เรื่องของศีล

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย BlueNude, 2 ตุลาคม 2005.

  1. BlueNude

    BlueNude เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +871
    ย่อ มาให้อ่านครัฟ เพราะเห็นว่าดี
    จาก http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html

    ศีล ๕ ข้อ คือ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป<o:p></o:p>

    ๒. อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้<o:p></o:p>

    ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม<o:p></o:p>

    ๔. มุสาวาทา เวรมณี งดเว้นจากการกล่าวเท็จ<o:p></o:p>

    ๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย <o:p></o:p>

    อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท<o:p></o:p>

    <o:p> </o:p>

    องค์ของศีล <o:p></o:p>

    <o:p> </o:p>

    ศีลข้อ ๑ มีองค์ ๕ คือ<o:p></o:p>

    ๑. <SUP>*</SUP>ปาโณ สัตว์มีชีวิต<o:p></o:p>

    ๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต<o:p></o:p>

    ๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า<o:p></o:p>

    ๔. อุปกฺกโม เพียรเพื่อจะฆ่า<o:p></o:p>

    ๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น<o:p></o:p>

    ------------------------------------------------------<o:p></o:p>

    <SUP>*</SUP> อรรถกถาบางแห่งใช้ว่า ปรปาโณ คือสัตว์อื่นที่มีชีวิต มิได้หมายถึงตัวเอง เพราะฉะนั้น<o:p></o:p>

    การฆ่าตัวเองจึงไม่ล่วงกรรมบถ เพราะไม่ครบองค์ของศีลข้อนี้<o:p></o:p>

    <o:p> </o:p>

    ศีลข้อ ๒ มีองค์ ๕ คือ<o:p></o:p>

    ๑. ปรปริคฺคหิตํ ของมีเจ้าของหวงแหน<o:p></o:p>

    ๒. ปรปริคฺคหิตสญฺญิตา รู้ว่ามีเจ้าของหวงแหน<o:p></o:p>

    ๓. เถยฺยจิตฺตํ จิตคิดจะลัก ( ทั้งโดยคิดลักเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นลักแทน )<o:p></o:p>

    ๔. อุปกฺกโม เพียรเพื่อจะลัก<o:p></o:p>

    ๕. เตน หรณํ นำของมาด้วยความเพียรนั้น<o:p></o:p>

    <o:p> </o:p>



    ศีลข้อ ๓ มีองค์ ๔ คือ<o:p></o:p></PRE>

    ๑. อคมนียวตฺถุ วัตถุที่ไม่ควรถึง (คือชาย หรือหญิงที่มีเจ้าของ หรือมีผู้คุ้มครองดูแลรักษา)<o:p></o:p></PRE>

    ๒. ตสฺมึ เสวนจิตตํ จิตคิดจะเสพในวัตถุนั้น<o:p></o:p></PRE>

    ๓. เสวนปฺปโยโค พยายามที่จะเสพ<o:p></o:p></PRE>

    ๔. มคฺเคน มคฺคปฺปฏิปตฺติ อธิวาสนํ ทำมรรคต่อมรรคให้ถึงกัน

    <o:p></o:p>
    </PRE>

    ศีลข้อ ๔ มีองค์ ๔ คือ<o:p></o:p></PRE>

    ๑. อตถํ วตฺถุ เรื่องไม่จริง<o:p></o:p></PRE>

    ๒. วิสํวาทนจิตฺตํ จิตคิดจะพูดให้ผิด<o:p></o:p></PRE>

    ๓. ตชฺโช วายาโม พยายามพูดออกไป<o:p></o:p></PRE>

    ๔. ปรสฺส ตทตฺถวิชานนํ คนอื่นเข้าใจเนื้อความนั้น<o:p></o:p></PRE>

    <o:p> </o:p></PRE>

    ศีลข้อ ๕ มีองค์ ๔ คือ<o:p></o:p></PRE>

    ๑. มทนียํ ของทำให้เมามีสุราเป็นต้น<o:p></o:p></PRE>

    ๒. ปาตุกมฺยตาจิตฺตํ จิตใคร่จะดื่ม<o:p></o:p></PRE>

    ๓. ตชฺโช วายาโม พยายามดื่ม<o:p></o:p></PRE>

    ๔. ปีตปฺปเวสนํ ดื่มให้ไหลล่วงลำคอเข้าไป<o:p></o:p></PRE>

    <o:p> </o:p></PRE>

    ศีลทั้ง ๕ ข้อนี้ เมื่อผู้ใดล่วงเข้า ถือว่าล่วงกรรมบถมีโทษมาก จัดเป็นเวร คือก่อให้<o:p></o:p></PRE>

    เกิดผลร้ายทั้งในปัจจุบัน และอนาคต<o:p></o:p></PRE>

    <o:p> </o:p></PRE>

    เพราะฉะนั้นจึงควรเว้นสิ่งที่มีเวรมีโทษเสีย<o:p></o:p></PRE>

    <o:p> </o:p></PRE>

    เพราะเหตุที่ ศีล มีความหมายว่า ปกติ คือปกติของกาย วาจา ใจ ศีลจึงมี <SUP>*</SUP> ๓ อย่าง<o:p></o:p></PRE>

    คือ กุศลศีล อกุศลศีล และอัพยากตศีล<o:p></o:p></PRE>
    <SUP>*</SUP>ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ญาณกถา ข้อ ๘๙<o:p></o:p>


    <o:p> </o:p></PRE>

    ปกติของกาย วาจา ใจ ที่เป็นกุศล มีกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า กุศลศีล<o:p></o:p></PRE>

    ปกติของกาย วาจา ใจ ที่เป็นอกุศล มีอกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า อกุศลศีล<o:p></o:p></PRE>

    ปกติของกาย วาจา ใจ ที่มิใช่กุศล และอกุศล มิได้มีกุศลจิต หรืออกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด <o:p></o:p></PRE>

    หากมีอัพยากตจิต คือ กิริยาจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า อัพยากตศีล

    <o:p></o:p>
    </PRE>

    ปาปชน มีอกุศลศีลเป็นส่วนมาก มีกุศลศีลเป็นส่วนน้อย<o:p></o:p></PRE>

    กัลยาณชน มีกุศลศีลเป็นส่วนมาก มีอกุศลศีลเป็นส่วนน้อย<o:p></o:p></PRE>

    พระอริยบุคคลที่ยังเป็นเสกขบุคคล ๓ จำพวก คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระ<o:p></o:p></PRE>

    อนาคามี มีกุศลศีลเพียงอย่างเดียว เพราะท่านเป็นผู้มีศีลบริบูรณ์แล้ว<o:p></o:p></PRE>

    พระอริยบุคคลที่เป็นอเสกขบุคคล คือพระอรหันต์มีอัพยากตศีลเพียงอย่างเดียว

    <o:p></o:p>
    </PRE>

    ใน กิมัตถิยสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ข้อ ๑ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า <o:p></o:p></PRE>

    ทรงแสดงอานิสงส์ของศีลที่เป็นกุศล คือ กุศลศีล ที่มีกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน แก่ท่านพระอานนท์ไว้ ๑๐ <o:p></o:p></PRE>

    ประการ คือ<o:p></o:p></PRE>

    ๑. ศีลที่เป็นกุศลมีอวิปปฏิสาร คือความไม่เดือดร้อนใจเป็นผล เป็นอานิสงส์<o:p></o:p></PRE>

    ๒. ความไม่เดือดร้อนใจมีความปราโมทย์เป็นผล เป็นอานิสงส์<o:p></o:p></PRE>

    ๓. ความปราโมทย์มีปีติเป็นผล เป็นอานิสงส์<o:p></o:p></PRE>

    ๔. ปีติมีปัสสัทธิ คือความสงบใจเป็นผล เป็นอานิสงส์<o:p></o:p></PRE>

    ๕. ปัสสัทธิ มีสุข คือความสุขใจเป็นผล เป็นอานิสงส์<o:p></o:p></PRE>

    ๖. สุขมีสมาธิเป็นผล เป็นอานิสงส์<o:p></o:p></PRE>

    ๗. สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะ คือความเห็นด้วยญาณตามความเป็นจริงเป็นผล เป็นอานิสงส์<o:p></o:p></PRE>

    ๘. ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาวิราคะ คือความหน่ายความคลายเป็นผล เป็นอานิสงส์<o:p></o:p></PRE>

    ๙. นิพพิทาวิราคะ มีวิมุตติญาณทัสสนะ คือความเห็นด้วยญาณเป็นเครื่องหลุดพ้นเป็นผล <o:p></o:p></PRE>

    เป็นอานิสงส์<o:p></o:p></PRE>

    ๑๐. ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหันต์โดยลำดับ ด้วยประการฉะนี้<o:p></o:p></PRE>

    <o:p> </o:p></PRE>

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตรทีฆนิกาย มหาวรรค ว่า <o:p></o:p></PRE>

    ผู้มีศีลย่อมได้รับอานิสงส์ ๕ ประการ คือ<o:p></o:p></PRE>

    ๑. ย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ ( ดังที่พระท่านแสดง<o:p></o:p></PRE>

    อานิสงส์ของศีลในเวลาให้ศีลว่า สีเลน โภคสมปทา )<o:p></o:p></PRE>

    ๒. เกียรติศัพท์อันงามของผู้มีศีล ย่อมฟุ้งขจรไปไกล<o:p></o:p></PRE>

    ๓. ผู้มีศีลเข้าไปสู่สมาคมใดๆ ย่อมเข้าไปอย่างองอาจไม่เก้อเขิน<o:p></o:p></PRE>

    ๔. ผู้มีศีลย่อมไม่หลงทำกาละ ( คือไม่หลงในเวลาตาย )<o:p></o:p></PRE>

    ๕. ผู้มีศีล ตายแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ( สีเลน สุคตึ ยนฺติ )<o:p></o:p></PRE><o:p> </o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...