เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอนพระอภิญญา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 20 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอนพระอภิญญา
    [​IMG]
    ปีนั้นเป็นปีที่ หลวงพ่อปาน บอกว่า ถ้าแกบวชครบ 20 พรรษา จะต้องออกจากวัด ท่านไล่ไว้ ตั้งแต่วันบวช แล้ว ไม่ใช่มาไล่ทีหลังหรอก ตอนบวชใหม่ ๆ ท่านสั่งสององค์นั่นบอกว่าไอ้ 2 ตัวนี่ 10 พรรษาต้องเข้าป่า ไปแล้วห้ามเข้าเมืองจนกว่าจะตาย ไอ้ตัวนี้ 20 พรรษาต้องออกจากวัดแต่เข้าป่าไม่ได้นะเป็นหนี้เขามาก ไอ้เราก็ นึก เอ๊ เป็นหนี้ ใครมาละหว่า เกิดมาชาตินี้ ก็ไม่ได้ยืมสตางค์ใคร มีแต่ขโมยสตางค์ยายเราไม่ได้ยืมนี่ เราขโมยต่างหาก แปลก
    ก็เป็นอันว่า 2 องค์นั้น 10 พรรษาเขาเข้าป่าตามสั่งเขาบอกศาลาเลย นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป การเข้ากลุ่มชนจะไม่มีสำหรับเขา แต่มันก็ไม่ใช่ของแปลก เพราะเขาเป็นพระอภิญญาใช่ไหม อภิญญาก็ครบ 6 เสีย ด้วย ไม่ใช่ 5 สำหรับพระอภิญญา ไปอยู่ป่านี่ ถ้าจะถามว่า มิต้องไปสร้างกุฏิอยู่เรอะ ก็ตอบได้ว่า จะสร้าง อะไรกับมัน ฝนตกมันก็บอกว่า ไปตกที่อื่นเถอะ ที่กูห้ามตกนะ มันก็ไม่ตก ตกได้รอบๆ ตัว แต่ที่เขาไม่ ตกหรอก อากาศหนาว บอกแก ไปหนาวที่อื่น ตัวข้าห้ามหนาว มันก็ไม่หนาว ใช่ไหม มันเรื่อง เล็กๆ น่ะ แล้วไอ้หมอ 2 คนมันก็ขยันซน ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก
    เมื่อปีที่แล้ว ไปที่ ป่าสุโขทัย คุณอ๋อยไปด้วย ไปกับท่านหญิงวิภาวดีด้วย แหม มันหนาวจับใจ ความจริงหนาวต้องคิดทีเดียว ไอ้ผ้าที่ติดตัวไป มันก็น้อย แต่คิดว่า หนาวก็หนาว อยากตาย ให้มันตายไป ขี้เกียจหนาว พอดึกขึ้นมา มันก็หนาวขึ้นทุกที ลุกขึ้นมา นึกว่า เอ มันจะหนาวถึงไหนหว่า พักหนาวเสียเถอะมัน ก็เบาหนาว พอเบาหนาวเจ้า 2 ตัว เอ้ย 2 องค์ แต่ไม่เป็นไรพวกเดียวกัน พวกโยมละอย่าไปเรียกเข้านา คนละพวก เจ้า 2 ตัว เขาโผล่มา ก็ถามว่า เฮ้ย มึงมาทำไมวะ เขาตอบว่า กูมาเที่ยวส่ง ถามว่า เอ มากี่ ตัววะ เขาบอกว่า กู 2 ตัว แล้วอยู่ ข้างนอกอีก 5 ตัว เป็นอันว่า พระอภิญญาของเรานี้ เวลานี้ในป่ามีเยอะ เขาบอกว่า เวลานี้มา 7 องค์ด้วยกัน ไอ้ที่ไปพักน่ะ มันเป็นที่ระหว่าง วงเขาล้อมแคบๆ นะบริเวณนั้นก็จะ มีเนื้อที่สัก 1,000 ไร่นอก นั้นเป็นเขาล้อมหมด ถามว่าอีก 5 องค์อยู่ไหนเขาตอบว่า อยู่บนยอดเขาริมๆ ถามว่า หนาวไหม เขาบอก ฮึ เรื่อง หนาว เรื่อง ร้อน เรื่อง เล็ก เราอยากหนาว มันก็หนาวมาก เราอยาก หนาวน้อย มันก็หนาวน้อย อยากร้อน มากก็ร้อนมาก เขาก็เบ่งส่งเดชแต่เบ่งได้เสียด้วยซี
    เป็นอันว่า เขาก็มานั่งคุย คุยไปคุยมาถามว่า อยู่ในป่า เป็นสุขไหม เขาว่า ในป่าดีกว่าในเมือง ถามต่อไป ว่า แกเข้าเมืองบ้าง หรือเปล่า ตอบว่า ตอนนี้ไปบ่อยโว้ย ถามว่า ไปคนเดียวรึ หรือว่า 2 องค์ เขา บอกว่า ไม่ใช่หรอก ถามอีกว่า ในป่ามีเท่าไหร่ล่ะ ไอ้พวกลิง ๆ แบบนี้น่ะ ตอบว่า เยอะหลายตัว คณะเขาที่ตั้งกลุ่มกันอยู่ ประมาณสัก 30 ตัวกว่า พวกลิงนะ ไอ้ที่เขาไม่ลิงต่างหาก คือ พวกลิงหมายความว่า พวกซน เล่นอภิญญามีเยอะนะ แต่พวกนี้เข้ามาในเเมืองไม่ได้นะ ถ้าเขามาละ พวกเราตกนรกกันเป็นแถว ถ้าเข้ามา ประจันหน้ากับคนนะ ดีไม่ดีเข้ามาแบบนี้เดี๋ยวทำพระพุทธ ลอยเล่นหรือนั่งเอาหัวลง เอาก้นขึ้น เสียแล้ว เราเห็นก็จะว่า เอ พระองค์นี้ เล่นกลนี่หว่า บ้าๆ บอๆ เสร็จเลยเรา 500 ชาติ ว่าท่านบ้าๆ บอๆ เราก็ไปจวกบ้าเสีย 500 ชาติ นี่เขาต้องหลบ เพราะเหตุนี้นะ ท่านที่ทรงอภิญญาจริง ๆ แล้วก็ชอบซนนี่ แต่อภิญญาที่ไม่ซนเขามีนะ อภิญญาที่ไม่ซน และสู้หน้าคนเขามีอยู่ ถ้าอภิญญานี่ ต้องเข้าป่าหมด
    ท่านบอกว่า เข้ามาในเมืองบ่อยเพราะเวลานี้ เข้ามาบ่อยได้ ที่เข้ามาบ่อยได้ เพราะอะไร เพราะจิตใจ ของบุคคลที่ รักพระนิพพาน มีมากขึ้น แต่ว่า ลักษณะการมาของเขาน่ะ พวกเราไม่รู้หรอก แล้วแต่เขาชอบใจใคร บางทีพระบิณฑบาต เขาก็เดิน ตามมาเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ถ้าเรามีโอกาสใส่บาตร เขาหน่อย ก็รู้สึกมีคุณค่ามาก เพราะถ้าเขามาเขาต้องทรงอภิญญา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเป็นพระอรหันต์ด้วย เวลาจะเข้าอภิญญาสมาบัติ สมาบัติมันต้องเต็มที่ ถ้าไม่เต็มที่ มันมาเร็วไม่ได้ เพียงแค่ลัด นิ้วมือเดียว มันช้าไปช้ากว่า ตามพระบาลี บอกว่า แค่ลัดนิ้วมือเดียว ไม่รู้จะเอาอะไร เร็วกว่านั้น ใช่ไหม แต่เนื้อแท้แล้วทำจริงเร็วกว่านั้นมาก นี่ก็ชื่อว่า เป็นบุญของบรรดาประชาชน ที่พระอภิญญาในป่าเข้ามาเยี่ยมบ่อย ๆ แต่ทว่าเราจะรู้จักท่านไม่ได้ นอกจากว่า ท่านจะแสดง อะไรสักอย่างหนึ่ง อย่างคุณหมอนั่น ที่ว่าแกเห็นนั่นน่ะใช่ ที่ว่า มาบิณฑบาตแกเห็นอยู่ดีๆ พอเปิดจีวรก็บาตรลูกเบ้อเริ่ม เลยแกก็สงสัยว่า พระองค์นี้ทำไมบาตรโต ไอ้เวลาเดินมาเห็นเท่าธรรมดานะแต่เวลาใส่ บาตรแล้วบาตรใหญ่ พอใส่บาตรแล้ว เงยหน้าขึ้นมาเจอะกัน ท่านบอกว่า โยม ขอกระติกน้ำร้อนลูกหนึ่ง แน่ะ ดันเสือกขอเอาด้วย พระนี่ไม่ใช่ญาติไม่ได้ปวารณาไว้นี่ เขาห้ามขอนะ ถ้าขอเป็นอาบัติ แกก็รับว่า ครับ วันนั้น เป็นวันเสาร์ แกเลยบอกว่า วันจันทร์นิมนต์มารับ พอกลับมาจากใส่บาตร แกก็ให้ลูกชายไปซื้อกระติกสีเขียว มาเพราะ แกชอบสีเขียว อ้อ คุณหมออุดม ถ้าหากเป็น พระธรรมดา ขอให้ได้สีอื่น พอลูกชาย เอากระติกน้ำร้อน มาก็กลาย เป็นสีเขียวจริง ๆ แกบอกว่า ไม่ได้ตั้งจิตบังคับลูกชายหรอก แต่คิดว่าพระองค์นี้สำคัญ
    พอวันจันทร์ แกก็เตรียมเครื่องใส่บาตร เป็นกรณีพิเศษ สำหรับใส่บาตร ปกติแกก็ให้คนอื่นใส่ แกเองไม่ใส่ คอยนั่งจ้อง เอาน้ำร้อน น้ำชา มาใส่กระติกเสร็จ จัดอาหาร เป็นกรณีพิเศษ นั่งคอย จนพระบิณฑบาตหมดก็ ไม่เห็นพระองค์นั้นมา แกคอยจ้องดูกลัวจะจำไม่ได้ เดี๋ยวท่านจะผ่านไปโดยไม่เห็น แกก็คิดว่าถ้า 8 โมงเช้า แล้วไม่มาก็เป็น อันไม่มาแน่ ก้มลงมองดูนาฬิกา 8 โมง พออยากจะลุกก็โผล่ถึงพอดีแกก็เลย ถวายของไป ถวายกระติกน้ำไป
    พอต่อมาหมออุดมมาเล่าให้ฟัง ก็นึกในใจว่า ไอ้เสือนี่มาเล่นเขาเข้าแล้ว ตกกลางคืนพบกับเขา ก็ถามว่า นี่แกไปหลอกเขาหรือ ตอบว่า ฮึข้าไม่ได้หลอกนี่หว่า ค้านว่า ไม่ได้หลอกทำไมถึงบาตรใหญ่ อ้าวถ้าบาตรไม่ใหญ่ ก็ไม่สงสัย น่ะซี เออ เขาไม่ได้หลอก เขาทำให้สงสัย ว่าเขาไม่ได้นะ เลยถามว่า แล้วแกไปขอ กระติกน้ำ เขาทำไม ธรรมดาคนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ได้ปวารณาแกไปขอเขามาเป็นอาบัติ เขาก็เถียงว่า แกรู้เรอะว่า ข้าไม่ได้เป็นญาติกับหมอน่ะ บอกว่า จะเป็นญาติยังไง หมอกับแกไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อายุอานามก็ไล่เรียงกันถ้าเป็นญาติของแก ข้าก้ต้องรู้จัก เพราะว่า อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เขาบอกว่า ชาติ นี้ ไม่ใช่ญาติ ก็ชาติก่อน เป็นญาติ นี่หว่า ถามว่า ทำไม แกก็ตอบว่า เห็นหมออุดมเป็นคนดี มีจิตใจเข้าถึงธรรม ก็ถามว่า หมออุดมนี่ มีกำลังถึง อรหันต์ไหม เขาก็เลยบอกว่า ถ้าหมออุดมไม่ยั้งตัวก็ถึงอรหันต์ นี่ เป็นอันว่า เขามากันบ่อย ๆ
    คราวหนึ่ง อาตมาเขียนไว้ ในหนังสือแล้ว ที่ไปพบเขาที่วงเวียนใหญ่ จะไปซื้อยาสักหน่อย หลายปีมาแล้ว กำลังเดินๆอยู่ เจอะนาย 2 เตื้อเดินมาพอดี ถามว่า มาทำไม แกก็บอกว่า มาที่เมืองกาญจนบุรีมีผู้หญิงคนหนึ่ง แกถามว่า จะไปกรุงเทพ ฯ ไหม ก็เลยบอกว่า มา แกก็ซื้อตั๋วให้เสร็จ แกก็นั่งมาในรถ อีตอนนั้น สงครามโลกเสร็จใหม่ ๆ ตอน กึ่งพุทธกาลใหม่ ๆ นั่นแหละ วิปัสสนา เริ่มเกิดใหม่ เกิดเป็นดอกเห็ดทีเดียว กำลังเฟื่องวิปัสสนากันซี ตอนนั่งมาในรถแกก็เลยถามว่า ท่านบวชกี่พรรษา เขาก็ตอบว่า 30 พรร ษากว่าๆ เคยวิปัสสนาไหม ? แหม มดไปถามเอาช้างเข้า แกก็เลย ถามกลับไปว่า โยม วิปัสสนาเขาทำยังไง คือไม่ได้บอกว่า ทำหรือไม่ทำ ยายนั่นแก ก็เลยนั่งสอนวิปัสสนา มาตั้งแต่เมืองกาญจนบุรี จนถึงท่ารถสายใต้ เขาก็บอก แหม เดี๋ยวนี้ อาจารย์วิปัสสนา มันเยอะจังว่ะ ถามว่า ทำไมล่ะ ตอบว่า แหม ข้านั่งรับการอบรม มาตั้งแต่กาญจนบุรี จนถึงท่า รถสายใต้เลย แต่คนสนใจธรรมะเขาก็พอใจแล้ว
    ไอ้วันนั้น ก็เดินไปเดินมา เวลามันก็จะเพล ถามว่า วันนี้แกจะกินเพลไหมล่ะ ตอบว่ากิน ถามกินที่ไหนล่ะ เขาบอกเดี๋ยว เดินไปเดินมาก่อน หาที่เหมาะๆ ค่อยกิน พอถึงร้านหนึ่ง เขาก็ชวนเข้าไป บอกว่า กินร้าน นี้แหละ ถามว่า แกมีสตางค์เรอะ บอกว่า ไม่มีหรอก อ้าว งั้นกินไงล่ะ เขาบอก กินส่งไปเถอะ ไอ้เราก็ไม่แปลก เรามีสตางค์นะ เวลานั้น มีสตางค์ ก็ไม่มาก ติดไป 20 บาท เป็นอัตราประจำ วันไหนมีถึงร้อย วันนั้นครึ้มมาก เริ่มงานวัดคราวไหนมีเงิน 100 บาทติดตัว ทายกยิ้มแป้น บอกว่า เฮ้ย วันนี้มีตั้ง 100 โว้ย เข้าไปในร้าน ก็สั่งอาหารตามชอบ ขณะฉันอาหารมีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณสัก 30 แต่งตัวเรียบร้อย หน้าตาดี นั่งอยู่หน้าร้าน พวกเราก็ไม่ได้สนใจ ฉันข้าวกันเรื่อยไป พออิ่ม เรียกเจ๊กมา ให้คิดเงิน ก็ไม่กี่สตางค์ สักสิบบาทกระมัง ฉัน นิด ๆ หน่อย ๆ ฉันไม่มาก ปรากฏว่า เจ๊กบอกว่า ไม่ต้องจ่ายหรอก ผู้หญิงคนนั้นเข้าจ่ายแล้ว แล้วเขาไปแล้ว เลยถามไอ้สองเตื้อนั่นว่า เฮ้ย ผู้หญิงคนนั้น เป็นอะไร เขาตอบว่าเป็น แม่กูว่ะ กูรู้ว่า แม่กูจะมา ถามว่า แม่ชาติไหน เขาตอบถอยหลังไปสัก 100 ชาติได้ เขาตั้งใจมาโปรดแม่ เขาถามว่า ทำไมต้องพร้อมสามเขาบอกว่า ต่างก็เคยเป็นลูกกันมา ส่วนแม่เดี๋ยวนี้ไม่รู้หายไปไหน "แม่" คนนี้อ่อนกว่าฉันหลายปี ตอนนั้นฉัน อายุ 50 เศษแต่แม่อายุ 30
    นี่เรื่องต้องคิด การเข้ามานี่ไม่ใช่แต่ 2 องค์นี้ หลายๆ องค์เขาก็เข้ามากัน บางคราวเรา ก็พบไอ้พบนี่มัน มีอารมณ์สะดุด สะดุดง่าย คือว่า กระทบแรง แล้วก็ดีใจว่า ทุกท่านนี่น่ะ สนใจกับสมณธรรมของคนทั้งหมด จะเป็นสำนักไหนก็ตาม เพราะว่า คนที่เข้าไปทุกสำนักนั้น เป็นคนดีทั้งหมดไม่งั้นเขาจะเข้าไปทำไม เขาอยู่บ้าน เขาดีกว่า แต่ผู้สอน จะสอนถึงระดับไหน นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง การเจริญพระกรรมฐานที่เราศึกษากัน พวกเรามาเจริญกรรมฐานที่นี่แล้ว ไปฟังที่อื่นไม่รู้เรื่องน่ะ อย่าว่าท่านนะ
    อย่าไปว่าสำนักนั้นสอนไม่ดี เพราะเราไม่ได้ตามกันมา คือจะต้องตามกันมาถึงจะพูดรู้เรื่อง
    คนที่เขาศรัทธา ในสำนักอื่นก็เหมือนกัน มาสำนักเราเขาอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้ติดตามกันมา ไม่ใช่ว่า เขาไม่ดี เขาก็ดีเหมือนกัน
    คนที่จะพูดให้คนทุกประเภทรู้เรื่องได้น่ะ มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว
    แต่สำหรับพวกสาวกนี่ ต้องอาศัยเป็นคนที่ติดตามกันมาแต่ในอดีตชาติ ทำบุญร่วมกันมาแบบนี้แหละ ฉันก็เกิดเป็นพระเรี่ยไรญาติโยม อยู่ตลอดเวลา ยังงี้มันน่าเกิดทุกชาตินะ แต่มันไม่อย่างงั้นน่ะซี บางชาติก็พาพวกไปรบกับเขาสนุกสนาน ไอ้ฉันก็หัวโจก ผู้หยงผู้หญิงก็คว้าดาบ เข้าฟันกับเขา ตีกับเขา โอ๊ สนุก เผลอๆ ก็ลงนรกกันสนุกเสียที แต่คิดว่า พวกเรานี่ คงจะไม่ลงนรก มาประมาณ 1,000 ชาติแล้วนะ แล้วอย่ากลับไปอีกเลย ถ้าหัวหน้าไม่ลง ลูกน้องก็ไม่ลงหรอกใช่ไหม
    ความจริง อาตมาไม่รู้เอง มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อคราว พ.ศ. 2497 ปีนั้น นั่งนึกๆ ดู เอ ไอ้กูนี่ตายแล้ว จะไปไหนดีหว่า มานั่งคิดบัญชีตั้งแต่เกิดมา มันทำบาปมากกว่าทำบุญ รู้ตัวว่า ทำบาปมาเยอะ แต่การทำบาป ก็เป็นสาธารณประโยชน์ ถึงเป็นสาธารณประโยชน์ก็จริง แต่ไอ้การฆ่าเขานี่ มันก็บาป ถึงแม้ว่า เขาจะเป็นโจร เป็นผู้ร้าย ก็มานั่งคิดว่า น่ากลัวจะไปนรก เล่นสบายๆ นั่งเลือกเอาสักขุม ขุมไหนก็ช่างมันเถอะ รำพึงดูว่า จะเปลื้องตัวเองให้พ้นนรกจะทำยังไง การเจริญพระกรรมฐานน่ะจริง เจริญมาตั้งแต่วันบวช แต่ก็เกรงกำลังใจว่า เวลาตายถ้าจิต เราเสียนิดหนึ่ง อาจจะไปนรก พอคิดถึงตอนนี้ก็มีเสียงไม่แว่วหรอก ดังชัดเสียงถามว่า จะไปขุมไหนดีล่ะ เสียงจากข้างบน ถ้ามาจากข้างล่างล่ะยุ่งแน่ เสียงเพราะนะเหมือนเสียงเด็ก ก็ไม่ใช่เป็นเสียงเด็ก กับเสียงผู้หญิงบวกกัน เสียงประเภทนี้มาจาก 2 แห่ง คือ จากพรหม หรือ จากนิพพาน แต่ตอนนั้น เข้าใจว่า จะเป็นเสียงจากพรหม ถามว่า จะไปขุมไหนดี ตัดสินใจแล้วหรือยัง ตอบไปว่า ยังหาที่เลือกไม่ได้ แล้วเสียงนั้น ก็ตอบมาบอกว่า จะไปได้ยังไง ในเมื่อท่าน ไม่ไปมา 1,000 ชาติแล้ว เราเลยนึกว่า แกโกหกน่ะซี 1,000 ชาติ ถอยหลังไป โอ้โฮ ขนาดหนักเลย ฆ่านับหัวไม่ถ้วน รบทัพจับศึกนี่ฆ่ากันมาเท่าไหร่
    ก็ถามว่า มันจะแน่ได้ยังไงไม่ตกนรก 1,00 ชาติ แกบอกว่า ถอยหลังไปดูซี ทุกชาติเล่นฌานสมาบัติรบก็รบกัน เวลาเลิกจากรบก็ทำบุญสุนทร์ทาน สร้างวัดสร้างวา ให้ทาน เจริญกรรมฐาน
    ก็ใช้กำลังฌาน หนีนรกมาทุกชาติ
    แล้วทำไมชาตินี้ จึงจะไปล่ะ เอ ชักครึ้มๆ ค่อยยังชั่วหน่อย ก็เลยร้องถามไป ถ้าฉันตายเวลานี้ไปอยู่ที่ไหน อี ตอนนั้นความจริง ยังไม่ถอนจาก พุทธภูมิ เขาเลยตอบว่า ชาตินี้ก็เลือกเอาซี อยากจะไปอยู่กับพรหม หรืออยู่ดุสิต ก็เลย นั่งนึก นอนนึก จะไปไหนดีหว่า จะไปอยู่ ชั้นดุสิต ผู้หญิงมากนี่ ดูท่าจะไม่ไหว เพราะอี ตอนนั้นข้างๆ วัดแกทะเลาะกันเรื่อย พูดกันแค่คนละคำเราก็แย่แล้ว ถ้าจะไปอยู่พรหม ก็นานเกินไป เลยคิดว่า เอ้า อยู่ไหน ก็ช่างมันเถอะ ใช้ได้ ถ้าเขาพูดกันมากนัก เราทำเฉย ๆ เสีย มันก็หมดเรื่อง
    ต่อมาปี พ.ศ. 2503 หลายปีนะ ปีนั้นนั่งอยู่คนเดียว พระเขาไปหากินผีกันหมด เขานิมนต์ไปมาติกา บังสุกุลหมดวัด ฉันมันเป็นคนขี้เกียจนี่ ถ้าไม่มาป้อนถึงวัด ก็ไม่ค่อยจะเอาหรอก แล้วก็เป็นห่วง ถ้าไปกันหมด เดี๋ยวขโมยลักวัด เลยนั่งอยู่คนเดียว ประมาณสัก 4 โมงเช้า ลองนึกดู เออ ไอ้กูมันเกิดเป็นคนมากี่ชาติหนอ แล้วเป็นสัตว์มากี่ชาติ นึกเท่านี้ ก็มีเสียงกังวานมาก เสียงเพราะมาก เสียงผู้หญิงบวกผู้ชายเหมือนกัน แต่กังวานมาก นี่เป็นเสียงจากนิพพาน แต่ฟังชัดมากเหมือนกับเราคุยกันใกล้ ๆ บอกว่า คุณอยากจะรู้หรือว่า เกิดเป็นคนกี่ชาติ เกิดเป็นสัตว์กี่ชาติ ก็เลยตอบว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะทราบ ท่านก็บอกว่า ดูข้างหน้านี่ซิ ก็มองไปข้างหน้าไอ้ชาติที่เกิดเป็นคนนี่ นอนเรียงกันยาวสัก 10 กว้าง 10 นี่ นะเรียงขึ้นไป มันเลย เขาพลอง ตั้ง 2 เท่า ส่วนภาพแสดงชาติ ที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอีก 4 เท่า จากสัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ สูงเท่า ๆ กันแหละ คิดเฉลี่ยแล้ว เป็นสัตว์ มากกว่า เป็นคนมาก แหม เรามีบุญ เยอะ ท่านก็เลยบอกว่า นี่แค่สัตว์กับคนนะ นรกยังไม่ได้คิด แหม ขนาดนรกยังไม่ได้คิด ท่านก็เลยบอกว่า เราทิ้งอัตภาพมาขนาดนี้แล้ว ร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์ ขณะที่เราเกิดเราก็คิดว่า เราไม่ตาย แต่ทุก ชาติเราก็ตาย ทำไมชาตินี้เราจะห่วงใยอะไรต่อไปอีกรึ ยังคิดว่าเราจะเกิดต่อไปรึ เห็นไหม แต่ละอัตภาพ ที่เกิดมาน่ะ มันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ แล้วการเกิดแต่ละชาติมันไม่ใช่ เป็นมนุษย์เสมอไป ไปเป็นสัตว์ เดรัจฉาน จากสัตว์เล็ก ไปถึงสัตว์ใหญ่ก็มี เป็นพรหมก็มี เป็นสัตว์นรกก็มี แต่ ไอ้เทวดากับพรหมน่ะ มัน น้อยกว่าสัตว์นรก และสัตว์เดรัจฉาน
    แล้วคุณจะหวังเกิดมาทำไมล่ะ เราก็นั่งตาปริบ ๆ ๆ ไอ้เราก็ไม่อยากจะเกิด แต่มันก็เกิดจะไปว่ายังไงมัน เลยถามท่านว่า ถ้าอย่างนั้นละจะไม่เกิดได้ไหม ท่านบอกว่า ไม่เห็นมันยาก นี่แน่ะพูดกับคนไม่ยาก นี่พูดกับคนที่ไม่รู้จักเกิด ก็ "ไม่ยาก" ถามว่า ไม่อยากจะทำยังไง ไอ้ที่ทำอยู่นี่ก็เพื่อความไม่เกิด แต่ว่ากำลังใจ ยังไม่ได้ตัดสินแน่นอนนัก ยังมีจังหวะห่วงหน้าห่วงหลัง มีจุดหนึ่งที่คิดว่า เราต้องการจะสงเคราะห์ประชาชน ให้มีความสุขเพราะอาศัยพุทธภูมิเป็นสำคัญ จิตอีกดวงหนึ่งคิดว่า ทำบาปขึ้นมานี่เป็นพระอรหันต์ ไปนิพพานเสียดีกว่า ท่านบอกอย่า ให้มันแย่งกันซี เอาด้านใดด้านหนึ่ง ถามว่า ถ้าด้านใดด้านหนึ่ง ใช้เวลานานไหม ท่านบอก "ไม่นาน" ถามว่า เท่าไหร่ ท่านก็ตอบ แต่จะไม่บอก นะ ว่าท่านบอกว่าไง ท่านก็กะเวลาให้ อ๋อ เรื่องเล็ก ๆ แต่ว่า ต้องเป็นนักเรียนทุน พอเรียนจบแล้ว ต้องทำงานใช้หนี้ 12 ปี ก็ทำตามท่าน รู้สึกว่าง่าย ที่ง่ายเพราะอะไร เพราะว่าอันดับต้นที่บวชใหม่ ๆ เล่นสมาบัติ 4 ถึงสมาบัติ 8 พอถึง สมาบัติ 8 อาศัยที่ปรารถนาพุทธภูมิ มันก็ยั้งตัวอยู่แค่นั้น ก็ฟัดกัน เรื่องสาธารณประโยชน์ คือ พวกพุทธภูมินี่ห่วง คนอื่นมากกว่าห่วงตัว ตัวเองจะมีกิน หรือไม่มีกินไม่สำคัญ ขอให้สาธารณชน เขามีความสุข จิตใจมันขยายไป แบบนั้นนะ ไอ้ที่นอนก็เป็นเสื่อขาด ๆ เก่าๆ ของใหม่ไม่มีในกุฏิ เวลานี้ที่วัดมีของดีๆ มาก ชาวบ้านเขาให้ ถ้าชาวบ้านเขาให้ชนิดไม่จำกัดละ หมด แจกเรียบ เวลานี้ เขาบอกว่า ไม่ได้หลวงพ่อต้องใช้ เลยเอาของเขามาแจกไม่ได้ ถ้าทำก็เป็นการทำลายศรัทธาเขา พระพุทธเจ้าปรับโทษ เมื่อก่อนนี้ ไม่มีใครเขากำชับ ของดี ก็แจกเรียบ พระผู้ใหญ่ ไปมีเสื่อขาด ๆ รับ จะนั่งได้ ก็ได้ ไม่ได้ ก็ แล้วไป เรื่องเล็ก เพราะไม่ต้องการ ยศฐาบรรดาศักดิ์ นี่ขนาด เจ้าคณะ มณฑล ไปเอาเสื่อขาดหน่อยหนึ่งรับ ท่านก็แน่เหมือนกัน ถามว่า มีเท่านี้รึเสื่อ ตอบว่า มีดีกว่านี้อีก คือ ขาด มากกว่านี้ ปรากฏว่า ท่านกลับไปถึงวัด ส่งเสื่อไปโหลหนึ่ง อานิสงฆ์เสื่อขาด ท่านเดินเข้าไปดูในที่ ๆ นอก ถามว่า โอ๋ แกมีเท่านี้แหละหรือ ไอ้ป้าน น้ำดี ๆ ของแกไม่มีบ้างหรอกหรือ ตอบว่า มีแต่แจกหมดแล้ว ทอดกฐินทอดผ้าป่าหมด ท่านรู้ว่า เป็นนักเทศน์ ของเยอะไป แต่ว่า ทุกปีพอถึงเดือนเกิด เรียบแจกไปหมดไม่เหลือ จะเก็บไว้ทำเกลืออะไร เดี๋ยวขโมยลักเปล่า ๆ แล้วผ้าใหม่ ๆ ไม่ใช้หรอก ของดีไม่ใช้ เขาถวายมาครองไตรขึ้นเทศน์ พอกลับมา รีบซักเก็บ ถึงปีทอดกฐินหมด โละต้นทุน ยิ่งโละ ยิ่งมาหนัก มาเท่าไร ก็โละใหญ่ โละไปโละ มาเดี๋ยวนี้ โละไม่ทันแฮะ อันนี้อานิสงส์โละจริงๆ นะ ตั้งแต่บวชพระมานี่ ปีไหนไม่เป็นหนี้ไม่มีหรอก แจ๋ว ไอ้ เป็นหนี้นี่ กันไว้จุดหนึ่งคือ กันการสะสมทรัพย์ ไม่ใช่ว่า จะอวดว่า หาเงินใช้หนี้เก่ง ไม่ใช่ยังงั้น ถ้าเงินมันชักเหลือเป็นส่วนตัวใจมันชักเริ่มไม่เป็นพระ ใจมันมัวหมองที่เป็นหนี้ก็หนี้งานก่อสร้าง หนี้งานสาธารณกุศล ยอมเป็นหนี้เพราะ ไม่ไว้ใจตัวเอง จะไว้ใจตัวเองไม่ได้ ถ้ามันไม่ตายใช่ไหม
    ถ้าเรายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ถ้ายังหายใจอยู่อย่าเพิ่งคิดว่าเราดี นี่เป็นเรื่องสำคัญ
    เรื่องใจตัวเองนี่ เวลานี้ก็ถือภาษิตว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษ โจทก์ความผิดของตัวเองไว้ สมอ ชำระใจของตัวเองเป็นสำคัญ คนอื่นใครเขาจะดี ใครเขาจะชั่วน่ะ มันเป็นเรื่องของเขา เราเท่านั้น จะเป็นผู้ชำระใจตนเองได้ เราเอาตัวรอด เท่านั้นเป็นพอ นี่ปกติ อาตมา เป็นอย่างนี้นะ ปกติเวลานี้ เป็นอย่างนี้ แต่เมื่อก่อนไม่ใช่อย่างนี้หรอก ชอบเสือก เขาบอกว่า ยาย ก. อยู่ที่โน่นขั้วโลกเหนือ แกดี เราเป็นต้องปั๊บแกดีแค่ไหนหว่าจิตใจแกแค่ไหน เวลานี้แกได้อะไรบ้าง รู้ ถ้าพระขอไปอยู่วัดนั้นๆ เอาเชียวองค์นี้ได้อะไรหว่า เสือกน่ะ ไอ้เสือก รู้หนักเข้าๆ เอ๊ นี่มันเรื่องของชาวบ้านไม่ใช่เรื่องของกู แต่อีตอนนั้นมัน เครื่องวัดตัวเองกับเขา คือ เขาออกชื่อ ใครมาว่าดี แล้วก็จับโดยอารมณ์ของจิตมันเป็นของง่ายๆไม่ยาก พอรู้ชื่อปั๊บ รู้ทันที การวัดจิตเขา กับจิตเรานี่ ถ้าจิตของเรา สู้เขาไม่ได้นะ เปิดไม่ช้าหรอก ถึงไปขอเรียน ไม่ใช่ไปแข่งกับเขานะ ไปขอเรียนต่อจากเขา ถ้าเขา บอกองค์นั้นดี วัดดูแล้ว เออ ท่านต่ำกว่า ก็ไม่ว่าอะไรท่าน ท่านก็เหมือนกับเราแหละ ต่ำกว่าคนอื่น ถ้าเขาดี กว่าต้องยกให้เป็นครู แต่ว่า บางทีไปดูแล้ว โอ้ โฮ ไม่ไหวเลย ดูข้างนอกนะพ่อเยี่ยวรดกุฏิเหม็นหมด มีหลายองค์ เยี่ยวบนพื้นนี่แหละ บางทีก็เยี่ยวใส่กระโถนพราด ๆ เราเข้าไป แหม น้ำอบไทยกลิ่นมันแจ๋วจริง ๆ ถามว่า หลวงพ่อ ทำไมทำยังงี้ล่ะ เฮอะ แกมานี่ ยังดีนะ ให้เด็กมัน ถูเสียหน่อยแล้ว ถามว่า ทำไม ตอบว่า คนมันมากวุ่นว่ะ มาขอหวยบ้างอะไรต่ออะไร สมัยโน้นหวย ก ข น่ะ ไล่เท่าไร ก็ไม่ไป เลยเยี่ยว ราดพื้น ให้มันเหม็น แต่คนมันก็ทน ทนก็เยี่ยวใส่ กระโถน ราดมันตรงหน้าเลย มันถึงได้ไป พอเราไปท่านบอกเดี๋ยวๆ ข้าไปเอาน้ำร้อนมาราดๆ เสียหน่อย มันฉุนจัด แล้วก็คุยกัน ถามเราว่า แกมาทำไม ตอบไปว่าเขาลือกันว่าหลวงพ่อดี เอ๊อ แกไปเชื่อ ไอ้คนมันบ้า ข้าดี ที่ไหน บอกท่านว่า จริง ๆ ครับ ผมมานี่ผมดูแล้วหลวงพ่อดีกว่าผม ดียังไงวะ เยี่ยวก็เหม็น ขี้ก็เหม็น เอาแล้ว ชักออกฤทธิ์ออกเดชแต่ไป ๆ มา ๆ ท่านก็ยอม ยอมเราก็ขอเรียน ท่านก็ให้เรียน ความจริงการ เรียนนี่ท่านฉลาดมาก จับจุดเฉพาะจุดที่เราพร่อง ที่ท่านจะแก้ไขได้ ท่านบอกไป ! อยู่เปลืองข้าว ข้าไม่มีอะไรจะสอนแล้ว เราก็กลับ กลับไป ก็หาใหม่อีก ใครเขาลือ กันที่ไหนนะ พอเขาลือ เราก็ใช้ เจโตปริยญาณ จับจิต มันไม่ยากหรอกพอ เขาพูดก็รู้ทันที ไอ้เวลานั้นใช้มากนะ ใช้เป็นปกติจนคล่อง เวลานี้เลิกขี้เกียจ ใครจะไปเหนือไปใต้ก็ช่างเขา นอนสบายหมดเรื่อง ถ้าเราไปยุ่งกับชาวบ้านมันจะแย่ เราควรจะยุ่งกับใจเราเองเป็นสำคัญถึงจะดี ใครจะด่า เราก็เฉย
    ไอ้เรื่องด่านี่ เคยชนะยาย ยายแกขี้บ่น ของแกนี่ ใครหยิบ ไม่ได้จริงๆ นะของๆท่าน วางไว้ ใครไปยกขึ้น แล้ววางให้ตรงมุม อย่างเก่า กลับมาก็รู้ โอ้โฮ เก่งจริงๆ แต่ก็ช่างเถอะ ยายไม่อยู่เมื่อไร สตางค์หายเมื่อ นั้นแหละ สตางค์หายไม่โทษใครหรอก ไอ้เล็กเอาของกู คนอื่นไม่มีใครเอาของกูหรอก แล้วก็พึมพำๆ ไปตามเรื่อง เราไปกินก๋วยเตี๋ยวแล้ว อยากด่าก็ด่าไป เราก็นั่งหัวเราะเรื่อย อีวันหนึ่งเอามากหน่อย สมัยโน้น 10 บาท ตัดเสื้อกางเกงโก้เลย หมวกเสร็จ พอโพล่มา ไอ้เล็ก เอ็งลักสตางค์ ยายไปใช่ไม๊ ครับ เอา ไปทำไม บอกนี่ครับ เครื่องแต่งตัวนี่ แกทำไมไม่ขอฉัน ขอยายไม่ให้ครับ คราวนี้ ก็ขึ้น กัณฑ์มหาราช อีคราวนี้ ยาวหน่อย เราก็ถอดเสื้อพับ แล้วก็ กราบๆ กราบ แล้วก็นอน แล้วก็หลับ พอตื่นมา อ้าวเลิกด่าไปแล้วไอ้เล็กหิวข้าวหรือเปล่าล่ะ หิวครับ ยายทำไว้ให้แล้ว แกงเกิงไปกินเสียไป อ้าวยายไปทำเมื่อไหร่ครับ เห็นหลับข้าก็เลยไปทำ ขี้เกียจด่าแม่มัน ด่ามันก็หลับ เราเลยชนะ สู้เราไม่ได้ ทีหลังเข็ดสั่งว่าเอาสตางค์ ไปกี่บาทก็เขียนไว้นะ คราวนี้ตามสบาย ถ้าขอละก็ไม่ค่อยให้หรอก ซักนั่น ซักนี่ สอนให้เราขโมยเรื่องฉัน มันเยอะไอ้เรื่องเด็กๆ
    ตอนอายุซัก 15-16 ได้ละมัง เขาไปปลูกบ้านให้หลังหนึ่ง สองชั้น สองห้อง อยู่คนเดียว ของเต็มหมด 2 ห้อง ทำอะไรเล่น น้าชายก็สนับสนุน เล่นไปเล่นมา จนขโมยไฟฟ้าเขาได้ แต่ความรู้นี่ให้ไม่ได้น่ะ ถ้าไฟฟ้าแรงสูง ห่าง 1 กิโลใช้ได้สบายเลย ไฟแสงสว่างนะ ไฟแสงสว่างนี่ ใช้เท่าไหร่ ก็ได้ แต่ใช้แรงงาน ไม่ได้นะ แต่ไม่สอนใคร พระพุทธเจ้า บอกว่า วิชาที่ตถาคตรู้ มีมากกว่านี้ แต่ไม่เป็นไป เพื่อความพ้นทุกข์ ตถาคตไม่สอน วิชานี้สอนแล้วตกนรก จะสอนทำไมล่ะ
    มีหลายเรื่อง ตอนเด็กๆเรือเขาใช้ใบจักรกัน เราก็ใช้เรือยนต์ไม่ต้องใช้ใบจักร เอาเครื่องสูบน้ำเป่าให้ท่อ มันจมไปลึกๆ มันก็วิ่ง น้าก็ตามใจจริงๆ ยายก็ด่าน้า บอกไอ้นอบ ไอ้เนียบ ความจริงเขามีบรรดาศักดิ์ทั้งนั้น ไม่เรียก เรียกชื่อ บอกว่า ตามใจหลานนัก สองคุณน้าบอก คุณแม่ครับ สตางค์ส่วน คุณแม่ ผมให้แล้ว ทุกเดือนนะครับ นี่มันสตางค์ ส่วนของผมนี่ แต่พอเรา ทำสำเร็จ แกก็เอาสิทธิ ไปขาย ได้สตางค์มาทุกทีแหละ ไอ้เราก็ซน นักวิทยาศาสตร์โกงๆ แบบนี้ ไม่มีหลักสูตร เออนี่ 3 ทุ่มแล้ว สมาทานกรรมฐาน กันดี กว่านะ
    ที่มาhttp://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...