นฐานที่กระทรวงสาธารณสุขยอมรับ และคนทั่วไปสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง

    อาจารย์สุกัญญา หงสประภาส แพทย์แผนไทยประจำโรงพยาบาลนครธน เผยให้ทราบถึงวงล้อสำหรับการเคลื่อนไหวนั้น ประกอบด้วย 4 อย่าง คือ การยืน การเดิน การนอน การนั่ง แต่ท่าฤาษีดัดตน 15 ท่าพื้นฐาน จะประกอบเพียงแค่ 3 อย่างเท่านั้น คือ การยืน การนอน การนั่ง ซึ่งผู้ฝึกจะต้องประสานกันให้ดี เพื่อไม่เกิดการติดขัดของเลือดและลม ขณะเดียวกันผู้ฝึกควรเลือกท่าฝึกที่เหมาะสมกับตนเอง ซึ่งหลักของการฝึกท่าฤาษีดัดตนที่ถูกต้องคือ ต้องทำแค่พอตึง หากเกิดอาการเจ็บก็ควรเลิกทำ และที่สำคัญต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไปจึงจะเห็นผล และไม่จำเป็นต้องทำให้ครบทั้ง 15 ท่า แต่ควรเลือกท่าใดท่าหนึ่งที่เหมาะสำหรับตนเอง ขณะเดียวกันผู้ที่มีอาการปวด บวม หรือกระดูกหัก กระดูกเสื่อมนั้น ควรหลีกเหลี่ยงการบริหารร่างกายด้วยวิธีนี้


    สำหรับท่าฤาษีดัดตนประกอบไปด้วย

    ท่าที่ 1 ท่านวดกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า

    อาจารย์สุกัญญากล่าวว่า ประกอบด้วย 7 ท่า คือ 1.1 ท่าเสยผม 1.2 ท่าทาแป้ง 1.3 ท่าเช็ดปาก 1.4 ท่าเช็ดคาง 1.5 ท่ากดใต้คาง 1.6 ท่าถูหูและถูหลัง 1.7 ท่าตบท้ายทอย ซึ่งท่านี้จะช่วยในเรื่องของการส่งเลือดไปเลี้ยงที่บริเวณใบหน้า รวมทั้งช่วยบำรุงสายตา และส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง

    ท่าที่ 2 ท่าเทพพนม

    วิธีการฝึกนั้นเริ่มตั้งแต่การพนมมือ หลังจากนั้นดันมือที่พนมไปทางซ้าย แล้วกลับมาที่จุดเดิมแล้วดันมือไปทางขวา ซึ่งจุดประสงค์การฝึกท่านี้คือ ต้องการส่งเลือดและลมไปตามแขน เพื่อแก้โรคลมในข้อแขน

    ท่าที่ 3 ชูหัตถ์วาดหลัง

    วิธีการฝึกเริ่มจากการชูมือทางข้างขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นประสานมือโดยให้มือทั้งสองจับกัน ต่อมากางมือทั้งสองข้างออกข้างลำตัว และลดระดับมือลงมาจับที่บริเวณเอว กำมือทั้งสองค่อยเข้าหากันและนำมาชนกันบริเวณด้านหลังของเอว

    ท่าที่ 4 ท่าแก้เกียจ

    เริ่มจากการประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากัน จากนั้นเหยียดแขนทั้งสองข้างให้ตรง โดยที่มือทั้งสองประสานกันในลักษณะเหยียดออก จากนั้นยืดแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะพร้อมด้วยมือที่ประสานกัน แล้ววางมือที่ประสานกันลงบนศีรษะ ท่านี้ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้


    ท่าที่ 5 ท่าดึงศอกไล้คาง

    เริ่มจากการนำมือซ้ายมาแตะบริเวณปลายคาง และมือขวาจับที่บริเวณข้อศอก แล้วลูบปลายคางจากด้านซ้ายมาด้านขวา หลังจากนั้นเปลี่ยนข้างมาใช้มือขวาจบบริเวณปลายคาง แล้วมือซ้ายแตะที่ปลายศอกขวา แล้วลูบปลายคางจากขวามาด้านซ้าย จากนั้นเปลี่ยมมาใช้บริเวณหลังมือแทนฝ่ามือในการลูบปลายคาง โดยทำในลักษณะเดียวกับการใช้ฝ่ามือในขั้นตอนแรก โดยการสลับมือซ้ายและมือขวา

    ท่าที่ 6 ท่านั่งนวดขา

    เริ่มจากการนั่งเหยียดขา แล้วนำมือทั้งสองข้างมาจับบริเวณหน้าขา จากนั้นเลื่อนไปจับบริเวณปลายเท้า แล้วค่อย ๆ เลื่อนมาจับบริเวณหน้าขา

    ท่าที่ 7 ท่ายิงธนู

    เริ่มจากการนั่งโดยเหยียดขาข้างซ้ายออก ส่วนขาข้างขวานั้นพับงอไว้ มือทั้งสองข้างทำท่าเหมือนการยิงธนู จากนั้นสลับเปลี่ยนขาและทำเช่นเดียวกับที่กล่าวมาข้างต้น

    ท่าที่ 8 ท่าอวดแหวนเพชร

    เริ่มต้นจากการนั่งชันเข่า จากนั้นเหยียดแขนทั้งสองข้างให้ตรง และกางฝ่ามือซ้ายขึ้น แล้วใช้มือขวาดัดที่บริเวณฝ่ามือซ้าย จากนั้นกางมือซ้ายออกแล้วค่อย ๆ พับนิ้วทั้ง 5 ลงที่ละนิ้วจนครบ จากนั้นสลัดข้อมือขึ้นลงในขณะที่กำลังกำมืออยู่ ทำสลับข้างกันไปเรื่อย ๆ จะช่วยป้องกันในเรื่องของการเกิดโรคนิ้วล็อกได้

    ท่าที่ 9 ท่าดำรงค์กายอายุยืน

    เริ่มจากลุกขึ้นยืนพร้อมกับกำมือทั้งสองข้าง โดยให้มือข้างซ้ายอยู่บนมือข้างขวาจากนั้นย่อเข่าลง พร้อม ๆ กับการขมิบท้องและแขม่วก้น จากนั้นจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง และทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ

    ท่าที่ 10 ท่านางแบบ

    เริ่มจากการลุกขึ้นยืน จากนั้นใช้มือข้างขวาจับด้านหลัง มือข้างซ้ายจับที่ต้นขา แล้วเอียงคอไปทางด้านขวามือเช่นเดียวกับมือที่จับข้างหลัง หลังจากนั้นหันคอกลับมาที่เดิม ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วทำการเปลี่ยนสลับข้าง สำหรับท่านี้เรียกได้ว่าเป็นการบริหารร่างกายใน แนวบิด จะช่วยในเรื่องของการปวดเมื่อยบริเวณสะโพกได้เป็นอย่างดี

    ท่าที่ 11 ท่านอนหงายผายปอด

    ท่านี้ประกอบด้วย 2 จังหวะ โดยจังหวะที่ 1 นั้น เริ่มจากนอนหงายแล้วยังแขนขึ้น จากนั้นเหยียดแขนให้ตรงและแนบกับศีรษะ จากนั้นยกแขนกลับมาแนบบริเวณข้างลำตัว

    ส่วนจังหวะที่ 2 นั้น เริ่มจากนอนหงายใช้มือข้างขวาวางบริเวณหน้าท้อง จากนั้นค่อย ๆ ยกมือทั้งสองข้างชูขึ้น แล้วเหยียดไปแนบข้างศีรษะ จากนั้นประสานมือทั้งสองข้างมาวางไว้บนหน้าผาก แล้วค่อย ๆ เลื่อนมือที่ประสานกันไว้มาอยู่ที่บริเวณหน้าท้อง โดยที่มือทั้งสองข้างยกสูง จากนั้นดึงมือที่ประสานกันทั้งสองข้างกลับมาวาง บนหน้าท้อง ซึ่งท่านี้จะช่วยในเรื่องของการบริหารหัวใจ และแก้โรคในทรวงอก

    ท่าที่ 12 ท่าเต้นโขน

    เริ่มจากการยืนกางขาทั้งสองข้างออก แล้วใช้มือทั้งสองข้างวางลงบนหน้าขาทั้งสองข้าง จากนั้นยกขาซ้ายขึ้น แล้ววางขาซ้ายลงกลับมาสู่ท่าเดิม จากนั้นยกขาขวาขึ้น แล้ววางขาขวาลงและกลับมาสู่ท่าเดิม ท่านี้จะช่วยในเรื่องของการทรงตัว

    ท่าที่ 13 ท่ายืนนวดขา

    เริ่มจากการยืนตรง จากนั้นก้มตัวลง และใช้มือทั้งสองข้างจับที่บริเวณหัวเข่า แล้วค่อย ๆ ไล่ลงมาถึงปลายเท้า จากนั้นก็เลื่อนมือทั้ง 2 ข้างกลับไปที่หัวเข่าเช่นเดียวกัน สำหรับท่านี้ผู้ที่ปวดหลัง หรือมีอาการเสียวแปลบที่หลัง รวมถึงอาการปวดร้าวและลงขาควรหลีกเหลี่ยงท่านี้

    ท่าที่ 14 ท่านอนคว่ำทับหัตถ์

    เริ่มจากการนอนคว่ำ โดยมือทั้งสองข้างวางทับกันอยู่ใต้บริเวณคาง หลังจากนั้นยกศีรษะขึ้น แล้วกระดกเข่าทั้งสองข้างขึ้น และกระดกขาและงอเท้าเข้ามายังบริเวณด้านหลังให้มากที่สุด ท่านี้จะช่วยขับลมเพื่อให้ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น

    ท่าที่ 15 ท่าองค์แอ่นแหงนพักตร์

    เริ่มจากการนอนตะแคง จากนั้นยกขาข้างขวาขึ้นและใช้มือจับบริเวณข้อเท้า จากนั้นเปลี่ยนทำสลับข้างกันและทำต่อไปเรื่อย ๆ

    ขณะที่ฝึกท่าฤาษีดัดตนทั้ง 15 ท่านี้ ต้องกำหนดลมหายใจเข้าออกไปพร้อม ๆ กับการออกท่าทางด้วย จึงจะทำให้การฝึกได้ผลดีกับผู้ฝึก โดยสูดหายใจเข้าให้ลึกที่สุด จากนั้นกลั้นลมหายใจไว้ก่อน แล้วจึงค่อยผ่อนลมหายใจออก


    http://health.kapook.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 688265-low.jpg
      688265-low.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56 KB
      เปิดดู:
      233
    • Image2.jpg
      Image2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.8 KB
      เปิดดู:
      159
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2012
  7. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    โยคะ จากวิกิพีเดีย

    โยคะ (อังกฤษ: yoga) มิใช่เป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง แต่เป็นการฝึกเพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เป็นการเตรียมกายใจให้พร้อมเพื่อเสริมสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ ในการฝึกโยคะผู้ฝึกโยคะทุกคนต้องยึดถือและปฏิบัติโดยเคร่งครัดเพื่อให้สามารถปรับความสมดุลภายในร่างกายและจิตใจที่ดี


    ประวัติโยคะ

    ถือกำเนิดในประเทศอินเดียเมื่อหลายพันปีที่แล้ว โดยในสมัยโบราณนั้นมนุษย์ได้ค้นคว้าเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับความเข้าใจในความ เป็นอยู่ของตนเอง อดีตมีการจารึกถ้อยคำด้วยตัวอักษรความรู้ที่สำคัญๆทั้งหมดถูกส่งผ่านคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งในรูปแบบของนิทาน ด้วยวิธีการเช่นนี้ ความรู้ต่างๆจึงได้สะสมขึ้นและวัฒนธรรมต่างๆได้พัฒนาขึ้นมา และนี่คือวิธีการที่การฝึกโยคะได้ถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันในหุบเขาแห่ง อินดัส วอลเลย์ นักโบราณคดีได้ค้นพบไม้แกะสลักและศิลปะรูปปั้นที่แสดงถึงการฝึกโยคะ ศิลปะเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยประชาคมที่มีความเจริญเป็นอย่างสูง ซึ่งเจริญอยู่ในพื้นที่แถบนั้นช่วง 2000 และ1000 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ปัจจุบัน คือส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถาน)

    นักปราชญ์ชาวฮินดูคนหนึ่งชื่อว่า ปตัญชลี เป็นคนแรกที่ปรับปรุงการฝึกโยคะขั้นพื้นฐาน เขาเขียนสูตรของการฝึกโยคะเป็นหัวข้อ 8 หัวข้อสั้นๆ หัวข้อเหล่านี้เชื่อว่าได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช [1] โดยผู้ที่ปฏิบัติโยคะที่เป็นผู้ชายเรียกว่า yogins or yogis ส่วนผู้หญิงเรียกว่า yoginis ส่วนผู้สอนเรียกว่า guru ประเทศตะวันตกได้นำโยคะมาเป็นการออกกำลังกายโดยดัดแปลงจาก Hatha-Yoga ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของโยคะ

    นอกจากนี้การฝึกท่าโยคะเรียก Asanas เป็นการฝึกท่าโยคะและค้างท่านั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง การฝึกโยคะจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลังทำให้เลือดและสารอาหารไปเลี้ยงประสาทไขสันหลังเพิ่ม การฝึกโยคะจะทำให้การทำงานของต่อมต่างๆรวมทั้งต่อมไร้ท่อทำงานดีขึ้น ท่าของการฝึกโยคะเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อตามแบบของโยคะ และมีการสอดคล้องกับการหายใจเป็นการรวมกายและจิตร่วมกัน

    การฝึกท่าโยคะจะเป็นการฝึกประสาท ความยืดหยุ่น ความแข็งแรง การทรงตัว ลดความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ สุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้น ท่าที่ใช้สำหรับการฝึกโยคะมีมากมาย โดยท่าที่เป็นหลักในการฝึกโยคะ เช่น การฝึกโยคะท่าศพอาสนะ Savasana (Corpse Pose) ท่านั่งก้มตัว (Paschimottanasana) การฝึกท่างู Bhujangasana (Cobra Pose) เป็นต้น[2]

    โยคะขั้นพื้นฐานโยคะ เป็นการสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียวซึ่งการฝึกโยคะจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การออกกำลังกายหรือการฝึกท่าโยคะ การหายใจหรือลมปราณ การทำสมาธิ โดยการฝึกท่าโยคะจะกระตุ้นอวัยวะและต่อมต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานดีขึ้น สุขภาพจึงดีขึ้น
     
  8. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    Treerunchakorn-ตีลัญจกร

    คำว่า ตีลัญจกร อาจารย์ศุภชัย จารุสมบูรณ์ เป็นผู้บัญญัติขึ้น
    ตี เป็นคำกริยา หมายถึง กดให้เข้ากัน
    ลัญจกร เป็นคำนาม หมายถึง รูปแบบ ตราที่เอาไว้ประทับ

    ตีลัญจกร คือ การใช้มือทั้งสองข้างประสานกด รัด ทับ เชื่อม ตรงจุดต่างๆ ในมือเราให้เกิดเป็นรูปลักษณ์ใดรูปลักษณ์หนึ่ง เช่น ตามลักษณะหัตถ์ของพระพุทธองค์หรือบางมือของพระอรหันต์ เพื่อให้เกิดแผงวงจรอิเลกทรอนิคในร่างกาย ให้เป็นเสารับอากาศรับคลื่นจากพลังธรรมชาติเข้าสู่ร่างกาย เพื่อรับพลังคลื่นแม่เหล็กหรือ “ชี่” อันเกิดจากแรงสั่นสะเทือนไหลเวียนไปบำบัดหรือจัดระเบียบการไหลเวียนตามส่วน ต่างๆ ของร่างกายดีขึ้นและปรับปรุงธาตุทั้ง 5 ตลอดจนอารมณ์และจิตวิญญาณให้กลับคืนความสมดุล สามารถสร้างเสริมสุขภาพป้องกันและบำบัดโรคร้ายของตนเองได้

    การวินิจฉัยมือทางชีวภาพ 3 มิติ
    วิชานี้ศาสตร์การแพทย์แผนจีน เรียกว่า เทียน ฝ่อ เจิ้น คือ หัตถ์พุทธองค์ นับเป็นศาสตร์การรักษาที่ถ่ายทอดมาจากพุทธศาสนา อาจารย์ศุภชัยเรียกว่า หัตถ์พุทธองค์เวชศาสตร์ หรือ คนทั่วไปจะรู้จักกันดีว่า เป็นการฝึกฝ่ามืออรหันต์ ศาสตร์นี้สามารถทำด้วยตัวเองไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมทำได้ทุกที่ทุกเวลา และยังสามารถประยุกต์ใช้ร่วมกับวิชามนตราบำบัด ดังที่วัดโจคัง ประเทศทิเบต ได้ทำการฝึกสอน



    ฝ่ามือตามหลักทฤษฎีอี้จิงและหยินหยาง
    ตามหลักของด้วยวิธีหัตถเวชศาสตร์ บนฝ่ามือของเราจะมีจุดต่างๆที่เชื่อมโยง และส่งผลถึงการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เมื่อเราทำการตีลัญจกรฝ่ามือจะเกิดแรงสั่นสะเทือนเป็นคลื่นแม่เหล็ก ให้ไหลเวียนไปตามส่วนต่างๆของร่างกายตามแนวเส้นลมปราณหลัก ทำให้สามารถใช้ช่วยแก้ปัญหาสุขภาพโดยอาศัยเพียงแค่มือ 2 ข้างได้ เนื่องจากบนฝ่ามือประกอบไปด้วยเส้นลมปราณ 6 เส้น ได้แก่

    •เส้นที่ 1 หลังมือ ลำไส้ใหญ่•เส้นที่ 2 นิ้วนาง ระบบภูมิต้านทานโรค
    •เส้นที่ 3 นิ้วก้อยด้านนอก ลำไส้เล็ก
    •เส้นที่ 4 นิ้วหัวแม่มือ ปอด
    •เส้นที่ 5 นิ้วกลาง เยื่อหุ้มหัวใจ
    •เส้นที่ 6 นิ้วก้อยด้านใน หัวใจ 2 ข้าง


    ขั้นตอนการบำบัดโรคร้ายโดย “ตีลัญจกร”

    เนื่องจาก “ตีลัญจกร” คือการบำบัดและป้องกันโรคร้าย โดยใช้การ กด รัด พับ เชื่อมจุดต่างๆ บนฝ่ามือ ดังนั้นเราจึงสามารถใช้ “ตีลัญจกร” ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า ช่วงเวลาระหว่างรถติด ระหว่างการประชุม แม้กระทั่งก่อนนอน ซึ่งถ้าเราทำต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอติดต่อกัน เป็นประจำประมาณ 2 สัปดาห์ก็เริ่มเห็นผล

    ข้อควรระวังในการฝึก “ตีลัญจกร”

    1.ไม่ควรฝึกในขณะที่อิ่ม หรือหิวจัด เมาค้าง หรืออดนอน
    2.ควรใส่เสื้อผ้าที่สบาย ไม่รัด
    3.ควรฝึกแต่ละครั้งอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 15 นาที แต่ไม่เกิน 30 นาที
    4.เพื่อให้เกิดผลควรฝึกอย่างต่อเนื่องประมาณ 2 สัปดาห์
    โดยสรุป ตีลัญจกรเป็นหนึ่งในหัตถเวชศาสตร์เพื่อการบำบัดและป้องกันโรคร้าย ปัจจุบันคนเมืองมีโรคร้ายที่ต้องประสบอยู่หลายโรค ส่วนหนึ่งเป็นอาการที่เกิดจากอวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ไม่สมดุล ซึ่งโรคและอาการที่สามารถบำบัดและป้องกันอย่างง่ายๆด้วยตนเอง ได้แก่ อาการนอนไม่หลับ, อาการเครียด, ไมเกรน, ความดันโลหิตสูง/ต่ำ, โรคมะเร็งและซิสต์ ฯลฯ


    http://www.ayuyuen.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ไปอ่านเจอบทความหนึ่งเห็นว่าน่าสนใจเข้าสเป๊ค
    เลยขอคัดลอก นำมาให้ท่านทั้งหลายลองอ่านดู...เข้าท่าดีมากเลย
    ต้องขอขอบคุณเจ้าของบทความดังกล่าว

    ลองมาอ่านดู...ไม่เสียหลาย ใกล้ถึงจุดสรุปเรื่องล่ะ...

    ทำอย่างไรเมื่อ คุณเป็นคนขี้โรค


    เคยได้ยินไหมว่า คนรุ่นเก่าก่อนตั้งแต่สมัยโบราณมา มีอายุยืน มีร่างกายแข็งแรงกว่าคนเราในสมัยนี้มากนัก ทั้งที่สุขอนามัยในสมัยก่อนมีความสะอาด และความทันสมัยเทียบไม่ได้เลยกับสมัยนี้

    แต่ถ้าว่าไปแล้ว คนสมัยก่อน มีกิจกรรมให้ทำมาก มีเรื่องให้ออกแรงเยอะนะคะ ไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสดวกสบายเหมือนสมัยนี้ จะทำอะไรแต่ละที ต้องใช้แรงกาย แรงใจเข้าแลก ผู้คนเลยต้องออกกำลังกายอยู่ตลอดเวลา เสียเหงื่อตลอด พอเสียเหงื่อแล้ว ก็ร่างกายปลอดโปร่ง จิตใจโล่งสบาย ทั้งยังกินอาหารที่เพาะปลูกตามวิธีธรรมชาติอีก ซึ่งดีต่อร่างกายมากกว่าอาหารสังเคราะห์แบบยุคปัจจุบัน ที่ใส่สี ใส่เคมี ใส่ตัวเร่ง ในเนื้อสัตว์เสียจนน่ากลัว เมื่อจะนอนก็นอนหลับแต่หัววัน ไม่มีเธค ผับ หรือข้าวต้มรอบดึกให้เที่ยวอีก จึงพักผ่อนได้เต็มที่ พอตื่นมาร่างกายก็สดชื่น วัฏจักรชีวิตเป็นเช่นนี้ ร่ายกายจึงแข็งแรง มีความจำดี และมีสุขภาพชีวิตที่ดีตลอดชีวิตคะ

    โรคร้ายที่คุกคามเรา และที่คนเราเป็นอยู่ ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ล้วนจัดอยู่ในโรค 4 ชนิดคือ

    1. รักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย โรคในหมวดนี้ ยังไม่ถือเป็นโรคที่มีกรรมมาเบียดเบียนแต่เป็นกลุ่มโรคที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติจากการใช้ร่างกายอย่างหนักหนาบ้าง เกิดจากการใช้จิตใจอย่างหนักหนาบ้าง เช่น คิด เครียด จนร่างกายเกิดภาวะป่วยเจ็บ เช่นปวดหัว ตัวร้อน อันเกิดจากสภาพอากาศ ภาวะเครียดจนระบบขับถ่ายประท้วง วิธีแก้ ก็ง่าย ๆ คือให้หยุด หยุดใช้ร่างกายแบบหนักหนาสักพัก หยุดใช้ความคิดแบบมุ่งเครียด สักพัก แล้วร่างกายก็จะดีขึ้นค่ะ

    2. รักษาก็หาย ไม่รักษาไม่หาย กลุ่มโรคชนิดนี้ เริ่มเป็นที่ระบบอวัยวะภายในร่างกายแล้ว หรือเป็นกับอวัยวะหลากหลายชนิดด้วยกัน เช่นอาการแขนหัก ขาหัก ระบบย่อยอาหารไม่ดี เจ็บปวดมวนท้อง โรคในกลุ่มนี้ ต้องรักษาคะ ทางจิตศาสตร์ถือว่าเป็นกรรม แต่เป็นกรรมชนิดเบาบาง พอจะปัดเป่าให้หายขาดได้ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคในกลุ่มนี้ จะแสดงออกทางดวงดาวได้อีกทางหนึ่ง วิธีช่วยหมอในการเยียวยารักษา ให้ทำใจให้ปลอดโปร่ง สูดอากาศบริสุทธิ์ รับประทานอาหารเบา อาหารหนักแต่น้อย เจริญสติปัฎฐานในข้อกายานุสติช่วย (คือการพิจารณาร่างกายว่า ล้วนชุมนุม และเต็มเปี่ยมไปด้วยของเน่าเสียทั้งนั้น ร่างกายนี้มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความแก่ ความตายเป็นธรรมดา)

    3. รักษาก็ไม่หาย ไม่รักษากลับหาย โรคในกลุ่มนี้ แปลก รักษากลับไม่หาย ไม่รักษากลับหาย งงไม๊ละค่ะ โรคในกลุ่มนี้ ถือว่าเป็นโรคกรรม คือมีอกุศลกรรมมาให้ผล มาเบียดเบียน ถ้าคนทั่วไปเป็นโรคในกลุ่มนี้ ไปหาหมอรักษาก็หาย แต่หากคนที่เป็นมีกรรมมาเบียดเบียน ไปหาหมอรักษา หมอกลับวินิจฉัยโรคผิด ให้ยาผิด รักษาผิดวิธี ก็ไม่หาย แต่พออกุศลกรรมที่ให้ผลนั้นอ่อนลง คราวนี้ไม่รักษากลับหายได้
    ยกตัวอย่างประสบการณ์จริง ลูกชายของอ้อยเอง ตอนเด็ก ๆ เป็นภูมิแพ้อย่างแรง ถ้าหน้าฝนมาถึงทีไร พ่อกับแม่ มองตากัน ก็รู้ใจเลยว่า เดี๋ยวลูกเราก็จะต้องเข้าโรงพยาบาลในไม่ช้านี้แล้ว แต่โชคดีอย่างหนึ่งคือ ลูกชายของอ้อย มีคุณหมอที่เก่ง และใจดี เป็นคุณหมอประจำตัว ไปหา ไปรักษาจนถึงขั้นคุ้นชินกันแล้ว โดยลูกชายจะเรียกว่า “ป้าหมอ”

    มีอยู่วันหนึ่ง ลูกชายเกิดมีอาการภูมิแพ้อย่างแรง หายใจขัด หายใจไม่สดวก จมูกบวม มีไข้สูง ได้โทรเช็คป้าหมอแล้ว ว่ามีคิวตรวจ พ่อ แม่ เลยพากันจัดกระเป๋า เตรียมเสื้อผ้าแล้วรีบบึ่งรถไปโรงพยาบาลทันทีเพราะจากประสบการณ์รู้ว่าอาการขั้นนี้ อย่างไรเสียก็ต้องนอนโรงพยาบาลแน่นอน พอไปถึงโรงพยาบาล ป้าหมอ เกิดมีภารกิจสำคัญ ต้องลงตรวจคนป่วยในชุมชนพร้อมกับคณะรัฐมนตรีสาธารณสุขเป็นการกระทันหัน เราก็เลยเคว้ง ก็กะว่าจะรอป้าหมออีกคนหนึ่งที่ รู้สึกว่าจะดูแลลูกเราได้ดีไม่แพ้กัน แต่เพราะคิวการรอตรวจของป้าหมออีกคนหนึ่งนานมาก เราก็เลยรอไม่ไหว ต้องไปให้คุณหมอเด็กอีกท่านหนึ่ง ซึ่งว่างคนไข้อยู่เป็นเวลานานตรวจให้ คุณหมอท่านนั้นก็กรุณาตรวจและรับลูกชายเข้าเป็นคนไข้ใน ของโรงพยาบาล แต่ตลอดเวลาของการรักษากลับให้แต่กินยารักษาไข้หวัด และรมอ๊อกซิเจนเท่านั้นผ่านไป3-4 วันแล้ว ลูกก็มีอาการไม่ดีขึ้น นอนยาก เพราะหายใจไม่คล่อง ที่หลับ เป็นเพราะเพลียจนหลับไป

    ความจริงอาการของโรคถ้าหนักอย่างนี้ คุณหมอทั่วไปก็จะมีการรักษาคือ ให้ ให้รมอ็อกซิเจน เพื่อเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดให้มากที่สุด , ให้เคาะปอด แล้วใช้สายซั๊กชั่นดูดน้ำมูก น้ำลาย เสลด จากปาก และจมูก ,ให้กินยารักษาอาการ และให้น้ำเกลือ +ผสมยาฆ่าเชื้อ การรักษาจะต้องควบคู่กันไปอย่างนี้ จึงจะได้ผลดี ได้ขอให้คุณหมอสั่งเคาะปอดแล้ว เธอก็ยังไม่สั่งให้ จนทนเห็นลูกป่วยเกินความจำเป็นไม่ไหว พอพ่อกับแม่ รู้ว่าป้าหมอลงตรวจแล้ว จึงได้ทำเรื่องขอกลับบ้านก่อน แล้วทำเรื่องแอดมิทเข้ามาหา ป้าหมออีกครั้งหนึ่ง ก็ได้รักษาตามที่บอกข้างต้น จนลูกหายดีเป็นปกติในเวลาไม่นานมากแม้จะต้องสำรองจ่ายเงินเป็นค่ารักษาถึง 2 ครั้งก็ถือว่าคุ้มค่ากับความแข็งแรงของลูกที่ได้กลับคืนมา

    ถือได้ว่า ในตอนที่พาลูกมาหาหมอครั้งแรก กรรมของลูกคงเบียดเบียนให้ลูกได้รับทุขเวทนาเสียเวลาหนึ่งก่อน ต่อเมื่อกรรมเก่าลดอำนาจลง ลูกจึงได้รักษากับหมอที่คุ้นเคย และหายดีในที่สุด

    4. รักษาก็ไม่หาย ไม่รักษาก็ไม่หาย โรคร้ายในกลุ่มนี้ ถือเป็นโรคที่เกิดจากอกุศลกรรมครั้งก่อนมาเบียดเบียนทั้งหมด บางกลุ่มโรค แม้ไม่หาย แต่ก็พอทุเลาไปได้ แม้โรคมาเกาะกินเรา ก็เพียงแต่ทำให้ใช้ชีวิตไม่สดวก สบายเหมือนคนปกติ บางกลุ่มโรค เมื่อเป็นแล้วก็จะพัฒนาตนเองไปจนเบียดเบียนให้เราป่วยเจ็บด้วยอาการทุขทรมาน จนถึงแก่ความตายในที่สุด เช่นโรคมะเร็ง โรคเอดส์ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง เป็นโรคที่เกิดจากกรรมเก่า 100 % อ้อยขอเรียกว่า เป็นโรคที่ป้องกัน และแก้ไขได้ยากที่สุดเพราะ “สนิมเหล็ก ย่อมเกิดแก่เนื้อในเหล็ก”

    สำหรับโรคที่ไม่รักษาก็ไม่หาย รักษาก็ไม่หายนี้ แม้แต่พระอรหันต์ผู้เป็นเลิศด้านการแนะนำสั่งสอนมโนฤทธิ อย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุงเอง ท่านก็ยังเคยผจญกับโรคชนิดนี้มาแล้ว

    ดังตอนที่ท่านเจ็บป่วยจนถึงกับอาพาทอย่างหนัก ท่านก็รู้ด้วยญาณของท่านเองว่า บัดนี้อกุศลกรรมกำลังจะให้ผลกับท่าน เมื่อท่านฉันยาน้ำที่หมอเคยปรุงและถูกกับโรค ในครั้งนี้ กลับกลายเป็นว่า เมื่อท่านฉันยาผ่านลำคอเข้าไป ก็กลับมีชะง่อนหินยื่นออกมารองรับยาตัวนั้นเสีย ไม่ปล่อยให้ตกลงไปในร่างกายของท่าน เป็นเหตุให้ท่านต้องทนอาพาธอยู่เป็นเวลาช้านาน ดูเอาเถอะค่ะ ขนาดพระอรหันต์แท้ ๆ กรรมก็ยังให้ผลเที่ยงตรง ไม่ผันแปรเลยทีเดียว
    คนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งนั้น เกิดจากอกุศลกรรมในข้อปาณาติบาต คือยินดี และเต็มใจฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนร่างกาย และประทุษร้ายต่อสัตว์อื่นเป็นอาจิณ,หรือฆ่า หรือเบียดเบียนร่างกายสัตว์อื่นเพื่อสนองกิเลสของตน ด้วยกรรมข้อนี้ แม้คุณจะไม่ตายเพราะอาวุธ ไม่ตายเพราะอุบัติเหตุ ไม่ตายเพราะเขาประทุษร้าย ไม่ตายเพราะเหตภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะคุณมุ่งประกอบกรรมดีชดเชย หรือทำกุศลกรรมอื่น ๆ เป็นเครื่องกั้น แต่คุณก็จะต้องป่วย เจ็บ ทรมาน และตาย เพราะตัวคุณเอง

    ร่างกายคนเรานี้ สามารถเกิดเซลล์มะเร็งได้ทุกอณูเนื้อ โรคมะเร็งที่เกิดกับอวัยวะใดก็ตาม ท่านให้ลองนึกเล่น ๆ ดูว่า ชาติก่อน ชาติไหนก็ไม่รู้ได้ เราอาจจะได้ฆ่าสัตว์ หรือเบียดเบียนสัตว์ ณ อวัยวะใด อวัยวะหนึ่งของเขาก็ได้ เช่น เราเอาของแหลมแทงเขาที่หัวใจ เลือดไหลอาบจนทั่วช่องท้อง มาชาตินี้ เราก็อาจเป็นมะเร็งที่เต้านม (เพราะใกล้หัวใจที่สุด) แล้วลามไปจนทั่วช่องท้อง จนได้ทุกข์เวทนาอันแรงกล้า เปรียบประดุจสีเลือดที่ไหลลามไปจนทั่วช่องท้อง ตามนิมิตอกุศลกรรมที่เคยทำมา เป็นต้น หรือบางทีเราอาจจะใช้ฉมวกเป่า แทงปลาที่ก้านคอ มาชาตินี้ เมื่ออกุศลกรรมให้ผล เราก็อาจเป็นเนื้อร้ายที่ก้านคอก็ได้ ให้นึกเสมอว่า กรรมนั้นให้ผลเที่ยงตรง และแน่แท้ ยิ่งกว่านาฬิกายี่ห้อแพง ๆ ที่เราสวมใส่บนข้อมือเราเสียอีก นาฬิกานั้น เมื่อถ่านหมด ก็ไม่มีปัญญาเดินได้อีกจนกว่าเราจะใส่ถ่านใหม่ และปรับตั้งเวลาให้ตรง ส่วนกรรมที่เราทำ ไม่ต้องอาศัยถ่าน หรือเชื้อเพลิงใด ๆ ก็ตามมาให้ผลเราได้ ไม่ว่าเราจะเกิดเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่บ้านเลขที่เท่าใด หรือจะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล ให้คนทั้งหลายจดจำไม่ได้ ก็ไม่สามารถหลอกลวงกรรมที่เราสร้างได้

    ในชาติก่อนหากเราทำอกุศลกรรมไว้ พอเราเกิดใหม่ เป็นหมาก็ต้องรับอกุศลกรรมที่ทำนั้นด้วย คือได้รับทุกข์เวทนาแบบหมา เกิดใหม่เป็นไก่ ก็ได้รับทุกข์เวทนาแบบไก่ เกิดใหม่เป็นหมู ก็ได้รับทุกข์เวทนาแบบหมู เกิดใหม่เป็นคนรวย ก็ได้รับทุกข์เวทนาแบบคนรวย เกิดใหม่เป็นคนพิการยากเย็นเข็ญใจ ก็ได้รับทุกข์เวทนาแบบคนพิการ ยากเย็ญเข็ญใจ ไม่มีบกพร่อง ไม่มียกเว้น นี่จึงเป็นข้อวิเศษของกรรม ที่แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงตรัสยกย่องเลยว่า “กรรมมุนาวัตตัสติโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”


    สำหรับผู้ที่รู้ตัวว่าเป็นคนเจ็บไข้ ได้ป่วยง่าย เป็นคนขี้โรค มีโรคมารุมเร้า อ้อยขออนุญาตแนะนำให้ลองปฎิบัติตนดังนี้ค่ะ

    - หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ อย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน หรือถ้าจะให้ดีที่สุดถ้าคุณมีเวลาตอนเช้า หรือวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ตอนเช้าตื่นนอนปุ๊ป ก็ล้างหน้า แปรงฟัน ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วก็เข้าห้องพระเลยค่ะ ชวนลูก ๆ มาร่วมกันสวดมนต์ด้วยก็ได้ สวนมนต์ไหว้พระตอนเช้า ท่านว่าเป็นเวลาที่ดีที่สุด ไหว้พระก่อนออกจากบ้าน ก่อนไปทำงาน ก่อนกินข้าวเช้า จะมีอานิสงฆ์เพิ่มมากขึ้นค่ะ การสวดมนต์ ก็อย่าลืมสวดบท โพคชงฆ์ อันเป็นบทสวดที่พระพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญว่า มีคุณระงับ ดับโรคร้ายได้ เมื่อตอนเมืองไพสารีมีเหตุผู้คนเจ็บป่วยล้มตายเพราะโรคห่าระบาด ก็ทรงพุทธบัญชาให้คณะสงฆ์สวดโพชคชงค์ ณ ประตูเมืองทั้ง 4 โรคห่าก็กลับระงับดับสูญไปได้ และแม้ตอนที่ทรงพระประชวร ก็ทรงสดับบทสวดนี้ ก็ระงับดับพระอาการประชวรไปได้ นอกจากนี้ ยังทรงแนะนำให้พระสงฆ์พุทธสาวกสวดบทโพคชงค์ เมื่อเกิดโรคร้ายรุมเร้าอีกด้วย

    - ทำชีวกทาน (คือให้ชีวิตเป็นทาน) เป็นอาจิณ ในส่วนตัวอ้อย จะทำชีวกทาน ก็จะทำแบบให้ได้บุญจริง ๆ ไม่ปล่อยนก ปล่อยปลาที่เขาจับขังเป็นอาชีพ เพื่อให้เราซื้อปล่อย เพราะหากทำเช่นนั้นเท่ากับเราไปช่วยต่อบาป ต่อกรรม ให้คนจับสัตว์มากักขัง เพื่อทำเป็นอาชีพต่อไปไม่มีสิ้นสุด ผลบาปก็จะตกมาถึงเราโดยไม่ตั้งใจอีกส่วนหนึ่งด้วย แต่อ้อยจะทำชีวกทานดังนี้ ไปซื้อปลา ซื้อกุ้ง ที่ขังอยู่ตามร้านขายปลาที่ตลาด เอามาปล่อยอุทิศบุญ กุศลโดยขออโหสิกรรมให้เจาะจงแก่เจ้ากรรมนายเวร ที่บันดาลให้เราเสวยอกุศลกรรมอยู่ในขณะนี้

    เพราะอ้อยเชื่อแน่ว่า หากเราไม่ขออโหสิกรรมต่อกันและกัน โดยเรายอมเสียสละตนเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อนแล้ว ก็จะมีบาปหนุนกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ชาติก่อนเราทำเขา ชาตินี้เขาทำเรา ชาติหน้าเราก็ทำเขาอีก ชาติหน้าต่อไปเขาก็ทำเราอีก ไม่มีที่สิ้นสุด และอ้อยก็ยังเชื่ออีกว่า ไม่มีใครอยากผูกเวร ผูกกรรมกันไปทุกชาติ ทุกภพหรอกค่ะ แต่บางทีอาจเป็นด้วยอกุศลกรรมมาบังตา ทำให้เราต้องผูกเวร จองกรรมกันไปไม่มีที่สิ้นสุด หากเรายอมอ่อนเขาไปหาเขาเสียก่อน หมั่นขอโทษ หมั่นทำความดีล้างโทษที่เราเคยทำกับเขาไว้อย่างสม่ำเสมอ แรก ๆ เขาอาจไม่ยกโทษให้เรา ไม่ยอมรับอโหสิกรรมจากเรา แต่เมื่อเราทำบ่อย ๆ เขาก็อาจใจอ่อนยอมรับอโหสิกรรมจากเราในที่สุดก็ได้ เมื่ออโหสิกรรมให้แก่กัน กรรมนั้นก็สิ้นผล คือไม่สามารถส่งผลได้อีกต่อไป เมื่อกรรมสิ้นผล ก็ไม่ต้องผูกเวร จองกรรมกันอีก ไม่มีการผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ชีวิตเราก็จะดีขึ้น หน้าที่การงานเราก็จะดีขึ้น และสุขภาพเราก็จะดีขึ้นเองค่ะ
    การทำชีวกทานนี้ สามารถทำได้บ่อยเท่าที่กำลังทรัพย์ และโอกาสจะอำนวย ทั้งยังได้ประโยชน์ 3 อย่างด้วยกันเป็นอย่างน้อยนะคะคือ เจ้ากรรมนายเวรเก่ายอมอโหสิกรรมให้, ได้ทำบุญใหม่ มีอานิสงค์ให้อายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง, มีบริวารดี มีลูก หลานว่านเครือดี ,มีลูกน้องดี ,มีทรัพย์สินเงินทองดี

    - ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นผู้สูงอายุมาก ๆ หรือผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน หรือคุณแม่บ้าน หรือผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย ให้ออกกำลังกายในแบบท่าโยคะ หรือการทำกายบริหาร ก้ม เงย บิดตัว ยืดตัว งอตัว หรือออกกำลังกายไปพร้อมกับการทำงานบ้าน (ซึ่งอ้อยใช้เป็นประจำ) เช่นการตัดต้นไม้ กวาดบ้าน เช็ดถูบ้าน หรือการแกว่งแขนตบมือด้านหน้าและด้านหลังสลับกันสัก 100 ครั้ง หรือถ้าไม่มีเวลาจริง ๆ ก็ใช้วิธีเกร็งกล้ามเนื้อ แล้วปล่อยทำสลับกัน เช่นเกร็งแขน เกร็งขา เกร็งหน้าท้อง ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายค่ะ

    - สูดอากาศบริสุทธิ์ สุดกลิ่นดอกไม้บ้าง กลิ่นดินเวลาฝนตกใหม่ๆ บ้าง เปิดเพลงที่ชอบ แล้วแด๊นซ์ หรือเต็นรำตามท่าที่อยากทำ หรือเวลาทำงาน หัดฮัมเพลงบ้าน ร้องเพลงบ้าง หรือนึก คิดอะไรที่เป็นเรื่องขำขันบ้าง หรือเวลานั่งรถไปทำงาน ไปธุระที่ต่าง ๆ ให้มองข้างถนนมากขึ้น มองชีวิตคนแปลกหน้าที่พบเจอด้วยมุมมองที่แปลก แตกต่างกันออกไปบ้าง อันนี้ เป็นเรื่องบำบัดหัวใจ บำบัดสมองให้อิ่มเอิบ เป็นการขจัดความเครียดอีกแบบหนึ่ง สำหรับอ้อย นอกจากวิธีข้างต้น อ้อยรู้ตัวว่าจะมีความสุข กับการเดินช๊อปปิ้ง เลือกดูเสื้อผ้า ข้าวของ แก้วแหวนเงินทอง ต่าง ๆ อ้อยก็จะจัดเวลาอย่างน้อย หนึ่งวันต่อสัปดาห์ เพื่อเดินช๊อปตามใจชอบ ซึ่งนอกจากจะได้ความสุขแล้ว ยังเป็นการพักผ่อนที่ดี และถือเป็นการให้กำไรแก่ชีวิตอีกด้วยค่ะ

    - อีกวิธีทำบุญอย่างหนึ่งที่อยากแนะนำสำหรับคนขี้โรค คือการทำบุญเกี่ยวกับกิจการโรงพยาบาล กิจกรรมสาธารณสุข การสงเคราะห์คนด้วยยา หรือตามตู้รับบริจาคอาหารกลางวัน การทำบุญประเภทนี้มุ่งสงเคราะห์ผู้คนให้หายโรค คลายทุกข์โดยตรง จะได้อานิสงฆ์ในการหายจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างตรงจุดที่สุดค่ะ

    - อีกข้อ แถมท้าย ในการเลือกรับประทานอาหาร อย่าทานอาหารรสมัน เค็ม หวาน จัดนัก และอีกอย่างคืออย่าทานอาหารที่ ปิ้ง ทอด ย่าง มากนัก แต่ไม่ได้ห้ามนะคะ หากอยากทานจริง ๆ ก็อาทิตย์ละสัก 2 ครั้งพอไหวค่ะ ,ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ นะคะ หากจะดื่มน้ำเพื่อรักษาโรค และขจัดของเสียให้ร่างกายแบบมีประสิทธิภาพที่สุด ให้ดื่มน้ำสะอาดที่ไม่แข่เย็น 2 แก้วใหญ่ ๆ ทุกเช้าหลังจากตื่นนอนค่ะ อันนี้หากใครปฎิบัติได้ จะช่วยล้างพิษ และรักษาร่างกายให้แข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อเลยละค่ะ

    ที่มา http://www.beautysecret.co.th/index.php?lite=article&qid=581160
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2012
  10. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    อ้าว อนุญาตให้โพสต์แล้วเหรอคะ คุณ toplus99 ไม่ใช่ไม่สนใจนะคะ แต่ปฏิบัติตามกฎระเบียบเลยได้แต่กด like เอ๊ย อนุโมทนาค่ะ เพื่อความต่อเนื่องของเนื้อหา

    แนวทางการรักษาบางอย่างดิฉันก็มีความลังเลในประสิทธิผลนะคะ เนื่องจากโดยส่วนตัว ดิฉันพอมีประสพการณ์ตรง และ ได้ทราบประสพการณ์จากคนรอบข้างมาบ้างค่ะ เนื้อหาบางประการก็เคยอ่าน อีกทั้งเคยได้สังเกต และขอความรู้จากผู้นำไปปฏิบัติจริง แต่ลางเนื้อชอบลางยา คือ คำตอบที่ดิฉันพบค่ะ และไม่ว่างอย่างไร การทานผัก ผลไม้ ดื่มน้ำเปล่า พร้อมทั้งออกกำลังกาย ก็เป็นวิธีการที่เหมาะสมกับทุกคนจริง ๆ ค่ะ เพราะนอกจากจะทำให้แข็งแรงแล้ว ผิวพรรณยังแจ่มใสด้วยค่ะ

    ขอบคุณนะคะ สำหรับข้อมูลที่คุณ toplus99 ได้คัดสรร และรวบรวมจากประสพการณ์เพื่อนำมาลง ดิฉันจะค่อย ๆ อ่านและพิจารณาค่ะ
     
  11. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    เดี่ยวจะมีบทสรุปรวบยอดอีกครั้งครับ
    กะว่าจะพยายามนำเสนอกันแบบ เข้าใจง่ายๆ ตรงๆ แล้วอาจจะถึงบางอ้อก็ได้
    และคงขอเสริมบท ประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวกับการเกิดเลือดพิษ ของ Toplus99 ในรูปแบบประหลาดๆบางอย่าง ให้ฟัง...ว่ารักษาอย่างไร

    ที่นำลงไว้หลายอย่าง ก็อยากให้เห็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ของเนื้อหา
    เอาไว้ก่อน

    ถ้าว่างเดี๋ยวเจอกันที่ ศาลาประชาคมหมู่บ้านโคกกระแด้..ด้วยนะครับ....เร็วๆนี้
     
  12. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    Detoxification ล้างพิษ ล้างโรค

    ดีท็อกซ์ ในทางการแพทย์แบบองค์รวมหมายถึง “วิธีการใดก็ได้ที่เอื้อให้ร่างกายขับสารพิษ และของเสียที่ตกค้างได้มากขึ้น” สิ่งที่ทำให้เกิดสารพิษได้ร่างกายนั้นมีอยู่ด้วยกันอยู่ 2 สาเหตุได้แก่ สารพิษจากสิ่งแวดล้อม และ สารพิษในร่างกาย เช่น สารที่ได้จากการสันดาปของร่างกาย อาทิ สารอนุมูลอิสระ ของเสียที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ และของเสียที่เกิดจากความเครียด

    “จริงอยู่ที่ร่างกายมนุษย์ถูกสร้างให้มีระบบบำบัดตนเองตามธรรมชาติ แต่การล้างพิษหรือดีท็อกซ์นี้จะช่วยเสริมประสิทธิภาพให้ระบบดังกล่าวทำงานได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น”

    เราควรทำดีท็อกซ์ปีละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยร่างกายขจัดสารตกค้างและสิ่งหมักหมมที่กลไกการขับสารพิษไม่สามารถกำจัดให้หมดเองได้ หรือทำเมื่อร่างกายส่งสัญญาณว่าน่าจะถึงเวลาล้างพิษแล้ว เช่น รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียง่าย เครียด ป่วยกระเสาะกระแสะ เป็นต้น

    เลือกดีท็อกซ์ที่เหมาะกับคุณ

    การเลือกใช้วิธีล้างพิษควรพิจารณาตามสภาพร่างกายของแต่ละคน ปัจจุบันดีท็อกซ์ที่นิยมใช้กันมีอยู่ 6 วิธี

    1.กินผักผลไม้ล้างพิษ (Eat to Detoxify) ผักผลไม้ให้กากใยช่วยในการขับถ่ายและทำความสะอาดลำไส้ ช่วยเพิ่มปริมาณการกำจัดสารตกค้างในร่างกายได้

    2.อดเพื่อล้างพิษ (Fasting to Detoxify) หาใช่การงดกินอาหาร หากแต่หมายถึงการ จำกัดปริมาณอาหารเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานไม่เกิน 800 กิโลแคลอรีต่อหนึ่งวัน ซึ่งเอื้อให้ร่างกายดึงพลังงานเก่าในร่างกายมาใช้มากขึ้น และขับสารพิษที่สะสมอยู่ออกมาพร้อมกัน นอกจากขจัดสารพิษได้แล้วยังช่วยรักษารูปร่างอีกด้วย ผู้ที่ขาดสารอาหารไม่ควรใช้วิธีอดล้างพิษ

    3.การสวนล้างลำไส้ (Colonic Irrigation) คือการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ที่นิยมมี 2 วิธี
    3.1 High Colonic หรือการล้างตลอดลำไส้ใหญ่ โดยใช้เครื่องมือควบคุมความดัน ปั๊มน้ำสวนเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ พร้อมทั้งนวดท้องไปด้วย จากนั้นจึงถ่ายท้องออก ทำเช่นนี้ 3-4 ครั้ง เหมาะสำหรับผู้ป่วยท้องผูกเรื้อรัง หอบหืด ข้ออักเสบ และภูมิแพ้

    3.2 การสวนล้างส่วนปลายลำไส้ใหญ่ด้วยการใช้กาแฟ หรือชา เป็นแนวคิดของ Dr. Max Gerson นายแพทย์ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันผู้นำในการรักษามะเร็งด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดยุคแรกๆ เป้าหมายหลักของการสวนกาแฟคือ ให้สารคาเฟอีนเข้าไปเร่งการทำงานของตับให้ขับสารพิษได้มากยิ่งขึ้น ใช้ได้ทั้งกาแฟเม็ดนำมาบดและกาแฟบริสุทธิ์สำเร็จรูป ปัจจุบันชุดสวนกาแฟมีขายทั่วไปตามร้านขายยา วิธีการล้างพิษนี้เหมาะกับคนธาตุร้อนหรือคนที่มักมีอาการร้อนในง่าย หงุดหงิดง่าย น้ำกาแฟที่ใช้สวนล้างจะช่วยให้ร่างกายกลับสู่ภาวะสมดุล วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนเป็นความดันโลหิตสูง คนธาตุเย็น หนาวง่าย อ่อนเพลียง่าย รวมทั้งคนที่ดื่มกาแฟไม่ได้ ก่อนทำควรปรึกษาแพทย์

    4.ฝึกลมปราณ (Prana Detoxification) เป็นการควบคุม “ปราณ” หรือพลังชีวิตให้อยู่ใน ภาวะสมดุล เช่น การฝึกชี่กง (Qi Gong) รำไท้เก๊ก (Taichi chuan) หรือโยคะ (Yoga)

    5.ฝึกสมาธิ (Concentration to the Destruction of Cankers) การทำสมาธิเป็นประจำนอกจากจะทำให้จิตใจสงบยังช่วยปรับสภาวะการทำงานของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกายได้ด้วย

    6.การใช้สารคีเลชั่น (Chelation) อีกหนึ่งเทคนิคที่นิยมกันมากในแถบยุโรปและเริ่มแพร่ หลายเข้ามาในบ้านเรา คีเลชั่น คือการใช้กรดอะมิโน ชื่อ EDTA (Ethylenediaminetetraacetic Acid หรือ เอทิลีนไดอะไมน์เตตระอะซิติก แอซิด ) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ค้นพบเมื่อปี 1930 โดย Franz Munz ชาวเยอรมัน และต่อมาได้จดทะเบียนสำหรับเป็นยารักษาภาวะโลหะหนักสะสมในร่างกาย ทั้งยังช่วยรักษาความผิดปกติของผนังหลอดเลือด

    การดีท็อกซ์วิธีนี้จะนำกรดEDTA มาผสมกับวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ หยดเข้าหลอดเลือดเพื่อช่วยกำจัดโลหะหนักที่อาจตกค้างอยู่ในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณผนังหลอดเลือดให้ไหลเวียนออกมาในกระแสเลือด รวมไปถึงที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อทั่วร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้วิธีนี้
    ปรับสมดุลร่างกายหลังล้างพิษ

    หลังจากปฏิบัติการล้างพิษคุณอาจรู้สึกอ่อนเพลีย เรามีวิธีดูแลร่างกายให้กลับเข้าสู่ภาวะสมดุลมาฝากกัน ซึ่งหากทำเป็นประจำจะช่วยกระตุ้นกลไกการล้างพิษตามธรรมชาติให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

    1.รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง อาทิ ข้าวกล้อง พืชผักผลไม้ปลอดสารพิษ เช่น หัวบีท อาร์ติโชก กะหล่ำปลี บล็อกโคลี่ สาหร่ายทะเล เป็นต้น
    2.รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรหรือเครื่องเทศเป็นประจำ
    3.รับประทานผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง เช่น ส้ม มะนาว มะขามเทศ เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างกลูตาไธโอนในตับ ให้ขับสารพิษได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    4.ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
    5.หายใจเข้าลึกๆ เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนออกซิเจนในร่างกาย
    6.พยายามไม่เครียดและมองโลกในแง่ดี เพื่อรักษาสมดุลในร่างกายและจิตใจ
    7.บำบัดร่างกายด้วยน้ำ โดยการอาบน้ำอุ่น30 วินาที สลับกับน้ำเย็น 30 วินาที ทำเช่นนี้ 3 ครั้ง ก่อนนอน 30 นาที ให้กล้ามเนื้อและจิตใจผ่อนคลาย จะช่วยให้หลับสบาย
    8.หาเวลาว่างอบซาวน่า เพื่อช่วยขับของเสียออกทางผิวหนัง
    9.ใช้แปรงขนนุ่มๆ หรือใยบวบ ขัดทำความสะอาดร่างกาย ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต
    10.ออกกำลังกายเบาๆโดยการทำโยคะ ชี่กง หรือไท้เก๊ก เป็นประจำ

    http://healthandcuisine.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2012
  13. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    เรกิ ความหมายและความเป็นมา
    “เรกิ” (Reiki) เป็นคำในภาษาญี่ปุ่น โดย เร นั้นอาจหมายถึง ความรู้ทางจิต จิตวิญญาณที่ได้รับการอบรม หรือจักรวาล ส่วน กิ หมายถึง พลัง ลมหายใจ หรือความมีชีวิต ซึ่งเป็นความหมายเดียวกับคำว่าชี่ ในภาษาจีน และคำว่าปราณ ในภาษาสันสกฤต เมื่อมารวมกันแล้ว เรกิ จึงหมายถึง พลังชีวิตจากจักรวาล
    บันทึกความเป็นมาของเรกิ
    เรกิ เป็นการบำบัดรูปแบบหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อราว 100 กว่าปีก่อน จากการค้นคว้าของ ดร.มิคาโอะ อุซูอิ (Dr.Mikao Usui) ชาวญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญด้านปรัชญา ศาสนา และธรรมชาติบำบัด โดยมีรากฐานมาจากแนวทางปฏิบัติของลามะทิเบต ที่นำพลังจากธรรมชาติมาใช้ฝึกจิตให้สงบเพื่อเข้าสู่สภาวธรรม และได้เผยแพร่สู่พุทธศาสนานิกายมหายาน ในแถบประเทศจีนและญี่ปุ่น
    ดร.อุซูอิ ได้นำสิ่งที่ตนรู้มาเผยแพร่เพื่อเป็นแนวทางบำบัดโรคตามธรรมชาติ โดยมีลูกศิษย์คนสำคัญ คือ นายแพทย์จุชิโร ฮายาชิ แพทย์นาวิกโยธิน ผู้พัฒนาเรกิบำบัดจนเป็นรูปเป็นร่างในปัจจุบัน และอีกท่านซึ่งมีส่วนในการเผยแผ่เรกิไปทั่วโลกคือ คุณฮาวาโยะ โทคาตะ สตรีชาวญี่ปุ่นในฮาวายผู้โดนรุมเร้าด้วยโรคภัย จนได้มาพบเรกิบำบัดบนแผ่นดินเกิด ช่วยเยียวยาเธอจนหายดี และเพื่อช่วยให้คนอื่นหายจากโรคเช่นเดียวกับเธอ โทคาตะจึงนำเรกิบำบัดไปเผยแผ่ยังสหรัฐอเมริกา ทำให้เรกิเป็นที่รู้จักในวงกว้างจนถึงทุกวันนี้
    จากผลงานของบรมครูเรกิทั้ง 3 ท่าน เป็นที่คาดหมายว่าปัจจุบันมีผู้ใช้เรกิบำบัดกว่าล้านคน และมีเรกิมาสเตอร์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านเรกิอีกกว่า 50,000 คนทั่วโลก
    ซึ่งนอกจากเรกิมาตรฐานสายตรงจากดร.อุซูอิ ยังมีเรกิสายอื่นแตกแขนงออกมาอีกมากมาย เช่น เรกิสายยุโรป หรือเคลติก เรกิ

    Celtic Reiki เรกิสายยุโรป
    เคลติก เรกิ (Celtic Reiki) เป็นเรกิในแบบฉบับชาวยุโรปเชื้อสายเคลป์ ที่ผสมผสานระหว่างเรกิมาตรฐานกับความเชื่อเรื่องพลังธรรมชาติ เรกิสายนี้มีความเชื่อว่าเราสามารถรับพลังงานจากจักรวาลได้ผ่านทางต้นไม้ 25 ชนิด เช่น เฟอร์ เบิร์ช ฮอว์ธอร์น วิลโลว์ ไอวี่ และฮันนี้ซัคเกิ้ล โดยการสัมผัสต้นไม้หรือแวดล้อมไปด้วยต้นไม้เหล่านี้ จะทำให้ได้รับพลังจักรวาลและบำบัดอาการต่างๆ ได้ตามแต่คุณสมบัติของต้นไม้แต่ละชนิด
    หากอยากลองสัมผัสพลังธรรมชาติตามแบบเคลติก เรกิ ลองนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ๆ หรือสัมผัสลำต้นของต้นไม้ดู แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าช่วยบำบัดอาการต่างๆ ได้จริงเท็จแค่ไหน แต่ออกซิเจนที่ต้นไม้คายออกสู่บรรยากาศและพลังอื่นๆ ที่แผ่ออกสู่ร่มเงาไม้ล้วนมีส่วนให้เกิดความสุข สงบ และสดชื่นที่รู้สึกได้เช่นกัน

    เอกลักษณ์ของเรกิ
    เรกิ เป็นการบำบัดที่มีเอกลักษณ์และจุดเด่นตรงที่ไม่ใช่ศาสนาหรือลัทธิ ไม่มีข้อห้าม ไม่มีผลข้างเคียง และไม่ต้องใช้อุปกรณ์ในการบำบัด สิ่งเดียวที่ผู้ทำเรกิและผู้รับการบำบัดต้องมี คือ ความเชื่อในพลังธรรมชาติและยึดกฎ 5 ข้อ (Principle of Reiki) อันเป็นแนวปฏิบัติซึ่งคล้ายคลึงกับคำสอนในพุทธศาสนา ได้แก่

    1.ฉันจะไม่โกรธ
    2.ฉันจะไม่กังวล
    3.ฉันจะสวดมนตร์ภาวนา
    4.ฉันจะทำงาน (ด้านพัฒนา จิตวิญญาณ) อย่างซื่อสัตย์
    5.ฉันจะมีเมตตาต่อทุกสรรพชีวิตบนโลก

    โดยกฎทั้ง 5 ข้อมีพื้นฐานสำคัญว่า ต้องอยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่กังวลเรื่องอนาคตหรือจมอยู่กับอดีต

    เรกิบำบัดทำอย่างไร
    เรกิ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับใช้เสริมการรักษาโรคร่วมกับวิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ในการทำเรกิผู้ป่วยจะต้องได้รับการบำบัดโดยเรกิ มาสเตอร์ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางส่งผ่านพลังจากจักรวาลเข้าสู่จักระทั้ง 7 จุดในร่างกาย อันได้แก่ 1.กระหม่อม (crown chakra) 2.หว่างคิ้ว (3rd eye chakra) 3.คอ (throat chakra) 4.หัวใจ (heart chakra) 5.ลิ้นปี่ (solar plexus chakra) 6.ส่วนท้อง ใต้สะดือลงไป 2 นิ้ว (sacral chakra) 7.อวัยวะเพศ (root chakra) เพื่อปรับสมดุลทางเคมี ในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ
    โดยเรกิ มาสเตอร์ ที่ผ่านการฝึกฝนและเปิดจักระแล้วจะสามารถรับพลังจักรวาลผ่านการทำสมาธิ และส่งผ่านพลังนั้นทางฝ่ามือเพื่อให้คลื่นพลังไหลเวียนทั่วร่างกายผู้ป่วย ใช้เวลาราว 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับอาการเจ็บป่วยของแต่ละคน ลองนึกภาพการถ่ายพลังรักษาโรคที่พบเห็นได้ในหนังจีนกำลังภายใน นั่นเป็นวิธีที่คล้ายกับการทำเรกิมากค่ะ
    อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยอาจศึกษาเรกิ เพื่อบำบัดตนเองได้เช่นกัน โดยการเรียนมี 3 ระดับ เริ่มตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ที่สามารถนำพลังจักรวาลมาดูแลตนเองและผู้อื่นได้ โดยเรกิมาสเตอร์จะเปิดจักระให้ผู้เรียนก่อน และสอนตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของเรกิ ตลอดจนการทำสมาธิ การดูออร่า และการถ่ายทอดพลังจักรวาล ระดับพัฒนา จะเป็นการเรียนรู้สัญลักษณ์เพื่อนำพลังจักรวาลมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นรวมทั้งเพื่อใช้ขจัดพลังไม่ดีออกจากสถานที่บำบัด และระดับสูงหรือมาสเตอร์ เป็นเรกิขั้นสูงสุดที่สามารถเปิดจักระให้ผู้อื่นได้


    เรกิกับวิทยาศาสตร์และการแพทย์
    ปัจจุบัน เรกิบำบัด นิยมใช้ในหลายประเทศทั่วโลกเพื่อช่วยในการรักษาโรคมะเร็ง โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน โรคปลอกประสาทอักเสบ (Multiple Sclerosis) รวมทั้งความเครียดและอาการแพนิก เพราะการบำบัดจะเข้าไปปรับสมดุลพลังงานในร่างกายให้ระบบต่างๆ ทำงานดีขึ้น
    โดยในประเทศสหรัฐอเมริกามีการทดลองมากมายเกี่ยวกับการใช้เรกิบำบัดผู้ป่วย ตัวอย่างเช่น การทดลองโดยทีมนักวิจัยจาก University of Texas Houston Health Science Center ซึ่งทดสอบวัดอุณหภูมิ ความดันโลหิต และการตอบสนองของกล้ามเนื้อผู้ป่วยที่ทำเรกิบำบัด ผลการวิจัยสรุปว่าผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย และมีภูมิต้านทานสูงขึ้น จากการไหลเวียนโลหิตที่สมดุลและความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ และปริมาณน้ำลายที่เพิ่มขึ้น
    อีกหนึ่งการทดลองที่น่าสนใจโดยมหาวิทยาลัยเยล คือ การทดสอบกับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 20 ราย โดยให้ผู้ป่วย 10 รายใช้เรกิบำบัดควบคู่กับการรักษาตามปกติ ส่วนอีก 10 รายใช้วิธีรักษาตามปกติ พบว่า ผู้ป่วยกลุ่มแรกมีอาการดีขึ้นกว่ากลุ่มที่สองมาก โดยผู้ป่วยเริ่มแข็งแรงขึ้นและตอบสนองต่อการรักษาทางทางการ

    เรกิในเมืองไทย
    ปัจจุบัน เรกิในเมืองไทยยังไม่เป็นที่แพร่หลายและถือว่าค่อนข้างใหม่ อีกทั้งยังมีคนเพียงจำนวนไม่มากที่รู้จักและใช้เรกิเพื่อบำบัดโรค โดยมากจะพบการบำบัดเรกิได้ในสปาชั้นนำ ศูนย์สุขภาพ หรือสถาบันแพทย์ทางเลือกแบบองค์รวม ที่ให้บริการเรกิร่วมกับการบำบัดแบบต่างๆ
    และนี่คือสถานที่น่าสนใจสำหรับผู้ต้องการบำบัดแบบเรกิ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติม ขอคำปรึกษา หรือนัดทำการบำบัดได้ตามข้อมูลนี้ค่ะ


    ขอบคุณ http://healthandcuisine.com
     
  14. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    สุขภาพคนดัง โยคะ...ช่วยชีวิตเธอ "เล็ก ฉัตริษา ศรีสานติวงศ์"


    ...เสียงความเจ็บปวดคือเพื่อน ถ้าวันหนึ่งไม่รู้สึกเจ็บปวดวันหนึ่งมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่...

    “เล็กเกือบจะเป็นอัมพาตเพราะการหกล้ม” คำพูดของ เล็ก-ฉัตริษา ศรีสานติวงศ์ บ่งบอกให้ได้ทราบว่าตนเองจะต้องหันมาดูแลสุขภาพให้มากขึ้นกว่าเดิม

    ก่อนหน้านี้ 7-8 ปีที่ผ่านมา เล็ก-ฉัตริษา พิธีกรชื่อดังต้องประสบอุบัติเหตุจากการลื่นหกล้มอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

    จากที่เคยเป็นนักกีฬามาตั้งแต่เด็ก ทั้งบาสเกตบอล ว่ายน้ำ ตีกอล์ฟ อย่างหักโหม ซึ่งตอนนั้นก็ยังคงคิดว่าตนเองเล่นกีฬาแล้วร่างกายต้องแข็งแรง ไม่เคยมีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด จนกระทั่งเธอเองมาลื่นหกล้มตกบันได อาการที่เรียกว่า โรค “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” จึงเกิดขึ้นกับเธอ

    หลังจากตกบันได เล็กรักษาอยู่ 2 ปี คุณหมอเอกซเรย์ไม่พบอะไร อัลตราซาวนด์ก็ไม่พบ ไปทำไคโรแพรกติก จัดเรียงกระดูกก็ไม่ดีขึ้น เราทำทุกวิธี กินยาจีน ฝังเข็ม มันก็ได้แค่แรกๆ ที่รู้สึกว่าหาย แต่ก็เริ่มกลับมาเจ็บอีก และเริ่มปวดมากยิ่งขึ้น ที่ร้ายแรงที่สุด หยิกขาตัวเองแล้วมันชา เหมือนขาไม่มีความรู้สึก ตกใจมาก ไปหาหมอ หมอแนะนำให้เราผ่าตัด” เมื่อเธอได้ยินคำว่าผ่าตัดออกมาจากปากของคุณหมอ อาการจิตตกจึงเริ่มเกิดขึ้นและความกลัวจึงเริ่มเข้ามาทำให้เธอต้องเริ่มหาวิธีในการรักษาตนเองให้ได้และไม่ยอมรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด

    “เราจิตตกไปเลย และเริ่มคิดว่าต้องผ่าตัดตัวเองและต้องหันมาดูแลตัวเอง เล็กเคยไปนวดแผนไทยแล้วรู้สึกว่าดีขึ้นแต่มันไม่หายขาด สักพักก็กลับมาปวดอีก แต่มีช่วงหนึ่งที่ไปฝึกโยคะ เราก็ลองเอามาดัดแปลงให้เป็นโยคะในแบบของตัวเอง ที่ต้องเอามาดัดแปลงเป็นเพราะท่าโยคะมันมีบางท่าที่ไม่เหมาะกับผู้ป่วย ที่มีอาการปวดคอ ไหล่ ไปจนถึงหลัง ”

    ระยะเวลากว่า 6 เดือนที่เล็ก ฉัตริษา เรียนรู้และฝึกฝน นำท่าโยคะแบบดั้งเดิมมาดัดแปลงให้เกิดเป็นโยคะเพื่อสุขภาพของคนที่มีอาการปวด และเกิดอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และเรียกท่าต่างๆ เหล่านั้นว่า โยคะ ฉัตริษา

    หลังจากที่เริ่มหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้วว่าอาการเหล่านั้นหายได้อย่างไร เธอจึงเริ่มศึกษาถึงเรื่องอาการต่างๆ อย่างลงลึก ศึกษาจากตำรากายภาพ และเรียนรู้เส้นประสาทของคนเรา และเริ่มหันมารู้จักการใช้ชีวิตประจำวันให้ถูกวิธี เช่น การเดิน ยืน นั่ง นอน ให้ถูกวิธี รู้จักฝึกบริหารร่างกายให้เหมาะกับตนเอง

    จากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไป รู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่จะสำคัญกว่าสุขภาพของตนเอง ทำงานหาเงินได้เท่าไหร่ ต้องใช้ในการรักษาตนเองทั้งหมด

    “เรารู้สึกว่ายิ่งหาเงินมากเท่าไหร่ ก็ต้องเอาไปลงที่หมอทั้งหมด เสียทั้งร่างกาย ทั้งจิตใจ และเสียเงิน จนเกิดอุบัติเหตุมันทำให้ทราบว่า คำกล่าวที่ว่า “อโรคายา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นยังไง ทำให้หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น”

    “ถ้าให้เปรียบร่างกายเหมือนบ้านสักหลังหนึ่ง เราเองอยู่กับบ้านหลังนี้มานานแค่ไหน แต่ไม่เคยรู้เลยว่าระบบของบ้านเราเองเป็นยังไง ระบบเลือดก็เหมือนน้ำประปาที่หล่อเลี้ยง พอเราเจ็บก็มานั่งร้องโอดโอย แต่ถ้าเริ่มรู้จักเรียนรู้ระบบร่างกาย ก็จะสามารถดูแลตัวเองได้”

    นอกจากนี้เธอยังบอกอีกว่า วิธีการที่จะสังเกตว่าตนเองเป็นหรือไม่นั้น อาการของการปวดหลัง ไหล่ ธรรมดา สามารถส่งผลให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน ต้องสังเกตตนเองว่ากินยาแก้อักเสบแล้วหายหรือไม่ หากไม่หายและยังมีอาการเพิ่มมากขึ้น ก็เป็นสาเหตุของการเกิดโรคนี้ได้เช่นกัน

    การศึกษาเรื่องราวของกายภาพเป็นเวลากว่า 5 ปี ทำให้เล็กได้ค้นพบว่าการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยแบบนี้คือการออกกำลังกายที่เหมาะสม

    “คำแนะนำของคุณหมอที่หลายคนไปพบมานั้นบอกว่า เมื่ออาการของโรคดีขึ้นก็ให้ออกกำลังกาย แต่การออกก็ควรทำให้เหมาะสม ซึ่งผู้ที่เป็นอาการแบบนี้ไม่ควร เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เพราะเราเป็นนักกีฬามาก่อนเลยทำให้รู้ว่าการเคลื่อนไหวมีผลต่อกระดูกสันหลังที่เป็นมาก จึงควรออกกำลังกายเบาๆ ค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกาย การออกกำลังกายเร็วๆ ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู แต่มันกลับทำให้เกิดอาการบาดเจ็บมากยิ่งขึ้น”

    หากแต่อาการของผู้ที่มีโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท แล้วต้องการที่จะฟื้นฟูร่างกายนั้นปัจจัยที่จะทำให้สภาพร่างกายกลับเป็นปกตินั้นต้องขึ้นอยู่กับอายุ ความเสื่อมของกระดูก น้ำหนักตัว กล้ามเนื้อ และที่สำคัญการกดทับของกระดูกที่ทับเส้นประสาทว่ามากน้อยแค่ไหน

    “จะฟื้นฟูได้มากแค่ไหนต้องอยู่ที่ปัจจัยเหล่านั้นด้วยนะคะ ว่าจะสามารถคืนสู่สภาพเดิมได้มากน้อยแค่ไหน อย่างเล็กเอง การกดทับของกระดูกทับเส้นประสาทไม่มากนัก เราค่อยๆ เรียนรู้ด้วยตนเอง และบังเอิญที่เราสามารถเจอกุญแจดอกสำคัญที่ทำให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติ ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาทั่วไป หลายคนมาปรึกษาเราทางโทรศัพท์แต่เราไม่สามารถบอกได้ ต้องมาเจอด้วยตนเอง และคนที่มาขอคำแนะนำให้ช่วยบางคนหาย บางคนก็ไม่หาย มันขึ้นอยู่ที่วินัยของแต่ละคนด้วยว่าสามารถทำได้หรือไม่”

    ก่อนที่โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจะถามหา ควรคำนึงถึงการใช้ชีวิตประจำวันของตนเองก่อนว่าเป็นอย่างไร ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างถูกวิธีหรือไม่ ไม่ต้องย้อนดูอะไรทั้งสิ้น เพราะการสังเกตอิริยาบถว่าถูกวิธี ทำอะไรผิดไปบ้างคือสิ่งสำคัญ

    “บางคนนั่งทำงานนานๆ อาจจะเกิดอาการบาดเจ็บกับตัวเอง ถ้าเรายืน เดิน นั่ง นอน ผิดไปอาจจะเกิดโรคเรื้อรังได้ ถ้าเรานั่งทำงานหลังโค้งงอบ่อยๆ ร่างกายจะปรับสภาพไปตามสภาพที่เป็น เพราะเราเป็นสิ่งมีชีวิต ถ้านั่งหลังงอบ่อยๆ แล้วรู้สึกสบาย พอให้นั่งหลังตรง นั่งไม่ได้ ต้องเริ่มปรับตัวทำให้ถูกท่า

    “เล็กเองนั่งหลังตรงมาจนเมื่อเริ่มรู้สึกว่าหลังเริ่มงอ มันจะหายใจไม่ออก รู้สึกอึดอัด ใครก็ตามที่รักษาหายแล้วยังนั่ง เดิน ยืน นอนที่ผิดปกติ ก็สามารถกลับไปเป็นได้เช่นกัน”

    จากอาการเจ็บปวดและเรียนรู้รักษาตัวเองมาโดยตลอด ทำให้เธอหายขาดจากอาการปวด กลายเป็นคนที่แข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม คล่องแคล่วมากขึ้น และยังคงบอกเล่าเรื่องราวและคอยให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่เกิดอาการดังกล่าวได้อย่างมีความสุข

    “บอกไว้ก่อนเลยว่า อย่าทำให้ตัวเองอยู่ในความประมาท ไม่ว่าจะพื้นบ้านลื่น อย่าทำให้บ้านมีอันตราย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ต้องคอยดูแลท่านให้ห่างไกลจากการปีนต้นไม้ ทำความสะอาดบ้าน หรืออะไรก็ตาม ถ้าผู้สูงอายุเป็นแล้วร่างกายจะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ และถ้าจะหกล้ม จำไว้เลยว่าอย่าเอาก้นลง ให้เอาข้อศอกหรือแขนลงแทน ระวังในเรื่องของการเดิน ยืน นั่ง นอน โดยเฉพาะคนวัยทำงานจะเกิดอาการเจ็บปวดที่ส่งผลให้เกิดอาการเรื้อรังได้ ”

    “เล็กอยากจะบอกว่าเพื่อนที่ดีที่สุดของเราก็คือ เสียงของตัวเอง ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่จะคอยบอกเรา เล็กว่าความเจ็บปวดคือเพื่อน ทำไมเราไม่ฟังเสียงของตัวเอง วันหนึ่งถ้าเราไม่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมามันจะเป็นเรื่องใหญ่”


    ภาพโดย : ธนารักษ์ คุณทน

    ที่มา : ผู้จัดการ
    วันที่โพสต์ : 2009-11-24
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2012
  15. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    สารสุขหรือเอ็นโดฟินส์ (Endophins)

    อาจารย์หมอประเวศ วะสี เขียนไว้ว่า "ขณะที่เขากำลังวิสามัญฆาตกรรมผู้ค้ายาม้าหรือที่เรียกว่ายาบ้ากันโครม ๆ นอกเหนือไปจากยาบ้ายังมียาเสพติดอื่น ๆ อีกหลายอย่างตราบใดที่ยังมีผู้ต้องการเสพก็จะมีการผลิตและการขายยาเสพติดอยู่ร่ำไป การที่คนไปเสพยาเสพติดกันมากก็เพราะขาดแคลนความสุข จึงต้องไปหาสารอะไรที่มันจะให้ความสุข"

    ตามธรรมชาติร่างกายจะมีกลไกการหลั่งสารที่ให้ความสุขออกมาอยู่ตลอดเวลาสารสุขคือเอ็นโดฟิน (Endophins)

    เอ็นโดฟินส์ จัดเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งในจำนวนหลายชนิดที่สร้างมาจากเซลล์ประสาทเพื่อนำกระแสประสาทถ่ายทอดต่อ ๆ ไป นอกจากน ี้ยังมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ระงับความจับปวด ตลอดจนควบคุมการตอบสนองทางอารมณ์ในส่วนของสมอง (brain) จริง

    เอ็นโดฟินส์เป็นสารเคมีในรูปขอพอลิเพปไทด์ที่เกิดจากการเรียงตัวของกรดอะมิโนเพียง 32 ชนิดหรือ 32 โมเลกุลเท่านั้น โครงสร้างและคุณสมบัติในการระงับความเจ็บปวด จึงคล้ายกับสารพวกมอร์ฟีนหรือเฮโรอีนในธรรมชาติ ดังนั้นจึงคล้ายสารเสพติดร่างกายสร้างได้เอง ไม่จำเป็นจะต้องไปรับจากยาเสพติดต่าง ๆ สารเอ็นโดฟินส์นี้เมื่อหลั่งออกมาจึงทำให้เกิดความสุขซึมซ่านไปทั่วร่างกาย

    เรา ๆ ท่าน ๆ สามารถทำให้เอ็นโดฟินส์หลั่งออกมาได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
    1. การออกกำลังกาย ถ้าออกกำลังต่อเนื่องนานพอสมควร เช่น ประมาณ 20 นาทีขึ้นไป เอ็นโดฟินส์จะออกมามาก ทำให้มีความสดชื่นสบายเนื้อสบายตัว

    2. ทำสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิจะมีความสุขยิ่งนักเพราะเอ็นโดฟินส์ออก

    3. เมื่อจิตใหญ่ เมื่อจิตได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติที่ใหญ่โต เช่น เอกภพ ท้องฟ้า ทะเล ป่าเขาลำเนาไพร พระเจ้า นิพพานแล้วเกิดความสุข

    4. เมื่อมีความเมตตาอย่างไพศาล เมื่อจิตใจมีความเมตตาอย่างไพศาลจะหลุดออกจากความคับแคบ เป็นอิสระเต็มไปด้วยความสุขทั้ง เนื้อทั้งตัว และกรุณา การได้ช่วยเหลือผู้อื่นก็เช่นเดียวกัน ที่เรียกว่าทุบุญแล้วรู้สึกได้บุญ ตัวเบา มีความสุขก็เพราะเหตุนี้

    5. เมื่อแจ่มแจ้งในความรู้ การเรียนรู้อะไรแล้วแจ่มแจ้งแทงทะลุทำให้เกิดความสุข ความสุขนี้ทุกคนทำให้เกิดได้ การเรียนในโรงเรียนควรเปลี่ยนใหม่ให้เป็นการเรียนที่ก่อให้เกิดความสุข ถ้าการเรียนยังก่อให้เกิดความทุกข์อย่างปัจจุบันนักเรียนจะติดยาเสพติดมาก

    6. การประสบความงาม ไม่ว่าจะเป็นความงามตามธรรมชาติหรือศิลปะก่อให้เกิดความสุข

    7. ความสุขในงาน ถ้าทำงานที่ชอบ (ฉันทะ) จะมีความสุข ตั้งใจทำให้ประณีตกลายเป็นความงามหรือศิลปะที่มาพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น

    8. การเกิดกลุ่มหรือความเป็นชุมชน คือการที่คนหลายคนมาทำอะไร ๆ ร่วมกันโดยมีวัตถุประสงค์เดียวกัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน มีการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ ทำให้มีความสำเร็จสูง และมีความสุขอย่างยิ่งประดุจบรรลุนิพพาน

    ท่านอาจารย์ประเวศ วะสี สรุปว่า 8 วิธีดังกล่าว คือ วิธีการหาความสุขโดยไม่ต้องใช้ยาเสพติด

    โดยปกติสารแห่งความสุข จะหลั่งออกมาตอนไหนมากที่สุด - มีคำตอบ - กูรู
     
  16. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ใครจะอย่างไรไม่ทราบ... ขอเดินหน้าลุยต่อก็แล้วกัน

    ใครๆ ต่างก็รู้ว่าการกินเจหรือแม้กระทั่งมังสวิรัติ ซึ่งปราศจากเนื้อสัตว์นั้น ร่างกายได้ประโยชน์อย่างแน่นอน ถ้าหากมองในแง่สุขภาพ เราก็อาจจะนึกไปถึงการดีท็อกซ์ หรือการล้างพิษออกจากร่างกาย แต่หากมองในแง่ศาสนา การถือศีลกินเจน่าจะทำให้เราเกิดความสบายอกสบายใจอันเนื่องมาจากการละซึ่ง การเบียดเบียนสัตว์โลกนั่นเอง

    ผม ลองมานั่งคิดดูว่า การที่จะให้คนส่วนใหญ่หันมาลด ละ เลิก การบริโภคเนื้อสัตว์ในชีวิตประจำวันคงเป็นการยาก แต่ถ้าจะให้ลดปริมาณลงนั้นน่าจะง่ายกว่า

    วันนี้ ผมจึงพยายามหาเหตุผลดีๆ ที่จะเป็นแรงผลักดันให้ท่านลดการบริโภคเนื้อสัตว์หันมากินผักผลไม้ (มากขึ้น) โดยเฉพาะในวัยผู้สูงอายุหรือในวัยเกษียณนั้น ผมขอย้ำว่า ถ้าเลี่ยงเนื้อสัตว์ได้ก็น่าจะเลี่ยง เพราะเนื้อสัตว์นี่แหละครับเป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งของโรคภัยไข้เจ็บ

    เอ้า! เอาเป็นว่าเรามาลองดู 10 เหตุผลดีๆ ที่เราไม่ควรกินเนื้อสัตว์กันดีกว่า

    1. ได้รับสารพิษ เนื้อสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบันมีการเติมสารเคมีนานาชนิดเพื่อให้เนื้อนุ่ม อร่อยและเก็บได้นาน ผลคือพิษร้ายที่เรากินเข้าไปจะมีการสะสมมากขึ้น เพราะปกติร่างกายต้องใช้เวลา 3-5 วัน กว่าที่เนื้อสัตว์จะถูกขับถ่ายออกมา ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคลำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ

    2. กินมากอ้วนมาก เนื่องจากไขมันที่มีมากในเนื้อ โดยความอ้วนเกิดจากโปรตีนที่มากมายที่ร่างกายไม่ได้ใช้ จึงเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ โทษของไขมันสัตว์ที่มีมากเกินไปจะทำให้เส้นเลือดอุดตัน เส้นเลือดแข็งกระด้างตามมาด้วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ

    3. ข้อเสื่อม เนื้อสัตว์มีฟอสฟอรัสมากจะไปกระตุ้นต่อมพาราธัยรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมา ฮอร์โมนนี้จะละลายแคลเซียมออกจากกระดูกทั่วร่างกายมาอยู่ในกระแสเลือด แล้วไปจับตัวในที่ที่มีการเคลื่อนไหวให้สึกหรอ ได้แก่ ตามข้อต่างๆ เกิดเป็นโรคข้อกระดูกเสื่อม

    4. ก้าวร้าวรุนแรง คล้ายๆ กับข้อ 1 แต่จะส่งผลถึงจิตใจ เพราะเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย เต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่นๆ มากมาย โดยเฉพาะกรดในเนื้อมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นหัวใจ และอารมณ์ให้มีความรุนแรง และก้าวร้าวมากขึ้น

    5. โรคจากสัตว์ เราไม่มีทางรู้เลยว่าสัตว์บางตัวตายเพราะโรคอะไร มีคำกล่าวที่ว่ากินอะไรก็จะได้แบบนั้น เรากินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อโรค เราก็ย่อมได้รับเชื้อโรคนั้นแน่นอน

    6. มีใจเมตตา ถ้าเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ แล้วจะทำให้จิตเรามีเมตตา จิตใจผ่องใส เนื่องจากเราไม่ได้เบียดเบียนผู้ใดจิตใจจึงสงบ และมีความสุข

    7. ผิวพรรณสดใส เมื่อเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์แล้วหันมากินอาหารจำพวกผัก ผลไม้เป็นหลักจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล เพราะเกิดการขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทำให้เราสุขภาพดี

    8. ละกรรม ตามหลักคำสอนของศาสนาการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็น ของเรา เป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ไดเป็นผู้ลงมือฆ่าเอง แต่กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้า ทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลง และยังเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ

    9. สมองไบท์ เมื่อร่างกายสดใส ระบบอวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ แน่นอนว่าย่อมส่งผลถึงสมองอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ หากทานผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยเพิ่มความสดชื่น ถ่ายถอนความเหนื่อยล้าของสมอง เมื่อประกอบกับการออกกำลังกาย หายใจเอาอาการบริสุทธิ์ นอนหลับอย่างเพียงพอ จะทำให้สุขภาพดีขึ้น สมองไบท์ขึ้น

    10. ร่างกายต้านสารพิษ การไม่กินเนื้อสัตว์แล้วหันมากินพืชผักผลไม้ จะช่วยให้ร่างกายสามารถต้านทางต่อสารพิษต่างๆ มากกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือแก่ช้า เนื่องจากในผัก ผลไม้มีพฤกษเคมีนานาชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งเสริมการทำงานของร่างกาย รวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

    เป็น 10 เหตุผลดีๆ ที่น่าจะทำให้คุณลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงได้

    ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

    +++++++

    กินเจตลอดชีวิต แต่ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา ก็อย่าหวังรอดจากนรก

    ถึงกินเจตลอดชีวิต แต่ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา ก็อย่าหวังรอดจากนรก หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ เมตตากรุณาสั่งสอนไว้ว่า "การเจริญสติบำเพ็ญภาวนาเท่านั้นถึงจะบรรลุพระอรหันต์ได้ การตัดกิเลสตัณหาต้องใช้พระกรรมฐานเท่านั้น พระกรรมฐานมีให้เลือกตั้งสี่สิบกอง"

    ในอดีตมีคนเคยมาชวนหลวงปู่ฉันเจ ฝ่ายหลวงปู่ท่านตอบว่า "ถ้ากินเจมันประเสริฐเป็นบุญใหญ่นัก วัว ควาย ก็คงเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว คนเราจะกินอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ว่ากิเลสตัณหาตัดได้หรือเปล่า แล้วการกินเจก็ไม่ช่วยให้กิเลสตัณหาลดลง แต่ถ้าจะกินเพื่อสุขภาพละก็อนุโมทนา แต่การกินเจไม่ช่วยให้พ้นนรกได้หรอก คนกินเจลงนรกก็เยอะแยะ เพราะกิเลสตัณหายังเต็มหัวมันอยู่"

    ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วัน ๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก ไอ้ผักนั้นผมก็กิน คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ถึงกินเจตลอดชีวิต แต่ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา ก็กินเจเสียเปล่า หาประโยชน์มิได้ แล้วยังไม่ช่วยให้ตัวเองพ้นจากขุมนรก

    ในสมัยพุทธกาล พระเทวทัตตั้งตัวเองเป็นศาสดาแล้วตั้งโกหัญญกรรม ๕ ประการคือ

    ๑. ให้อยู่ในเสนาสนะป่า ตลอดชีวิต ห้ามตั้งวัด ห้ามเข้าเมืองเลย
    ๒. ให้ถือบิณฑบาต ตลอดชีวิต อาหารที่มีคนมาถวายหลังบิณฑบาตให้ทิ้งให้หมด
    ๓. ให้ทรงผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้วและผ้าเนื้อเลว ตลอดชีวิต ผ้าเนื้อดีเผาทิ้งให้หมด
    ๔. ให้อยู่โคนไม้ ห้านนอน ตลอดชีวิต
    ๕. ให้งดฉันมังสาหาร คือห้ามกินเนื้อ ตลอดชีวิต

    พระพุทธองค์บรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า "ไม่ควร ควรให้ปฎิบัติได้ตามศรัทธา"
    ด้วยทรงเห็นว่า ยากแก่การปฎิบัติ เป็นการเกินพอดีไม่เป็นทางสายกลาง พระเทวทัตจึงโจทก์โทษพระบรมศาสดา ประกาศว่า คำสอนของตนประเสริฐกว่า คนที่มีปัญญาบารมีน้อยหลงเชื่อ ยอมทำตนเข้าเป็นสาวก ครั้นพระเทวทัตได้ภิกษุยอมเข้าเป็นบริษัทของตนแล้ว ก็พยายามทำสังฆเภท ตั้งตัวเป็นศาสดาเสียเอง แล้วท้ายที่สุด พระเทวทัตก็โดนธรณีสูบ ไหม้อยู่ที่อเวจีมหานรก



    ขอบคุณ กินเจตลอดชีวิต แต่ไม่ทําทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา ก็อย่าหวังรอดจากนรก
     
  17. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    เหตุการณ์งวด..เข้ามาทุกทีแล้ว

    กระชับพืนที่แคบเข้ามาเรื่อยๆ


    +++++

    อย่าเพิ่งเบื่อในเนื้อหาที่นำเสนอที่เน้นเรื่องโรคภัย และการดำรงชีวิตเพื่อสุขภาพนะครับ
    แล้วเราจะบอกท่านว่า...

    ท้ายสุดแม้ความเจ็บป่วย โรคภัยทั้งหลายของมนุษยชาติยุคปัจจุบันบางอย่าง

    มันคือสิ่งสะท้อนบอกไปถึง เภทภัยพิบัติทั้งหลายที่เกิดบนพื้นโลกเราด้วย
    ที่เราๆท่านๆต้องมาเผชิญร่วมกันในที่สุดนั่นแล..!

    แล้วไปเกี่ยวอะไรด้วย..?
     
  18. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    จากเนื้อหาบางส่วนของโฆษณา สินค้าประเภทเครื่องสร้างโมเลกุลน้ำ


    น้ำหกเหลี่ยมพลังมหัศจรรย์

    ความรู้เรื่องน้ำหกเหลี่ยม

    น้ำโครงสร้างโมเลกุล 6 เหลี่ยม (Hexagonal Water)
    ช่วยให้เซลล์มีชีวิต เนื่องจากมีโครงสร้างเหมือนกับของเหลวที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์ และเป็นองค์ประกอบสำคัญในการปกป้องร่างกายและช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แพทย์และนักโภชนาการได้ค้นพบว่า

    โครงสร้างของโมเลกุลน้ำมีผลต่อสุขภาพของคนเรา เมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน (Electronic Microscope) พบว่าเซลล์ซึ่งผิดปกติ เช่น เซลล์มะเร็งจะล้อมรอบด้วยน้ำที่มีโมเลกุล 5 เหลี่ยม ขณะที่เซลล์ปกตินั้นจะล้อมรอบด้วยน้ำที่มีโครงสร้างโมเลกุล 6 เหลี่ยม ผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า น้ำซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุล 5 เหลี่ยม (Pentagonal Water) นั้น ไม่สามารถคงสภาพอยู่และทำหน้าที่ได้อย่างปกติในร่างกาย แต่สำหรับน้ำโครงสร้างโมเลกุล 6 เหลี่ยมนั้น สามารถดูดซึมเข้าสู่เซลล์ได้ง่าย เพื่อให้ออกซิเจนแก่เซลล์ ทำให้เกิดการดูดซึมสารอาหาร และการขับถ่ายของเสียออกจากเซลล์ได้ดีขึ้น

    มหัศจรรย์แห่งน้ำ

    เชื่อหรือไม่ว่า “น้ำ” สามารถพูดคุย สื่อสารได้ มีอารมณ์และความรู้สึก จากผลการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เราพบว่าที่จริงแล้ว คุณสมบัติ ของน้ำเหมือนกับสิ่งมีชีวิต เราสามารถนำน้ำไม่ดีมารักษาบำบัดให้เป็นน้ำดีได้ ทำให้เกิดใหม่ได้ สามารถถ่ายทอดสื่อสารข้อมูลกับสิ่ง แวดล้อมได้ และน้ำจะมีปฏิกิริยาที่ไวต่อสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเองมาก น้ำสามารถดึงดูดพลังงานชีวภาพ (Bio – Energy) ออกมาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และแหล่งอื่นๆตามธรรมชาติได้ พลังงานชีวภาพ (Bio – Energy) จะกลายเป็นพลังงานที่ถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำ (Memory) ของน้ำ เป็นความทรงจำของน้ำ แต่ในปัจจุบันสภาวะมลพิษต่างๆจะเป็นตัวทำลายพลังงานและความทรงจำที่ดีเหล่านี้ให้ลดลงไป
    ***น้ำ คือ องค์ประกอบที่สำคัญของร่างกายมนุษย์ 70%ของร่างกายมนุษย์ คือ น้ำ

    น้ำคุณภาพดี สร้างสุขภาพดี
    น้ำบริสุทธิ์ตามธรรมชาติช่วยให้เซลล์ในร่างกายเป็นปกติและมีอายุยืนยาว มลพิษทางน้ำมีผลกระทบต่อคุณภาพของน้ำ ทำให้น้ำสูญเสียพลังงานที่ถูกเก็บไว้ในหน่วยความทรงจำของน้ำ การกรองน้ำด้วยเครื่องกรองน้ำเป็นได้แค่เพียงขจัดสารพิษและสิ่งปนเปื้อนเพื่อให้น้ำสะอาดขึ้นเท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นการคืนพลังงานลงในหน่วยความทรงจำของน้ำ ดังนั้นน้ำที่สะอาดแล้วก็จำเป็นที่จะต้องผ่านกระบวนการปรับสภาพน้ำ (Reversal Treatment) ซึ่งจะเป็นการกำจัดมลพิษออกจากหน่วยความทรงจำของน้ำและคืนพลังงานลงในหน่วยความทรงจำของน้ำ ให้เป็นน้ำคุณภาพดี ซึ่งเราเรียกว่า “น้ำโครงสร้างโมเลกุล 6 เหลี่ยม” (Hexagonal Water) ซึ่งน้ำนี้จะช่วยให้เซลล์ในร่างกายของคนเราทำงานได้อย่างเป็นปกติดี

    น้ำโครงสร้างโมเลกุล 6 เหลี่ยม (Hexagonal Water)
    ช่วยให้เซลล์มีชีวิต เนื่องจากมีโครงสร้างเหมือนกับของเหลวที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์ และเป็นองค์ประกอบสำคัญในการปกป้องร่างกายและช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แพทย์และนักโภชนาการได้ค้นพบว่า โครงสร้างของโมเลกุลน้ำมีผลต่อสุขภาพของคนเรา เมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน (Electronic Microscope) พบว่าเซลล์ซึ่งผิดปกติ เช่น เซลล์มะเร็งจะล้อมรอบด้วยน้ำที่มีโมเลกุล 5 เหลี่ยม ขณะที่เซลล์ปกตินั้นจะล้อมรอบด้วยน้ำที่มีโครงสร้างโมเลกุล 6 เหลี่ยม

    ผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า น้ำซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุล 5 เหลี่ยม (Pentagonal Water) นั้น ไม่สามารถคงสภาพอยู่และทำหน้าที่ได้อย่างปกติในร่างกาย แต่สำหรับน้ำโครงสร้างโมเลกุล 6 เหลี่ยมนั้น สามารถดูดซึมเข้าสู่เซลล์ได้ง่าย เพื่อให้ออกซิเจนแก่เซลล์ ทำให้เกิดการดูดซึมสารอาหาร และการขับถ่ายของเสียออกจากเซลล์ได้ดีขึ้น

    ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ มู ชิค จอน (Professor Dr. Mu Shik Jhon, Ph.D)
    เมื่ออายุมากขึ้น จะเกิดการสูญเสียน้ำโครงสร้างโมเลกุล 6 เหลี่ยม จาก อวัยวะ เนื้อเยื่อ และเซลล์ ทำให้สัดส่วนปริมาณของเหลวในร่างกายลดลง และน้ำที่คงอยู่ในร่างกายจะเป็นน้ำที่มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่ ซึ่งจะเคลื่อนไหวทะลุผ่านผนังเซลล์ลำบาก ทำให้เซลล์ได้รับสารอาหารกับออกซิเจนน้อยลง และช้ากว่าแต่ก่อน เซลล์จึงอ่อนแอและแก่ตัว การเพิ่มน้ำโครงสร้างโมเลกุล 6 เหลี่ยม เข้าไปในร่างกาย จะทำให้ร่างกายสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า ชะลอการแก่ชรา และป้องกันโรคภัย ”

    เขียนโดย richtimenetwork

    ที่มา:น้ำหกเหลี่ยมพลังมหัศจรรย์

    โปรดใช้วิจารณญานในการรับชม-รับฟัง
     
  19. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    คุณสมบัติของน้ำหกเหลี่ยม

    กลุ่มน้ำหกเหลี่ยม คือ วงแหวนของโมเลกุลจำนวนหกตัวที่ร่วมกันผนึกไฮโดรเจน รูปร่างหกเหลี่ยมนี้สามารถเข้าสู่เซลล์ได้อย่างง่ายดาย เปรียบได้ดั่งกุญแจหลักที่สามารถเปิดประตูได้หลายบาน โครงสร้างและรูปร่างของน้ำ ซึ่งถูกสร้างมาให้ตรงกับตัวรับของเซลล์ รูปร่างที่เล็กของกลุ่มน้ำหกเหลี่ยมนี้จะพอดีกับโครงสร้างของช่องทางหกเหลี่ยมบนผิวของเซลล์ กลุ่มน้ำหกเหลี่ยมจึงสามารถนำพาสารอาหารเข้าสู่เซลล์ และนำพาของเสียออกจากเซลล์ได้

    หน้าที่บางอย่างที่ กลุ่มน้ำหกเหลี่ยมทำได้
    - เซลล์ที่ประกอบไปด้วยน้ำ
    น้ำในร่างกายนั้นจะไม่รวมกลุ่มหรือเกาะติดกับโปรตีนหรือสารอื่นๆ น้ำที่เกาะกลุ่มแล้วจะไม่สามารถเข้าไปสู่เซลล์ได้ น้ำส่วนใหญ่ที่เราดื่มหรือของเหลวอื่นๆ ไม่ได้เข้าสู่เซลล์อย่างมีประสิทธิภาพ วงแหวนหกด้านของกลุ่มน้ำหกเหลี่ยมนี้จะพอดีกับเซลล์ทำให้น้ำไหลผ่านเข้าออกเซลล์ได้อย่างดี

    - ระบบการขนส่งของสารอาหาร
    ผลงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า กลุ่มน้ำหกเหลี่ยมนี้ กระตุ้นการทำงานของสารอาหารเป็นหกเท่าจากปกติ ส่วนมากอาหารเสริม หรือ สารอาหารที่เรารับประทานนั้นไม่ได้เข้าสู่เซลล์ เพราะน้ำที่เกาะกลุ่มไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้ ธรรมชาติได้สร้างกลุ่มน้ำหกเหลี่ยมขึ้นมาเพื่อให้นำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ โดยสารอาหารจะยึดติดกับวงแหวนของน้ำ

    - การกำจัดสารพิษ และของเสีย
    การกำจัดสารพิษ หรือ Detox เป็นหนึ่งในวิธีที่นำไปสู่สุขภาพที่ดีและการมีชีวิตที่ยืนยาวไม่ว่าคุณจะใช้วิธีการใดในการกำจัดสารพิษ หากทำแล้วสารพิษนั้นยังคงอยู่ในร่างกายของคุณมันก็ไม่เกิดประโยชน์ แต่กลุ่มน้ำหกเหลี่ยมนี้สามารถกำจัดสารพิษออกจากเซลล์ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ดีที่จะเริ่มดื่มกลุ่มน้ำหกเหลี่ยม

    - กลุ่มน้ำหกเหลี่ยม มีผลต่อโครงสร้างของโปรตีน
    กลุ่มน้ำหกเหลี่ยมนี้ อยู่ล้อมรอบโปรตีนและทำให้รูปร่างของโปรตีนคงที่ เพื่อมันจะได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ อายุที่เพิ่มขึ้น มีผลทำให้โปรตีนเสื่อมสลาย แต่กลุ่มน้ำหกเหลี่ยมนี้จะทำให้โปรตีนกลับสู่สภาพเดิม และมีการทำงานอย่างเดิม

    - กลุ่มน้ำหกเหลี่ยมเปลี่ยนโปรตีนให้มีวงจรการทำงานที่ดี
    กลุ่มน้ำหกเหลี่ยมที่อยู่รอบๆโปรตีน ทำหน้าที่เหมือนวิทยุที่รับส่งข้อความด้วยคลื่นความถี่สูง ที่สามารถเข้ากับการทำงานของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ มันคือสิ่งที่ทำให้เซลล์ในร่างกายมีระเบียบ หากปราศจากกลุ่มน้ำหกเหลี่ยมนี้เซลล์จะไม่สามารถทำงานร่วมกับกระบวนการอื่นๆได้ และทำให้วงจรการทำงานในร่างกายสูญเสีย

    - กลุ่มน้ำหกเหลี่ยม มีผลต่อการทำงานของ DNA
    เช่นเดียวกับโปรตีน DNA ซึ่งมีรูปร่างลักษณะเป็นขด มีส่วนที่เป็นช่องสำหรับกลุ่มน้ำหกเหลี่ยมที่แกนของมัน การสั่นสะเทือนของกลุ่มน้ำหกเหลี่ยมนี้ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของ DNA ซึ่งทำให้เกิดการสื่อสาร ไปยังส่วนต่างๆที่อยู่ในเซลล์ ถ้าปราศจากกลุ่มน้ำหกเหลี่ยมนี้ สิ่งนี้นก็จะไม่เกิดขึ้น และ เซลล์ก็ไม่สามารถทำงานได้

    - กลุ่มน้ำหกเหลี่ยมนี้ ช่วยแก้ไขคลื่นการสั่นสะเทือนที่ไม่ดีของเซลล์
    เซลล์ทุกๆเซลล์ มีการสั่นสะเทือนเป็นจังหวะ เมื่อใดที่มีโรคเกิดขึ้น มันจะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนที่ผิดพลาด ซึ่งสามารถตรวจสอบได้โดยใช้เครื่อง Magnetic Resonance Analysis พลังการสั่นสะเทือนของกลุ่มน้ำหกเหลี่ยม สามารถหยุดหรือเปลี่ยนการทำงานของเซลล์ที่ผิดปกติได้

    - กลุ่มน้ำหกเหลี่ยม ทำให้พลังงานของเซลล์เพิ่มขึ้น
    พลังการสั่นสะเทือนในกลุ่มน้ำหกเหลี่ยมนี้สามารถเปลี่ยนเซลล์ให้กลายเป็นแบตเตอรี่ได้ ความจุของเซลล์บ่งบอกถึงสุขภาพของเซลล์

    เขียนโดย richtimenetwork

    โปรดใช้วิจารณญานในการรับชม-รับฟัง
     
  20. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    วันเริ่มตั้งกระทู้ เมื่อพระอภิญญาท่านว่า เขื่อนป่าสักจะกลายเป็นบางแสน

    เมื่อ 20-11-2011, 12:28 AM
    ถึงวันที่ 20 พ.ย 2012 นี้ก็ครบรอบ1ขวบปี พอดี

    ครั้งแรกก็ตั้งใจว่าจะนำเสนอไม่เกิน 40 หน้า
    จนบัดนี้ล่วงเข้าไป 70 กว่าหน้าแล้ว
    ใกล้เวลาแล้วนะจ๊ะ....สำหรับกระทู้นี้ ที่ขอจะอำลาโรง


    แต่ในช่วงนี้ก็จะนำเสนอในเรื่องสุขภาพความเจ็บป่วยไว้ก่อน
    จะพยายามนำเนื้อหาอื่นๆเพิ่มอีกที ตามเห็นสมควรกันไปตามเวลาที่พอมี
    ไปเรื่อยๆจนถึงสิ้นปีนี้...

    แล้วค่อยมาว่ากันตามเหตุ ตามปัจจัยอีกทีก็แล้วกัน...


    ....อยู่นานเกินไป เกรงว่าจะรำคาญ คงต้องขอปิดเทอมกันบ้างแล้ว

    "ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา...."
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...