เมื่อยตา อันตรายที่พึงระวัง

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย พรายแสง, 12 เมษายน 2005.

  1. พรายแสง

    พรายแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    833
    ค่าพลัง:
    +371
    [​IMG]
    โดย นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

    อาการปวดรอบกระบอกตาหลังจากที่คุณผ่านการใช้สายตาอย่างหนักหน่วงมาช่วงหนึ่ง
    ส่วนใหญ่เกิดจากการล้าของกล้ามเนื้อตาซึ่งมีอยู่ข้างละ 6 มัด

    กล้ามเนื้อตาเป็นกล้ามเนื้อขนาดเล็กที่มีหน้าที่คอยกลอกลูกตาของคุณไปมา
    ฟังดูเหมือนเป็นงานที่ไม่หนักหนาอะไร
    แต่กล้ามเนื้อตาอย่างไรเสียก็เป็นกล้ามเนื้อชนิดหนึ่ง เมื่อถูกใช้งานมากๆ
    มันก็ย่อมมีอาการเมื่อยล้าเป็นธรรมดา และอาการก็มักจะออกมาในรูปของการปวดแถวๆ
    กระบอกตา บางคนเป็นมากอาการปวดจะลุกลามไปถึงขมับทั้ง 2 ข้าง
    ถ้าเป็นรุนแรงก็อาจกลายเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการปวดศีรษะได้เลย

    ยิ่งถ้าเราใช้สายตาจับจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือจอโทรทัศน์นานๆ ด้วยแล้ว
    บางครั้งจะรู้สึกแสบร้อนที่ตาได้ด้วย
    ทั้งนี้เป็นเพราะตาได้รับรังสีจากจอมอนิเตอร์เข้ามาด้วย
    กลายเป็นอาการทั้งปวดทั้งแสบไปเลย
    ท่านสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยตัวท่านเอง
    ขั้นแรกต้องป้องกันตัวเองด้วยการเปิดไฟในห้องให้สว่างเวลาดูจอคอมพิวเตอร์หรือดูโทรทัศน์
    ทั้งนี้เพราะว่าถ้าเราอยู่ในห้องมืด ม่านตาของเราจะขยายมาก
    ในขณะที่จอมอนิเตอร์ที่มีความสว่างในตัวของมันเอง
    แสงจากจอมอนิเตอร์ก็จะพุ่งเข้าสู่ตาเราได้มากกว่าเมื่อเทียบกับการนั่งจ้องหน้าจอในห้องที่มีค่าเฉลี่ยของแสงสว่างมากกว่า


    แต่ถ้าเปิดไฟห้องทำงานสว่างแล้วยังมีอาการปวดแสบตาอีก
    นั่นแสดงว่าถึงเวลาแล้วล่ะที่ท่านจะต้องพักสายตาเสียบ้าง
    โดยลุกจากโต๊ะคอมพิวเตอร์ไปทำอย่างอื่นสักพัก ไปดูลมชมวิวที่ไหนก็ไป
    การมองออกไปไกลจะทำให้กล้ามเนื้อตาที่ตึงเครียดอยู่ได้ผ่อนคลายลงบ้างหรือถ้าเป็นมากการนอนหลับตาสักพักก็ช่วยได้ดี

    ถ้ามีอาการแสบร้อนตา ให้ใช้การประคบดวงตาด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นๆ ประคบไว้สัก 3
    นาที จากนั้นสลับด้วยการประคบผ้าชุบน้ำแข็งสัก 2 นาที
    ให้ทำเช่นนี้สลับกันไปมาสัก 3 รอบ จะรู้สึกดีขึ้นมาก

    นอกจากนี้การนวดกระบอกตาก็ยังช่วยลดอาการปวดกระบอกตาได้ด้วย
    วิธีนี้เป็นเทคนิคของแพทย์จีน ซึ่งกล่าวว่านอกจากจะได้ผลในการรักษาอาการแล้ว
    ยังช่วยถนอมดวงตาด้วย โดยให้ท่านทำดังนี้คือ

    1. กำมือทั้ง 2 ข้าง แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงไปที่บริเวณขมับทั้ง 2 ข้าง
    กดหนักๆ แต่อย่าถึงกับให้รู้สึกเจ็บ นับ 1-10 แล้วคลึงเบาๆ ก่อนจะผ่อนแรงกดลง
    ทำซ้ำสัก 3 รอบ
    2. ค้างนิ้วโป้งไว้ที่ตำแหน่งเดิมก่อน
    แต่คราวนี้ใช้นิ้วชี้งอไว้มาจรดกันตรงหว่างคิ้ว
    เสร็จแล้วนวดลากจากหัวคิ้วมาหางคิ้ว ทำซ้ำกัน 3 รอบ
    3. ทำมือลักษณะเดิม แต่คราวนี้ให้ตำแหน่งที่นิ้วชี้จรดกันลดต่ำลงมาหน่อย
    ตรงระดับเดียวกับสันจมูก แล้วนวดลากจากหัวตาโค้งต่ำลงมาตามขอบตาล่าง
    นวดผ่านเลยมาจนถึงหางคิ้ว ทำเช่นนี้ซ้ำกันอีก 3 รอบ
    4.
    สำหรับคนที่มีอาการปวดศีรษะแถวหน้าผากร่วมด้วยให้เสริมด้วยการนวดหน้าผากด้วย
    ท่าทางก็เป็นเช่นเดียวกันกับข้อ 2 และ ข้อ 3
    แต่คราวนี้ให้จรดนิ้วชี้ที่ระดับตรงกลางหน้าผาก แล้วนวดโดยการแยกนิ้วทั้ง 2
    ออกจากกันไปจนถึงขมับ ค่อยๆ นวดไล่แนวขึ้นไปจนถึงชายผม
    5.
    ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางวางนาบโหนกแก้มชิดเป็นแนวเดียวกับสันจมูกเป็นการวัดระยะ
    ในท่านี้ตำแหน่งนิ้วชี้จะอยู่ตรงกับแขนงหนึ่งของเส้นประสาทใบหน้าที่จะออกมาแถวใต้ขอบตาล่าง
    ให้ใช้นิ้วชี้นวดคลึงเบาๆ นับ 1-10 ทำเช่นนี้ทั้งหมด 3 รอบ

    อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีอาการเมื่อยล้าสายตาได้ง่าย
    ควรได้รับการตรวจเช็คดูสักทีว่าเป็นปัญหามาจากสายตาด้วยหรือเปล่า
    เพราะการที่มีสายตาสั้นหรือยาวผิดปกติ
    ก็เป็นตัวการหนึ่งที่ส่งเสริมให้อาการปวดตาเป็นมากขึ้น
    ในรายที่ใส่แว่นมานานแล้ว อาจต้องไปวัดสายตาซ้ำดูสักที
    เพราะสายตาคนเราเปลี่ยนแปลงได้เมื่ออายุมากขึ้น คุณอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนแว่นใหม่
    นอกจากนี้ยังมีคนอีกประเภทก็คือคนที่มีกล้ามเนื้อตาทำงานไม่สัมพันธ์กัน
    เนื่องจากการเกาะของกล้ามเนื้อตาผิดปกติแต่กำเนิด
    ทำให้กล้ามเนื้อจะต้องพยายามมากผิดปกติในการกลอกลูกตาไปมาให้สัมพันธ์กัน
    ซึ่งก็แน่นอนว่าสายตาจะล้าง่ายกว่าคนอื่นเขา
    กรณีเช่นนี้อาจต้องปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อทำการแก้ไขต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...