เรื่องจริงอิงประวัติศาสตร์รัชกาลที่1และพระเจ้าตากสิน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 6 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    พระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    [​IMG]<o:p></o:p>
    ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ เป็นวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ถ้ามีการขลุกขลักอยู่บ้างก็ต้องขออภัย ทั้งนี้เพราะว่า กำลังป่วยมาก โรคที่เพิ่มขึ้นจากโรคท้องก็คือเก๊าต์ โรคเก๊าต์นี่ความจริงก็ไม่น่าหนักใจ เบามากแล้ว แต่ทว่าโรคที่น่าหนักใจมากที่สุด คือ โรคหัวใจ มีน้ำในหัวใจ ขณะที่หมอเช็ค หมอบอกมีน้ำในหัวใจ มันเหนื่อยมาก บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย โรคน้ำในหัวใจนี่ มันมีมาตั้งแต่ เดือนมีนาคม ๒๕๓๓ เมื่อไปกรุงเทพฯ ตอนต้นพฤษภาคม นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์ และแพทย์หญิงแสงโสม ปิรยะวราภรณ์ ภรรยา นายแพทย์มนตรี อมรพิเชษฐ์กุล นายแพทย์วัฒนะ ฐิตะดิลก และนายแพทย์ชนะ สิริยานนท์ รวมกันวินิจฉัย
    ความจริงโรคนี้อาการเป็นมาตั้งแต่เดือนมีนาคม อาตมาสงสัยมานาน แต่ทว่าเป็นเรื่องแปลก ที่เครื่องตรวจโรคไม่พบ ต่อมาเมื่อ หมอมนตรี (หมอที่พูดเมื่อกี้ทั้งหมดนี่ พอไปถึงเขามาคอยกัน เพื่อจะให้น้ำเกลือบ้าง เช็คโรคบ้าง) ก็เป็นอันว่า หมอมนตรีพบน้ำในหัวใจ จึงปรึกษาหารือกันระหว่าง ๕ หมอ คือ หมอจรูญ หมอแสงโสม หมอมนตรี หมอวัฒนะ ๕ หมอ หรือ ๔ หมอ ๔ ซินะ หมอชนะนั่งอยู่ใกล้ ๆ อาตมา ทั้งหมดเมื่อปรึกษากันแล้วเห็นว่า สภาพของหัวใจล้มเหลว หัวใจล้มเหลวก็คือว่า มันจะตาย <o:p></o:p>
    แต่คนที่เขามาหานี่ เขาไม่รู้ว่ามันจะตายหรอก มันทำท่าจะตายเกือบทุกคืน แต่ว่าทุกคนไม่ทราบเห็นว่ายิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะเอิ๊กอ๊าก พูดมีอารมณ์ขัน ทำให้หัวเราะ ลูกหลานทุกคนก็ดีใจว่า หลวงพ่อไม่เป็นไร รู้สึกว่าช่วงตรงหัวใจไม่ดี นอน ๆ อยู่ก็รำคาญ คิดว่า เวลานี้มันว่าง ๆ ก็ลุกมาพูดกันสักหน่อยก่อนจะตาย ตายหรือไม่ตาย ก็ช่างหัวทัน ตายเมื่อไรก็ไปนิพพานเมื่อนั้น ไปหรือไม่ไป ก็ช่างอีกเป็นไร จะว่าอะไรกัน
    เป็นอันว่า เมื่อคุยกันถึงตรงนี้แล้วก็ต่อไปเลย ต่อไปว่า เรื่องการป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องวิตกกังวลหมอทุกคนช่วยกันรักษา เมื่อหมอ ๔-๕ คนปรึกษาเรื่องยาแล้ว ก็มาถามว่า เห็นสมควรไหม ก็พอดี ท่านโกมรภัจ ท่านมาลอยอยู่ข้างหน้า ท่านบอก ยาที่หมอตัดสินใจนี่ถูกต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็หมอให้ยานี่ภายใน ๓ วัน หลังวันที่ ๓ แล้วให้ผลมาก ก็เริ่มให้ผล แต่ว่าเสียงแห้ง เพราะเป็นยาดูดน้ำจากหัวใจ เวลานี้ที่พูดอยู่ หมอสุวิทย์ โรงพยาบาลแม่และเด็กฯ กำลังรับภาระดูแลอยู่ ก็เป็นอันว่า เรื่องจะตาย ๆ นี่ เลยไปเสียเถิด มันรำคาญ <o:p></o:p>
    ทีนี้ก็มานั่งคุยกัน เรื่องป่าศรีประจันต์น่ะ ยังไม่กลับนะ ก็รวมความว่า เวลานี้ยังนอนอยู่ที่ป่าศรีประจันต์ตามประวัติก็แล้วกัน แต่ตัวจริงอยู่ที่วัดท่าซุง เวลานี้ ๖ โมงครึ่ง ๖ โมงเย็น ตอนเย็นมันไม่ไหว ก็นอนฟุบไป ลุกขึ้นมาได้ ก็มาพูด คนแก่พูดให้ชาวบ้านรำคาญเล่นโก้ ๆ จะเป็นไรไป
    มานั่งนึกถึงว่า ระหว่างนี้ก็รับปากกับญาติโยมพุทธบริษัทว่า จะปูพื้นกระเบื้องเคลือบ ศาลา ๑๒ ไร่ ให้เต็มก่อนสิงหาคม แต่เต็มน่ะมันเต็มแน่ ในร่วมในอาจจะเต็ม ร่วมนอกอาจจะไม่เต็ม ร่วมในก็ใช้กระเบื้องประมาณ ๖,๖๐๐ ตารางเมตร ๖,๖๐๐ กล่องก็แล้วกัน ถ้าร่วมนอกก็ใช้ประมาณ ๔,๐๐๐ กล่อง แล้วก็ไปตั้งราคาไว้ประมาณ ๓ ล้าน มันเจ็งบ๊งไปแล้ว ไม่พอหรอก ค่าปูน ค่าแรงงาน ค่าปูนก็แพง แล้วก็ยิ่งกว่านั้นก็เทพื้น ๒๕ ไร่ แล้วเวลานี้ก็กำลังเทพื้นที่รับแขก เทพื้นคอนกรีตนะ รถจะได้ไปมาสะดวก เวลามีน้ำมีฝน จะได้ไม่มีหล่ม หลังจากนั้นก็จะให้เทพื้นที่ หลวงพ่อ ๓๐ ศอก มีนามว่า หลวงพ่อมหาลาภไหลมาเทมา องค์นี้มีลาภมาก พระที่มีลาภมากที่วัดนี้มีหลายองค์
    อย่างหลวงพ่อไหลมาเทมานี่ ใครบูชาดี ๆ มีลาภเยอะ หลวงพ่อ ๘ ศอกที่ศาลา ๑๒ ไร่ ก็มีลาภเยอะ หลวงพ่อที่ ๔ ไร่ ก็มีลาภเยอะ หลวงพ่อที่ ๒ ไร่ ก็มีลาภเยอะ หลวงพ่อในวิหาร ๑๐๐ เมตร หลวงพ่อพระพุทธชินราชกับหลวงพ่อพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีลาภเยอะ เอ้า ใครอยากได้ลาภก็ไปขอท่าน หลวงพ่อ ๔ องค์ ก็แก้บนกันทุกวัน เฮ้อ ไม่รู้ว่าบนอะไรกันบ้าง บางคนก็ไปบนขอลูกกับพระ พุทโธ่เอ๊ย พระเองก็ไม่เคยมีลูกเองสักที แต่ก็ไม่เป็นไร เขาขอเขาก็ได้กัน เอ้า ก็ตามใจ ไม่เป็นไรขอได้ก็ขอไป เมื่อได้แล้วก็เอาไปเลี้ยงก็แล้วกันแต่จะให้พระไปช่วยทำลูกไม่ได้นะ <o:p></o:p>
    พระก็ขอต่ออีกทีนะ พระทำลูกไม่เป็น ในวินัยพระพุทธเจ้าไม่ได้มีพุทธบัญญัติไว้ว่า ให้พระทำลูก แต่ถ้าใครเขามาขอลูก พระก็ถามเทวดา ถามนางฟ้าเรื่อย ๆ ไป ว่า ใครจะมาเกิดบ้าง แต่ถ้าบังเอิญใครโชคดี เปรตมาเกิดแทน ก็ซวยเต็มทีเหมือนกัน ปล่อยไปตามเรื่องตามราว อยากมีลูกนี่ ก็ขอกันให้ถูกก็แล้วกัน
    ทีนี้ก็มานั่งคุยกันถึง ๒ กษัตริย์ ก็ให้คุณสามารถ รับอาสาปั้นรูปพระเจ้าอยู่หัว ๑. สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ๒. รัชกาลที่ ๕ ๓. รัชกาลที่ ๖ ๔. รูป ร.๙ ๕. พระเจ้าตากสินฯ ตอนเป็นกษัตริย์ ๖. พระเจ้าตากสินฯ ตอนผนวช<o:p></o:p>
    ถ้าถามว่า ปั้นไว้ทำไม เวลาปั้นทำไมถึงไม่บอกใคร ความจริงเวลาปั้นน่ะบอกนะ บอกช่าง ถ้าไม่บอกเขาไม่ปั้นหรอก แล้วช่างก็ไม่หาที่ไหน เอา พระสามารถ ที่วัดนี้ แกก็เรียนอะไรไม่จบสักอย่างเรียนวิชาการช่าง พวกปั้นมา อ้าว ก็เรียนไม่ทันจบเสียอีก ก็ไม่เป็นไร ไอ้ใครที่มันจะปั้นให้เหมือนคนตายแล้วน่ะ มันไม่มีหรอก เอากันแค่ดูรู้เรื่องก็แล้วกัน ใครอยากจะติ ก็เชิญติตามชอบใจ ใครอยากจะชม ก็เชิญชมตามชอบใจ ไม่ใช่ของแปลก นตถิ โลเก อนินทิโต พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คนไม่ถูกนินทาเลย ไม่มีในโลก
    และการปั้นก็ไม่ได้เรี่ยไร ไม่ได้บอกบุญใคร อยากจะปั้นก็ปั้นขึ้นมาเฉย ๆ หมดเรื่องหมดราว สำคัญรูปพระเจ้าตากสินฯ น่ะซี ไม่มีตัวย่าง ไม่มีแบบ ท่านเจ้ากรมเสริม (พล... ... เสริม ศุขสวัสดิ์) เคยเอารูปถ่ายมาให้ดูที เป็นรูปเขียนหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ว่าจำได้ไหม เขาบอกว่า รูปพระเจ้าตากสินฯ ก็ โอ้โฮ หน้ายาวสัก ๕ กิโลเมตร พระเจ้าตากสินฯ ท่านหน้าอยู่ในเกณฑ์สี่เหลี่ยม แต่ไม่สี่เหลี่ยมนักหรอก
    แต่ตอนแก่นี่เข้าไปลักษณะสี่เหลี่ยม คล้ายๆ หน้าคุณอะไรล่ะ พระเอกหนังน่ะ ที่เป็นพระพุทธยอดฟ้าฯ เรื่องสงครามเก้าทัพ (สมบัติ เมทะนี) หน้าในลักษณะคล้าย ๆ แบบนั้น แต่หน้ามีเนื้อมากกว่านั้น ทีนี้รูปที่เขามาให้ดู เขาบอกว่า มาจากอิตาลี โอ้โฮ ยาวเหยียด หลายกิโลเมตร ไม่ใช่ ไม่ถูก นี่ถ้าถามว่า ทำไมจึงจะรู้ จะถูกจะเหมือน ก็ต้องบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ทุกรูปที่ปั้นมาแล้วเหมือนหมด อย่างรูปพระเจ้าตากสินฯ ที่เมืองตาก ก็เหมือนพระเจ้าตากสินฯ ที่เมืองตาก พระเจ้าตากสินฯ ที่พระราชวังเดิม ก็เหมือนพระเจ้าตากสินฯ ที่พระราชวังเดิม พระเจ้าตากสินฯ ที่วงเวียนใหญ่ ก็เหมือนพระเจ้าตากสินที่วงเวียนใหญ่ พระเจ้าตากสินฯ ที่จันทบุรี ก็เหมือนพระเจ้าตากสินฯ ที่จันทบุรี ที่นี้ที่ปั้นที่วัดท่าซุงล่ะ ก็เหมือนพระเจ้าตากสินฯ ที่วัดท่าซุง อย่าเอาไปเปรียบเทียบกันนะ ของใครของมัน
    ทีนี้ ถ้าจะถามว่า ที่วัดท่าซุงเอาแบบมาจากไหน ก็ขอตอบว่า เอาแบบมาจากผีพระเจ้าตากสินฯ ถ้าถามว่า ผีพระเจ้าตากสินฯ มาเมื่อไร จะบอกให้ฟังก็ได้เมื่อ พ.. ๒๕๐๐ จำเดือนไม่ได้ เวลานั้นป่วย ไปนอนที่กรมแพทย์ทหารเรือ ห้องพิเศษ ตึกพิเศษ แล้วพอไปนอนอยู่ที่นั่น พอตกกลางคืน เวลาประมาณ ๔ ทุ่ม ก็จะนอน เมื่อขณะที่จะนอนก็ไปใส่กลอนประตู แล้วก็ใส่กลอนหน้าต่าง จ่าพยาบาลที่นั่น เวลานั้นมีนายทหารบ้าง มีจ่าบ้าง เป็นลูกศิษย์ลูกหา มีอยู่หลายคน เอาหลอดไฟ ๑๐๐ แรงเทียนมาใส่ให้ สว่างจ้า ก็เลยขึ้นเตียง กำลังจะเอื้อมมือไปปิดสวิทช์
    ก็พอดีปรากฏว่า คน ๆ หนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง เอาละนิมิตนี้บรรดาท่านทั้งหลาย ฟังแล้วก็จำให้ดีนะว่า หลอดไฟ ๑๐๐ แรงเทียนมันสว่างขนาดไหน แล้วก็มาในขณะที่หลอดไฟ ๑๐๐ แรงเทียนมันยังไม่ดับ ถ้าจะถามว่า เข้าฌานชั้นไหน ก็บอกว่า เข้าฌานชั้นที่ ๕๐๐ มันจะเข้าฌาน เข้าเชิญอะไร ท่านแสดงให้เห็นน่ะ แสดงองค์ให้เห็น แต่ว่าเวลาแสดงองค์ให้เห็น ก็เป็นคนล่ำ ๆ ท่าทางแข็งแรงปราดเปรียว เป็นคนมีเนื้อเต็ม แต่นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาวแค่เข่าเหนือเข่านิดหนึ่ง แล้วก็ใส่เสื้อแขนสั้นเหนือศอกหน่อย มายืนอยู่
    แต่ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ก็เพราะว่า ไปนอนที่นั่นเวลาป่วย ก็มีความรู้สึกว่า บรรดาผีทั้งหลายอาจจะแกล้งได้ง่าย เพราะเป็นการตกใจง่าย กำลังใจของคนป่วย ความเข้มแข็งน้อย ก็ไม่รู้จะนึกถึงใคร นึกว่าในที่นี่เป็นเขตพระราชฐานของพระเจ้าตากสินมหาราช ก็ขอพึ่งบารมีพระเจ้าตากสินมหาราชให้คุ้มครอง พอท่านผู้นั้นมายืนปุ๊บก็มองเห็นนะ ไม่ต้องหลับตากันแล้ว ไม่ต้องเข้าฌานกันแล้วบรรดานักเจริญกรรมฐานทั้งหลาย นักตาทิพย์ทั้งหลายโปรดทราบ ฌาน เชิญอะไรกันแน่ ในเมื่อผีจะแสดงตัวให้ปรากฏ
    แต่ความกลัวไม่มีเพราะชิน เรื่องนี้ชินมาตั้งแต่บวชพรรษาที่ ๑ ก็เลยถามว่า ท่านเป็นใคร ท่านผู้นั้นก็ถามว่า เมื่อกี้นี้ท่านนึกถึงใคร ก็ตอบท่านบอกว่า นึกถึงพระเจ้าตากสินมหาราช ท่านก็บอกว่า ผมนี่แหละ พระเจ้าตากสินมหาราช ก็เลยมองไปมองมา พระเจ้าตากสินมหาราชนุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาว เป็นคนผิวขาว หน้าค่อนข้างจะสี่เหลี่ยมนิด ๆ แต่มีเนื้อเต็ม มองดูท่าน ถามว่า มองอะไร ก็เลยบอกว่า ก็มองดูลักษณะพระเจ้าตากสินฯ น่ะซี
    ท่านถามว่า เชื่อหรือยังว่าพระเจ้าตากสินฯ บอก ยังไม่เชื่อที่มองสิ มองเพราะไม่เชื่อ ท่านถามว่า ไม่เชื่อตรงไหน บอก ไม่เชื่อตรงกางเกงกับเสื้อ เพราะกางเกงกับเสื้อนี่ มันเป็นเครื่องแบบของกุ๊ยข้างถนนเขานุ่งกัน พระมหากษัตริย์ไม่น่าจะนุ่งแบบนี้ ท่านถามว่า กษัตริย์ต้องทรงเครื่องกษัตริย์นอนเชียวหรือ นี่มันสี่ทุ่มกว่าแล้วนะ ก็บอกว่า จะรู้ได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อเป็นกษัตริย์ เวลาเป็นผีมาแสดงตนให้ปรากฏ ก็ต้องใช้เครื่องทรงแบบกษัตริย์ นี่เข้าเครื่องทรงแบบกุ๊ย แบบนี้ไม่เชื่อหรอก บอก เอ้า ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ใช้เครื่องทรงกษัตริย์ก็ได้ พอพูดจบ เครื่องทรงก็เป็นกษัตริย์ ท่านถามว่า เชื่อหรือยัง บอก ตอนนี้เชื่อแล้ว
    ต่อมาก็ชวนคุยกัน คุยกันตั้งแต่สี่ทุ่มเศษ ๆ ถึงตีห้าครึ่ง ลองนับดู กี่ชั่วโมง จำภาพได้ชัด พอท่านจะกลับ ท่านบอกเออ นี่มันจะ ๖ โมงแล้วครับ ประเดี๋ยวเขาจะมาเรียนท่านนะ เดี๋ยวจ่าพยาบาลจะมาเรียก ๖ โมงเขาจะมาเรียกแล้ว ผมจะลากลับละ ก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อน ประเดี๋ยวค่อยกับ ก่อนจะกลับน่ะ ขอหวยสัก ๒ ตัวได้ไหม ท่านบอกว่า ไอ้สมัยเราน่ะ สมัยเราสมัยโน้นมันมีแต่หวยจับยี่กีนะ ไอ้หวยแบบเลขท้าย ๓ ตัว แบบนี้มันไม่มี แต่หวยนี่ผมไม่รู้หรอก แต่เวลานี้ผมก็มีสตางค์ติดกระเป๋ามาเพียงแค่ ๒๕ สตางค์ ท่านก็โยนป๊องไปใต้เตียง เห็นเลข ๒๕ ใสแจ๋ว
    ถ้าจะถามว่า คุยเรื่องอะไรตั้งแต่ สี่ทุ่มถึงตีห้าครึ่ง ก็ต้องตอบว่า คุยเรื่องอดีต เรื่องความเป็นมาของพระเจ้าตากสินฯ ตั้งแต่เป็นเด็กชายสิน ตี๋สิน น่ะ ตั้งแต่เป็น ตี๋สิน ตั้งแต่เด็ก ๆ ไว้หางเปีย ที่ นายบุนนาค เอาหางเปียผูกกับต้นกล้วย แล้วก็ตี๋สินตื่นขึ้นมาหางเปียติดต้นกล้วย ก็โมโห รู้ว่านายบุนนาคเป็นคนผูก เล่าเรื่องเรื่อยมาก จนกระทั่งถึงขั้น วางแผนให้รัชกาลที่ ๑ เป็นพระมหากษัตริย์ แล้ว พระองค์เองก็สั่งให้รัชกาลที่ ๑ ยกทัพไปปราบเขมร
    เวลานั้นเขมรแข็งเมือง ให้เอาลูกชายพระองค์ไปด้วยว่า ถ้าตีเขมรได้ ไม่ต้องให้ลูกชายกลับมา ให้ครองที่เขมร อยู่ทางนี้จะบวช จะแกล้งทำเป็นคนบ้าจะได้พ้นจากความเป็นกษัตริย์ เมื่อกลับมาแล้วก็ขอให้รัชกาลที่ ๑ เป็นกษัตริย์ แล้วก็สั่งไว้ด้วยว่า เงินหนี้สินที่กู้เจ้าสัวเขามาน่ะ อีกไม่นานนี่เขาจะมาเอาเงินต้นเขา เอาทั้งต้นทั้งดอก ฉันก็ไม่มี มันต้องรบราฆ่าฟันกัน แล้วก็หาให้เขาไม่ได้
    ความจริงก็ไม่ตั้งใจจะโกง แต่ก็ไม่อยากจะให้ แล้วท่านก็วางแผนบอกว่า เงินสำหรับเบี้ยหวัด เงินปีของข้าราชการ ที่ยังเป็นหนี้ข้าราชการอยู่ ฉันเก็บไว้แล้วตรงนั้นนะ แล้วก็เงินสำหรับใช้สอยต่าง ๆ ฉันเก็บไว้ตรงนี้ แล้วเงินสำหรับที่เธอจะเป็นกษัตริย์ บอกรัชกาลที่ ๑ เวลานั้นยังเป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ฉันเตรียมไว้ตรงนั้น เตรียมไว้พร้อมแล้ว เมื่อกลับมาก็เป็นกษัตริย์ เถลิงราชย์ก็แล้วกัน กลับมาจากเขมร
    ก็เป็นอันว่าเล่าย่อ ๆ ให้ฟังตามนี้นะ แล้วแผนทุกอย่างเป็นไปตามนั้น แต่ว่า พระยาสวรรค์ ไม่ดี ให้ไปทวงหนี้ ไปเก็บภาษีที่อยุธยา กลับไปรวมพวกอยุธยากลับมา หวังจะยึดกรุงธนบุรี จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินเองพระยาสวรรค์น่ะลืมตัว อย่าลืมว่า ทหารรักษาพระองค์น่ะมีฝีมือมาก แค่พระยาสวรรค์เท่านั้นไม่พอฟันหัวหรอก หัวไม่พอจะฆ่า
    ก็รวมความว่า เมื่อคุยกันไปคุยกันมาเสร็จ ท่านโยนสตางค์ ๒๕ สตางค์ลงไปแล้ว ท่านก็ลากลับแล้วก็หายไป ภาพนั้นจำได้ แล้วต่อมาก็พบกันอีกหลายครั้งในลักษณะเดิม แล้วก็เวลาปั้นรูปท่านท่านก็มาติเอง ให้พระสามารถปั้น ปั้นทีแรกเป็นเด็กอายุสัก ๑๕-๑๖ ปี บอก ใช้ไม่ได้ เจ้าของมาติเอง หลังจากนั้น ท่านก็ให้ปั้นใหม่ ท่านก็มาติตรงนั้น ติตรงนี้
    แต่ว่าไม่ยักเอาหน้าสมัยแก่ ตอนที่บวชน่ะ เป็นสมัยแก่ ไม่เอา เอาแต่ตอนที่ เป็นหน้าระยะที่ตีฟันฝ่าข้าศึกออกจากกรุงศรีอยุธยา เพราะหน้าตอนนี้เป็นหน้าที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็น หน้าตาย การใช้กำลัง มีกำลังทหารแค่ ๕๐๐ คน กับลูกหาบ แล้วถ้าพม่าเข้าล้อมหน้า แล้วก็ล้อมหลัง ก็หมายถึงว่า ตายกันหมด ในเมื่อผ่านไปได้ แล้วก็ถือว่า เป็นบุญ ต้องเอาหน้านี้ เป็นหน้าที่มีความสำคัญมาก การที่นำกำลังทหารเข้าตี ในสมัยที่รวบรวมกำลังแล้วมันไม่หนัก ถ้าเราสู้ไม่ได้ เราก็ถอย เรียกว่า หนีความตายได้
    ก็เป็นอันว่า หน้าที่วัดท่าซุง ก็เป็นหน้าสมัยที่พระเจ้าตากสินฯ ตีข้าศึกออกจากอยุธยา ถ้าถามว่าเหมือนไหม ก็ตอบว่า จะให้เหมือนเปี๊ยบมันเป็นไปไม่ได้ แต่ทว่าเวลาปั้น เจ้าของจะมาติเอง เจ้าของมาแก้ตรงนั้นออกนิด เอาตรงนี้ออกหน่อยหนึ่ง เขาทำผมเป็น ผมหลักแจว ท่านก็บอกว่า ใช้ไม่ได้สมัยนั้นผมหลักแจวน่ะ ผมสั้นท่านชอบ แต่เป็นการตัดเกรียนขึ้น เกรียนจากต้นแล้วขึ้นไปบานตรงปลายนิดหน่อย อย่างนั้นมันถึงจะถูก รวมความว่า หน้าของพระเจ้าตากสินฯ กำลังปั้น แล้วก็จะปั้นเป็น ๒ สมัย คือ ว่า สมัยที่ท่านเป็นกษัตริย์ และสมัยที่ท่านเป็นพระ เพราะพระเจ้าตากสินฯ นี่ ผู้พูดขอยืนยันว่า พระเจ้าตากสินฯ ไม่ได้ถูกรัชกาลที่ ๑ ฆ่า
    ความจริงจะฆ่ากันได้อย่างไร ด้วยเหตุด้วยผล เพียงพระเจ้าตากสินฯ ทำบทบาท แกล้งทำเหมือนว่าเป็นบ้า ประกาศตนว่า เวลานี้ฉันเป็นพระโสดาบันแล้ว บังคับให้พระที่มีความผิดในทางวินัยมาไหว้ แต่ความจริงพระที่มีความผิดนี่นำเข้าในวังจริง แต่ไม่ใช่พระ เอาไอ้พวกนักโทษมาห่มผ้าเหลืองเข้า ทำไปให้ไหว้ ในเมื่อไม่ไหว้มีความผิด ก็เฆี่ยน เฆี่ยนนักโทษ ไม่ใช่เฆี่ยนพระ เอาพระจริง ๆ แอบเสีย ก็ทำเป็นเหมือนว่า ตนเองเป็นคนบ้า เขาจะได้ไม่ให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป ทั้งนี้ เพราะอะไร เพราะว่าหนีหนี้อีกไม่ช้าไม่นานนัก เจ้าสัว เขาจะมาเก็บเงิน ทั้งต้นและทั้งดอก (เมื่อกี้หมามันเห่าเข้าไมโครโฟนบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ มันเห่าดังด้วย มาพูดตอนนี้หมามันได้ยินเสียงเข้า มันก็นึกว่าเสียงคนภายนอก มันก็เลยเห่า ก็ช่างมันเสียงคนกับเสียงหมาผสมกัน เพราะดี)<o:p></o:p>
    ก็เป็นอันว่า หลังจากที่ ร.๑ กับ กรมพระราชวังบวรฯ ยกทัพไปที่เขมร และไม่ช้าไม่นานนักปรากฏว่า เขาบอกว่า พระยาสวรรค์ กบฎ พระยาอภัย หลายชาย ร. ๑ ยกทัพมาจากนครราชสีมามาจับพระยาสวรรค์ได้ฆ่า เขาก็แจ้งไปบอกว่า ในเมืองกรุงธนบุรีปั่นป่วนมาก ขอให้ยกทัพกลับ ร.๑ กับกรมพระราชวังบวรฯ ก็ยกทัพกลับมาถึงวัดสระเกศ เขาก็เชิญให้เป็นกษัตริย์ แต่ก็ต้องเป็นการล้างกษัตริย์กัน (เป็นการล้างหนี้นี่) ถ้าเปลี่ยนมือจากความเป็นกษัตริย์ เจ้าสัวก็ไม่รู้จะทวงใคร ไม่ใช่สืบสันติวงศ์ เป็นการ ปราบดาภิเษก แบบหลอกหลอน ความจริงเป็น ราชาภิเษก ไม่ใช่ปราบดาภิเษก
    แต่ว่าประวัติศาสตร์เขาบอก ปราบดาภิเษก คำว่า ปราบดาภิเษก ก็หมายความว่า ฆ่าองค์เก่าแล้วก็ขึ้นครองราชย์ ถ้าราชาภิเษกก็หมายความว่า องค์เก่าตาย หรือสละราชสมบัติ องค์ใหม่ขึ้นมาเป็นราชาภิเษก ศัพท์นี้มันถูกหรือมันผิดก็ไม่รู้ ก็ช่างมันเถอะ ก็พูดมันส่งเดชไปก็แล้วกัน ห้ามวินิจฉัย ฟังไป
    หลังจากนั้น เมื่อข่าวว่า พระเจ้าตากสินฯ ถูกฆ่าตาย รัชกาลที่ ๑ ขึ้นเถลิงราชสมบัติ ต่อมา พระยาพิชัยฯ ก็ยกทัพมาจากเมืองพิชัย มายับยั้งทัพที่บางกะปิ รัชกาลที่ ๑ กับกรมพระยาราชวังบวรฯ กับพระยาอะไรอีกคน จำไม่ได้ ก็ไปด้วยกัน ๓ คน ไปถามพระยาพิชัยฯว่า มึงยกทัพมาทำไมวะ พระยาพิชัยฯ ก็ลงมาจากคอช้าง พระยาพิชัยฯ ก็บอกว่า ก็มึงฆ่าท่านใหญ่ มึงครองสมบัติ กูก็อยากได้สมบัติบ้าง กูก็จะรบแย่งสมบัติ ร.๑ ก็บอกว่า ใครบอกมึงวะว่า ท่านใหญ่ตาย ถูกกูฆ่า ท่านใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ มึงไม่เชื่อ มึงเข้าไปดูกับกู
    พระยาพิชัยฯ ก็เข้าไปพบพระเจ้าตากสินฯ พระเจ้าตากสินฯ ท่านก็เลิกบ้า ในเมื่ออยู่ตามลำพังเพื่อน ๆ เก่า ท่านก็คุยความจริงให้ฟัง เมื่อคุยความจริงให้ฟัง พระยาพิชัยฯ ก็ยกทัพกลับ ต่อมา ร.๑ ก็เรียกพระยาพิชัยมา ให้รับราชการร่วมกัน ละครบทนี้มันแสดงไม่ยาก พระยาพิชัยฯ ก็ประกาศว่า ไม่ยอมเป็น ข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย ความจริงก็เพื่อนกัน เขาก็สั่งฆ่าพระยาพิชัยฯ แต่พระยาพิชัยฯ ไม่ตายหรอก นักโทษประหารชีวิตตายแทน พระยาพิชัยฯ ก็เปลี่ยนเป็นชื่ออื่น
    เมื่อจัดงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำพระเจ้าตากสินฯ ออกไปส่งออกทางปากท่อ พระเจ้าตากสินฯ นั่งคานหาม ต้องออกกลางคืน กลางวันกลัวเขาจะรู้ ท่านเป็นพระ ไปส่งไว้ที่นครศรีธรรมราช ลูกชายของท่านมี ๒ คน คนพี่ให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จะได้บำรุงพ่อ คนน้องชายก็ให้ทุนเป็นพ่อค้าสำเภา เป็นการหาทรัพย์สินเข้าเมือง นี่ความจริงเรื่องจริง ๆ มันเป็นอย่างนี้ จึงได้ต้องปั้นรูป ๒ รูป คือ รูปที่เป็นกษัตริย์รูปหนึ่ง และรูปที่เป็นพระรูปหนึ่ง ทีนี้ถ้าใครจะบอกว่า แหกคอก หน้าตาไม่เหมือนพระเจ้าตากสินฯ ของวัดท่าซุง ถ้าจะไม่เหมือนใครก็ตามใจเถอะ
    และประการที่สอง เวลาที่เขาปั้นด้วยดินเหนียว เป็นแบบ ก็เชิญพระเจ้าตากสินฯ ที่เป็นผีแล้ว ผีสูงพระเจ้าตากสินฯ นี่ต้องบูชาสูงสุดนะ เป็นพระสงฆ์ที่มีความสำคัญสูงสุดในพุทธศาสนา ท่านก็มาติ เอาตรงนั้นออก เอาตรงนี้เข้า ก็ถามบอกว่า ตอนนั้นมันตอนแก่ นี่หน้ามันแบนน้อยไปนะ ตอนแก่แบนกว่านี้ ท่านบอกไม่ได้ ตอนนั้นมันตอนแก่ ตอนจะบวช ตอนเป็นกษัตริย์ เอาหน้าตอนสำคัญ คือ ตอนที่ตีฝ่าทัพพม่าออกไปจากอยุธยา เอาหน้าตอนนี้ทำหน้าคนหนุ่มอายุประมาณ ๓๐ ปีเศษ ๆ
    เอาละ บรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...