เรื่องของฝนประหลาด สำหรับคนชอบเรื่องแปลก

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย wannock, 28 กันยายน 2004.

  1. wannock

    wannock Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +27
    อ่านแล้วต้องบอกว่าอึ้ง อยากเจอบ้างจัง!!
     
  2. wannock

    wannock Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +27
    เรื่องราวมีดังนี้

    เรื่องฝนประหลาด เป็นเรื่องที่เกิดตามที่ต่าง ๆ ของโลกตั้งมากมายหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นในเมืองไกล เช่นเมืองฝรั่งเศล อังกฤษและทั้งเมืองใกล้ แบบพม่ายังงี้ เรื่องแรกที่จะเล่าเป็นที่เกิดที่เกาะสิงคโปร์ (ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นประเทศ) ใกล้ ๆ เมืองไทยเรานี่ละครับ

    ฝนตกลงมาพร้อมสิ่งประหลาดครั้งนั้นเกิดเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. ๑๘๖๑ (พ.ศ.๒๔๐๔) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดตามมาจากการมีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงที่นั่น ต่อมาก็มีฝนกระหน่ำติดๆ กันถึง ๖ วัน กว่าฝนจะหยุดปาเข้าไปวันที่ ๒๒ นั่น น่ะครับ นายหรังซัว เดอ คาสเตลนู ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสที่อยู่บนเกาะ ตอนนั้น รายงานเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นให้สภาวิทยาศาสตร์อังกฤษฟังว่า

    "๑๐ โมงเช้า ดวงอาทิตย์ค่อยปรากฏเป็นดวง พอผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นชาวมาเลย์กับชาวจีนจำนวนมากวุ่นวายอยู่กับการเก็บปลาใส่ตะกร้า ผมค่อนข้างประหลาดใจที่เห็นเขาเก็บขึ้นมาจากแอ่งน้ำบนพื้นนั่นแหละ พอถามเข้าเขาก็พากันบอกว่า มันตกลงมาจากฟ้า อีก ๓ วันต่อมา พอน้ำแห้งหมด เรายังพบปลาตายอยู่อีกตั้งมาก ผมแปลกใจจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาข้อหักล้างอะไรมาบอกพวกเขาได้ แต่ผมได้ออกไปตรวจดูที่เกิดเหตุร้ายด้วย แล้วพบว่าปลาที่ตกลงมาจากฟ้า (อย่างที่ชาวบ้านบอก) คือปลาที่อยู่ในตระกูลปลาไม่มีเกล็ดทั้งนั้น (พวกปลาดุก ปลาสวาย) ปลาพวกนี้มีอยู่ทั่วไปในแหล่งน้ำจืดแถบสิงคโปร์ แหลมมลายู สยาม สุมาตรา และบอร์เนียว ตัวมันยาวประมาณ ๒๕ ถึง ๓๐ เซนติเมตร ซึ่งนับว่าโตเต็มที่แล้ว"

    แม้ว่าอีตา คาสเตลนู จะไม่ได้เห็นปลาตกมาจากฟ้ากับตาแต่เขาก็เชื่อว่าปลาต้องตกมาจากฟ้าจริงๆ เชียวละครับ ไม่งั้นปลามันจะมาจากไหนตั้งมากมาย กระจายอยู่บนถนนให้ชาวบ้านไล่เก็บอย่างง่ายดายอย่างงั้นเล่า

    ตรงข้ามกับคาสเตลนูซึ่งไม่ได้เห็นกับตา มีอีกคนที่เห็นฝนตกลงมาเป็นปลาดังว่าสด ๆ ร้อน ๆ เลยทีเดียว เป็นปรากฏการณ์ฝนปลาที่ภูเขาแอช กลามอร์แกนเชียร์ ที่เวลส์ ประเทศอังกฤษในปี ๑๘๕๙ (พ.ศ.๒๔๐๒) โนนครับ คราวนั้นโรเบิร์ต ชัดวัล รายงานไว้ในวารสารฟอร์ทีนไทม์ ปี ๑๙๗๙ ว่า

    เวลาประมาณตอน ๑๑ โมงเช้า จอห์น ลูอิส กำลังทำงานอยู่ในป่าบนภูเขาแอช พลันนั้นเองตะแกรู้สึกเหมือนมีของอะไรบางอย่างหล่นมาถูกตัว และเจ้าอะไรที่ว่านี้มีอยู่อันหนึ่งหล่นลงมาแหมะอยู่ตรงท้ายทอยของแกพอดี

    "ผมตะปบมือไปที่ต้นคอคว้าของที่หล่นลงมาโดนได้พอดีแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจเมื่อเห็นเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือ มันเป็นปลาตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้โผล่มาจากไหน ผมเหลียวมองไปรอบๆ ตัวก็เห็นปลาแบบนี้ดิ้นไปมาอยู่พื้นดินเต็มไปหมด แม้กระทั่งบนปีกหมวกผมก็มีปลาดิ้นกระแด่วๆ มองไปที่โรงเก็บของก็มีปลาอยู่เต็มเช่นกัน ผมว่าถ้ากวาดเอามารวมกันคงได้หลายถังทีเดียวเชียวละครับปลาพกวนั้นมันหล่นลงมาจากฟ้า ทีแรกก็ไม่กี่ตัวหรอกครับ แต่อีกซักประเดี๋ยวเดียวมันก็พรูลงมายังกับสายฝน เพียงแต่ว่าเม็ดฝนแทนที่จะเป็นน้ำ มันกลับกลายเป็นตัวปลา"

    นอกจากฝนจะตกลงเป็นตัวปลาแล้ว ยังตกลงมาเป็นอย่างอื่น อีก เช่น พวกคางคก พวกกบซึ่งถือเป็นฝนยอดนิยมอีกอย่างหนึ่งเช่นที่เกิดในตำบลลาเลน ฝรั่งเศส เมื่อปี ๑๗๙๔ ทหารผู้ประสบเหตุเล่าว่า

    "วันนั้นเป็นวันที่อากาศร้อนมาก แต่แล้วในช่วงบ่ายสามโมงนั่นเอง พายุฝนขนาดให_่ก็เทกระหน่ำลงมาจนแม้ทหารรักษาวัง ๑๕๐ คนที่ได้รับคำสั่งไม่ให้ทิ้งหน้าที่โดยเด็ดขาดก็จำเป็นต้องหนีออกจากตำแหน่งที่ตนรักษาอยู่เพื่อหลบฝน แต่ว่าเมื่อสายฝนช่วงแรกตกลงมาสู่พื้น เหล่าทหารก็ต้องแปลกใจ เพราะแทนที่จะเป็นน้ำฝนอย่างเดียว กลับมีคางคกขนาดเท่านิ้วก้อยจำนวนมหาศาลผสมลงมาด้วย พอลงถึงพื้นมันก็กระโดดกระหยองกระแหยงเปะปะไปทั่ว นายทหารคนหนึ่งซึ่งเข้าเวรรักษาการณ์ ไม่เชื่อว่าฝนจะตกลงมาเป็นคางคกเขาเลยเอาผ้าเช็ดหน้าออกมากางกลางฝนให้เพื่อนคนหนึ่งถือสองมุมไว้ปรากฏว่า ได้คางคกตกลงในผ้าเช็ดหน้าของเขาไม่น้อยทีเดียว คางคกแต่ละตัวยังมีหาง แสดงว่ายังไม่พ้นภาวะการเป็นลูกอ๊อด ฝนคางคกตกอยู่ชั่วโมงจึงหยุดไป แต่ว่าตอนนั้นน่ะในหมวกแบบสามมุมของพวกเขา (เครื่องแบบทหารในยุคนั้น) มีคางคกเล็ก ๆ พวกนี้ค้างอยู่เต็มไปหมด"

    ฝนประหลาดอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับลมพายุรุนแรงเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๑๙๐๑ ที่เมืองมินเนอาโปลิส รัฐมิเนโซต้า มีรายงานถึงเรื่องกบเขียดตกลงมาพร้อมกับฝนอีกเช่นกันครับ

    "เมื่อพายุกระหน่ำถึงขั้นหนักสุด กระแสลมพัดพาฝนสาดซัดกระจกบ้านเกรียวกราว ทันใดนั้นอากาศดูสลัวไป แล้วกลุ่มก้อนอะไรเขียว ๆ ขนาดมหึมาก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าตามทิศทางกระแสลมมันไม่ใช่ฝนหรือลูกเห็บ แต่ทว่าเป็นลูกกบลูกเขียดเหลือคณานับ ทุกชนิดทุกประการที่มีอยู่ตามหนองบึงแถบนั้น มันตกลงมาทับถมกันหนาถึงสามนิ้วบนท้องถนนและตามพื้นดินกินบริเวณกว้างถึงสี่ช่วงตึกส่งเสียงร้องกันเซ็งแซ่ ผู้คนก็ไม่อาจเดินบนถนนได้เพราะมันรวมตัวอยู่กับหนาแน่นไปหมด"

    ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งแปลกๆ ที่ตกลงมาจากฟากฟ้านี้เกิดขึ้นบ่อยมากน้อยแค่ไหนครับ เพราะมีบันทึกทำนองนี้อยู่ทั่วไป ตั้งแต่ในอดีตเก่าแก่แช่น้ำมาจนใกล้ๆ ปัจจุบัน เฉพาะเรื่องคางคกและกบที่ตกลงมาจากฟ้านี่ ดร.อี ดับบลิว กัดเดอร์แห่งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติของอเมริกาได้ใช้เวลารวบรวมอยู่ ๔๐ ปี แล้วสรุปว่าฝนกบฝนคางคกมีรายงานพบได้ ๗๘ ครั้งในรอบ ๒,๓๕๐ ปี เกิดในอเมริกา ๑๗ ครั้ง อินเดีย ๑๓ ครั้ง เยอรมณี ๑๑ ครั้ง สกอตแลนด์ ๙ ครั้ง ออสเตรเลีย ๗ ครั้ง และในอังกฤษและแคนาดา ๕ ครั้ง ทว่าเมื่อเขาศึกษาจากบันทึกของพิพิธภณฑ์ออสเตรเลีย กลับพบว่า มีฝนตกในออสเตรเลียที่เดียวถึง ๕๐ ครั้ง ระหว่างปี ๑๘๗๙-๑๙๗๑

    ทั้งๆ ที่มีรายงานที่เชื่อถือได้มากมายว่ามีเหตุการณ์ฝนตกลงมาเป็นปลา แต่ก็ไม่มีใครหาเหตุผลว่า "ทำไม" มันถึงเกิดขึ้นได้

    ใครๆ ที่สนใจในเรื่องประหลาดๆ แบบนี้ก็พยายามหาคำอธิบายเรื่องนี้กันเป็นพัลวันครับ แต่คำอธิบายที่พอฟังได้อันหนึ่งคือว่ามันเกิดจากพายุทอร์นาโด หรือลมพายุที่หอบเอาน้ำที่มีปลาอยู่ขึ้นไปบนหมู่เมฆแล้วปล่อยลงมายังพื้นดิน

    มันเป็นเหตุผลง่าย ๆ ครับ แรงลมช่วยยกวัตถุซึ่งมีน้ำหนักเบาๆ พอจะฟุ้งกระจายในอากาศได้ ซึ่งก็เป็นเหตุธรรมดาอยู่แล้วเพราะไม่ว่าจะเป็นสปอร์พืช เชื้อรา ไข่แมลง แบคทีเรียหรือแม้แต่ขนนกอันเล็กๆ ก็ล้วนลอยฟ่องอยู่ในอากาศ มีทั้งที่ตามมนุษย์มองเห็นและมองไม่เห็น แต่ว่าถ้าเป็นของที่ขนาดให_่กว่านั้น มีน้ำหนักมากกว่านั้น ก็ย่อมจะต้องใช้ลมที่แรงกว่าลมปกติจะมีลมอะไรอื่นเล่าครับที่แรงๆ ก็ต้องพวกลมหมุนหรือทอร์นาโดนั่นละ มันถึงจะดูดเอาสิ่งที่มีน้ำหนักเยอะๆ เข้าไปได้ เหตุการณ์ฝนประหลาดอย่างที่ผมเล่าไปจึงน่าจะตอบคำถามด้วยเหตุผลนี้

    แต่อย่าเงพิ่งเชื่อนะครับท่านผู้อ่าน เพราะความจริงอีกอย่างของลมแรงทั้งลมหมุนและทอร์นาโดนี้คือ กระแสลมในงวงของมันมีความเร็วขนาด ๑๗๐-๓๐๐ ไมล์ต่อชั่วโมง และยังมีความกด ๓๐๐ ปอนด์ต่อตารางฟุต ซึ่งเป็นแรงที่สามารถอัดสิ่งต่างๆ ที่ขวางหน้ามันให้แหลกเป็นชิ้นๆ ได้ ถ้าหากลมหมุนเป็นต้นเหตุของฝนประหลาดจริง ไฉนเจ้าสัตว์ที่ตดลงมากับฝนถึงอยู่ในสภาพดี และส่วนให_่มักลงพื้นอย่างมีชีวิต...

    นั่นแปลว่าถ้าหากลมหมุนได้ดูดเอาสัตว์พวกนี้เข้าไป อาจจะมีการดันส่งมันขึ้นไปในบรรยากาศเมฆฝนซึ่งปลาหรือคางคกและกบสามารถรอดชีวิตที่นั่นได้เป็นระยะเวลายาวนานก่อนจะตกลงมาที่พื้นดินอีกครั้ง นั่นต้องหมายความอีกว่าแรงลมก็ไม่แรงพอจะทำร้ายมันแถมสัตว์พวกนี้ยังไม่สะทกสะท้านต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันอีกต่างหาก...

    สันนิษฐานข้อนี้อาจเป็นไปเหมือนกัน

    แต่..ก็ยังไม่หมดข้อสงสัยอีกละครับ

    ข้อข้องใจข้อนี้ก็คือ ดูเหมือนลมหมุนและทอร์นาโดพวกนี้จะเป็นพวกช่างเลือกเสียด้วย มีหลายกรณีที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งของที่ตกลงมาเป็นฝนนั้น มาเป็นอย่าง ๆ ปลาก็ปลา คางคกก็คางคก กบก็กบ ที่จะผสมข้ามพันธุ์เป็นไม่มี หนำซ้ำสัตว์พวกนี้ยังมาแบบโตเท่ากันเสียอีก นี่แสดงว่าคัดน้ำหนักด้วย ไอ้ที่จะเป็นตามทฤษฎี ลมหมุนดูดเอาสัตว์ขึ้นมาจากที่อยู่ของมัน แล้วปล่อยลงดิน สิ่งที่อยู่ในบ่อน้ำเดียวกับปลาไม่ยักกะตกมาด้วยเลยสักที ไม่ว่าจะเป็นโคลนหรือสาหร่ายในบ่อน้ำ แปลกจริงๆ แฮะ

    ยิ่งรวมกับความจริงที่ว่า เมื่อลใหมุนสามารถดูดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าไปในงวงของมันแล้ว ไฉนมันไม่ปล่อยของต่างๆ ให้กระจายออกไปอย่างไร้ทิศทางเช่นเดียว เพราะว่ากรณีส่วนให_่ของเรื่องปลาที่ตกลงมาจากท้องฟ้ามักตกเป็นที่แคบๆ อย่างในเหตุการณ์ที่ภูเขาแอช ปลาตกลงมาในพื้นที่จำกัดแค่กว้าง ๑๑ เมตรยาว ๗๓ เมตร เท่านั้นเอง หรืออีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางตอนใต้ของกัลกัตตาเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๑๙๓๙ พยานเล่าว่าสิ่งที่ประหลาดที่สุดก็คือ ปลามันตกลงมาจากท้องฟ้าเป็นสายตรงๆ กว้างไม่เกินหนึ่งตารางเมตร ไม่กระจัดกระจายสะเปะสะปะ..นั่นนะซีครับท่านผู้อ่าน ผมเองก็เริ่มงงตามบันทึกของฝรั่งซะแล้ว

    เอ้า ถ้าสมมุติฐานเรื่องลมหมุนเป็นต้นการทำให้เกิดฝนประหลาดทำนองนี้ แล้วกรณีที่มีฝนปลาไม่มีลมพายุแต่อย่างใด เรื่องนี้จะอธิบายว่าไง...ผมก็อธิบายไม่ได้หรอกครับท่านผู้อ่าน ต้องปล่อยให้งงต่อไปตามระเบียบ

    ฝนปลาที่ไม่มีลมพายุมาก่อน เช่น กรณีที่เกิดในเดือนเมษายนปี ๑๙๕๖ ที่เมืองชิลัทชี รัฐอลาบามา ครั้งนั้นมีผู้สังเกตเห็นเมฆดำจับตัวอยู่บนท้องฟ้าเหนือหัว และแล้วมันก็ตกลงมาเป็นฝนบนอาณาบริเวณไม้กว้างนัก ซักราว ๆ ๒๐๐ ตารางฟุต ระหว่างฝนตกนานสิบห้านาทีนั้น ปลาสามชนิดก็หล่อนมาด้วย มีปลาดุก ปลากระพงแล้วก็ปลาตะเพียนยังเป็น ๆ อยู่เลย ตกลงมาดิ้นกระแด่วๆ อยู่กับพื้นที่ชุ่มน้ำ หลังจากปลาตกลงมาไม่นานท้องฟ้าพลันขาวกระจ่าง ไม่มีรายงานถึงพายุหมุนทอร์นาโดแต่อย่างใด...

    ท่านผู้อ่านอาจจะบอกว่า มันก็มีน้ำฝนอยู่ดี

    เอ้า งั้นผมจะเล่าเรื่องที่น่าอัศจรรย์ซึ่งเกิดขึ้นกับชาวประมงกิริบาติ ๓ คนมั่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อพวกเขาลอยเท้งเต้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิกนานถึง ๑๑๙ วัน ในปี ๑๙๘๖ (พ.ศ.๒๕๒๙)เนื่องจากเครื่องยนต์เรือเสีย ระหว่างนี้ยังชีพอยู่ด้วยการฆ่าปลาฉลาม เอาเลือดของมันมาดื่มแล้วกินเนื้อดิบๆ พอหลายสิบวันเข้าก็ชักจะเอียน กินไม่ลงครับ ต่างคนจึงสวดมนต์ภาวนาขอให้พระเจ้าประทานปลาอย่างอื่นให้บ้าง คืนหนึ่งนั้นเองอะไรบางอย่างก็ร่วงหล่นมาบนเรือ มันคือปลาสีดำหายากซึ่งอาศัยอยู่ในระดับถึง ๖๐๐ ฟุตจากผิวน้ำ

    มันขึ้นมาได้อย่างไร นั่นซิ...ไม่มีใครตอบได้เลยครับ ทว่ากรณีนี้ไม่มีทั้งฝนและพายุแต่อย่างใด

    เหตุการณ์ปลาเป็นๆ ที่ตกลงมาจากฟ้ามีบันทึกในปูมประวัติศาสตร์ของหลายประเทศ ซึ่งถ้าจะว่าไปมันดูแปลกประหลาดเหลือเชื่อแล้วนะครับ

    แต่ยังแปลกเท่าเรื่องฝนปลาแห้ง!

    รายงานกล่าวว่า ฝนปลาชนิดนี้เกิดขึ้นในอินเดียสองครั้ง ที่ฟัตติพอร์ในปี ๑๘๓๓ และที่อลาฮาบัตปี ๑๘๓๖ ใช่แต่จะเป็นปลาตายเท่านั้น ยังแห้งอีกต่างหาก ที่เกิดที่ฟัตติพอร์ มีปลาตกลงมา ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ตัว ล้วนเป็นปลาชนิดเดียวกัน ถ้าจะบอกว่าลมหมุนจะเก็บปลาเอาไว้ มันจะหมุนเก็บปลาให้ล่องลอยอยู่ในอากาศได้นานแค่ไหนถึงได้ทำให้ปลาแห้งแหงแก๋ได้ยังงั้น

    นอกเหนือจากปลา กบ เขียดที่ตกลงมาจากฟากฟ้าแล้ว ยังมีอย่างอื่นๆ ที่น่าเวียนหัวอีกหลายอย่างครับท่านผู้อ่าน นกตายก็เคยมีแต่ไม่น่าประหลาดเท่าตัวแลน ลิง หรือ งู ซึ่งท้องฟ้าไม่ใช่ที่อยู่ของมัน

    รายงานในปี ๑๘๗๗ (พ.ศ.๒๔๒๐) กล่าวว่ามีงูจำนวนมากนับพันตัวตกลงมาที่ตอนใต้ของเมมฟิส รัฐเทนเนสสี ตัวมันยาวประมาณ ๑๘ นิ้วเท่ากันหมด หลายคนเข้าใจว่ามันน่าจะถูกเฮอริเคนกวาดมา แต่ที่น่าสงสัยกว่าก็ตรงที่ทำไมถึงมีจำนวนมาก แถมยังมีขนาดใกล้เคียงกันเสียอีก

    วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๑๙๑๑ ฮิแรม แวนเชชล์ บ้านอยู่ที่อีแวนสวิลล์ รัฐอินเดียน่า รายงานว่า ระหว่างฝนตกหนักมีตัวเหี้ยยาวราว ๒ ฟุต หล่นลงมาจากฟ้ามาคาอยู่ที่กระไดบ้าน และทำท่าจะคลานเข้าบ้าน ทั้งเธอและเพื่อนช่วยกันระดมตีมันจนตาย

    วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๑๙๕๖ เวลาเช้าตรู่ เฟย์ สวอนสัน เดินไปตากผ้าที่หลังบ้านในบรอดมัวร์ แคลิฟอร์เนีย เธอพบว่าราวตากผ้าขนาด ๔x% นิ้วหักสะบั้น มีลิงตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งนอนตายอยู่ใกล้ๆ นักวิเคราะห์กล่าวว่า ลิงตัวนั้นน่าจะตกลงมาจากเครื่องบินลงมาจ๊ะเอ๋เข้ากับราวจนหัก แต่เจ้าหน้าที่การบินปฏิเสธว่า คืนนั้นไม่มีการขนส่งลิงทางอากาศแต่อย่างใด

    นอกจากฝนตกลงมาเป็นสัตว์เป็นๆ แล้ว ยังมีแบบที่ตกลงมาเป็นเนื้อสัตว์ พืชและอาหารอื่นอีกครับ

    เท่าที่รายงานในศตวรรษนี้ก็มี ลูกพีชขนาดลูกกอล์ฟ ยังเขียวสด หล่นลงมาที่หลุยเซียน่า (๑๙๖๑ = พ.ศ. ๒๕๐๔) ข้าวเปลือกร่วงลงมาที่เมืองมัณฑะเลย์ของพม่า (๑๙๕๒ = พ.ศ.๒๔๙๕) เมล็ดถั่วพรั่งพรูลงมาใน แคลิฟอร์เนีย (๑๙๕๘ = พ.ศ. ๒๕๐๑) และเวอร์จิเนีย (๑๙๖๒ = พ.ศ. ๒๕๐๕) ไข่หล่นที่โวกิงแฮมอังกฤษ (๑๙๗๔ = พ.ศ.๒๕๑๗) มัสตาร์ด ถั่ว ข้าวโพด หล่นที่เซ้าแฮมตัน (๑๙๗๖ = พ.ศ. ๒๕๒๒)

    ที่น่างงหนักกว่าคือฝักข้าวโพดตกลงมาที่เมืองอีแวนส์ รัฐโคโลราโด มันไม่ได้ตกลงมาแค่วันสองวัน แต่ตกลงมาทุกวันนานหลายปี เริ่มตั้งแต่ปี (๑๙๘๒ = พ.ศ. ๒๕๒๕) ตกลงมาบนพื้นที่กว้างแค่ ๕๐ ตารางฟุต วันหนึ่งๆ เฉลี่ยแล้ว ๒๐ ฝัก แต่บางวันก็มากถึง ๑๐๐ ฝัก รวมแล้วเป็นข้าวโพดจำนวนมหาศาล

    นอกจากนี้ ยังมีเนื้อสดกับเลือดสดแบบที่เกิดเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๑๙๖๘ มีก้อนเนื้อขนาด ๒ ถึง ๘ นิ้วสีออกม่วงและหยดเลือดร่วงหล่นมาเป็นระยะๆ นาน ๖-๗ นาทีลงบนบริเวณกว้างกว่าหนึ่งตารางกิโลเมตร ระหว่างเมืองค็อกปาวา กับ เซา โฮเซ โดสแคมโปสแห่งบราซิล ท้องฟ้ายามนั้นใสกระจ่าง ไม่มีเรือบินหรือนกบินผ่านแต่อย่างใด

    พ้นจากพวกมีชีวิตเลือดเนื้อและพวกที่เป็นอาหาร ของที่ตกลงมาจากฟ้ายังมีแบบเป็นวัตถุทั้งที่ประหลาดอีกด้วย

    ตามความจริงโลกของเรามีดาวตกวันละราว ๆ ๑,๐๐๐ ตัน พวกที่ให_่จนเห็นด้วยตา เราก็เรียกว่าดาวตก ส่วนพวกที่เล็กขนาดขี้ผงมีจำนวนมหาศาลนั้นตกแทบตลอดเวลา คะเนได้ว่าปีหนึ่งๆ จะมีดาวตกบนพื้นดินราวกว่า ๕๐๐ ขึ้นเชียวครับ แต่ที่เหลือตกในทะเลหมด

    ส่วนที่เป็นก้อนจริงๆ บนโลกก็มีตกลงมามากมายไม่แพ้ดาวตกมีทั้งแบบที่ตกลงมาเดี่ยวๆ และตกลงมาเป็นห่าฝน อย่างที่โฮลบรุค รัฐอริโซนา ในวันที่ ๑๙ กรกฏาคม ๑๙๑๒ จู่ๆ มีเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวกลางท้องฟ้า และเศษหินนับได้ไม่ต่ำกว่า ๑๔,๐๐๐ ชิ้นก็ตกลงมาเต็มไปหมด

    ฝนประหลาดแบบที่เป็นวุ้นก็มีครับ เป็นสารละลายเคมีก็มี เช่น เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๑๙๕๕ เวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น. นายเอ็ดเวิร์ด มูทซ์ กำลังดูแลต้นไม้ในสวนหลังบ้าน พลันก็รู้สึกว่ามีน้ำอะไรก็ไม่รู้สีแดงตกแหมะลงมาที่แขนและมือสองสามหยด อีกซักประเดี๋ยวเจ้าของเหลวที่ว่านี้ก็ตกลงมาเป็นฝนสีแดงรอบตัวเขา แหงนหน้าขึ้นไปมองบนฟ้าก็เห็นมีอะไรบางอย่างสีมืดๆ โปนออกมาจากก้อนเมฆ และไอ้ที่โปนออกมานี่แหละเป็นที่มาของ "ฝนแดง" มันโปรยปรายลงมาถูกต้นพีชต้นหนึ่งในสวนของแก

    "ผมแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า" มูทซ์ เล่า "แล้วก็เลยยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น เพราะมีอยู่บนฟ้าตรงหัวผมพอดีนั้นเป็นก้อนเมฆประหลาดที่ผมไม่เคยพบเคยเห็น ก้อนมันก็ไม่ให_่นัก แต่สีนะซีครับ พิลึกพิลั่นชอบกล มีทั้งส่วนที่เป็นสีเขียวแก่ สีแดง และสีชมพู ส่วนสีแดงนั่นเป็นสีเดียวกับของเหลวที่ตกลงมาโดนผมและต้นไม้ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม ผมสาบานได้ว่าเห็นมันโปรยลงมาจากเมฆประหลาดก้อนนั้น

    ผมยืนจ้องมองมันอยู่ประมาณหนึ่งนาที เพื่อจะดูให้รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่น แต่มือและแขนผมที่โดนฝนแดงเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาอย่างรุนแรง เหมือนใครเอาน้ำมันสนมาราดแผลสดๆ ผมจึงรับแผ่นเข้าบ้านไปเอาน้ำอุ่นและสบู่ล้างเป็นการให_่"

    จริงๆ แล้ว "ฝนแดง" ที่มูทซ์เล่า มันดูเหมือนเลือดสดๆ มากกว่า เพราะเวลาเอามาบี้ดูจะรู้สึกลื่น ๆ เหนียวๆ

    เช้าสันรุ่งขึ้นเทื่อเอ็ดเวิร์ด มูทซ์ ออกไปที่สวนหลังบ้านอีก ก็พบว่าต้นพีชของเขาตายแหงแก๋ไปเรียบร้อยแล้ว ผลอ่อนของมันก็เหี่ยวคาต้น รวมทั้งห_้าใต้ต้นก็แห้งตายเรียบ

    เมือกสีแดงที่โปรยลงมานั้น จะว่าตกลงมาจากเครื่องบินที่บินผ่าน เช็คดูแล้วปรากฏว่า ในช่วงเวลาที่มีฝนแดงไม่มีเครื่องบินอะไรบินผ่านบริเวณนั้นเลย มันน่าจะเป็นน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมเคมีไหนสักแห่ง แต่มันไปอยู่บนฟ้าได้ไงล่ะ...

    เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เจ้าหน้าที่จากกองทัพอากาศสหรัฐก็รีบแจ้นมาสอบถามนายมูทซ์ และขอเก็บตัวอย่างต้นพีช ผลใบ รวมทั้งห_้าที่โดนฝนแดงไปวิเคราะห์ ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง เพราะตั้งแต่ได้ตัวอย่างไปแล้วก็ไปกลับไม่โผล่มาให้เห็นหน้าอีกเลย ไม่มีแม้จะแจ้งทางโทรศัพท์

    ของประหลาดแบบที่เป็นก้อนก็มีแล้ว เป็นน้ำก็มีแล้ว แล้วแบบเป็นเส้นล่ะมีตกลงมาจากฟ้าบ้างไหม?

    มีครับ แถมพลึกกว่าด้วย

    เดือนสิงหาคม ปี ๑๙๗๐ ที่เมืองคาดเวลด์ รัฐนิวเจอร์ซีปรากฏว่ามีเส้นลวดหลายเส้นขึงพาดท้องฟ้า มันห้อยลงมาเป็นมุน ๓ๆ-๕๐ องศากับพื้นดิน หนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวนี้ว่า

    "ไม่มีใครเห็นปลายล่างหรือปลายบนของมัน ไม่รู้ว่ามันไปสิ้นสุดหรือตกลงที่ตรงไหน ปลายทั้งสองขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด แม้จะดูด้วยกล้องส่องทางไกลแรงสูงก็ไม่อาจเห็นได้ มีอยู่เส้นหนึ่งซึ่งพาดบนท้องฟ้านานถึงหนึ่งเดือน แม้จะมีพายุฝนฟ้าคะนองหรือกระโชก มันก็คงอยู่อย่างนั้น และแล้วด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบ ปลายข้างหนึ่งก็ขาด ทิ้งลวดไว้บนลานดินเจ้าของบ้านสาวปลายอีกข้างยังติดตรึงอยู่กับอะไรบางอย่างบนฟ้าที่มองไม่เห็น มีอยู่เส้นหนึ่งที่ห้อยตกลงมาบนดิน เด็ก ๔ คนช่วยกันดึงแต่มันขาดเสียก่อนที่จะเอาปลายลงมาได้ และทุกเส้นนั้นพอหย่อนลงมาทีไร มันจะถูกดึงกลับขึ้นไปเหมือนกับเราม้วนเอ็นตกปลา"

    จากการเก็บตัวอย่างไปวิเคราะห์ พบว่ามันมีคุณสมบัติทางเคมีเหมือนเส้นไนล่อน แต่ขนาดของมันนั้นไม่มีผลิตในอเมริกา ดร.วาร์กัส แห่งมหาวิทยาลัยโรด ไอส์แลนด์ ได้เอาไปวิเคราะห์บ้างแล้วก็พบว่าเป็นเส้นกลวง แต่พอใช้เครื่องมือพิเสษตรวจอีกครั้งปรากฏว่าไส้กลวงนั้นบรรจุด้วยสารบางอย่าง

    "ตอนที่ผมไปดูนั้นเป็นเวลารุ่งเช้า พระจันทร์เพิ่งจะตก และอาทิตย์เพิ่งจะขึ้น ลวดเส้นนั้นยังคงขึงพาดท้องฟ้าเป็นเส้นวาววับกับแสงอรุโณทัย จะว่าเป็นเชือกว่าวก็ไม่เห็นว่าวเลยซักตัวเดียว ปลายเชือกนั่นมองไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหน จะว่าห้อยลงมาจากเครื่องบินหรือรุ่มชูชีพ แล้วทำไมมันจึงแขวนอยู่อย่างนั้น ถึงตอนกลางวันมันย้อยลงมาเรี่ยหลังคาบ้านของเอ็ดดี้ บอสเวลล์ เขาปีนขึ้นไปดึงสาวมันลงมาหลาแล้วหลาเล่า แต่ก็ไม่ถึงปลายของมันเสียที ลวดเส้นนั้นทำจากวัสดุสองชนิด เส้นที่พาดไปทางตะวันตกจะอ่อน ขาว เป็นมัน ส่วนทางตะวันออกจะเล็กว่า มีสีเขียวและค่อนข้างกระด้างคล้ายเชือกตกปลา ทั้งสองข้างขาดยากมาก"

    รายที่สามปรากฏขึ้นเดือนกันยายน ๑๙๗๘ ที่กรีนเบิร์ก รัฐโอไฮโอ ชายผู้หนึ่งพบว่าเส้นใยเหนียวห้อยลงมาติดอยู่กับพุ่มไม้หลังบ้าน เขาลองดึงมันดู แล้วก็ต้องไปชวนเพื่อนบ้านมาช่วยกันสาวโดยใช้รอกตกปลา สาวเอามันมาได้ยาวถึง ๑,๐๐๐ ฟุต เต็ม ๘ ม้วนก่อนที่เส้นใยเหนียวนั้นจะขาดและลอยละล่องไปในท้องฟ้า...ไปสู่ปลายของมันที่ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน

    เรื่องนี้ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันละครับท่านผู้อ่าน รู้แต่ว่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ฝนประหลาดที่ผมเล่ามา ดูมันประหลาดจนหาคำตอบไม่ได้จริงๆ เสียด้วย คงได้แต่งงกันต่อไปครับ
     
  3. wannock

    wannock Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +27

แชร์หน้านี้

Loading...