เราเคยคิดว่าตัวเองบรรลุโสดาบัน --"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หลบภัย, 11 พฤษภาคม 2013.

  1. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    เคยคิดว่าตัวเองบรรลุโสดาบัน มาสัก 3 เดือนได้แล้ว
    วันหนึ่งเหตุการที่ทำให้ ให้ตัวเองได้สติมาหน่อย
    มียุงมากัดเยอะมาก นั่งซักผ้า ใจก็เมื่อไรจะกินอิ่มสักที เจ็บนะจ๊ะ
    ใจเย็นได้สักพัก ความเจ็บมันมีมากขึ้น ทนไม่ไหวจะเอื้อมมือจะตบยุง
    อีกกรณีนึงโดนปาดหน้าจ่ะๆ เลยเกือบชนด้วยความขี้โมโหทุนเดิมอยู่แล้ว ด่าๆๆ ไอ้คนที่ปาดหน้าเรา ลืมไปว่าแม่นั่งอยู่ข้าง ไอ้คันหน้าไม่ได้ยิน แต่แม่ได้ยินชัดเจน เออ! ฉันยังอยู่ที่เดิมอยู่เลยอาจจะถอยหลังก็ได้ มาแชร์ประสบการณ์เฉยๆ
    :'(
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    อารมณ์โกรธทั้ง 2 กรณี (โกรธได้เเต่ไม่คิดประทุษร้าย)
    ยอมให้ยุงดูดเลือดเเละทนจนสุดกลั้น!!!ทนทำไม?ควรจะไล่มันไปให้พ้น
    หรือไม่ก็ไม่ทำงานตอนที่ยุงมันออกหาเหยื่อจะดีกว่า เเต่ถ้าเลือกไม่ได้
    ก็จุดยาไล่ยุง

    รถตัดหน้าเหตุสุดวิสัยเลยด่าเปิง
    ด่าว่าไร?ไม่ทราบเลยออกความเห็นไม่ได้!!!
    เช่น ไอ้สัตว์นรก....หรือไอ้สัตว์สวรรค์
    อารมณ์มันต่างกันมาก"อกุศลกรรม"ทั้งคู่เเต่มันเเค้นบริสุทธิ์
    กะเเค้นอย่างมีเมตตา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2013
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
                คำว่า พระโสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน
                ฉะนั้นพระโสดาบันก็ยังตัดอะไรไม่ได้หมด เป็นแต่เพียงว่ามีอารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้น แต่เพียงอย่างอยาบเท่านั้น อารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้นก็คือ             1. สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่าสภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ 5 เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา เฉพาะอย่างยิ่งในด้านสักกายทิฏฐินี้ พระโสดาบันลดลงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราอยู่ แต่ทว่ามีอารมณ์ไม่ประมาท มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ที่ท่านกล่าวว่าบรรดาพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิเล็กน้อย คำว่าสมาธิเล็กน้อย คือ อารมณ์สมาธิของท่านผู้เจริญฌานสมาบัติ มีอารมณ์ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ยังไม่ถึงฌาน 4 ก็สามารถจะเป็นพระโสดาบันได้
                สำหรับที่ว่ามีปัญญาเล็กน้อย ก็เพราะว่ายังไม่สามารถตัดขันธ์ 5 ได้เด็ดขาดด้วยกำลังของจิต ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา แต่ทว่าความรู้สึกของท่านมีความดีอยู่หน่อยหนึ่งว่าเราจะต้องตาย ยังไง ๆ ก็ต้องตายแน่ เหมือนกับที่เปสการีมีอารมณ์คิดถึงคำสั่งสอนของสมเด็จพระธรรมสามิสร ที่ทรงตรัสว่า
                ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ท่านทั้งหลายจงอย่ามีความประมาทในการสร้างความดี
                นี่ความรู้สึกของพระโสดาบันในด้านสักกายทิฏฐิ มีอยู่จุดนี้เข้าใจไว้ด้วย มีคนพูดกันว่าถ้าเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จะต้องสามารถระงับทุกขเวทนาได้หมด ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ร้อน ไม่หนาว นี่ไม่ใช่ความจริง ร่างกายยังมีความรู้สึก ร่างกายยังมีมีจิตเป็นเครื่องรักษา ร่างกายยังมีวิญญาณรู้การสัมผัส ถึงแม้ว่าพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดีก็ยังรู้สึก รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวดเหมือนกัน
                นี่ว่ากันถึงอารมณ์ของพระโสดาบัน เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้ว มีความไม่ประมาทในชีวิต มีความรู้สึกเสมอว่าเราจะต้องแก่ เราจะต้องตาย แล้วก็ขึ้นชื่อว่าความตายนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ไม่ใช่ว่าจะไปกำหนดอายุการตายว่าต้องตายเท่านั้นเท่านี้ จะตายตั้งแต่ความเป็นเด็ก หรือ ความเป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นคนแก่ อาการที่จะตาย อาจจะด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายดึก ตายหัวค่ำก็เอาแน่นอนไม่ได้
                ฉะนั้น พระโสดาบันจึงไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าถ้าเราจะตายก็เชิญ แต่เราจะตายอยู่กับความดี อารมณ์ของพระโสดาบันที่จะคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินศรีนั้นไม่มี คือว่าเป็นคนไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นอันดับที่ 2 ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา พระโสดาบันตัดสังโยชน์ตัวที่ 2 ได้ คือ ความสงสัย ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ขึ้นชื่อว่าความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีในพระโสดาบัน เกิดขึ้นด้วยกำลังของปัญญา ที่พิจารณาหาความจริงว่า
                พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข
                และอันดับ 3 สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันย่อมทรงศีลบริสุทธิ์ตามฐานะของตัว คำว่า ฐานะของตัวก็หมายความว่า ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นปกติ มีศีล 5 บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเจตนาในการทำลายศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เป็นอันว่าพระโสดาบันเป็นผู้มีความทรงอารมณ์อยู่ในศีลเป็นสำคัญ หนักหน่วงในเรื่องของศีล ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด
                ที่กล่าวมานี้หมายความว่า สังโยชน์ 3 ประการนี่ พระโสดาบันปฏิบัติมีจิตเข้าถึงตามนี้ นี่ก็พูดกันไปว่าก่อนที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจากโลกียะเป็นโลกุตตระ ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า โคตรภูญาณ ขณะเมื่ออารมณ์จิตของท่านผู้ปฏิบัติเข้าถึงโคตรภูญาณ
                คำว่าโคตรภูญาณ นี่ก็หมายความว่า จิตของท่านผู้นั้น ยังอยู่ในระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ
                แต่ทว่าอารมณ์ตอนนี้จะไม่ขังอยู่นาน บางท่านจิตจะทรงอยู่เพียงแค่ชั่วโมงหนึ่ง หรือไม่ถึงชั่วโมง และบางท่านก็อยู่ถึงอาทิตย์สองอาทิตย์ถึงเป็นเดือนก็มี สุดแล้วแต่ความเข้มแข็งของจิต ในช่วงที่จิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ท่านกล่าวว่า ในขณะนั้นอารมณ์จิตของนักปฏิบัติ จะมีความรักพระนิพพานอย่างยิ่ง คือมีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นแดนแห่งความสุข ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ มันก็ทุกข์ตลอดเวลา ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็พักทุกข์ชั่วคราว หรือ พรหมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีแล้วก็จะต้องจากเทวดา จากพรหมมาเกิดเป็นคนบ้าง บางรายก็เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอันว่าเขตทั้ง 3 จุด ไม่มีความหมายสำหรับใจ
                จิตใจของท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงโคตรภูญาณ ใจมีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพานเป็นปกติ
                แต่ทว่าพอจิตพ้นจากโคตรภูญาณไปแล้ว ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันเต็มที่ ที่เรียกว่า โสดาปัตติผล ตอนนี้อารมณ์จิตของท่านละเอียดขึ้นมานิดหนึ่ง นอกจากจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันเป็นของธรรมดา
                การนินทาว่าร้ายที่จะปรากฏขึ้นกับบุคคลผู้ใดกล่าวถึงเรา จิตดวงนี้มีความรู้สึกว่า ธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลกมันเป็นอย่างนี้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น มีความรู้สึกหนักไปในด้านของธรรมดา แต่ทว่าธรรมดาของพระโสดาบัน ยังอ่อนกว่า ธรรมดาของพระอรหันต์มาก
                ฉะนั้น ท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จึงยังมีความรักในระหว่างเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ท่านกล่าวไว้แล้วว่า พระโสดาบันมีสมาธิเล็กน้อย และก็มีปัญญาเล็กน้อย หากว่าท่านทั้งหลายจะถามว่า ถ้าคนยังมีความรักในเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีการอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลงก็ดูเหมือนว่าพระโสดาบันก็คือ ชาวบ้านธรรมดา
                แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ของพระโสดาบันอยู่ในขอบเขตของศีล เรารักในรูปโฉมโนมพรรณ มีการแต่งงานกันได้ระหว่างสามีภรรยาของตนเอง ยอมเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน จะนอกใจสามีและภรรยา ขึ้นชื่อว่า กาเมสุมิจฉาจาร จะไม่มีสำหรับพระโสดาบัน จะทำให้ครอบครัวนั้นมีอารมณ์เป็นสุข
                และประการที่ 2 พระโสดาบันยังมีความโกรธ ท่านโกรธจริง พูดเป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ ทำให้ไม่เป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ แต่ทว่าพระโสดาบันมีแต่อารมณ์โกรธ ไม่ประทุษร้ายให้เขามีการบาดเจ็บ และไม่ฆ่าคนหรือสัตว์ที่ทำให้ตนโกรธ ให้ถึงแก่ความตาย เป็นอันว่าความโกรธหรือความพยาบาทของท่าน อยู่ในขอบเขตของศีล จิตโกรธแต่ว่าไม่ทำร้าย คือ แตกต่างกับคนธรรมดาตรงนี้
                สำหรับด้านความหลงของพระโสดาบัน ที่ขึ้นชื่อว่าหลง เพราะยังมีความรักในเพศ ยังมีความอยากรวย เมื่อสักครู่นี้ข้ามคำว่าอยากรวยไป การอยากรวยของพระโสดาบัน คือ ต้องการความรวยในด้านสุจริตธรรมเท่านั้น เรียกว่า การทุจริตคิดร้ายคดโกงบุคคลอื่นใด ไม่มีในอารมณ์จิตของพระโสดาบัน ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต เพราะอาศัยยังรักในความสวยสดงดงาม คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่าเพศยังมีอยู่ ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง เพราะว่ายังคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ยังมีของสวยของงาม การถือตัวถือตนแบบนี้ จึงเชื่อว่ายังมีความหลง แต่ความหลงของพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถจะนำบุคลผู้นั้น ในเวลาแล้วไปสู่อบายได้
                จุดนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลายผู้รับฟัง จงจำไว้ว่า ความจริงอารมณ์ของพระโสดาบันนั้น ไม่แตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเท่าไรนัก ชาวบ้านธรรมดา ยังมีความรักในเพศ ยังมีสามี ภรรยา แต่ทว่ายังมีการนอกใจภรรยา สำหรับพระโสดาบันไม่มี ชาวบ้านอยากรวยก็ยังมีการคบคิดกันคดโกง การโกงมีการยื้อแย่งฉกชิงวิ่งราวดูทรัพย์ สำหรับพระโสดาบันนี่ ถ้าต้องการรวยก็รวยด้วยการสุจริต หากินด้วยความชอบธรรม ต่างกันตรงนี้
                         คำว่า พระโสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน
                ฉะนั้นพระโสดาบันก็ยังตัดอะไรไม่ได้หมด เป็นแต่เพียงว่ามีอารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้น แต่เพียงอย่างอยาบเท่านั้น อารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้นก็คือ             1. สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่าสภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ 5 เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา เฉพาะอย่างยิ่งในด้านสักกายทิฏฐินี้ พระโสดาบันลดลงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราอยู่ แต่ทว่ามีอารมณ์ไม่ประมาท มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ที่ท่านกล่าวว่าบรรดาพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิเล็กน้อย คำว่าสมาธิเล็กน้อย คือ อารมณ์สมาธิของท่านผู้เจริญฌานสมาบัติ มีอารมณ์ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ยังไม่ถึงฌาน 4 ก็สามารถจะเป็นพระโสดาบันได้
                สำหรับที่ว่ามีปัญญาเล็กน้อย ก็เพราะว่ายังไม่สามารถตัดขันธ์ 5 ได้เด็ดขาดด้วยกำลังของจิต ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา แต่ทว่าความรู้สึกของท่านมีความดีอยู่หน่อยหนึ่งว่าเราจะต้องตาย ยังไง ๆ ก็ต้องตายแน่ เหมือนกับที่เปสการีมีอารมณ์คิดถึงคำสั่งสอนของสมเด็จพระธรรมสามิสร ที่ทรงตรัสว่า
                ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ท่านทั้งหลายจงอย่ามีความประมาทในการสร้างความดี
                นี่ความรู้สึกของพระโสดาบันในด้านสักกายทิฏฐิ มีอยู่จุดนี้เข้าใจไว้ด้วย มีคนพูดกันว่าถ้าเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จะต้องสามารถระงับทุกขเวทนาได้หมด ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ร้อน ไม่หนาว นี่ไม่ใช่ความจริง ร่างกายยังมีความรู้สึก ร่างกายยังมีมีจิตเป็นเครื่องรักษา ร่างกายยังมีวิญญาณรู้การสัมผัส ถึงแม้ว่าพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดีก็ยังรู้สึก รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวดเหมือนกัน
                นี่ว่ากันถึงอารมณ์ของพระโสดาบัน เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้ว มีความไม่ประมาทในชีวิต มีความรู้สึกเสมอว่าเราจะต้องแก่ เราจะต้องตาย แล้วก็ขึ้นชื่อว่าความตายนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ไม่ใช่ว่าจะไปกำหนดอายุการตายว่าต้องตายเท่านั้นเท่านี้ จะตายตั้งแต่ความเป็นเด็ก หรือ ความเป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นคนแก่ อาการที่จะตาย อาจจะด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายดึก ตายหัวค่ำก็เอาแน่นอนไม่ได้
                ฉะนั้น พระโสดาบันจึงไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าถ้าเราจะตายก็เชิญ แต่เราจะตายอยู่กับความดี อารมณ์ของพระโสดาบันที่จะคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินศรีนั้นไม่มี คือว่าเป็นคนไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นอันดับที่ 2 ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา พระโสดาบันตัดสังโยชน์ตัวที่ 2 ได้ คือ ความสงสัย ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ขึ้นชื่อว่าความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีในพระโสดาบัน เกิดขึ้นด้วยกำลังของปัญญา ที่พิจารณาหาความจริงว่า
                พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข
                และอันดับ 3 สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันย่อมทรงศีลบริสุทธิ์ตามฐานะของตัว คำว่า ฐานะของตัวก็หมายความว่า ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นปกติ มีศีล 5 บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเจตนาในการทำลายศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เป็นอันว่าพระโสดาบันเป็นผู้มีความทรงอารมณ์อยู่ในศีลเป็นสำคัญ หนักหน่วงในเรื่องของศีล ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด
                ที่กล่าวมานี้หมายความว่า สังโยชน์ 3 ประการนี่ พระโสดาบันปฏิบัติมีจิตเข้าถึงตามนี้ นี่ก็พูดกันไปว่าก่อนที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจากโลกียะเป็นโลกุตตระ ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า โคตรภูญาณ ขณะเมื่ออารมณ์จิตของท่านผู้ปฏิบัติเข้าถึงโคตรภูญาณ
                คำว่าโคตรภูญาณ นี่ก็หมายความว่า จิตของท่านผู้นั้น ยังอยู่ในระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ
                แต่ทว่าอารมณ์ตอนนี้จะไม่ขังอยู่นาน บางท่านจิตจะทรงอยู่เพียงแค่ชั่วโมงหนึ่ง หรือไม่ถึงชั่วโมง และบางท่านก็อยู่ถึงอาทิตย์สองอาทิตย์ถึงเป็นเดือนก็มี สุดแล้วแต่ความเข้มแข็งของจิต ในช่วงที่จิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ท่านกล่าวว่า ในขณะนั้นอารมณ์จิตของนักปฏิบัติ จะมีความรักพระนิพพานอย่างยิ่ง คือมีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นแดนแห่งความสุข ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ มันก็ทุกข์ตลอดเวลา ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็พักทุกข์ชั่วคราว หรือ พรหมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีแล้วก็จะต้องจากเทวดา จากพรหมมาเกิดเป็นคนบ้าง บางรายก็เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอันว่าเขตทั้ง 3 จุด ไม่มีความหมายสำหรับใจ
                จิตใจของท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงโคตรภูญาณ ใจมีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพานเป็นปกติ
                แต่ทว่าพอจิตพ้นจากโคตรภูญาณไปแล้ว ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันเต็มที่ ที่เรียกว่า โสดาปัตติผล ตอนนี้อารมณ์จิตของท่านละเอียดขึ้นมานิดหนึ่ง นอกจากจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันเป็นของธรรมดา
                การนินทาว่าร้ายที่จะปรากฏขึ้นกับบุคคลผู้ใดกล่าวถึงเรา จิตดวงนี้มีความรู้สึกว่า ธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลกมันเป็นอย่างนี้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น มีความรู้สึกหนักไปในด้านของธรรมดา แต่ทว่าธรรมดาของพระโสดาบัน ยังอ่อนกว่า ธรรมดาของพระอรหันต์มาก
                ฉะนั้น ท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จึงยังมีความรักในระหว่างเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ท่านกล่าวไว้แล้วว่า พระโสดาบันมีสมาธิเล็กน้อย และก็มีปัญญาเล็กน้อย หากว่าท่านทั้งหลายจะถามว่า ถ้าคนยังมีความรักในเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีการอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลงก็ดูเหมือนว่าพระโสดาบันก็คือ ชาวบ้านธรรมดา
                แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ของพระโสดาบันอยู่ในขอบเขตของศีล เรารักในรูปโฉมโนมพรรณ มีการแต่งงานกันได้ระหว่างสามีภรรยาของตนเอง ยอมเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน จะนอกใจสามีและภรรยา ขึ้นชื่อว่า กาเมสุมิจฉาจาร จะไม่มีสำหรับพระโสดาบัน จะทำให้ครอบครัวนั้นมีอารมณ์เป็นสุข
                และประการที่ 2 พระโสดาบันยังมีความโกรธ ท่านโกรธจริง พูดเป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ ทำให้ไม่เป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ แต่ทว่าพระโสดาบันมีแต่อารมณ์โกรธ ไม่ประทุษร้ายให้เขามีการบาดเจ็บ และไม่ฆ่าคนหรือสัตว์ที่ทำให้ตนโกรธ ให้ถึงแก่ความตาย เป็นอันว่าความโกรธหรือความพยาบาทของท่าน อยู่ในขอบเขตของศีล จิตโกรธแต่ว่าไม่ทำร้าย คือ แตกต่างกับคนธรรมดาตรงนี้
                สำหรับด้านความหลงของพระโสดาบัน ที่ขึ้นชื่อว่าหลง เพราะยังมีความรักในเพศ ยังมีความอยากรวย เมื่อสักครู่นี้ข้ามคำว่าอยากรวยไป การอยากรวยของพระโสดาบัน คือ ต้องการความรวยในด้านสุจริตธรรมเท่านั้น เรียกว่า การทุจริตคิดร้ายคดโกงบุคคลอื่นใด ไม่มีในอารมณ์จิตของพระโสดาบัน ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต เพราะอาศัยยังรักในความสวยสดงดงาม คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่าเพศยังมีอยู่ ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง เพราะว่ายังคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ยังมีของสวยของงาม การถือตัวถือตนแบบนี้ จึงเชื่อว่ายังมีความหลง แต่ความหลงของพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถจะนำบุคลผู้นั้น ในเวลาแล้วไปสู่อบายได้
                จุดนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลายผู้รับฟัง จงจำไว้ว่า ความจริงอารมณ์ของพระโสดาบันนั้น ไม่แตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเท่าไรนัก ชาวบ้านธรรมดา ยังมีความรักในเพศ ยังมีสามี ภรรยา แต่ทว่ายังมีการนอกใจภรรยา สำหรับพระโสดาบันไม่มี ชาวบ้านอยากรวยก็ยังมีการคบคิดกันคดโกง การโกงมีการยื้อแย่งฉกชิงวิ่งราวดูทรัพย์ สำหรับพระโสดาบันนี่ ถ้าต้องการรวยก็รวยด้วยการสุจริต หากินด้วยความชอบธรรม ต่างกันตรงนี้
                พระโสดาบันยังมีความโกรธ ชาวบ้านโกรธแล้วก็ปรารถนาจะประทุษร้าย ถ้ามีโอกาสก็ประทุษร้ายบุคคลที่เราโกรธ ถ้าสามารถจะฆ่าได้ก็ฆ่า สำหรับพระโสดาบันมีแต่ความโกรธ การประทุษร้ายไม่มี การฆ่าการประหารไม่มี นี่ต่างกันกับชาวบ้าน
                พระโสดาบันยังมีความหลง ตามที่ได้กล่าวมาด้วยอาการที่ผ่านมาแล้ว แต่ทว่าพระโสดาบันก็ไม่ลืมคิดว่า เราจะต้องตาย เมื่อเราตายแล้ว เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตอนนี้พระโสดาบันไม่เสียใจ ไม่เสียดาย ถือว่าถ้าตายเราจะมีความสุข นี่ขอท่านทั้งหลายจำอาการอารมณ์จิตที่เข้าถึงพระโสดาบันไว้ด้วย
                พระโสดาบันยังมีความหลง ตามที่ได้กล่าวมาด้วยอาการที่ผ่านมาแล้ว แต่ทว่าพระโสดาบันก็ไม่ลืมคิดว่า เราจะต้องตาย เมื่อเราตายแล้ว เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตอนนี้พระโสดาบันไม่เสียใจ ไม่เสียดาย ถือว่าถ้าตายเราจะมีความสุข นี่ขอท่านทั้งหลายจำอาการอารมณ์จิตที่เข้าถึงพระโสดาบันไว้ด้วย

    จากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เหมือนคนไปวัดไปวา ใช้เวลาไปหลายสิบปี
    พระหลวงพ่อองค์ไหนดังไปหม๊ด ไปทำทาน ถวายปัจจัย ได้ฟังธรรมแล้วก็ชูวั๊บ ชูวั๊บ

    แต่ไม่เคยรู้เลยว่า วิธีทำ ทำยังไง

    เลยได้แต่ฟังผลงาน

    กลับมาบ้าน พ่อ แม่ ญาติพี่น้องขอตังหน่อย
    บ่นไฟแล๊บ
     
  5. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    คงซ่อนมานาน เผลอ ปุป กิเลส นำหน้าไป สาม ก้าว แล้วววว

    มันมายังไง มันมาทางไหน มาโผล่ผลุบ มาอยู่ ข้างหน้า ได้ไง คิคิ

    มันโผล่ มา ดีเลย ลาก มา ชำแหระ ซะ ล้างบางซะให้หมด พวก มาร เหล่านี้ อิอิ
     
  6. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    ไม่โกรธ เปนพระอนาคามี ครับ ขนาดอนาคามีมรรค ยังแวบชั่วขณะจิตถ้าเผลอ

    "เราจะเป็นอะไร ตัวของเรารู้ตัวเองดี ไม่ต้องไปป่าวประกาศ ไปโฆษณา" หนึ่งในคำสอนอาจารย์ฝากไว้ครับ อัตตนา โจท ยัตตานัง - ทำต่อไปครับ รู้ตัวอยู่แสดงว่ายังดี ถึงจะไม่หมดตัวก็ตามที

    พบกันที่ปลายทาง โชคดีครับ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    อนุโมทนาครับ

    สำหรับกระผม กระผมไม่ทราบว่า จิตของข้าพเจ้าอยู่ระดับใด เพียงแต่รู้เหตุปัจจุบันเป็นเช่นนี้ว่า

    1 จิตข้าพเจ้า มีจิตด้วยสติสัมปชัญญะเฝ้าระวัง ไม่กระทำบาบใดๆ ศีลเป็นเรื่องปกติ เป็นข้อห้าม เมื่อเป็นข้อห้าม ก็ไม่สามารถผิดศีลได้

    2จิตข้าพเจ้า มีสมาธิทรงตัวเสมอ ด้วยจิตระลึกดี เสมอมีพุทธนานุสติ และโพธิสัตโตนุสติ เสมอ จิตแม้ทำงานไปด้วยก็ยังน้อมระลึกเสมอ

    3จิตข้าพเจ้า ไม่ยึดติดในความโกรธ ใดๆพยาบาทใดๆไม่มี หลงเหลือแล้ว ข้าพเจ้ามีอภัยทานเป็นธรรมข้อใหญ่ประจำใจข้อหนึ่ง

    4จิตข้าพเจ้า ยังมียึดติดในโลภและหลงในอวิชาฝ่ายกุศลเป็นส่วนมาก แต่ในฝ่ายอกุศลข้าพเจ้า ตัดละปล่อยวางแล้วเกือบบริบูรณ์

    5จิตข้าพเจ้าปราถนาแห่งการสวดมนต์ภาวนาเป็นที่สุด จิตข้าพเจ้าติดในรสชาติของเสียงสวดมนต์ภาวนา ทั้งแบบไทย จีน ทิเบตและอินเดีย

    6จิตข้าพเจ้า ปราถนาแห่งการไหว้พระทำบุญเป็นลำดับรองลงมา

    7จิตของข้าพเจ้าไม่ปราถนาการมีคู่ครอง และการเสพกามเมถุน

    8จิตของข้าพเจ้าปราถนาความสันโดษ สงบนิ่ง คือ ป่า เขา ถ้ำ คูหาที่สงบ ไม่ชอบผู้คนมากมาย ไม่ชอบเสียงดัง ชอบความสงบสุข

    9จิตของข้าพเจ้าไม่ยึดติดในปัจจัย4แม้เงินทอง พึงมีพึงได้ พึงใช้ตามความเหมาะสมควรแก่กายสังขาร ส่วนที่เหลือคือเก็บไว้ทำบุญให้ทาน สงเคราะห์ญาติๆและผู้ที่ด้อยกว่า และสงเคราะห์พุทธศาสนา

    10 จิตของข้าพเจ้า มีความสงบสุข เพราะอาศัยความสงบไม่ข้องแวะด้วยเครื่องกำหนัดยินดีหรือปรุงแต่งทั้งหลาย และไม่ไหลไปตามความกำหนัดยินดียินร้ายทางกายเป็นเบื้องต้น

    ทุกข์ละปล่อยวาง หมดแล้วจริงหรือ เหลือ ความสุขละ สุข ใดๆเล่า จะสุขเท่าไม่ยึดติดในสุข สักวันจิตของข้าพเจ้าคงไปถึงจุดนั้น

    สุขใดสุขล้ำเลิศสุงสุด สุขใดเล่าสุขเหนือสุข
    สุขใดล้ำเลิศสุดพรรณา สุขใดหนาล้ำเลิศเกินแดนพระนิพพาน
    สุขนั้นหนาใช่อื่นไกลคือสุขาวดีพระนิพพาน สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2013
  8. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    อย่างที่เจ้าของกระทู้ว่ามานั้น คือการปลดล็อคทางใจอย่างหนึ่ง

    เปิดส่วนที่ปิด ผลที่ได้ คือความปลอดโปร่ง โล่งใจ สบายใจ

    เดิมทีมันอาจจะหนัก พอเปิดออกมันโล่งโปร่ง ธรรมชาติมันเกิดดับให้เราดู รู้ตามความเป็นจริง

    ขันธ์ ๕ ถ้าเราไปแบกไว้มันเป็นทุกข์ พอวางได้มันก็เป็นสุข พอเอาอะไรไปใส่ เป็นทุกข์อีกละ

    มันก็เป็นของมันอย่างนี้เรื่อยไปตามเหตุตามปัจจัย ปล่อยวางซะได้ นั่นแหละดีแล้ว

    ถ้ายังไม่ปล่อย มันไม่เปิดหรอก พอปล่อยมันเลยเปิด พอเปิดเลยเห็น

    มันเป็นอย่างนี้เอง..

    ธรรมชาติเป็นเพียงสิ่งที่อาศัยซึ่งกันและกันเท่านั้น

    เมื่อไรเอาความเป็นตัวเราเข้าไปใส่ ไปเกี่ยวข้อง ไปยึดถือ เมื่อนั้นมันมีอัตตาตัวตนขึ้นมาทันที วงจรกิเลสมาอีกแล้ว
     
  9. เจ้าทองไปดี

    เจ้าทองไปดี แมว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +223
    แล้วโสดาบันเขาทำยังไงละครับ ยุงกัดนั่งยิ้มให้ยุง รอยุงอิ่มหรอ
    รถปาดหน้า ไม่โกรธ ไม่บ่น ไม่ด่า ท่องแต่ สาธุ ๆ ๆ หรอ


    ของผมนี้ เมื่อคืนตัวต่อหัวเสือบินเข้าไปในห้องแม่ ตัวแรกยังคิดไม่ออก แม่บอกให้ตีให้หน่อย เอาตีๆก็ตีวะ อย่าตายละตัวต่อ ใจกะเอาแค่ร่วง ยังดีที่ตบไม่โดน นึกขึ้นได้มีเครื่องดูดฝุ่น...._(ดูดแล้วเลี้ยงไว้ในเครื่อง ไม่ได้ปล่อย)

    ตัวที่สอง สาม แม่ผมตีเอง ตายหมด รอดตัวไป

    และก็จับตะขาบใส่ขวดน้ำอัดลม ตัวเบ่อเริ่ม กะว่าเช้าๆจะเอาไปปล่อย พอเช้ามาเอาขึ้นรถไปถึงป่ากะถิน เอาออกมาดู ตะขาบตายซะแล้วว

    ก็มาคิดดูเหมือนกันนะว่า สัตว์ร้ายกับแม่ จะเอาไงดี ถ้ามีคนมาทำร้ายละจะัเอาไงดี
    จะอยู่เฉยๆ หรือจะสู้
    คำตอบก็คือ ผมสู้แน่ แต่จะไม่มีการตั้งใจว่าจะเอาให้ตาย กะเอาแค่ป้องกันตัว แต่ถ้าพลาดถึงตาย
    ก็แล้วแต่จะคิด
     
  10. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    กระทู้นี้จะพยากรณ์มรรค-ผลกันเองเหรอครับ
     
  11. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    น้องหลบภัย ท่านปราบเทวดา ท่านTboon คนเก่าในกระทู้ สบายดีนะ
    วันนี้ยังไม่เห็น ท่านมหา(บุคคลทั่วไป 3 คน) ชอบท่านบุคคลทั่วไป 3 คน ขยายความพุทธวจนะ
    มีหลายท่านเข้าใจความหมายพุทธวจนะผิด แต่ท่านบุคคลทั่วไป 3 คน ช่วยอธิบายที่ถูกต้อง ชอบใจท่าน
    ถ้าท่านบุคคลทั่วไป 3 คน ถ้าไม่เสียดสีผู้ที่เข้าใจผิดแรง เหมือนแต่ก่อนโน้น กระทู้ท่านจะมีประโยชน์มากเช่นกัน
     
  12. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    ใช้ชื่อ ทดสอบ 1 เพื่อคนเก่าจะได้จำกันได้มากระทู้นี้เพื่อจะแนะนำพระอริยะสงฆ์องค์ท่านหนึ่ง คำสอนง่ายต่อการเข้าถึงมาก

    ***หลวงพ่อธรรมดาๆ องค์หนึ่ง แต่เป็นผู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม***

    หลวงพ่อสมบูรณ์ ท่านเป็นพระอรหันต์ คำสอนง่ายต่อการเข้าถึงธรรมมาก ไม่ได้เป็นลูกศิษย์หรือเกี่ยวข้องใดๆกับท่านนะ เดี๋ยวเข้าใจว่ามาโฆษณาให้กัน ปฏิบัติตามหลวงพ่อสมบูรณ์จะง่ายต่อการเข้าถึง ที่มาบอกเพราะความหวังดี เจตนาดีนะ ปรารถนาให้เข้าถึงธรรมกัน
     
  13. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    ค่ะ ก็เหมือนกับความรู้ของเรา มันไม่ใช่เรา แต่สิ่งที่เป็นสภาวะมันบอกว่า จิตเราอยู่แค่ไหน
    เพี่ยงแต่เรานิ่งๆ ดูธรรมชาติของขันะธ์ที่ปรุงแต่งเราต่อไป


    สวัสดีค่ะ พี่ทดสอบ 1
     
  14. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +1,124
    น่าจะมีคนซื้อเครื่องปั่นให้นะ ปล่อยให้ยุงสูบเลือด มีเครื่องปั่นทำกิจวัตรอื่นได้
    แต่ก็อาจจะหลงไปอีก 2 ชาติ (ไทย-...) เพราะไม่มีเวลาให้ยุงกัด ไม่ต้องมานั่งซัก :'(

    หน.ทีมฮอล หาย
     
  15. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    เครื่องปั่นผ้าอ่ะพี่ แต่ผ้าบางอย่างก็ต้องซักเอง การพิจารณาว่าผ้าชนิดไหน
    ควรรักษาความสะอาดอย่างไร ก็ต้องผ่านสติของเรา ทั้งนั้น

    ไม่นิยมซักรวมกัน หรือมีอะไีีร ก็ให้เครื่องทำให้ ชีวิตมันง่ายเกินไป
    การทำให้ชีวิตลำบาก มันเป็นอะไรที่ ชอบมว๊ากก อ่ะเพ่



    ผู้หญิง กับผู้ชาย ซักผ้า ไม่เหมือนกัน โดยส่วนใหญ่ผู้ชายจะซักรวมกัน
    อ้าวไปไหนแระ กระทู้หุหุหุุ
     
  16. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    นิสัยการซักผ้า หรือทานอาหาร หลายๆ คนไม่มีเวลาพิจารณาด้วยซ้ำ ทุกวันๆ ไม่เคยหยุดเอ๊ะใจเลย พอเราลองตั้งสติ ค่อยทำช้าๆ เราเห็นอะไร ที่เราพลาดไปหลายอย่างเลย
    พระพุทธเจ้า ท่านเลยวาง สติปัฐฐาน 4 ไว้ให้เราไง
     
  17. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    เล่าสู่กันฟัง ตามคำกล่าวของหลวงปู่สาวกโลกอุดร ได้กล่าวไว้ว่า " เรื่องการบรรลุระดับนั้นระดับนี้นั้น เปรียบเสมือน การยิงธนู เมื่อลูกธนูพุ่งออกจากสายธนู ลูกธนูย่อมพุ่งไปตรงเป้าหมายที่เราได้หมายไว้ แต่ระยะทางระหว่างที่ลูกธนูเเล่นออกจากสายธนูนั้น ถ้ายังไม่ไปถึงเป้าหมายเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าลูกธนูไปได้ระยะทางไกลเท่าใด ต่อเมื่อลูกธนูไปถึงเป้าหมายที่เราหมายไว้แล้ว เราย่อมทราบได้ว่าลูกธนูไปได้ระยะทางเท่าใด ฉันใดก็ฉันนั้น พระอรหันตสาวก เป็นผู้เดินตามทางที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ การพยากรณ์เหล่าสาวกของพระองค์เป็นพุทธวิสัย แต่เหล่าสาวกของพระองค์พยากรณ์ตัวเองได้ ถ้าบรรลุอรหันผล ได้เสวยวิมุติธรรม ย่อมไม่ต้องไปถามใครใดๆในโลกนี้อีก .... เป็นอีกแง่มุมหนึ่ง นำมาเล่าสู่กันฟังครับผม
     
  18. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    น้องหลบภัย กับท่าน Acklorwil ทำสมาธิติดขัดอะไรไหมครับ วันนี้ท่านธรรมภูต ติดโทษแบนอยู่ ไม่อย่างนั้นอาจโดยด่ากระจาย
    ท่านธรรมภูต อธิบายธรรมดี ถ้าตัดคำด่า คำเสียดสีออกไป ใครเขาด่ามาไม่เห็นจำเป็นต้องไปด่าตอบเลย

    ท่านธรรมภูต เขาถือคติว่า ถ้าใครด่ามาต้องด่าตอบให้แรงกว่า ไม่พูดดีกับใครก่อน อันนี้เป็นคติท่านธรรมภูตจริงๆ
    คติธรรมแบบนี้เป็นธรรมของสัตว์นรก ปรารถนาให้ท่านธรรมภูตเลิก หลังจากหมดโทษแบน เว็บจะได้น่าเข้ามาอ่านหน่อย
     
  19. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +1,124
    ผมรออ่านธรรมะจากท่านดีกว่าครับ ไว้น้อมนำมาปฏิบัติ ไปเรื่อยๆครับตอนนี้

    ขอบพระคุณมากครับท่านทดสอบ1

    ส่วนขานั้นเห็นบ่นกันสองคนอยู่แอนตี้ ปล่อยแกไปเหอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2013
  20. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +1,124
    เอางี้ดีกว่าครับท่านทดสอบ1 อยากให้แนะนำการเข้าฌานแบบฉับไว

    แบบกำหนดปั๊บเข้าได้เลย ต้องทำอย่างไรครับ โดยไม่ต้องไปตั้งท่าตามรูปแบบ

    เอาแบบให้คล่องในวสี เมื่อไหร่ที่ไหนก็ได้ หรือในอิริยาบถใดก็ได้

    เพื่อไว้เป็นบาทฐานสำหรับผู้มีจริต ในแนวทางนี้

    ขอคำแนะนำครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...