เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. Pinkbasket

    Pinkbasket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +108
    ความจริงแล้ว เคยโดนมากับตัวเต็มๆ เลยคะ แต่จำได้ว่าคุณหมอเคยพูดประมาณว่าถ้าเป็นคนในครอบครัวนั้นสัมผัสได้โดยไม่รับพิษคะ

     
  2. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    # ความเจ็บป่วยในสังขารร่างกายประเภทเลือดพิษ สาเหตุของโรคภัยสารพัด

    "พระอาจารย์ ผมรู้สึกว่าในร่างกายคนเรามันมีอาการแปลกๆ มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่อย่างคือ ตามข้อนิ้วมือ ปลายนิ้วมือ หลังข้อพับหัวเข่า อะไรพวกนี้หรือแม้กระทั่งในร่างกายส่วนอื่นๆด้วย

    เวลาเราไปแตะไปบีบดู จะรู้สึกว่าเจ็บๆแปร๊บๆ ขึ้นมา ลองถามหลายคนลองสำรวจดูก็มีกันทุกคนคน อาการจะมากน้อยและตำแหน่งที่ปวดเจ็บก็ไม่เหมือนกัน ท่านว่ามันจะเกิดจากอะไรได้มั่งครับ”

    บทสนทนาระหว่างพระอาจารย์กับ Toplus99 ในช่วงค่ำวันหนึ่งที่กุฏิรับรองแขก

    “เรื่องพวกนี้มันก็มีสาเหตุเยอะเหมือนกันนะมนุษย์โลกเรานี่หนะ

    1. จะว่ามาจากพฤติกรรมการอยู่การกินก็ได้ ส่วนหนึ่ง เช่น กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีสารพิษตกค้างสะสม เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู นั่นก็สารเคมีทั้งนั้น พืชผักก็พ่นสารเคมี กันแมลง ปุ๋ยบำรุงที่ใส่ก็สารพัดสาร ขนาดคนปลูกผักเองก็ยังต้องแยกที่เอาไว้ขาย-ไว้กิน แยกต่างห่างเลย ไม่กล้ากินที่ปลูกไว้ขาย...กลัวตายเองนะสิ
    แม้แต่ข้าวเปล่าที่เรากินกันทุกวันนี้ก็เถอะทั้ง ยาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง ฆ่าหอยเชอรี่ สารบำรุงดิน บำรุงต้น บำรุงเร่งดอก เร่งใบ ต้นข้าวก็ดูดเอาไปสะสมไว้ที่เม็ดข้าว สุดท้ายเราก็เอามากิน ขนาดว่าปูนา หอยขมทุกวันนี้ยังแทบจะไม่มีให้เห็นกันอยู่แล้ว
    ก็มีแต่สารเคมีปนเปื้อนทั้งนั้น ร่างกายคนเรามันทนทานอะไรได้มากมายเล่า
    ตับ ไต ปอดทั้งหลาย ทำงานหนักมากเลยนะ นานเข้าก็สะสมแต่พิษไว้ทั้งนั้น ในที่สุดก็แพร่กระจายออกทางเส้นเลือด ทางน้ำเหลืองไปทั่วร่าง เส้นเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่าง เลือดลมก็เดินติดๆขัดๆ ทุกวันนี้มันมีแต่คนป่วย คนอมโรคกันทั้งนั้น

    2. คนเราทุกวันนี้มันวุ่นวายแต่เรื่องหาเงิน ภาระค่าใช้จ่าย จนลืมออกกำลังกาย พอว่างหน่อยก็นอน หรือดูหนัง ฟังเพลงเล่นเกมส์กันทั้งวัน หาขนมเข้าปาก พังพืดไขมันพิษมันก็เกาะตามเส้นเอ็น ตามกระดูก

    3. มีการใช้ไสยศาสตร์จากของไม่ดี ของอัปมงคล เช่นกระดูกผีตายโหง น้ำมันพราย ดินเจ็ดป่าช้า น้ำมันช้างโขลง ว่านโพลง ว่านกระสือ หรือว่านอื่นๆ ที่มีฤทธิ์ของภูติพรายวิญญาณอาศัยอยู่ที่มีผลต่อจิตใจ ฯลฯ และแม้กระทั่งผู้ที่ดวงตกเข้าก็อาจโดนของที่นักเล่นของปล่อยออกมาทางอากาศ ที่เรียกว่าลมเพลมพัด เข้าไปวิ่งเข้าตัวได้

    อย่างที่ผู้หญิงทำงานกลางคืน อยากได้นักก็พวกเมตตามหานิยมเรียกแขก ให้รักมาหลง มาติดมากๆ หรือบรรดาหนูๆเมียเล็กเมียน้อย หรือเหล่าเมียหลวง สามีเจ้าชู้ ที่อยากได้ของดี ของขลังมัดใจเพศตรงข้าม ได้มาจากสำนักไสยศาสตร์ทั้งหลายทั้งในคราบนักบวช ทั้งฆราวาส ตำหนักร่างทรงทั้งหลายหรือแม้แต่หมอดูบางคน นำมาใช้ผสมปนลงในเครื่องรางของขลัง น้ำมันพราย หรือสีผึ้งที่มีส่วนผสมด้วยของประเภทสายดำ
    ที่ใช้สายมนต์ดำหากิน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรางห้อยคอบางประเภท หรือลูกกรอก กุมารทอง รัก-ยม ทำสีผึ้งหรือลงสักน้ำมัน หรือจะเป็นพวกแป้งมหาเสน่ห์อะไรประเภทนี้ มาเจิมหน้าปะพรมตัว พอลูกค้ามานั่งเข้าใกล้ หรือมาแตะสัมผัสตัวเข้า อณูกระแสของพรายพวกนี้ก็จะวิ่งเข้าตัวได้ หรือแม้แต่ การกระจายผ่านทางอากาศได้ทั้งที่ไม่มีการแตะต้องสัมผัสโดยตรงกันเลยก็ได้เช่นกันอันนี้ก็น่ากลัวเชียว

    เพราะมันจะกลายเป็นอณูกระแส พรายวิญญาณล่องลอยไปในอากาศธาตุ เข้าแทรกในร่างกายได้ รวมทั้งคนใกล้อื่นๆหรือคนที่ดวงไม่ดี
    ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่มีสิ่งปกป้อง ก็พลอยเจอลูกหลงเข้าไปด้วย

    พอพรายวิญาณพวกนี้อยู่ในร่างกายนานเข้าจะไม่ว่าผู้ที่นำไปใช้เองหรือผู้ที่โดนของพวกนี้เข้าไปที่สุด พรายพวกนี้ก็จะเข้าไปแพร่กระจายตัวแทรกอาศัยกินเลือด น้ำเหลือง ในข้อในกระดูกในร่างกายเรา หรือบางทีแรงหน่อยก็เข้าครอบงำบังคับจิตใจเราได้
    ทำให้เราปวด เจ็บตามจุดต่างในร่างกายที่มันเข้าไปอาศัยอยู่ บางครั้งก็เคลื่อนที่ได้หลบหลีกได้อีกด้วย

    พวกนี้มันมีตัวรู้ของมันเหมือนกัน บางครั้งก็หลบหลีกเคลื่อนที่ได้ จนเป็นสาเหตุของการปวดแข้ง ปวดขา ปวดกระดูก ปวดเอ็น เป็นอำพฤต อัมพาต รวมถึงโรคมะเร็งด้วยหลายอย่าง ถ้ามองดูด้วยญาณในจริงๆ ก็จะเห็นว่าจุดที่เป็นมะเร็งนี้ มีเชื้อโรคพรายวิญญาณจากของไสยศาสตร์ปะปนอยู่ด้วย

    อย่าได้หลงเข้าใจว่ายุคสมัยนี้มันยุคไฮเทคโนโลยีแล้ว ไสยศาสตร์พวกนี้มันน่าจะลดน้อยลงนะ
    เปล่าเลย!... ตราบได้ที่มนุษย์ยังเสาะแสวงหาทางลัดผิดๆ จากนอกแนวทางศาสนาอยู่แบบนี้ล่ะก็ มันก็ยังมีผู้ใฝ่ศึกษาไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชาพวกนี้อยู่ทุกชนชาติเสมอแหละ
    อย่าลืมว่า ในเมื่อมีหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมหวังบุญ หวังผลทางนิพพานอยู่ มันก็มีไอ้พวกฝึกพลังจิตที่เล่นหรือทำสายพวกนี้ควบคู่กันอยู่ตลอดเสมอ เรียกว่า มีพระ..ก็ย่อมมีมาร หรือจะว่ามี ขาวมาก ดำมันก็มากตามไปด้วยเป็นของคู่โลก ก็พูดได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2012
  3. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ต่อ# ความเจ็บป่วยในสังขารร่างกายประเภทเลือดพิษ สาเหตุของโรคภัยสารพัด

    4. ในรายที่เจ้ากรรมนายเวร หรือเคยฆ่า ทำร้ายหรือเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นไว้ เช่น ที่หนักหน่อยก็ในรายที่เคยทำแท้ง หรือมีวิญญาณอาฆาตแค้น คอยตามเช็คบิลคืนนี้ ที่สุดก็จะกลายเป็นพรายวิญญาณ ไปตามตำแหน่งของร่างกายที่เคยกระทำต่อกันไว้ เช่นอาจเคยฆ่าคนอื่นไว้โดยการวางยาเบือ ยาพิษในอดีตชาติ เจ้าตัวก็อาจเป็นมะเร็งลำไส้ หรือมะเร็งที่ลำคอ หลอดลมอะไรแบบนี้

    หรืออาจโดนวิญญาณสัมภเวสีบางที่ บางประเภท ที่อาศัยอยู่ตามพื้นดิน พื้นหญ้า หรือบางสถานที่เช่นจอมปลวก ศาลเก่า ฯลฯ ถ้าเราพลาดไปเหยียบสัมผัสเข้า บางครั้งก็จะกลายเป็นพรายแทรกอาศัยอยู่ร่างกายเราได้เหมือนกัน จะว่าไปแล้วเรื่องนี้มันมีความซับซ้อนเข้าใจยากพอสมควร อย่างข้าเองบางครั้งก็เจอพวกนี้เข้าบ่อยๆเหมือนกัน ยากที่จะหลบเลี่ยง การเจ็บป่วยด้วยการเบียดเบียนจากพรายวิญญาณ ไม่เว้นแม้แต่ในรายของอริยบุคคลก็มิอาจหลบเลี่ยงจากสิ่งเรานี้ได้ง่ายๆ

    “ไม่มีทางเลี่ยงพรายวิญญาณพวกนี้ได้เลยหรือ แล้วพวกเครื่องรางบางประเภทล่ะช่วยได้มั๊ยครับ?”

    “เป็นไปได้ยาก สุดแต่ว่าจะมากจะน้อยและแก้ไขรุนแรงมากน้อยเพียงไร ด้วยวิธีไหนแค่นั้นแหละ เครื่องรางของขลังบางอย่าง ที่จัดสร้างเป็นพลังป้องกัน นี่ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง อาจผ่อนหนักเป็นเบาได้ ดีกว่าจะไม่มีอะไรป้องกันซะเลย แต่สุดท้ายก็หนีกฎแห่งกรรมไปไม่ได้ ช้าเร็วก็ต้องส่งผล ….

    ตราบใดที่ไม่เข้าใจเรื่องกรรมของตนสร้างพลังจิตเมตตา เจริญพรมวิหารสี่ขออโหสิกรรมกัน และพยายามหมั่นสร้างกรรมดีให้มากๆโดยเฉพาะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนกรรมชั่วทั้งหลายอ่อนกำลังลง จนตามไม่ทันและกลายเป็นอโหสิกรรมได้ในที่สุด

    เรื่องความเจ็บป่วยนี้...ถามว่าพระอรหันต์ท่านยังมีโอกาสป่วยเป็นไข้หวัด..จามน้ำมูกไหลได้ไหม แม้องค์พระพุทธเจ้าท่านก็ยังป่วยได้นี่ใช่ไหม”

    “ในเมื่อมีเรายังมีร่างกายมีขันท์ 5 อยู่บนพื้นโลก นี้ก็ยังต้องข้องเกี่ยวกับพรายวิญญาณเป็นที่อยู่ที่อาศัยไม่จบสิ้น ดังเช่นเชื้อโรคอื่นๆ เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้อจุลลินทรีย์ อื่นๆนั่นแหละ เพียงแต่ที่เรียกกันว่า พรายมันอยู่ในรูปแบบของวิญญาณอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เราเจ็บเราป่วยได้ในรูปแบบต่างๆ ตามตำแหน่งต่างของร่างกายที่เจ้ากรรมนายเวรของแต่ละบุคคล ทำให้เป็นไป”

    “ส่วนในรายของพระอรหันต์ จิตกับกายของท่านพิจารณาแยกจากกันได้โดยเด็ดขาด จิตท่านไม่ได้ป่วย จิตไม่ได้ทุกข์ร้อนเศร้าหมองตามสังขารกายไปด้วยเท่านั้น
    เมื่อสิ้นลม พรายวิญาณพวกนี้ก็แยกย้ายกันตามทางกระแสกรรม ส่วนอัฐิธาตุของท่านก็กลายเป็นพระธาตุกันไปตามเรื่อง…
    นี่ถ้าเราพิจารณาตามหลักของศาสนาพุทธเรา
    ผู้ที่มีอายุยืน เจ็บป่วยน้อย เพราะเบียดเบียนสัตว์ชีวิตอื่นมาน้อย
    ผู้ที่มีอายุสั้น หรือ ป่วยมีโรคมากนั้น เพราะกรรมจากการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นเอาไว้มากในอดีตเช่นกัน”

    “ที่จริงมีไอ้พวกพรายวิญญาณพวกนี้อยู่ก็ดีมีประโยชน์อยู่นะ..ข้าว่า”
    “ดียังไงครับท่าน”
    “ดีตรงที่ว่า เอาไว้พิจารณา สังขารร่างกายว่า มันเป็นทุกข์ มันเป็นที่อยู่ของโรค น่าเบื่อหน่าย ถ้ามันสุขสบายไปซะหมด เดี๋ยวก็เพลิดเพลินกับการเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นั่นแหละ ทุกข์อย่างอื่น มันก็ยังมีอีกตั้งมากมาย
    ก่ายกองรอดักล่อให้จมอยู่ในวังวนกองทุกข์ไม่จบสิ้น แล้วทำไมยังอยากจะมาเวียนเกิด เวียนตายอะไรกันนัก”

    เออ..ได้คำตอบแบบนี้ก็สบายใจไปอย่างแฮะ!

    5. และเอาแบบรวมๆเลยทีนี่ ที่เราต้องมาเผชิญโรคภัยเภทภัยมากมายในยุคนี้ เพราะคนบนโลกเราทุกวันนี้ กิเลสมันหยาบหนามากขึ้นทุกที แย่งกันกิน แย่งกันใช้ มุ่งเน้นวัตถุมากกว่าคุณความดี

    ความเสื่อมทางจิตวิญาณเพิ่มขึ้น หลายคนเป็นพวกไม่มีศาสนาไม่มีที่ที่พึ่งทางใจ ที่มีก็มีจนสุดโต่ง จ้องมุ่งล้มล้างทำลายคนต่างความเชื่อ ต่างศาสนาจนเป็นชนวนสงครามระหว่างกลุ่มประเทศใช้อาวุธฆ่ากัน ภาวะบรรยากาศโลกมันก็แปรรวนตามไปด้วย เอ็งเคยได้ยินมาบ้างละนะว่าเมื่อใดที่มนุษยโลกเจริญทางเทคโนโลยีสูงๆ ความเสื่อมศีลธรรมก็จะตามมา สุดท้ายก็พัฒนาเป็นอาวุธทำร้ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเอง และเมื่อนั้นโลกจะเกิดแปรปรวนเกิดภัยพิบัติใหญ่ ในที่สุดก็จะเกิดการล่มสลายของสัตว์โลก แล้วก็มาเริ่มต้นแบบยุคโบราณกันใหม่

    นี่เป็นวัฏจักร เป็นเช่นนี้ รวมถึงโรคภัยต่างๆที่พัฒนาสายพันธุ์เกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ ก็เชื่อว่าเกิดจากการพยายามปรับสภาพ เพื่อสั่งสอนมนุษย์เราเหมือนกัน ว่าให้หันมาใส่ใจความเจริญของคุณธรรมจิตใจกันบ้าง ถ้าโลกนี้มีความดี รักใคร่เมตตา ช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกเดียวกัน โรคภัยต่างๆก็น่าจะลดลง และมีอายุขัยยืดยาวตามไปด้วยอีกเป็นร้อยหรือพันปีก็ได้
    เพราะมันเกี่ยวสัมพันธ์อย่างมาก ระหว่างอายุขัยมนุษย์ในแต่ละยุคกับคุณธรรมความดีของมนุษย์ในยุคนั้นๆ

    ดังที่ว่าไว้ว่า ในภัทรกัปนี้อายุขัยของมนุษย์เรา ยุคองค์สมณโคดมนี้สั้นที่สุด น้อยกว่าในทุกยุคของพระพุทธเจ้าจากทั้งหมดใน 5 พระองค์ ที่ล้วนแต่มีอายุขัย และขนาดรูปร่างที่ต่างกันไป ฉะนั้นแล้วจะถือว่าเป็นวิบากกรรมร่วมกันของเราชาวโลกที่เกิดมาในยุคนี้เหมือนกันก็น่าจะได้”


    (อันนี้คงจะต้องวิเคราะห์กันเองว่าท่านเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร...หรือว่ามันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเล้ย..)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2012
  4. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    Thumbnail.jpg
    จับไต้หวันค้าซากทารกทำกุมารทอง ผงะ! ซ่อนในโรงแรมถึง 6 ศพ

    โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 18 พฤษภาคม 2555 15:27 น.


    จนท.คุมตัวนายโจว ฮอง ฮุน (Mr.Chow Hok kuen) สัญชาติไต้หวัน อายุ 28 ปี พร้อมของกลางซากศพทารก จำนวน 6 ศพ มาแถลงผลการจับกุมซากทารกที่พบ


    ซากทารก.jpg

    ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี จับชาวไต้หวันค้าซากทารกถึง 6 ศพ นำไปซุกซ่อนในโรงแรมกลางเยาวราช ตำรวจเผย ประชาชนแจ้งได้ยินเสียงทารกร้อง ท้องที่ไปตรวจค้นแล้วแต่ไม่พบเหตุผิดสังเกต ต่อมาประชาชนแจ้งไปยัง กก.ดส.ว่าได้ยินเสียงทารกร้องอีกจึงไปตรวจสอบ พบชาวไต้หวันต้องสงสัย เมื่อเค้นถามจึงยอมรับสารภาพเตรียมนำซากทารกส่งขายในไต้หวันราคางาม

    วันนี้ (18 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส.) พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผกก.ดส. พ.ต.ท.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผกก.ดส. พ.ต.ท.สุทิน สวนดอกไม้ รอง ผกก.ดส. พ.ต.ท.คฑายุทธ โรจน์วงศ์สุริยะ สว.กก.ดส. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ดส.บช.น. แถลงการจับกุมชาวชาวไต้หวัน ค้าซากศพทารกทำกุมารทอง 6 ศพ คือ นายโฉว ฮอก กวน (Mr.Chow Hok kuen) สัญชาติไต้หวัน อายุ 28 ปี พร้อมของกลางซากศพทารกจำนวน 6 ศพ กระเป๋าเดินทางสีดำ 1 ใบ จับกุมได้ภายห้องเลขที่ 613 โรงแรมเอ็มไพร์ ถนนเยาวราช แขวงและเขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ

    พ.ต.อ.วิวัฒน์เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากได้มีประชาชนโทรศัพท์แจ้งมาแจ้งยัง สน.พลับพลาไชย 2 ว่ามีเสียงเด็กร้องมาจากโรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนเยาวราช เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (17 พ.ค.) เมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบยังสถานที่ได้รับแจ้งปรากฏว่าไม่พบสิ่งผิดปกติใดทั้งสิ้นจึงเดินทางกลับ ต่อมาในช่วงเย็นมีประชาชนได้ยินเสียงเด็กร้องอีกครั้งจึงโทร.ไปแจ้งยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ดส.ให้มาตรวจสอบ ทางเจ้าหน้าที่เดินทางมาตรวจสอบภายในโรงแรมดังกล่าวจึงพบผู้ต้องสงสัยคือนายโฉว จึงทำการสอบสวนจนสารภาพว่าได้เปิดห้องพักอีกแห่งที่โรงแรมเอ็มไพร์ ถนนเยาวราช ซึ่งอยู่ใกล้กันไว้สำหรับเก็บซากศพทารกชายทั้งหมด เจ้าหน้าที่จึงไปตรวจสอบภายในห้องพักและพบของกลางทั้งหมดจึงเก็บไว้เป็นหลักฐานและนำมาตรวจสอบ

    จากการสอบสวนนายโฉวให้การรับสารภาพว่า ได้รับคำสั่งมาจากคนแซ่เฉินที่อยู่ประเทศไต้หวันให้มาซื้อซากศพทารกที่ประเทศไทยเพื่อไปทำเป็นกุมารทองสำหรับบูชา โดยไปรับมาจากชายชาวไต้หวันที่อยู่ในประเทศไทย โดยจะทำการติดต่อกันทางโทรศัพท์นัดเอาของมาวางไว้ใต้ต้นไม้สวนสาธารณะ ซึ่งไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท เมื่อประมาณ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อนำกลับไปขายยังประเทศไต้หวันให้คนบูชาเป็นกุมารทอง โดยเชื่อกันว่าหากบูชาแล้วจะร่ำรวยเงินทอง ทำการค้าเจริญรุ่งเรือง ซึ่งเป็นที่นิยมในต่างประเทศ ส่วนมากลูกค้าที่สั่งจะเป็นคนไทยในไทเป ประเทศไต้หวัน ซึ่งถ้านำไปขายในประเทศไต้หวันจะอยู่ที่ราคาซากศพละ 150,000-250,000 บาท ตามสภาพซากศพ ถ้าสวยๆ ก็จะมีราคาศพละ 150,000 บาทขึ้นไป โดยคนแซ่เฉินจะเป็นคนนำไปขายผ่านทางเว็บไซต์ในประเทศไต้หวัน ส่วนค่าตอบแทนนั้นคนแซ่เฉินจะแบ่งให้ขึ้นอยู่ที่ราคาขาย ถ้าได้ราคาดีก็จะให้ส่วนแบ่งมากน้อยตามราคาที่ขายได้

    เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาลักลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิดการตาย หรือเหตุแห่งการตาย (ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)

    +++++

    เมื่อเบียดเบียนชีวิต-วิญญาณผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์ยาก...เข็ญใจ
    พลังแห่งกระแสความทุกข์เข็ญนั้น ก็จะแปรเปลี่ยนรูปแบบกลายเป็น...พรายวิญญาณ
    ก็ส่งผลให้ผู้ถือครองทั้งหลาย จะโดยรู้เท่าทันหรือไม่ทราบก็แล้วแต่...
    ย้อนมาสร้างเลือดพิษให้เจ็บป่วยได้ในที่สุด

    จงพึงระวังอย่างมาก สำหรับผู้นิยมไสยศาสตร์สายมนต์ดำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2012
  5. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    อ่ะ สุดท้ายคุณtoplus99 ก็กลับมาซะที แอบหากระทู้อ่านอยู่ซะนาน กลับมาดีแล้วครับ ชอบๆๆอ่ะ
     
  6. pleแบม

    pleแบม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +1,427
    โมทนาบุญด้วยค่ะ และเห็นด้วยทุกประการที่พระอาจารย์ของท่าน กล่าวมาค่ะ
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,289
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะท่านอาจารย์ที่กรุณากระโดดข้ามรั้วแวะไปเยี่ยม"จิตพร้อม รับภัยพิบัติ" ของท่านอาจารย์ภู
    อ่านกระทู้นี้ก็นึกไปถึงว่าแม่ต้อยทํางาน Intensive Care Unit มาเกือบ 40 ปีนี่คงจะได้อะไรๆติดมาเยอะเลยหรือคะ เพราะมีคนเจ็บหนักมากๆและตายกันทุกวัน
     
  8. surapong chot

    surapong chot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,212
    ผมก็ติดตามอ่านอยู่ครับ...แต่ไม่ค่อยได้โพสต์ข้อความ...
     
  9. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    พี่ต้อยทำงานด้านการแพทย์หรือคะ งานนี้คงหนักและต้องอาศัยความละเอียดอ่อนน่าดูเลยนะคะ

    โปรดรักษาสุขภาพนะคะ อากาศทางเมืองไทยตอนนี้ก็ออกจะแปรปรวนอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ
     
  10. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    วันนี้คุณ Pleแบม แสดงตัวพูดได้แล้ว..ยินดีด้วยครับ

    เห็นว่าเข้ามาดู อนุโมทนาอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่เคยได้ยินเสียงเลย
    ก็มีคุณPleแบม..นี่แหละ
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,289
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ==============================
    เป็นพยาบาลค่ะ คลุกคลีวันละ๑๖ชม เห็นการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นของธรรมดาเลย แต่คิดไปอีกแง่หนึ่งพี่อาจจะได้รับอะไรหลายอย่างจากคนไข้พี่เลยมีภูมิคุ้มกันเยอะเพราะไ่ม่ค่อยได้เจ็บป่วยอะไรกับเขาเลยโดนเรียกไปทํางานแม้กระทั่งวันหยุด ต้องใช้ความอดทนสูงมากค่ะ ทั้งหมอคนไข้ ญาติๆ ขอบพระคุณที่เป็นห่วงค่ะ "ครอบครัวtoplus99" นี่ช่างอบอุ่นนะคะ ขอบพระคุณท่านอาจารย์toplus99ที่ทําให้เราได้พบกัน สาธุๆๆ
    hp_daycatt11
     
  12. ชัยธนันท์

    ชัยธนันท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    859
    ค่าพลัง:
    +1,488
    ขออนุโมทนากับคุณtoplus99ด้วยครับ ผมติดตามอ่านได้ประโยชน์มากจะขอนำเอาไปใช้ตามอย่างบ้างบางเรื่องก็เพิ่งจะได้รับรู้นี่แหล่ะ ขอบคุณครับ
     
  13. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    เห็นด้วยคะ ครอบครัว toplus99 ช่างอบอุ่น

    คุณอ่านแล้วอนุโมทนาอย่างเดียว ไม่พูด ก็ยังสังเกตเห็นอีก มีการตามให้ออกมาแสดงตัวด้วยวิธีการต่าง ๆ มากมาย ทั้งมีการชักชวนให้ฝึกสมาธิด้วยรูปแบบที่เป็นเอกลัษณ์เฉพาะตัว

    และข่าวล่าสุดคือ คุณเจ้าบ้านจะนัดพบปะ แต่จะเป็นการพบปะรูปแบบใด โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
     
  14. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    แม่ต้อย นี่ก็ใช่ย่อยน๊า! เสน่ห์เยอะ น้องๆลูกๆ หลานๆในบอร์ดนี้รุมรักกันตรึม เชียว
    ถึงว่าจะไม่ได้ตั้งกระทู้เองก็เฮอะน่า..:cool:(f):love:(deejai)

    เรื่องว่าเพราะเคยดูแลผู้ป่วยหนักมาก่อนหลายสิบปี มิต้องกังวลดอกแม่ต้อย
    ฝรั่งแถวบ้านพูดว่า...;aa10


    เรื่องพลังงานเชื้อโรคพิษนี่ มันค่อนข้างซับซ้อน เป็นพลังงานหลากหลายมาก ประเภทหลากหลายที่มา หลายแหล่งกำเนิด
    พอๆกับกับประเภทเชื้อเห็ด ที่เกิดบนโลกใบนี้ หรืออาจจะมากว่านั้นก็อาจเป็นได้

    มีทั้งที่เกี่ยวข้องกับผลวิบากกรรมเฉพาะตัว หรือว่าเจ้ากรรมนายเวรด้วย หรือจะเกิด ภูตวิญญาณอาฆาตพยาบาทก็ได้ หรือเกิดจากการเกาะตัวที่รับจากสารพิษก็ได้

    บางครั้งก็ถ่ายเทพลังเชื้อโรคเข้าสู่ผู้อื่นได้ บางครั้งก็ฝังตัวเฉพาะผู้ป่วยเองเท่านั้นก็ได้เช่นกัน

    แต่จากประสบการณ์ของตนเอง พบว่าเชื้อร้ายเหล่านี้แพ้พลังงานวิเศษที่สุดอยู่อย่างหนึ่ง.....ให้ทายอ่ะ?

    ติ๊กต่อก...

    ติ๊กต่อก...

    ติ๊กต่อก...

    .....หมดเวลา!


    นั่นคือ แถ่น แท็น แท้น
    .......พลังเมตตา ครับ อันนี้เก่งชนะเลิศ...เหรียญทองโอลิมปิก
    ที่สุดในโลกจักรวาล

    ด้วยจิตที่เป็นเมตตาคือเกาะคุ้มครองภัยจากพิษเชื้อร้ายประเภทพรายเชื้อโรค พรายวิญญาณได้ดีที่สุด...ขอยืนยันและฟันธง แบบคอนเฟริม โดยไม่ยอมแคนเซิลเด็ดขาด


    แม้อธิษฐาน บ่นท่องคาถาใดว่าเลิศประเสริฐเก่งกล้าปานใด
    และไม่ว่าจะของหลวงพ่อ หลวงปู่องค์ใดก็แล้วแต่ หรือใช้พลังกสินขับออก
    หรือแม้จะอ้างอิงคุณพระรัตนตรัยช่วย ก็พอช่วยได้ในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

    อาการป่วยก็จะทุเลาเบาบางลง แต่จากนั้นก็จะกลับคืนมาป่วยใหม่อีกที
    ที่จุดตำแหน่งเดิม อาการเดิม โดยทิ้งช่วงไปประมาณ 7 วัน


    แต่ที่ลองทดสอบดูหลากหลายวิธึก็ยังได้ไม่ดีเท่ากับการอธิฐานจิตอุทิศบุญกุศล ด้วยกำลังจิตแผ่เมตตา ด้วยกำลังฌานสมาธิของตนเอง

    จะรักษาได้ดีมากเกือบร้อยเปอร์เซนต์ ที่จุดตำแหน่งเดิมที่เคยป่วย
    ( ต้องขอบคุณ เชื้อโรคพรายวิญญาณทั้งหลายที่ท่านมาเป็นครูใหญ่ ในห้องแลปทดลองในร่างกายเรา เพื่อช่วยเป็นวิทยาทานแก่ท่านอื่นๆได้ อนุโมทนาบุญ..นะจ๊ะ...ถึงว่าสิ พระอาจารย์ท่านถึงบอกว่าเก็บเอาไว้ให้เอ็งเล่น ตอนนี้ยังไม่ต้องถามมาก เดี๋ยวเอ็งก็รู้เอง!)

    อันนี้ทดลองกับการเจ็บป่วยของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ลองกับผู้ป่วยท่านอื่นๆ จึงไม่กล้าสรุปว่า

    การกล่าวขอขมาอโหสิกรรม และตามด้วยการแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลที่ตนเคยสั่งสมมาทุกชาติภพให้มาอนุโมนานากุศลผลบุญ แล้วเชิญเชื้อพรายเหล่านี้ไปสู่สุขติภพ อย่าได้เบียดเบียนกันเลย...จะได้ผลทุกครั้งหรือไม่ ในกรณีที่จะรักษาให้ผู้อื่น

    ดังนั้นจึงเห็นว่าจะได้ผลดีจริง และชัวร์ก็ต้องใช้ต้นทุนกุศลผลบุญของเจ้าตัวคนป่วยเองรักษาเป็นสำคัญ...นั่นแลจึงประเสริฐ

    ถ้าบุคคลใดที่สร้างบุญกุศลมาน้อย ขาดความเมตตาต่อผู้อื่น** แถมทำลายชาติ โกงกินเงินหลวง เงินแผ่นดินอันนี้จะยากที่จะช่วยได้


    (**อันนี้ขอย้ำว่ากรณีหลังนี้ ยากมากๆที่จะช่วยเหลือ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยควบคุมอยู่...เดี๋ยวมีเรื่องเล่า)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2012
  15. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ก็เจ้าของกระทู้นี้มันเจ้าเล่ห์ไง! อิ อิ 555

    เขามีแต่ "..ครอบครัว ข่าว3..."

    แต่แม่ต้อย Supatorn มาตั้งกันใหม่ซะเอง ว่า..คนใน"ครอบครัวToplus99"

    อ่านแล้วใจหายว๊าบ..เลย ขนลุกไม่รู้จะพูดกล่าวอะไร มันตื่นตันใจ ฮื่อ ฮื้อ..pig_cryy(cry);aa7;aa57;aa19;aa20

    เอาล่ะชีวิตของคน คนหนึ่งที่จิ้มพิมพ์กระดุ๊ก กระดิ๊กๆ เล่าเรื่องประสาคนบ้าเพ้อๆ

    แล้วผู้มาเรียกหมู่เฮาชาวกระทู้นี้ว่า ครอบครัวtoplus99 อบอุ่น

    นับว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ที่มุ่งมั่นพากเพียรการจิ้มพิมพ์กระดุ๊ก กระดิ๊กๆ

    แหมอยากร้องไห้จริง มันตื้นตัน มันตื้นตันใจ อ่ะ!

    ที่เคยบอกลากันไว้ว่าหลัง...สิ้นปี จะทำไง???
     
  16. tossapon15

    tossapon15 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +417
    ม่ายล่ายคะ อยู่ักังปายจนก่าจาหมกมุกหรือเนตใช่ม่ายล่ายละทั่งอาที่เคารพ(ยิ้ม)หัวข้อ: Re:
     
  17. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    ไม่อยากให้เอ่ยคำลาเลยค่ะ และที่แห่งนี้สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและเมตตามากมายเลยนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านเจ้าบ้าน คุณพี่ต้อย และสมาชิกร่วมชายคาท่านอื่น ๆ

    ลงท้ายก็ ขอโมทนา สาธุกับกุศลแห่งความเพียรที่ท่านได้สร้างไว้ ณ ที่แห่งนี้ด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2012
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,289
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    "ครอบครัวToplus99"

    ==================================
    "ครอบครัวtoplus99"รอกันได้เพราะรู้ว่าท่านอาจารย์มี"ภาระกิจ" ที่ต้องกระทําและท่านจะกลับมาอย่างปลอดภัยเพราะเรา"ครอบครัวtoplus99" ยังรอการกลับของท่านอยู่เหมือนคราวก่อนค่ะ
    _heart+love_
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,289
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    supatorn, toplus99+
    =======================================
    อาจารย์ตื่นแล้ว Good morning from USA ค่ะ(f)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2012
  20. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ไปแอบคัดลอกของเขาแปะให้อ่าน

    เปิดตำรารักษาโรคในสมัยพระพุทธเจ้าตามพระไตรปิฎก________________________________________
    ณ บ้านพระอาทิตย์
    โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในโลกใบนี้ ถึงกระนั้นก็ดี การรักษาโรคเพื่อมิให้ต้องมีอันเจ็บป่วยหรือทุกข์ทรมานก่อนเวลาอันควร ก็น่าจะเป็นเครื่องเตือนสติให้มนุษย์เร่งทำความดี ทำบุญกุศล ให้มากก่อนที่จะสิ้นอายุขัยของตัวเอง

    พระไตรปิฎกเล่ม 21 ข้อ 157 "อินทรียวรรคที่ 1" พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ว่า:

    "โรค 2 อย่างนี้ คือ 1. โรคทางกาย 2 โรคทางใจ ชนทั้งหลายให้คำมั่นสัญญา ถึงความไม่มีโรคทางกายตลอด 1 ปีมีปรากฏอยู่ ตลอด 10 ปี มีปรากฏอยู่ ตลอด 50 ปี มีปรากฏอยู่ แม้ตลอดยิ่งกว่า 100 ปี ก็ยังมีปรากฏได้ แต่เหล่าชนใดให้คำมั่นสัญญา ถึงความไม่มีโรคทางใจ แม้สักครู่หนึ่งนั้น หาได้ยากในโลก เว้นแต่พระอรหันต์เท่านั้น"

    แม้พระพุทธเจ้าจะไม่มีโรคทางใจใดๆ แต่ก็ยังมีโรคทางกายเกิดขึ้น เพราะทรงเคยไปสร้าง "วิบากกรรมอันเป็นบาป" เอาไว้ในอดีต จึงต้องรับผลกำรรมเจ็บป่ายทางกายได้อีก เช่นการปรากฏในพระไตรปิฎกเล่ม 32 ข้อ 392 "พุทธปทาน" ว่า

    ถูกไฟไหม้ผิวหนัง เพราะในอดีตชาติเคยฆ่าคนตายเป็นจำนวนมาก ต้องปวดศีรษะ เพราะเคยเห็นผู้คนพากันฆ่าปลา แล้วเกิดความยินดีพอใจ เจ็บปวดหลังเพราะเคยทำร้ายผู้อื่นให้บาดเจ็บ เป็นโรคบิดท้องร่วง เพราะเคยลงมือถ่ายยาให้บุตรเศรษฐีแต่ทำให้เขาถึงแก่ความตาย

    พระพุทธองค์ตรัสถึงคนไข้ในโลกนี้ ว่ามีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ดังปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 20 ข้อ 461 "คิลานสูตร" ดังนี้

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนไข้มีปรากฏอยู่ในโลกนี้ 3 จำพวก คือ

    1. คนไข้บางคนในโลกนี้ ได้โภชนะ (อาหาร) ที่สบายหรือไม่ได้ก็ตาม ได้เภสัช (ยา)ที่สบายหรือไม่ได้ก็ตาม ได้อุปัฏฐาก (คนดูแลหรือหมอ) ที่สมควรหรือไม่ได้ก็ตาม ย่อมไม่หายจากอาพาธ (เจ็บป่วย) นั้นได้เลย

    2. คนไข้บางคนในโลกนี้ ได้โภชนะที่สบายหรือไม่ได้ก็ตาม ได้เภสัชที่สบายหรือไม่ได้ก็ตาม ได้อุปัฏฐานที่สมควรหรือไม่ได้ก็ตาม ย่อมหายจากอาพาธนั้นได้

    3. คนไข้บางคนในโลกนี้ ได้โภชนะที่สบายจึงหายจากอาพาธนั้น เมื่อไม่ได้ย่อมไม่หาย ได้เภสัชที่สบายจึงหายจากอาพาธนั้น เมื่อไม่ได้ย่อมไม่หาย ได้อุปัฏฐานที่สมควรจึงหายจากอาพาธนั้น เมื่อไม่ได้ย่อมไม่หาย

    ก็เพราะคนไข้จำพวกสุดท้ายนี้เอง เราจึงอนุญาตคิลานภัต(อาหารรักษาผู้ป่วย) อนุญาตคิลานเภสัช (ยารักษาผู้ป่วย) อนุญาตคิลานุปัฏฐาก (หมอหรือผู้ดูแลพยาบาลคนไข้)เอาไว้

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และก็เพราะอาศัยคนไข้เช่นนี้ ถึงคนไข้อื่นก็ควรได้รับการบำรุงด้วย

    ในพระไตรปิฎกเล่ม 21 ข้อ 87 "ปุตตสูตร" ทรงกล่าวถึงเหตุที่ทำให้คนเราต้องเจ็บป่วย มีอยู่ 8 ประการด้วยกันคือ

    1. ดี (อวัยวะภายใน) เป็นสมุฏฐาน 2. เสมหะ (เมือกจากลำคอหรือลำไส้) เป็นสมุฏฐาน 3. ลม (ภายในกาย) เป็นสมุฏฐาน 4. ประชุมกันเกิดขึ้น 5. ฤดูแปรปรวน 6. การบริหารไม่สม่ำเสมอ 7.การบาดเจ็บ 8.เกิดจากผลกรรม (บาป)

    ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 584 "จูฬกัมมวิภังคสูตร" ได้กล่าวถึงเหตุแห่งโรคมากเอาไว้ว่า "บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ ท่อนดิน ท่อนไม้ ของมีคม หากเขาตายไปจะเข้าถึงนรก (ความเร่าร้อนใจ) ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จะเป็นคนมีโรคมาก"

    ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 585 "จูฬกัมมวิภังคสูตร" ได้กล่าวถึงเหตุแห่งโรคน้อยเอาไว้ว่า "บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปกติไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วย ฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้ ของมีคม หากเขาตายไปจะเข้าถึงสุคคติโลกสวรรค์ (ความเย็นใจ) ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จะเป็นคนมีโรคน้อย"

    ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 582 "จูฬกัมมวิภังคสูตร" ได้กล่าวถึงเหตุแห่งอายุสั้นเอาไว้ว่า "การเป็นผู้มักทำให้ชีวิตสัตว์ตกล่วงไป เป็นคนเหี้ยมโหดมีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นอยู่ในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต หากเข้าตายไปจะเข้าถึงนรก (ความเร่าร้อนใจ) ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จะเป็นคนมีอายุสั้น"

    ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 583 "จูฬกัมมวิภังคสูตร" ได้กล่าวถึงเหตุแห่งอายุยืนเอาไว้ว่า "การเป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต) วางอาชญา (โทษภัย) วางศาสตรา (ของมีคม) ได้ มีความละอาย (ที่จะทำบาป) เข้าถึงความเอ็นดู ช่วยเหลือด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูต (วิญญาณที่แสวงหาที่เกิด)อยู่ หากเขาตายไปจะเข้าถึงสุขคติในโลกสวรรค์ (ความเย็นใจ) ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์จะเป็นคนมีอายุยืน"

    นอจากนี้ยังปรากฏในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 94 "มหาปรินิพพานสูตร" ได้กล่าวถึงอำนาจของอิทธิบาท 4 เอาไว้ว่า:

    เมื่อคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจำพรรษาที่บ้านเวฬุวคาม ทรงประชวรหนัก เกิดทุกข์ทรมานอย่างรุนแรงใกล้จะปรินิพพาน ทรงมีสติสัมปชัญญะ อดทนอดกลั้น ไม่พรั่นพรึ่ง แล้วทรงพระดำริว่า

    "การที่เราจะไม่บอกภิกษุผู้อุปัฏฐาก (ผู้คอยดูแลรับใช้) ไม่อำลาภิกษุสงฆ์ แล้วปรินิพพานนั้นเสีย เป็นการไม่สมควรแก่เราเลย ถ้ากระไรเราพึงใช้ความเพียร (อิทธิบาท 4) ขับไล่อาพาธนี้ ดำรงชีวิตร่างกายให้อยู่เถิด"

    แล้วทรงใช้ความเพียรนั้น ขับไล่ความเจ็บป่วยไป ทรงหายประชวร หายจากความเป็นไข้ในเวลานั้นเอง

    ต่อมาเสด็จไปยังปาวาสเจดีย์กับพระอานนท์ แล้วตรัสแสดงถึงอำนาจของอิทธิบาท 4 ให้แก่พระอานนท์ว่า:

    "ดูก่อนอานนท์ อิทธิบาท 4 (1. ฉันทะ คือความยินดี 2. วิริยะ คือ ความเพียร 3. จิตตะคือความตั้งใจจริง 4. วิมังสาคือความพิจารณาไตร่ตรอง) อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดุจยาน กระทำให้เป็นดุจพื้น ให้ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมแล้วปรารถนาดีแล้ว ผุ้นั้นเมื่อตั้งใจมีชีวิตอยู่ พึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัป (ชั่วอายุของคนซึ่งในขณะนั้นประมาณ 100 ปี) หรือเกินกว่ากัปก็ได้"

    พระตถาคตตรัสแล้ว แต่พระอานนท์ไม่อาจรู้ทัน จึงมิได้ทูลวิงงอนพระผู้มีพระภาค ให้ทรงใช้อิทธิบาท 4 ดำรงอยู่ต่อไปให้ถึง 100 ปี ดังนั้นพระพุทธองค์จึงได้ปรินิพพาน เมื่อทรงมีอายุได้ 80 ปี นั่นเอง

    ในพระไตรปิฎกเล่ม 12 ข้อ 265 "กกจูปมสูตร" ได้กล่าวถึงการรับประทานอาหารเอาไว้ว่า

    "เราฉันอาหาร ณ ที่นั่งแห่งเดียว เมื่อเราฉันอาหารหนเดียวอยู่ รู้สึกว่า 1.มีความเจ็บป่วยน้อย 2. มีความลำบากกายน้อย 3. มีความเบากาย 4. มีกำลัง 5. อยู่อย่างผาสุก ดูก่อนถึงพวกเธอทั้งหลายก็จงฉันหนเดียวเถิด แม้พวกเธอก็จะรู้สึกว่า 1. มีความเจ็บป่วยน้อย 2. มีความลำบากกายน้อย 3. มีความเบากาย 4. มีกำลัง 5. อยู่อย่างผาสุก

    ในพระไตรปิฎกเล่ม 4 ข้อ 87 "มหาขันธกะ" พระพุทธเจ้าทรงถือว่าน้ำมูตร หรือ น้ำมูตรเน่า ซึ่งก็คือน้ำปัสสาวะเป็นยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ และต้องเป็นนิสสัย 1 ใน 4 ของภิกษุ โดยพระพุทธองค์ตรัสสอนนิสสัยเอาไว้ว่า

    "เธอจงอาศัยน้ำมูตรเน่า (ปัสสาวะสด หรือปัสสาวะที่ผสมของดองอื่น) เธอพึงทำความอุตสาหะในสิ่งนี้ตลอดชีวิต ส่วนอดิเรกลาภอื่นคือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เธอจะปฏิเสธเสียก็ได้"

    อีกทั้งปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 532 "มหาธรรมสมาทานสูตร" ยังได้กล่าวถึงคำตรัสของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับน้ำมูตร (ปัสสาวะ)ว่า

    เรากล่าวข้อที่ถือเอารับเอาปฏิบัติ ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบาก (ผลต่อไป) เปรียบเสมือน... มีน้ำมูตรเน่าอันระคนด้วยยาอยู่ ได้มีผู้ที่เป็นโรคผอมเหลืองมาถึงเขา จึงมีคนบอกแก่เขาว่า

    ท่านผู้เจริญ น้ำมูตรเน่าอันระคนด้วยยานี้ ถ้าท่านหวังจะดื่มก็ดื่มเถิด น้ำมูตรเน่าจะไม่ชอบใจแก่ท่าน ทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งรส แต่ครั้นท่านดื่มเข้าไปแล้วจะมีความสุข ผู้เป็นโรคผมเหลืองฟังแล้ว ก็พิจารณาน้ำมูตรเน่านั้นแล้วจึงดื่มมิได้วาง เขาก็ไม่ชอบใจทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งรสของน้ำมูตรเน่าระคนยา แต่ครั้นดื่มแล้วก็มีสุขในเวลาต่อมา

    ในพระไตรปิฎกเล่ม 7 ข้อ 78 "ขุททกวัตถุขันธกะ" หมอชีวกโกมาภัจจ์ ได้มาทำกิจจำเป็นอย่างหนึ่งที่นครเวสารี เห็นภิกษุทั้งหลายอาพาธกันเป็นจำนวนมากเพราะ อุบาสก อุบาสิกา ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงได้ถวายภัตตาหารที่ตกแต่งอย่างประณีตแต่กลับมีพิษและมีโทษมาก จึงได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อของให้ทรงอนุญาตสถานที่จงกรมและเรือนไฟ (ยุคนี้น่าจะเทียบได้กับการอบตัว) โดยได้กล่าวว่า

    "พระพุทธเจ้าข้า บัดนนี้ภิกษุทั้งหลายมีร่างกายสั่งสมโทษไว้มาก มีอาพาธมาก ข้าพระพุทธเจ้าขึงขอประทานพระวโรกาส ขอให้พระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงอนุญาต ที่จงกรมและเรือนไฟแก่ภิกษุทั้งหลายเถิด เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ได้ ภิกษุทั้งหลายจะมีอาพาธน้อยพระพุทธเจ้าข้า"

    พระผู้มีพระภาคได้ทรงฟังคำแนะนำวิธีระบายพิษออกจากร่างกายและวิธีป้องกันรักษาโรคแล้ว ก็ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายตั้งเรือนไฟแล้วมีที่จงกรมได้

    ในพระไตรปิฎกเล่ม 5 ข้อ 135 "จีวระขันธกะ" ได้กล่าวถึงการระบายพิษออกจากร่างกายด้วยยาถ่ายเอาไว้ว่า

    "ดูก่อนอานนท์ กายของเราตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษเราต้องการจะฉันยาถ่าย"

    พระอานนท์จึงไปหาหมอชีวกโกมารภัจจ์ แจ้งเรื่องให้ทราบ หมอชีวกขอให้พระพุทธเจ้าทรงทำร่างกายให้ชุ่มชื่นมีกำลังก่อนสัก 2-3 วัน จากนั้นจึงถวายพระโอสถถ่าย (ยาถ่าย) ที่ทำอย่างประณีตคือ อบก้านอุบล (ดอกบัว) ก้านด้วยยาต่างๆ แล้วถวายให้พระผู้มีพระภาคทรงสูดดมก้านอุบลทีละก้าน ซึ่ง 1 ก้าน จะทำให้พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายถึง 10 ครั้ง เมื่อรวม 3 ก้าน จึงทำให้พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายถึง 30 ครั้ง ในการระบายพิษที่หมักหมมออกจากร่างกาย แต่ก่อนที่จะทรงถ่ายครั้งที่ 30 นั้น หมอชีวกให้พระผู้มีพระภาคสรงพระกายด้วยน้ำอุ่น แล้วจึงถ่ายล้างท้องได้ครบ 30 ครั้ง

    เมื่อทรงระบายพิษออกครบ 30 ครั้งแล้ว หมอชีวกได้กราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคว่า "พระพุทธเจ้า ขณะนี้พระผู้มีพระภาคยังทรงมีพระกายอ่อนเพลีย ไม่ควรเสวยพระกระยาหารที่ปรุงด้วยน้ำต้มผักต่างๆ จนกว่าจะทรงมีพระกายเป็นปกติพระเจ้าข้า" ซึ่งต่อมาไม่กี่วัน พระกายของพระผู้มีพระภาคก็เป็นปกติแล้ว

    ในพระไตรปิฎกเล่ม 5 ข้อ 44 "เภสัชชขันธกะ" ได้เขียนเอาไว้ว่า "ภิกษุป่วยเป็นพรรดึก (อุจจาระคั่งค้างแข็งเป็นก้อนในลำไส้ใหญ่ ทำให้ท้องผูก) ทรงอนุญาตให้ดื่มน้ำด่างอามิส

    ในพระไตรปิฎกเล่ม 5 ข้อ 45 "เภสัชชขันธกะ" ได้เขียนเอาไว้ว่า พระสารีบุตรป่วยเป็นไข้ตัวร้อน รักษาให้หายได้ด้วยรากบัวและเง่าบัว

    ในพระไตรปิฎกเล่ม 7 ข้อ 188 "ขุททกวัตถุขันธกะ" ได้เขียนเอาไว้ว่า "พระสารีบุตรป่วยเป็นลมเสียดท้อง รักษาให้หายได้ด้วยกระเทียม

    ในพระไตรปิฎกเล่ม 5 ข้อ 134 "จีวรขันธกะ" ได้เขียนเอาไว้ว่า "พระเจ้าปัชโชต ราชาในกรุงอุชเชนี ทรงประชวรเป็นโรคผอมเหลือง หมอชีวกรักษาหายด้วยการหุงเนยใสให้เสวย

    ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนในการรักษาโรคในสมัยพุทธกาลที่บัญญัติเอาไว้เป็นหลักฐานในพระไตรปิฎกเท่านั้น แต่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเอาไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 13 ข้อ 287-290 "มาคัณฑิยสูตร" เกี่ยวข้อกับความไม่มีโรค และการนิพพานว่า

    ร่างกายนี้เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร (กิเลส) เป็นความลำบาก เป็นความเจ็บไข้ ดังนั้นเธอจึงจะละความกำหนัดได้ ละความพอใจในรูปกายได้ ละความพอใจในเวทนา (ความรู้สึก) ได้ ละความพอใจในสัญญา (ความจำ)ได้ ละความพอใจในสังขาร (ความคิดปรุงแต่งได้) ละความพอใจในวิญญาณ(ความรู้)ได้"

    ความไม่มีโรคนั้นคือข้อนี้ นิพพานนั้นคือข้อนี้ ถ้าเธอพึงรู้ความไม่มีโรค จะพึงเห็นนิพพานได้
    Daily News - Manager Online - เปิดตำรารักษาโรคในสมัยพระพุทธเจ้าตามพระไตรปิฎก

    http://palungjit.org/threads/เปิดตำรารักษาโรคในสมัยพระพุทธเจ้าตามพระไตรปิฎก.364555/
     

แชร์หน้านี้

Loading...